ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 1 #นิยายวาย – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 1 #นิยายวาย

4 of 4หน้าถัดไป

เมื่อกลับมา ก็ได้ยินข่าวที่ลูกศิษย์บอกว่าเสิ่นเฉียวฟื้นและลงจากเตียงเดินเหินได้แล้ว

ขณะเสิ่นเฉียวมา ในมือถือไม้เท้าไม้ไผ่เอาไว้ แต่ละย่างก้าวแม้เชื่องช้าแต่กลับมั่นคงยิ่งนัก

ด้านข้างยังมีสาวใช้ประคอง พลางอธิบายเส้นทางในหมู่บ้านกับเขาเสียงแผ่วเบา

หลังสาวใช้บอกทิศทาง เสิ่นเฉียวก็ก้มกราบไปยังบริเวณที่เยี่ยนอู๋ซือนั่งอยู่ “คารวะท่านอาจารย์”

“นั่งสิ” เยี่ยนอู๋ซือวางหมากในมือลง อวี้เซิงเยียนที่อยู่ตรงข้ามมีสีหน้าไม่น่าดู ตอนนี้พลันเหมือนได้รับการเว้นโทษ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์หมากกำลังตกเป็นเบี้ยล่าง

เสิ่นเฉียวนั่งนิ่งภายใต้การประคองของสาวใช้

หลังเขาฟื้นขึ้นมา ความทรงจำมากมายในสมองล้วนเลือนราง ถึงขั้นจำชื่อแซ่และประวัติของตนเองมิได้ กับเยี่ยนอู๋ซือและอวี้เซิงเยียน ยิ่งไม่มีความทรงจำแม้แต่น้อย

“ร่างกายรู้สึกเช่นไร” เยี่ยนอู๋ซือถาม

“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เป็นห่วง ศิษย์ลงจากเตียงก้าวเดินได้แล้ว เพียงแต่มือเท้ายังอ่อนแรง วรยุทธ์…เหมือนยังไม่ฟื้นคืน”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “มือ”

เสิ่นเฉียวยื่นมือไปอย่างว่าง่าย จุดชีพจรที่ข้อมือถูกจับเอาไว้ในทันใด

เยี่ยนอู๋ซือตรวจสอบครู่หนึ่ง บนใบหน้าไร้ความรู้สึกแต่เดิมปรากฏความผิดคาดเล็กน้อย

เขามองดูเสิ่นเฉียวแวบหนึ่งอย่างมีความหมายลึกซึ้ง เสิ่นเฉียวสีหน้างุนงงไร้เดียงสาเล็กน้อยเพราะมิอาจมองเห็น

เยี่ยนอู๋ซือถาม “เจ้ามีความรู้สึกไม่สบายหรือไม่”

เสิ่นเฉียวครุ่นคิด “ทุกครั้งพอถึงเที่ยงคืน ร่างกายก็จะเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน หน้าอกปวดตื้อ บางครั้งจะปวดจนเดินแทบไม่ไหว”

อวี้เซิงเยียนกล่าวเสริม “ศิษย์ตามหมอมาตรวจดู หมอบอกว่าอาจเป็นเพราะศิษย์น้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องค่อยๆ ฟื้นฟู”

ศิษย์น้องคำนี้กลับเรียกได้อย่างคล่องปากไร้เทียบเทียม เยี่ยนอู๋ซือยิ้มน้อยๆ กล่าวกับเสิ่นเฉียว “วรยุทธ์ของเจ้าหาได้สูญสิ้นไม่ ข้าพบว่าในร่างเจ้ายังคงมีลมปราณเล็กน้อย เหมือนแข็งแกร่งแต่ก็คล้ายอ่อนแอ เมื่อถึงเวลา มิใช่ไม่มีโอกาสฟื้นฟู เพียงแต่นิกายฮ่วนเยวี่ยเราไม่เลี้ยงสวะ ข้ามีภารกิจอย่างหนึ่งต้องให้ศิษย์พี่เจ้าไปทำ เจ้าก็ติดตามไปต่อยๆ ตีๆ เอาแล้วกัน”

เสิ่นเฉียวรับคำ “ขอรับ”

เขามิได้ถามว่าคือภารกิจอะไร เหมือนที่ปฏิบัติต่ออวี้เซิงเยียนก่อนหน้า คนอื่นว่าอย่างไรเขาก็ตอบไปตามนั้น เวลาที่เหลือล้วนนั่งอยู่ที่นั่น นิ่งเงียบไม่มีท่าทางอื่นใด

ทว่าเยี่ยนอู๋ซือหาได้รู้สึกสงสารเพราะตอนนี้เสิ่นเฉียวตกอับไม่ ความอ่อนแอของฝ่ายตรงข้ามรังแต่จะทำให้เขาบังเกิดความชั่วร้ายที่รุนแรงกว่าเดิม ยิ่งต้องการย้อมความขาวบริสุทธิ์ผืนนี้ให้ดำถ้วนทั่ว

“เช่นนั้นเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” เขากล่าวอย่างเฉยชา

เสิ่นเฉียวลุกขึ้นทำความเคารพและบอกลาอย่างเชื่อฟัง ซ้ำยังค่อยๆ จากไปภายใต้การประคองของสาวใช้

เยี่ยนอู๋ซือรั้งสายตากลับมาจากเงาร่างของอีกฝ่าย ก่อนกล่าวกับอวี้เซิงเยียนว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องใจร้อนไปยอดเขาปั้นปู้แล้ว ตรงไปแคว้นฉีสักรอบ ฆ่าเหยียนจือเวิ่น กุนซือที่ปรึกษาทั้งครอบครัว”

“ขอรับ” อวี้เซิงเยียนรับปากโดยไม่แม้แต่จะคิด “คนผู้นี้ล่วงเกินท่านอาจารย์หรือ”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “เขาคือคนในนิกายเหอฮวน และเป็นหนึ่งในหูตาของนิกายเหอฮวนที่แคว้นฉี”

อวี้เซิงเยียนได้ยินก็ตื่นเต้นขึ้นมา “ขอรับ นิกายเหอฮวนกำเริบมานานแล้ว หยวนซิ่วซิ่วฉวยโอกาสขณะท่านเก็บตัว หาเรื่องนิกายฮ่วนเยวี่ยหลายครั้ง หากไม่สั่งสอนให้หลาบจำ ยิ่งมิเห็นว่านิกายฮ่วนเยวี่ยเราไร้ประโยชน์เกินไปหรือ อีกไม่กี่วันศิษย์จะออกเดินทาง”

นิ่งเงียบครู่หนึ่ง เขาระงับรอยยิ้มเล็กน้อย กล่าวด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์จะให้ข้าพาเสิ่นเฉียวไปด้วยหรือ เขาสูญเสียวรยุทธ์ทั้งหมด เกรงว่าจะช่วยไม่ได้สักนิด”

เยี่ยนอู๋ซือคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ในเมื่อเจ้าเรียกเขาว่าศิษย์น้องแล้ว ก็ควรพาเขาไปดูโลกสักหน่อย แม้วรยุทธ์เขายังไม่ฟื้นฟู แต่ยังฆ่าคนได้”

อวี้เซิงเยียนฟังเข้าใจแล้ว อาจารย์เห็นเสิ่นเฉียวเป็นกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง หมายย้อมเขาให้เป็นสีดำทั้งหมด วันใดต่อให้เสิ่นเฉียวได้สติขึ้นมาจริงๆ หรือฟื้นฟูความทรงจำ เรื่องราวที่ทำไปแล้วก็มิอาจกู้คืน ถึงเวลาแม้เขาคิดกลับสู่วิถีเที่ยงธรรมอีกก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

การเป็นเหมือนพวกเขามีอะไรไม่ดี กระทำการไม่เลือกวิธีตามใจปรารถนา ไม่ถูกกฎเกณฑ์ทางโลกผูกมัด อวี้เซิงเยียนยังเชื่อว่าเนื้อแท้แล้วมนุษย์นั้นชั่วร้าย ก้นบึ้งในใจทุกคนล้วนมีด้านมืด เพียงแค่จะมีโอกาสกระตุ้นให้ออกมาหรือไม่เท่านั้น ที่เรียกว่าสำนักเต๋า สำนักพุทธ และสำนักหรูเหล่านั้น พล่ามแต่คุณธรรมจรรยา เมตตากรุณา สุดท้ายแล้วก็เพียงแค่อาศัยคำว่าคุณธรรมปิดบังความเห็นแก่ตัวเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการแย่งชิงอำนาจในใต้หล้า ผู้ชนะเป็นเจ้า สองมือของผู้ปกครองแคว้นมิใช่เต็มไปด้วยคาวเลือดหรอกหรือ ใครจะขาวสะอาดกว่าใครสักเท่าใดกัน

“ขอรับ ศิษย์ต้องสั่งสอนศิษย์น้องให้ดีอย่างแน่นอน”

 

ขณะอวี้เซิงเยียนพาเสิ่นเฉียวออกจากประตู หาได้อธิบายเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้กับเขาไม่

อำเภอฝู่หนิงห่างจากเมืองเย่เฉิงซึ่งเป็นเมืองหลวงแคว้นฉีไม่ไกลนัก เดิมทีการเดินทางด้วยเท้าของอวี้เซิงเยียน สามวันห้าวันก็บรรลุถึงได้ แต่เมื่อคำนึงถึงสภาพร่างกายของเสิ่นเฉียวจึงชะลอความเร็วลง เจ็ดวันให้หลังจึงบรรลุถึงเมืองเย่เฉิง

ถึงแม้การเดินทางจะช้าสักเท่าใด แต่ร่างกายของเสิ่นเฉียวในตอนนี้ ยังคงไม่เหมาะสมกับการเดินทางไกลอันยากลำบาก เพิ่งถึงเมืองเย่เฉิงก็ล้มป่วย เป็นไข้

ศิษย์ในนิกายฮ่วนเยวี่ยนั้นมีไม่มาก แต่กลับไม่ขาดเงิน อยู่ที่เมืองเย่เฉิงก็มีบ้านพัก อวี้เซิงเยียนกับเสิ่นเฉียวพักแรมที่นั่น เจ้าของบ้านคือเยี่ยนอู๋ซือ เหล่าบริวารเห็นอวี้เซิงเยียนกับเสิ่นเฉียวแล้ว ย่อมเรียกขานว่านายน้อย จัดหาที่พักให้อย่างเหมาะสม ดูแลเอาใจใส่อย่างทั่วถึง

ระหว่างทางเสิ่นเฉียวไม่มากความ อวี้เซิงเยียนให้เดินก็เดิน ให้หยุดก็หยุด แม้กระทั่งเรื่องป่วยไข้ก็มิได้บอก ยังคงเป็นอวี้เซิงเยียนที่พบเข้าเอง เมื่อซักถามขึ้นมา เสิ่นเฉียวก็ยิ้มพลางกล่าว “ข้ากับศิษย์พี่เดินทางในครานี้ เพื่อที่จะสำเร็จภารกิจที่อาจารย์มอบหมาย บัดนี้ข้าพิการ ช่วยเหลือไม่ได้ก็รู้สึกละอายใจยิ่ง ยังจะเพิ่มความลำบากให้ศิษย์พี่อีกได้อย่างไร”

ขณะกล่าวคำพูดนี้ เขามีสีหน้าขาวซีด แต่ยังพกพารอยยิ้มอันอบอุ่นมาด้วย ดูแล้วทั้งน่ารักทั้งน่าสงสารหลายส่วน

ถึงอย่างไรอวี้เซิงเยียนก็มิใช่เยี่ยนอู๋ซือ ยากที่จะเกิดความหงุดหงิด

“เจ้าไม่สบายแต่บอกว่าไม่เป็นไร ข้าเองก็มิใช่คนไม่มีเหตุผล เพียงแต่ภารกิจที่อาจารย์มอบหมายยังต้องสะสาง เรื่องที่เขาให้พวกเราไปทำ ข้าได้สอบถามมาแล้ว แม้เหยียนจือเวิ่นเป็นคนในนิกายเหอฮวน แต่ภรรยาในบ้านกลับไม่ชำนาญวรยุทธ์ ในสำนักตัวเขาก็นับเป็นเพียงยอดฝีมือชั้นรอง บ้านสกุลเหยียนไม่มีการป้องกัน ข้าเพียงคนเดียวก็ทำสำเร็จได้โดยง่าย แต่ในเมื่ออาจารย์ต้องการให้ฆ่าเขายกบ้าน ถึงเวลาข้าจะพาเจ้าไปด้วยกัน รอข้าฆ่าเหยียนจือเวิ่นแล้ว ค่อยจับภรรยากับบุตรให้เจ้าลงมือแล้วกัน”

เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเฉียวรู้ภารกิจที่เยี่ยนอู๋ซือมอบหมายเป็นครั้งแรกว่ามีเนื้อหาเช่นนี้ เขาเผยสีหน้าผิดคาด “เรียนถามศิษย์พี่ นิกายเหอฮวนมีที่มาอย่างไร พวกเรากับเหยียนจือเวิ่นมีความอาฆาตแค้นอันใด”

อวี้เซิงเยียนนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่รู้อะไรสักอย่าง จึงอธิบายให้เขาฟัง “พวกเรานิกายฮ่วนเยวี่ย ยังมีนิกายเหอฮวนและนิกายฝ่าจิ้ง ล้วนกำเนิดมาจากนิกายรื่อเยวี่ยแห่งเมืองเฟิ่งหลิน เมื่อนิกายรื่อเยวี่ยแตกเป็นเสี่ยงๆ แบ่งแยกเป็นสามแขนง กล่าวตามหลักการ พวกเราเกิดจากที่เดียวกัน เดิมควรร่วมมือกันจึงจะถูก แต่ใครๆ ต่างก็ต้องการรวบรวมสำนักเป็นหนึ่ง โดยเฉพาะนิกายเหอฮวน ประมุขนิกายของพวกเขามีนามว่าหยวนซิ่วซิ่ว ศิษย์ในสำนักไม่เหมือนกันกับนาง มักใช้โฉมงามมาบรรลุเป้าหมาย แต่คนเหล่านี้วรยุทธ์ไม่อ่อนด้อย ต่อไปหากเจ้าพบเจอเข้า หนีไปให้ไกลสักหน่อยจะดีกว่า

“หยวนซิ่วซิ่วผู้นี้ยังมีสามีนอกสมรสคนหนึ่ง คือซางอิ่งสิง เคยเป็นศิษย์ของชุยโหยววั่ง หญิงโฉดชายชั่วคู่นี้สมคบกันกระทำเรื่องชั่วช้า วางแผนนู่นนี่ทั้งวัน ยังฉวยโอกาสขณะอาจารย์เก็บตัวสิบปี หมายกลืนกินนิกายฮ่วนเยวี่ยของพวกเราหลายครั้ง”

เสิ่นเฉียวพยักหน้า “แต่ในเมื่อเหยียนจือเวิ่นเป็นเพียงยอดฝีมือชั้นรองของนิกายเหอฮวน ซ้ำยังมีสถานะเป็นขุนนางแคว้นฉี เมื่อก่อนคงไม่เคยหาเรื่องนิกายฮ่วนเยวี่ยเป็นแน่ เหตุใดท่านอาจารย์ยังต้องลงมือกับเขา”

อวี้เซิงเยียนเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ศิษย์น้อง เจ้าได้รับบาดเจ็บครั้งนี้ ช่างไร้เดียงสาโดยแท้! เหยียนจือเวิ่นมีสถานะพิเศษ ก่อนหน้าใช้สถานะขุนนางแคว้นฉีปิดบังอำพราง มีน้อยคนที่รู้ว่าเขาคือคนของนิกายเหอฮวน หากฆ่าเขาแล้ว ประการแรกสามารถเชือดไก่ให้ลิงดู ประการที่สองหากนิกายเหอฮวนรู้ว่าพวกเรารู้รายละเอียดของพวกเขา ต้องมิกล้ากระทำการบุ่มบ่ามเป็นแน่ ประการที่สามพวกเขาฉวยโอกาสขณะอาจารย์ไม่อยู่ หาเรื่องพวกเราหลายครั้ง บัดนี้อาจารย์ออกจากเขาแล้ว หากไม่สั่งสอนให้หลาบจำ ผู้อื่นจะไม่คิดว่านิกายฮ่วนเยวี่ยรังแกได้หรอกหรือ ในปีนั้นหลังชุยโหยววั่งตาย เดิมทีนิกายฮ่วนเยวี่ยคือผู้แข็งแกร่งที่สุดในนิกายทั้งสาม และเป็นผู้ที่มีหวังจะรวมสำนักเป็นหนึ่งได้มากที่สุด เพียงแต่ต่อมาอาจารย์ได้รับบาดเจ็บจึงต้องเร้นกายเก็บตัว ให้โอกาสนิกายเหอฮวนได้หยิบฉวย”

เสิ่นเฉียวกล่าว “เช่นนั้นนิกายฝ่าจิ้งเล่า พวกเขาไม่เคยหาเรื่องพวกเราหรือ”

อวี้เซิงเยียนกล่าว “ความจริงในสามนิกายนี้ นอกจากนิกายเหอฮวนที่มีกำลังคนและอำนาจมากแล้ว นิกายฝ่าจิ้งก็เหมือนกับนิกายฮ่วนเยวี่ย ศิษย์สำนักต่างกระจายไปแต่ละพื้นที่ กระทำการของตัวเอง ยามปกติไม่รวมตัวกัน หลังอาจารย์ออกจากการเก็บตัวก็บอกข้าเพียงคนเดียว ข้าจึงรุดมา ส่วนเจ้า” เขากระแอมเบาๆ หนึ่งเสียงเอ่ยต่อว่า “ย่อมเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บ ฉะนั้น สรุปแล้ว แม้ทั้งสามนิกายต่างหาได้กลมเกลียวกันไม่ แต่ก็มีเพียงนิกายเหอฮวนชอบหาเรื่องอยู่บ่อยๆ กระทำเกินไปที่สุด”

เสิ่นเฉียวถอนหายใจกล่าว “จะยุติเรื่องราว ต้องหาผู้เป็นหัวหน้า ในเมื่อนิกายเหอฮวนยึดหยวนซิ่วซิ่วเป็นหัวหน้า เหตุใดอาจารย์ไม่ไปหาหยวนซิ่วซิ่วโดยตรง เพราะแม้จะหาเหยียนจือเวิ่นพบ แต่ในเมื่อภรรยากับบุตรของเขามิใช่คนในยุทธภพ ไฉนดึงพวกเขาเข้ามาพัวพันอีก”

อวี้เซิงเยียนขยับพู่หน้าเตียงเล็กน้อย ไม่นำพามาใส่ใจ “ในเมื่ออาจารย์มีคำสั่ง เราก็ปฏิบัติตาม ไฉนถามมากเพียงนั้น ตัดหญ้าไม่ถอนโคน ลมวสันต์พัดมาก็งอกขึ้นอีก หากไม่ฆ่าภรรยาและบุตรของเหยียนจือเวิ่น จะรอให้พวกเขามาล้างแค้นในภายหน้าหรืออย่างไร”

เขากล่าวจบก็ลุกขึ้น “เอาล่ะ เรื่องนี้ไม่รีบร้อน ยังเหลืออีกหลายวันกว่าจะถึงวันที่เจ็ด สองวันนี้เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ รอเจ้าหายดีแล้ว ข้าจะให้คนพาเจ้าไปเดินเล่นทั่วเมืองเย่เฉิง ตามความเห็นข้า ด้านในเมืองหลวงทั่วหล้าตอนนี้ เมืองเย่เฉิงมั่งคั่งไม่เป็นรองเมืองเจี้ยนคัง ซ้ำยังใหญ่โตโอ่อ่ากว่าหลายส่วน ควรค่าแก่การเดินเล่น โดยเฉพาะสถานเริงรมย์ในเมือง…”

แม้ว่าอวี้เซิงเยียนอายุเพียงยี่สิบต้นๆ แต่กลับเป็นคุณชายเจ้าสำราญผู้หนึ่ง เขาซ่อนเร้นสถานะของตัว พูดคุยถึงกาพย์กลอน คบหาผู้มีชื่อเสียงแห่งหนานเฉินและมีชื่อเสียงไม่น้อย ยามนี้กำลังจะกล่าวต่อไปด้วยอารมณ์คึกคัก พลันนึกถึงสภาพในตอนนี้ของเสิ่นเฉียว แม้มีกะใจแต่คาดว่าก็คงไม่มีแรง จึงหยุดปากทันเวลา แย้มยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ตอนนี้เจ้าความจำเสื่อม ลืมเรื่องราวในอดีตก็ไม่เป็นไร สรุปแล้ว ในนิกายฮ่วนเยวี่ยเราส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำตามใจปรารถนา ปล่อยตัวตามสบาย ต่อไปคงค่อยๆ เข้าใจ”

ยามเคลื่อนไหวอยู่ภายนอก สถานะที่เยี่ยนอู๋ซือใช้คือพ่อค้าแซ่เซี่ย ป้ายที่แขวนในบ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านสกุลเซี่ย

อวี้เซิงเยียนมักไม่ค่อยอยู่ ทิ้งเสิ่นเฉียวไว้เพียงผู้เดียว เสิ่นเฉียวมีไมตรีต่อผู้คน แต่กลับอ่อนแอมากโรค ทำให้ลูกน้องในบ้านเห็นใจหลายส่วนอย่างเลี่ยงมิได้

โดยเฉพาะสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติหลายคนนั้น หลายวันต่อมาก็ใกล้ชิดกับเสิ่นเฉียวมากขึ้นแล้ว จึงเล่าถึงเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้ รวมถึงทิวทัศน์และน้ำใจผู้คนละแวกบ้านสกุลเซี่ยให้เขาคลายความเบื่อหน่ายอย่างละเอียด

เมื่อร่างกายดีขึ้น ยามว่างไม่มีอะไรทำ เสิ่นเฉียวจึงขอให้พวกเขาพาตนออกจากบ้านไปเดินหลายรอบ พบว่าเมืองเย่เฉิงเป็นดังอวี้เซิงเยียนว่าไว้ ถนนขาวราวหยก หลังคามุงกระเบื้องแกะสลัก สกุลเกาแห่งแคว้นฉีคือชาวเซียนเปยที่กลายเป็นชาวฮั่น กำแพงเมืองและสิ่งก่อสร้าง เสื้อผ้าเครื่องประดับและความชมชอบ ย่อมหลงเหลือรูปแบบของเผ่าเซียนเปยอยู่มาก เทียบกับความประณีตงดงามของทางใต้แล้วยังมากกว่าหลายส่วน ว่ากันว่าเรื่องสุราก็เช่นกัน ซื้อในเหลาสุราเมืองเย่เฉิง เข้มข้นกลมกล่อมกว่าในเมืองเจี้ยนคังเสียอีก

ชุดคลุมกว้างแขนเสื้อใหญ่ ชายเสื้อพลิ้วไหว หญิงสาวโฉมสะคราญ พาหนะชั้นเลิศ แม้เสิ่นเฉียวมิอาจมองเห็น แต่ก็รู้สึกได้ถึงความรุ่งเรืองสวยงามของเมืองหลวงแห่งนี้จากกลิ่นอายหอมหวนอบอุ่นในตรอกน้อยถนนใหญ่ของเมืองเย่เฉิง

สาวใช้พยุงเขาเข้าร้านขายยา เมื่อนั่งลงพักผ่อนที่โถงด้านข้างแล้ว สาวใช้ก็ถือใบสั่งยาไปซื้อยา

ยาคือสิ่งที่ซื้อให้เสิ่นเฉียว ตอนนี้เขาแทบกลายเป็นกระปุกยาแล้ว ทุกวันต้องซดน้ำแกงยาอย่างน้อยหนึ่งถ้วยใหญ่ แม้เยี่ยนอู๋ซือไม่มีเจตนาฟื้นฟูวรยุทธ์ให้เขา แต่ก็มิได้ปล่อยให้เสิ่นเฉียวครึ่งเป็นครึ่งตายต่อไป ยาที่เขาดื่มตอนนี้ หลักๆ คือปรับเลือดลมและชีพจร เสริมกระดูกอบอุ่นหยาง

สภาพของเสิ่นเฉียวในตอนนี้ ไม่มีแม้แต่ลมปราณสักครึ่งส่วน กอปรกับสูญเสียความทรงจำทั้งหมด มิอาจคาดหวังถึงวรยุทธ์ในเวลาอันสั้น เพียงแต่ตอนนี้เขาเดินได้ไม่มีปัญหา เคลื่อนไหวอย่างอิสระ ต้องขอบคุณการดูแลในหลายเดือนนี้

วันนี้สาวใช้ออกมาซื้อยา เขาจึงติดตามออกมาสูดอากาศสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าแม้ดวงตามองไม่เห็น ซ้ำยังเจ็บออดๆ แอดๆ แต่แค่นั่งอยู่ในร้านขายยาก็ดึงดูดสายตาได้ไม่น้อย

ใบหน้านี้ของเสิ่นเฉียวเดิมก็น่ามองอยู่แล้ว แม้ตอนนี้จะผอมลงเล็กน้อย แต่ไม่ส่งผลต่อบุคลิกท่วงท่า ชุดคลุมสีเขียวใบไผ่ธรรมดาๆ ศีรษะมิได้สวมหมวก ใช้เพียงปิ่นไม้ยึดผมเผ้าเอาไว้ นั่งเล่นอย่างสงบ นิ่งเงียบไม่กล่าวคำ ฟังสาวใช้พูดคุยกับเถ้าแก่ร้านขายยา มุมปากปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย

เยี่ยนอู๋ซือคล้ายหาได้กังวลว่าเสิ่นเฉียวออกจากสำนักมาจะถูกจำได้ไม่ ให้เขาเผยหน้าอยู่ภายนอกโดยตรง และมิได้กำชับอวี้เซิงเยียนให้อำพรางรูปโฉมของเขา

เนื่องเพราะไม่ว่าจะก่อนหรือหลังรับช่วงดูแลเขาเสวียนตู เสิ่นเฉียวล้วนลงเขาเผยใบหน้าต่อภายนอกน้อยยิ่งนัก ว่ากันว่าแม้กระทั่งศิษย์ในสำนักเขาเสวียนตูก็ไม่จำเป็นต้องจำเจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้ได้ ก่อนหน้านั้นศิษย์ของเขาเสวียนตูทั้งหลายที่คนภายนอกรู้จักอย่างกว้างขวาง สุดท้ายกลับไม่มีผู้ใดรับช่วงตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่กลับให้เสิ่นเฉียวที่ไม่มีชื่อเสียงเป็นเจ้าสำนัก บางทีสาเหตุอาจมีเพียงตัวฉีเฟิ่งเก๋อที่ล่วงลับไปแล้วเท่านั้นที่รู้

ประการที่สอง วันนั้นคุนเสียนัดประลองกับเสิ่นเฉียว บนยอดเขาปั้นปู้พื้นที่ไม่ใหญ่นัก จุได้เพียงสองคนเท่านั้น คนมุงดูการต่อสู้ที่เหลือล้วนอยู่บนยอดเขาอิงหุ่ยฝั่งตรงข้าม ห่างกันช่วงหนึ่ง คนรอบข้างไม่จำเป็นต้องจดจำหน้าตาของเสิ่นเฉียวใส่ใจ อีกทั้งตอนนี้หลังป่วยหนัก สีหน้าท่าทางของเสิ่นเฉียวเองก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนนัก

แต่สาเหตุเหล่านี้ ล้วนเป็นเพียงสิ่งที่อวี้เซิงเยียนคาดเดาเอาเอง

อวี้เซิงเยียนถึงขั้นลอบรู้สึกว่า ด้วยนิสัยของอาจารย์ คาดว่าความสำคัญของเสิ่นเฉียวที่มีต่อเขา เป็นเพียงเป้าหมายที่สามารถถูกฝึกสอนและหยอกเย้าเท่านั้น

“คุณชาย ซื้อยาเสร็จแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”

เสิ่นเฉียวพยักหน้า สาวใช้พยุงเขาเดินไปข้างนอก คนทั้งสองเพิ่งเดินถึงปากประตูร้านขายยา ก็ได้ยินคนกล่าวว่า “คุณชายผู้นี้ท่วงท่าสง่า หน้าตางดงาม ข้ากลับไม่เคยเห็นมาก่อน ขอเรียนถามชื่อแซ่อันสูงส่ง”

สุ้มเสียงชวนฟังอย่างยิ่ง ฝีเท้าของสาวใช้หยุดชะงัก เสิ่นเฉียวจึงรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังพูดกับตน

“ข้าน้อยเสิ่นเฉียว”

“ที่แท้เป็นคุณชายเสิ่น” สุ้มเสียงของสตรีกังวานเสนาะโสต ฉะฉานชัดเจน “คุณชายเสิ่นเป็นคนเมืองหลวง หรือมาจากตระกูลชั้นสูงบ้านใด”

สาวใช้กล่าวเสียงแผ่วเบาข้างหูเสิ่นเฉียว “ท่านนี้คือหานเอ๋ออิง บุตรีของเจ้าบ้านหาน”

เจ้าบ้านหานมิใช่เจ้าบ้านของบ้านใคร แต่เป็นหานเฟิ่งตำแหน่งซื่อจง แห่งแคว้นฉี คนผู้นี้โด่งดังอย่างยิ่ง บุตรของเขาแต่งกับองค์หญิง ซ้ำยังเรียกขานเป็นสามผู้สูงศักดิ์แคว้นฉีร่วมกับมู่ถีผอและเกาอาน่ากง กุมอำนาจราชสำนัก เป็นบุตรีของสกุลหาน หานเอ๋ออิงย่อมอยากได้ลมต้องได้ลม อยากได้ฝนต้องได้ฝน

เสิ่นเฉียวยิ้มพลางกล่าว “เคยได้ยินชื่อของแม่นางหานนานแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ข้าเจ็บป่วยและตาบอด มิอาจเห็นความงดงามของแม่นางหาน หวังอย่างยิ่งว่าจะให้อภัย รอวันหน้าเสิ่นเฉียวหายป่วย ค่อยไปเยี่ยมเยียนถึงบ้าน”

หานเอ๋ออิงเองก็สังเกตเห็นดวงตาที่ไร้แววของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย ในใจก็คิดว่าอยู่ดีๆ คุณชายรูปงามคนหนึ่งกลับเป็นคนตาบอด จึงกล่าวอย่างหมดความสนใจ “ช่างเถอะ เช่นนั้นท่านพักฟื้นให้เต็มที่เถิด เสี่ยวเหลียน เจ้าไปบอกเถ้าแก่สักคำ ให้เขาเอาคนมาจำนวนหนึ่ง พาคุณชายเสิ่นไปส่ง ทั้งหมดคิดบัญชีที่ข้า!”

เสิ่นเฉียวกล่าว “ขอบคุณแม่นางหาน รับมาแต่ไม่ตอบแทนเท่ากับไร้มารยาท ข้าเองก็มีของตอบแทน โปรดจงรับไว้”

หานเอ๋ออิงมีความสนใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว “เป็นสิ่งใด”

เสิ่นเฉียวกล่าว “อาเหมี่ยว เจ้านำกล่องใบนั้นบนรถมา”

สาวใช้รับคำ วิ่งไปหยิบกล่องที่เสิ่นเฉียวบอกมาอย่างเร่งรีบ

แม้เสิ่นเฉียวมิอาจมองเห็น แต่เขาพูดจาสุภาพอ่อนโยน คำพูดแฝงความหมาย ย่อมมีท่าทีที่ชวนให้เกิดความรู้สึกดีออกมา แม้แต่หานเอ๋ออิงที่โอหังเอาแต่ใจ ขวางบุรุษรูปงามบนถนนใหญ่เพื่อเกี้ยวพาราสีเช่นนี้ ก็อดเสียงอ่อนต่อเขามิได้

สาวใช้หยิบกล่องกลับมา เสิ่นเฉียวกับหานเอ๋ออิงจบหัวข้อสนทนาในไม่กี่ประโยค ต่างฝ่ายต่างบอกลา หานเอ๋ออิงถามที่อยู่ของเสิ่นเฉียว ยังบอกว่าวันหน้าจะเยี่ยมเยียนถึงบ้าน จากนั้นจึงรีบบอกลาจากไป

เมื่อกลับถึงบ้านสกุลเซี่ย อวี้เซิงเยียนรู้เรื่องนี้แล้ว ส่งเสียงจุ๊ๆ ชมเชยอย่างเลี่ยงมิได้ “เจ้าช่างมีความสามารถ ออกจากบ้านรอบหนึ่งก็ได้รู้จักหานเอ๋ออิง สตรีนางนี้คือศิษย์หลานของจ้าวฉืออิ๋งของนิกายปี้สยาแห่งเขาไท่ซาน วรยุทธ์ไม่เท่าไหร่ แต่กลับโชคดีมีบิดาที่ดี ทำให้นางเกะกะระรานในเมืองหลวงแห่งนี้ได้”

เสิ่นเฉียวยิ้มพลางกล่าว “ข้าเห็นนางก็ดี ไม่นับว่าระรานแต่อย่างใด”

อวี้เซิงเยียนหัวเราะฮ่าๆ “นางเป็นคนงามคนหนึ่ง น่าเสียดายที่นิสัยทำให้ผู้คนมิอาจรับได้ ในเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้ไม่มีสักคนไม่รู้สึกเช่นนี้ มีเพียงเจ้าที่บอกว่าดี!”

เสิ่นเฉียวแย้มยิ้มไม่กล่าวคำ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

4 of 4หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com