X
    Categories: everYทดลองอ่านพันสารท

ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 1 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 1

ยอดเขาปั้นปู้ (ครึ่งก้าว) ชื่อสื่อความหมาย บนยอดเขามีพื้นที่คับแคบ เดินหน้าไปเพียงครึ่งก้าวก็เป็นหน้าผาสูงหมื่นจั้ง บนนั้นมีหินรูปร่างประหลาดตั้งตระหง่าน พรรณไม้พิลึกแตกกิ่งก้านสาขา ด้านล่างยังปกคลุมด้วยไอทะเลหมอกกว้างสุดสายตา ฟ้าดินราวกับแยกขาดจากกัน สภาพแวดล้อมแปลกประหลาดดูน่าพรั่นพรึง

อีกฟากของผาสูง ยังมียอดเขาอีกลูกหนึ่งนามว่ายอดเขาอิงหุ่ย (จักต้องเสียใจ) ความสูงชันทัดเทียมกับยอดเขาปั้นปู้ สันผาตั้งตรงเรียบดิ่งดั่งมีดเหลา บนยอดเขาราวกับไม่มีที่ให้เหยียบยืน แม้มีพืชเขียวขจีอยู่บ้างแต่ล้วนหยั่งรากตามศิลาไม่พึ่งพาดิน ทำให้ผู้ที่พบเห็นหวาดกลัวตัวสั่น คิดขึ้นโดยพลันว่าไม่ควรขึ้นมาบนยอดเขานี้ นามอิงหุ่ยจึงถือกำเนิดมาด้วยเหตุนี้

ระหว่างยอดเขาทั้งสองมีคูน้ำตามธรรมชาติสายหนึ่ง มองลงไปจะเห็นทะเลเมฆลอยเอื่อย ไม่รู้ว่าตื้นลึกเท่าใด ยังแว่วเสียงสิงสาราสัตว์ได้รางๆ กับเสียงน้ำที่หลั่งไหลไม่ขาดสาย คนตัดไม้และนายพรานทั่วไปมิกล้าปีนขึ้น กระทั่งยอดฝีมือก่อนกำเนิด หากได้มาเยือนที่นี่ เกรงว่าจะบังเกิดความรู้สึกสะทกสะท้อนใจอยู่หลายส่วนที่มนุษย์ไม่อาจเอาชนะธรรมชาติได้

ทว่าภายใต้เมฆหมอกนั้นเอง ระหว่างสายน้ำกับหน้าผามีทางหินขรุขระแคบยาวสายหนึ่งที่ก่อขึ้นด้วยหินประหลาด ยามนี้กลับมีสองคนเดินอยู่ด้านบนหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง

สายน้ำเชี่ยวกราก มีฟองคลื่นม้วนขึ้นมาตลอดเวลา กระทบบนก้อนหินที่ทั้งเปียกและลื่น ขณะก้าวเดินอยู่ด้านบน หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อย ไม่ตกลงในแม่น้ำก็จะถูกสายน้ำกระเด็นใส่เสื้อผ้า หรือหากพยายามเอนร่างกายไปด้านใน ก็จะติดกับผาหินลาดชันที่มีหินแหลมคมยื่นออกมา สรุปแล้วต้องรักษาสมดุลไม่ได้เป็นแน่ เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินผ่าเผยล่องลอยอย่างสบายใจเหมือนสองคนตรงหน้า

“ได้ยินว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน ผู้บรรลุฉีแห่งเขาเสวียนตูขับไล่หูลู่กู ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งทูเจวี๋ย ที่ยอดเขาปั้นปู้แห่งนี้ บีบให้เขาสาบานว่าจะไม่เข้าสู่จงหยวน ในยี่สิบปี น่าเสียดายเพียงในปีนั้นศิษย์ยังเยาว์วัย ไร้วาสนาได้เห็น ศึกนั้นต้องยอดเยี่ยมอย่างยิ่งเป็นแน่”

คนหนุ่มที่กล่าวคำตามอยู่ด้านหลัง คนทั้งสองฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็ว แต่กลับรักษาระยะห่างสามก้าวอยู่ตลอด

ฝีเท้าของคนด้านหน้าเบาหวิว ท่วงท่าผ่อนคลาย เหมือนเดินบนพื้นราบโดยแท้จริง คนหนุ่มด้านหลังฝีเท้าหนักกว่าอยู่บ้าง มองด้วยตาเปล่าแม้ล่องลอยเหมือนเซียน แต่หากเทียบกันแล้วจะพบรายละเอียดและความแตกต่างได้ไม่ยาก

เยี่ยนอู๋ซือเยาะเย้ยหนึ่งเสียง “ทอดมองใต้หล้า ในปีนั้นฉีเฟิ่งเก๋อคืออันดับหนึ่งจริง หูลู่กูไม่รู้จักประมาณตน รนหาความอัปยศ มิอาจโทษคนรอบข้าง เพียงแต่ฉีเฟิ่งเก๋อต้องวางท่าสูงส่งบริสุทธิ์ของสำนักพรต ไม่ยอมลงมืออย่างโหดเหี้ยม แต่กลับตั้งสัญญายี่สิบปีอะไรนั่น นอกจากเพื่อกลบปัญหาที่จะตามมาของเขาเสวียนตูแล้วจะมีประโยชน์อันใดอีก”

อวี้เซิงเยียนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ท่านอาจารย์ หรือวรยุทธ์ของหูลู่กูจะสูงยิ่งดังว่า”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “ข้าสู้กับเขาตอนนี้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสชนะ”

“ร้ายกาจเช่นนี้เชียว?!” สีหน้าอวี้เซิงเยียนแปรเปลี่ยนอย่างหวาดหวั่น เขาย่อมเข้าใจว่าทักษะของอาจารย์สูงล้ำเพียงใด แต่หูลู่กูผู้นั้นได้รับคำวิจารณ์ประโยคนี้ของเยี่ยนอู๋ซือ ต้องเป็นระดับที่ใกล้เคียงกันอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจได้จัดอยู่ในสามอันดับแรกในใต้หล้า

เยี่ยนอู๋ซือกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ไม่เช่นนั้นไยข้าจึงกล่าวว่าฉีเฟิ่งเก๋อทิ้งผลพวงไม่จบสิ้นไว้ให้ศิษย์ลูกศิษย์หลานของตนเอง แม้ยี่สิบปีก่อนหูลู่กูจะเป็นรองฉีเฟิ่งเก๋อหนึ่งขุม แต่ระยะห่างเช่นนี้ ในระยะเวลายี่สิบปี ใช่ว่ามิอาจทำลาย บัดนี้ฉีเฟิ่งเก๋อตายแล้ว เขาเสวียนตูก็ไม่มีฉีเฟิ่งเก๋อคนที่สองอีกต่อไป”

อวี้เซิงเยียนระบายลมหายใจเบาๆ “ใช่แล้ว ผู้บรรลุฉีล่วงลับเมื่อห้าปีก่อน!”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “เจ้าสำนักคนปัจจุบันของเขาเสวียนตูคือใคร”

“เป็นศิษย์ของฉีเฟิ่งเก๋อ นามว่าเสิ่นเฉียว” อวี้เซิงเยียนตอบ

เยี่ยนอู๋ซือหาได้มีท่าทีต่อนามนี้ไม่ เขากับฉีเฟิ่งเก๋อเคยไปมาหาสู่กันเพียงครั้งเดียว นั่นคือเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน และในตอนนั้นฉีเฟิ่งเก๋อเพิ่งรับเสิ่นเฉียวมาเป็นศิษย์สำนัก

แม้เขาเสวียนตูจะมีฉายาว่า ‘สำนักพรตอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ แต่ดูจากเยี่ยนอู๋ซือที่เพิ่งจะออกจากการเก็บตัวสิบปี นอกจากฉีเฟิ่งเก๋อแล้วบนเขาเสวียนตูก็ไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีกแล้ว

น่าเสียดายที่ฉีเฟิ่งเก๋อตายแล้ว

เมื่อเห็นอาจารย์ไม่ค่อยสนใจ อวี้เซิงเยียนจึงกล่าวอีกว่า “ได้ยินว่าจั่วเสียนอ๋องคุนเสีย ศิษย์ของหูลู่กู ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งทูเจวี๋ยในตอนนี้ นัดประลองกับเสิ่นเฉียวที่ยอดเขาปั้นปู้วันนี้ บอกว่าจะลบล้างความอัปยศในปีนั้น ท่านอาจารย์จะรุดหน้าไปมองดูสักหน่อยหรือไม่”

เยี่ยนอู๋ซือไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ “ตลอดเวลาสิบปีที่ข้าเก็บตัว นอกจากการตายของฉีเฟิ่งเก๋อแล้ว ยังเกิดเรื่องใหญ่อันใดอีก”

อวี้เซิงเยียนครุ่นคิดก่อนเอ่ย “หลังท่านเก็บตัวไม่นาน เกาเหว่ยก็ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่แห่งแคว้นฉี คนผู้นี้ลุ่มหลงในราคะ ฟุ่มเฟือยเกินเหตุ เพียงสิบปีอำนาจแคว้นฉีก็ลดลงอย่างฉับพลัน ได้ยินว่าอวี่เหวินยง ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวกำลังวางแผนปราบฉี เกรงว่าอีกไม่นาน ทางเหนือก็จะควบรวมกับแคว้นโจวแล้ว

หลังฉีเฟิ่งเก๋อตาย อันดับของสิบยอดฝีมือในใต้หล้าก็เปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง อี้ปี้เฉินจากอารามฉุนหยางแห่งเขาชิงเฉิง หลวงจีนเสวี่ยถิงแห่งแคว้นโจว และเจ้าอารามหรู่เยียนเค่อฮุ่ยแห่งอารามศึกษาหลินชวน คือสามอันดับแรกในใต้หล้าที่ได้รับการยอมรับ สามคนนี้ยังเป็นตัวแทนของเต๋า พุทธ และหรู พอดี”

“…”

“เพียงแต่ก็มีคนกล่าวว่า ผู้ทรงภูมิจวี้เส่อแห่งถู่อวี้หุน สมควรจัดอยู่ในสามอันดับแรก แต่หากในยี่สิบปีนี้หูลู่กูมีความก้าวหน้าอยู่บ้าง เข้าสู่ยุทธภพจงหยวนอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจได้อันดับหนึ่งในใต้หล้าเช่นกัน…น่าเสียดาย เขาเป็นชาวทูเจวี๋ย ยุทธภพจงหยวนเองยังเกรงกลัวอยู่บ้าง”

เมื่อกล่าวสิ่งเหล่านี้จบ อวี้เซิงเยียนเห็นอาจารย์ยังเดินไปข้างหน้าต่อก็อดเตือนอีกมิได้ “ท่านอาจารย์ วันนี้คุนเสียนัดประลองกับเสิ่นเฉียว คงเป็นการต่อสู้อันยอดเยี่ยมที่หาชมได้ยากอย่างแน่นอน เสิ่นเฉียวผู้นี้ไม่ค่อยปรากฏตัวสู่ภายนอก ตั้งแต่รับช่วงดูแลตำหนักเสวียนตูก็ประมือกับผู้คนน้อยยิ่งนัก เพียงเพราะฉีเฟิ่งเก๋ออาจารย์ของเขาชื่อเสียงเลื่องลือ เขาเองก็ถูกจัดอยู่ในสิบอันดับแห่งใต้หล้า หากท่านอาจารย์อยากเห็นเบื้องลึกของเขาเสวียนตู ก็มิอาจพลาดการต่อสู้ในวันนี้ ตอนนี้ที่นั่นคงมียอดฝีมือที่รุดหน้ามาชมการต่อสู้เบียดกันเต็มไปหมดแล้ว”

“เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่วันนี้ เพียงเพื่อชมการต่อสู้หรือ” เยี่ยนอู๋ซือหยุดฝีเท้าลง

อวี้เซิงเยียนกระวนกระวายอยู่บ้าง “เช่นนั้นเจตนาของท่านอาจารย์คือ…?”

ตอนที่กราบเข้าสำนักของเยี่ยนอู๋ซือนั้น อวี้เซิงเยียนมีอายุเพียงเจ็ดขวบ สามปีให้หลัง เยี่ยนอู๋ซือพ่ายแพ้ชุยโหยววั่ง ปรมาจารย์แห่งนิกายมาร จึงเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บ การเก็บตัวครั้งนั้นกินเวลาสิบปี

สิบปีที่ผ่านมาแม้อวี้เซิงเยียนจะฝึกปรือสืบต่อตามคำสั่งของเยี่ยนอู๋ซือ ไปที่ต่างๆ มาไม่น้อย แต่ความก้าวหน้ามิอาจนำอดีตมาเปรียบเทียบ เขาไต่เต้าสู่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุทธภพนานแล้ว ทว่าศิษย์อาจารย์ไม่ได้พบกันสิบปี ย่อมมีความแปลกหน้าห่างเหินกันอยู่บ้าง กอปรกับบัดนี้ระดับของเยี่ยนอู๋ซือยิ่งสูงล้ำยากหยั่งคาด ความเกรงกลัวในใจของอวี้เซิงเยียนก็ยิ่งลึกล้ำ พฤติการณ์อันผ่าเผยองอาจต่อหน้าคนรอบข้างในยามปกติ เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์กลับเปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยมเจียมตัว

เยี่ยนอู๋ซือเอามือไพล่หลัง กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “การต่อสู้ของฉีเฟิ่งเก๋อกับหูลู่กูข้าเคยเห็นมาก่อนแล้ว เสิ่นเฉียวกับคุนเสียล้วนเป็นลูกศิษย์ของพวกเขา ซ้ำยังเยาว์วัย แม้จะร้ายกาจก็ไม่สามารถเหนือกว่าสภาวะสมบูรณ์ของฉีเฟิ่งเก๋อกับหูลู่กูในปีนั้นได้ ข้าพาเจ้ามาที่นี่ เป็นเพราะที่นี่น้ำไหลเชี่ยว ลักษณะพื้นที่สูงชัน บนเชื่อมท้องฟ้า ล่างทะลุพื้นดิน ง่ายต่อการฝึกวรยุทธ์ที่สุด ขณะข้าเก็บตัว ไม่มีเวลาว่างดูแลเจ้า บัดนี้ในเมื่อออกจากการเก็บตัวแล้ว ก็ไม่สามารถปล่อยปละละเลยให้เจ้าวนเวียนอยู่ในระดับปัจจุบันได้ ระหว่างที่ยังไม่สำเร็จขั้นห้าของคัมภีร์หงส์กิเลน เจ้าอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”

อวี้เซิงเยียนพลันรู้สึกไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง สิบปีมานี้แม้เขาจะเอาแต่ท่องไปในที่ต่างๆ  แต่ในการฝึกวรยุทธ์นั้นก็มิกล้าหย่อนยานแม้แต่วันเดียว ตอนนี้อายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ ก็ฝึกคัมภีร์หงส์กิเลนถึงขั้นสี่แล้ว นับว่าเป็นยอดฝีมือเยาว์วัยที่หาได้ยากในยุทธภพ ใครจะไปรู้ว่าเมื่อฟังจากปากอาจารย์กลับคล้ายไม่มีค่าแม้แต่น้อย

เยี่ยนอู๋ซือคล้ายสังเกตเห็นอารมณ์ของอีกฝ่าย มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้าก็ทะลวงขั้นหกแล้ว เจ้ามีอะไรให้น่าภูมิใจ เทียบกับปลาเล็กปลาน้อยเหล่านั้น มิสู้เทียบกับข้า?”

แม้จอนผมทั้งสองจะขาวประปราย แต่หาได้บดบังเสน่ห์ของเขาไม่ รูปโฉมงามสง่ากลับยิ่งชวนให้มองดูตาไม่กะพริบ

ชุดคลุมยาวสีขาวถูกลมพัดจนสะบัดพึ่บพั่บ คนกลับยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง เพียงแค่เอามือไพล่หลังยืนอยู่ตรงนั้น มีบุคลิกที่หมางเมินใต้หล้ากับความน่าเกรงขามไร้รูปลักษณ์ ก็ชวนให้รู้สึกกดดันมากกว่าเดิม

อวี้เซิงเยียนยืนอยู่ตรงข้ามเขา ยามนี้จึงรู้สึกว่ามีความรู้สึกอึดอัดปะทะใบหน้า บีบจนเขามิอาจไม่ถอยหลังสองก้าว กล่าวอย่างตกประหม่า “ท่านอาจารย์เป็นยอดคนโดยกำเนิด ศิษย์จะกล้าเทียบได้อย่างไร”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “แสดงอุบายร้ายกาจที่สุดที่เจ้าคิดได้ออกมา ข้าอยากเห็นความก้าวหน้าในหลายปีนี้ของเจ้า”

หลังอีกฝ่ายออกจากการเก็บตัว อวี้เซิงเยียนยังไม่เคยถูกทดสอบวรยุทธ์มาก่อน เมื่อได้ยินจึงมีความกระหายใคร่อยากไม่น้อยแต่ก็ยังคงลังเลอยู่บ้าง ทว่าทันทีที่มองเห็นความหงุดหงิดแวบผ่านบนหน้าเยี่ยนอู๋ซือ ความลังเลเล็กน้อยที่เหลือนั้นก็สลายหายไปจนสิ้น

“เช่นนั้นขออภัยที่ศิษย์ไร้มารยาท!” เพิ่งขาดคำ ร่างกายของเขาก็ขยับตามความคิด แขนเสื้อชูขึ้น ไม่ทันเห็นท่าทาง เรือนร่างก็มาถึงเบื้องหน้าเยี่ยนอู๋ซือแล้ว

อวี้เซิงเยียนยกแขนออกฝ่ามือ ในสายตาคนรอบข้าง ท่าทางของเขาไม่มีพลังแม้แต่น้อย เฉกเช่นเด็ดบุปผายามวสันต์ ปัดฝุ่นคืนคิมหันต์ เบาหวิวเหนือสามัญ

ทว่ายืนอยู่ตรงนั้นกลับรู้สึกได้ถึงกระแสฝ่ามืออวี้เซิงเยียนอย่างชัดเจน ในระยะสามเชียะ โดยยึดเขาเป็นศูนย์กลาง ต้นไม้ใบหญ้าล้วนขยับเขยื้อน สายน้ำไหลกลับ คลื่นยักษ์ถั่งโถม ฟองอากาศพุ่งทะยาน กระแสอากาศซัดโหมขึ้นมา ทั้งหมดโถมไปยังเยี่ยนอู๋ซือ!

แต่เมื่อกระแสอากาศอันทรงพลังนี้บรรลุถึงเบื้องหน้าเยี่ยนอู๋ซือ กลับแยกเป็นสองฝั่งข้างราวกับถูกฉากกำบังล่องหนสกัดเอาไว้

เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น ร่างไม่ไหวเอนแม้แต่น้อย รอเพียงฝ่ามือของอวี้เซิงเยียนบรรลุถึงเบื้องหน้า จึงยื่นนิ้วหนึ่งออกอย่างเรียบเฉย

เพียงนิ้วเดียว มิอาจเพิ่มอีก

นิ้วเดียวนี้เอง ก็หยุดยั้งการโจมตีของอวี้เซิงเยียนไว้กลางอากาศ

อวี้เซิงเยียนรู้สึกเพียงกระแสฝ่ามือที่ตนฟาดออกไปนั้นพลันไหลกลับทั้งหมด สิ่งที่ปะทะกลับมาหาใบหน้าคือการสวนกลับที่ร้ายแรงกว่าที่ตนปล่อยออกเมื่อครู่หลายเท่า เขาอดรู้สึกตกใจไม่ได้ ถอนกายถอยหลังอย่างเร่งร้อน

การถอยนี้ ถอยติดต่อกันสิบกว่าก้าว!

กระทั่งยืนนิ่งบนก้อนหิน เขายังคงหวาดหวั่นไม่คลาย “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ลงมือไว้ไมตรี!”

เมื่อมองไปในยุทธภพ น้อยคนนักที่จะสามารถรับฝ่ามือนี้ของเขาไว้ได้ ฉะนั้นก่อนหน้านี้อวี้เซิงเยียนจึงรู้สึกพอใจในตนเองไม่น้อย

ทว่าเยี่ยนอู๋ซืออาศัยเพียงนิ้วเดียว ก็บีบจนเขามิอาจไม่รั้งฝ่ามือป้องกันตัว

เคราะห์ดีที่อาจารย์เพียงทดสอบความก้าวหน้าของเขา มิได้ฉวยโอกาสติดตามซ้ำเติม หากเปลี่ยนเป็นศัตรู…

คิดถึงตรงนี้ อวี้เซิงเยียนตกใจจนผุดเหงื่อกาฬออกมาทั่วร่างอย่างเลี่ยงมิได้ มิกล้าภาคภูมิใจอีกแล้ว

เมื่อบรรลุเป้าหมาย เยี่ยนอู๋ซือรู้ว่าเขาตื่นตัวแล้ว จึงไม่อยากมากความอีก “อย่าให้สิ้นเปลืองปัญญาอันเลิศล้ำของเจ้า อีกไม่กี่วันข้าจะมุ่งหน้าไปทูเจวี๋ยสักรอบ หลังเจ้าสำเร็จขั้นห้า หากอยู่ที่นี่แล้วไม่มีอะไร ก็ไปหาศิษย์พี่เจ้า ห้ามเอ้อระเหยอยู่ภายนอก”

อวี้เซิงเยียนรับคำอย่างเคารพนอบน้อม “ขอรับ”

เยี่ยนอู๋ซือจึงกล่าวต่อ “ทิวทัศน์ที่นี่สร้างโดยธรรมชาติ ไม่ค่อยมีผู้ใดมาถึง ข้าหมายท่องเที่ยวสักรอบ เจ้าก็อย่าได้…”

มิทันขาดคำ เหนือศีรษะขึ้นไปไม่ไกลนักก็มีเสียงความเคลื่อนไหววูบหนึ่งดังมา คนทั้งสองมองไปตามเสียง จึงเห็นคนผู้หนึ่งราวกับตกลงมาจากเบื้องบน ชนกิ่งไม้หักหลายชั้น สุดท้ายร่วงดิ่งลงสู่ก้นผา เสียงทุ้มขณะตกสู่พื้น แม้กระทั่งอวี้เซิงเยียนเองก็อดอุทานมิได้

ตกลงมาจากบนยอดเขาสูงเช่นนั้น แม้เป็นยอดฝีมือก่อนกำเนิด ก็เกรงว่าจะยากรักษาชีวิตไว้ได้กระมัง

อนึ่ง คนผู้นี้คงไม่มีทางตกหน้าผาอย่างไร้สาเหตุ ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่

“ท่านอาจารย์?” เขามองไปยังเยี่ยนอู๋ซือ พลางกล่าวขอคำชี้แนะ

“เจ้าลองไปดูสักหน่อย” เยี่ยนอู๋ซือกล่าว

ชุดถือพรตที่คนผู้นั้นสวมขาดวิ่นหลายจุด คงถูกกิ่งไม้และหินผาบาดขณะตกลงมา รอยขาดและหยดเลือดตัดสลับซับซ้อน มีชีวิตอยู่เลือนราง แม้กระทั่งโฉมหน้าแต่เดิมก็มองไม่ออกนัก

 

คงสลบไสลไม่ได้สตินานแล้ว แม้กระทั่งกระบี่ในมือก็ยึดกุมไว้ไม่อยู่ ในขณะเดียวกับที่ตกพื้น กระบี่ก็ตกลงตามมาบริเวณไม่ไกลนัก

“กระดูกทั่วร่างคงแหลกหมดแล้ว!” อวี้เซิงเยียนขมวดคิ้วสำรวจดูครู่หนึ่ง ส่งเสียงจุ๊ๆ แสดงความเสียดาย ซ้ำยังไปจับชีพจรของเขา รู้สึกเหมือนยังมีโอกาสรอดชีวิต

แต่คนผู้หนึ่งเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ช่วยชีวิตกลับมา เกรงว่าจะอยู่ไม่สู้ตาย

ถึงอย่างไรอวี้เซิงเยียนก็มีภูมิหลังจากนิกายมาร ต่อให้เยาว์วัยเพียงไร ความเมตตาก็มีจำกัด ฉะนั้นถึงแม้จะมียาลูกกลอนหวนคืน เขาก็ไม่มีความคิดที่จะล้วงออกมาให้อีกฝ่ายกิน

เพียงแต่…

“อาจารย์ วันนี้เป็นวันที่เสิ่นเฉียวกับคุนเสียนัดประลอง คนผู้นี้ตกลงมาจากด้านบน หรือว่า…”

เยี่ยนอู๋ซือเดินเข้ามา มิได้ไปมองดูคน แต่เก็บกระบี่ของเขาขึ้นมาก่อน

คมกระบี่เย็นเยียบราวสายน้ำฤดูสารท ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย สะท้อนไอหมอกในแม่น้ำคล้ายแผ่ระลอกคลื่นเป็นเส้นๆ ขึ้นมา บริเวณใกล้ด้ามกระบี่มีอักษรจ้วน เล็กๆ เขียนไว้

อวี้เซิงเยียนเขยิบเข้ามามองดู ร้องเอ๊ะหนึ่งคำ “กระบี่ปฐพีร่วมโศก! นี่เป็นกระบี่ประจำตัวของเจ้าสำนักตำหนักเสวียนตู คนผู้นี้คือเสิ่นเฉียว!”

มองดูเสิ่นเฉียวที่เจ็บหนักเจียนตายอีกครั้งก็รู้สึกเหลือเชื่อ “วรยุทธ์ฉีเฟิ่งเก๋อเป็นหนึ่งในใต้หล้า เสิ่นเฉียวคือศิษย์ของเขา ซ้ำยังรับช่วงดูแลเขาเสวียนตู เหตุใดจึงย่ำแย่ถึงขั้นนี้!”

อวี้เซิงเยียนนั่งยองๆ ลงเบื้องหน้าเสิ่นเฉียว ขมวดคิ้วพลางกล่าว “หรือว่าวรยุทธ์ของคุนเสียเหนือกว่าหูลู่กูอาจารย์ของเขาแล้ว?”

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคนใดในเขาเสวียนตูตกลงมา เยี่ยนอู๋ซือล้วนไม่มีความสนใจมองดูอีกแม้เพียงครู่ แต่เมื่อมีสถานะเจ้าสำนักเพิ่มขึ้นมา ถึงอย่างไรเสิ่นเฉียวก็แตกต่างกัน

เขาทิ้งกระบี่ปฐพีร่วมโศกเล่มนั้นให้อวี้เซิงเยียน ซ้ำยังมองดูใบหน้าที่หน้าตาต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงของเสิ่นเฉียวครู่หนึ่ง พลันเผยรอยยิ้มที่สื่อความหมายไม่ชัดเจนออกมา

“เอายาลูกกลอนหวนคืนออกมาให้เขากินก่อน”

เป็นไปไม่ได้เลยที่เยี่ยนอู๋ซือจะแบกคนที่เจ็บหนักเจียนตายผู้หนึ่งกลับไป ถึงแม้คนผู้นี้คือเจ้าสำนักของเขาเสวียนตูก็ตาม

เป็นเหตุที่อนุชนต้องแบกรับแทน ดังนั้นหน้าที่นี้จึงตกอยู่กับอวี้เซิงเยียน

หมู่บ้านของนิกายฮ่วนเยวี่ยตั้งอยู่ในอำเภอฝู่หนิงละแวกยอดเขาปั้นปู้ แม้เป็นระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก แต่กระดูกทั่วร่างเสิ่นเฉียวแทบแหลกละเอียด ลำพังแค่แบกคนเดินก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังต้องระวังแรงอย่าทำให้อาการบาดเจ็บของเขาหนักกว่าเดิมอีก แม้ว่าวิชาตัวเบาของอวี้เซิงเยียนจะยอดเยี่ยม ก็ยังต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม จึงบรรลุถึงหมู่บ้าน

เยี่ยนอู๋ซือไปก่อนหนึ่งก้าว ขณะนี้ดื่มชาอย่างสบายใจแล้ว

“อาจารย์ ท่านจะช่วยเสิ่นเฉียวจริงๆ หรือ” หลังอวี้เซิงเยียนจัดหาที่พักให้คนเสร็จ ก็เข้ามารายงานหน้าที่ “ชีพจรของเขาขาดเกือบแปดหรือเก้าส่วน กระดูกแหลกละเอียดหลายจุด ลมปราณยังคงอยู่หนึ่งถึงสองส่วน แต่ต่อให้ช่วยจนรอดชีวิต เกรงว่าวรยุทธ์ก็ยากที่จะฟื้นฟูแล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงขณะตกลงมาท้ายทอยเองก็กระแทกจนแตก ไม่แน่ว่าหลังฟื้นขึ้นมาก็จะกลายเป็นคนโง่แล้ว!”

เยี่ยนอู๋ซือแย้มยิ้มเล็กน้อย ทว่ารอยยิ้มกลับไม่มีความอบอุ่นแม้แต่นิด “ศิษย์ของฉีเฟิ่งเก๋อ เจ้าสำนักแห่งเขาเสวียนตู กุมอำนาจเที่ยงธรรม เป็นใหญ่ในใต้หล้า เกียรติยศสูงส่ง วันใดตกอับ แม้แต่คนพิการก็เทียบมิได้ แม้กลับสู่เขาเสวียนตูอีกครั้งก็ไม่สามารถเป็นเจ้าสำนักได้แล้ว หลังฟื้นขึ้นมารู้สภาพของตน ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร”

อวี้เซิงเยียนถอนหายใจ “ที่กล่าวก็ถูกต้อง คนทั่วไปยังรับความแตกต่างเช่นนี้มิได้ ยิ่งเสิ่นเฉียวบุตรรักแห่งสวรรค์ผู้นี้ด้วยแล้ว ยิ่งสูงตกลงมาก็ยิ่งรุนแรง!”

เขาสงสัยในทันใด “แต่จะว่าไปแล้ว ในเมื่อเสิ่นเฉียวคือศิษย์ของฉีเฟิ่งเก๋อ ซ้ำยังรับช่วงดูแลเขาเสวียนตูได้ ชื่อเสียงก็อยู่ในสิบอันดับของใต้หล้า วรยุทธ์ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ ต่อให้คุนเสียเอาชนะเขาได้ แต่สามารถทำให้เขาแพ้ย่อยยับเช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่าวรยุทธ์ของคุนเสียสูงกว่าหูลู่กูในปีนั้นแล้ว”

เยี่ยนอู๋ซือยิ้มพลางกล่าวอีก “คำถามข้อนี้ รอเสิ่นเฉียวฟื้นขึ้นมา หากเขามิกลายเป็นคนโง่ไปเสียก่อน เจ้าก็ลองถามเขาดูได้”

อวี้เซิงเยียนพบว่าหลังจากเก็บเสิ่นเฉียวได้ อารมณ์ของอาจารย์คล้ายดีขึ้นไม่น้อย จำนวนครั้งในการยิ้มก็มากกว่าแต่ก่อน แต่นี่ก็ยังไม่ถึงขั้นทำให้เขาเกิดความเข้าใจผิดว่าอาจารย์มีความรู้สึกดีต่อเสิ่นเฉียว ซึ่งมองเห็นไม่ชัดแม้กระทั่งรูปร่างลักษณะจากการพบหน้าครั้งแรกก็ตาม

เขาถามหยั่งเชิง “ท่านอาจารย์ช่วยเสิ่นเฉียว คิดให้เขาเสวียนตูติดค้างน้ำใจพวกเราใช่หรือไม่”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าวด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม “หากเขาสู้แพ้จนตัวตาย ก็นับว่าจบสิ้น แต่ในขณะที่เขาฟื้นขึ้นมา พบว่าตนมิเพียงไม่ตาย ทั้งยังสูญเสียทุกสิ่งที่เคยครอบครองในอดีตไป ได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีพจรขาดสะบั้น สูญเสียวรยุทธ์ ในใจจะรู้สึกอย่างไร ยิ่งตำแหน่งสูงอำนาจมากก็ยิ่งรับการโจมตีเช่นนี้ไม่ได้ ปณิธานของเขาต้องพังทลายด้วยเหตุนี้เป็นแน่ ถึงเวลาข้าค่อยรับเขาเข้าสำนัก ค่อยๆ ฝึกฝนเจ้าสำนักเขาเสวียนตูที่ใจดีมีเมตตาและสูงสง่าน่าเกรงขามในวันวาน ให้เป็นศิษย์พรรคมารที่ใช้อุบายไม่เลือกในสายตาชาวโลก หรือเจ้าว่านี่มิใช่เรื่องที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง”

อวี้เซิงเยียนฟังจนปากอ้าตาค้าง “…หากเขากลายเป็นคนโง่เล่า”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าวอย่างผ่อนคลาย “เช่นนั้นก็หาที่สักแห่งฝังเป็นตามใจชอบแล้วกัน”

อวี้เซิงเยียนรู้มาโดยตลอดว่าอาจารย์อารมณ์แปรปรวนและเชื่อมั่นในการกระทำของตัวเอง แต่หลายปีนี้ไม่เคยได้สัมผัสด้วยตัวเอง อย่างมากก็เพียงแค่ฟังจากปากคนรอบข้าง บัดนี้พอได้เห็นจึงรู้ว่าเป็นดังที่เขาว่า

เพียงแต่ลองคิดดูอย่างละเอียด นิกายฮ่วนเยวี่ยถูกเรียกขานเป็นหนึ่งในสามนิกายพรรคมาร เนื่องจากคนในพรรคมารกระทำการผิดธรรมดา ยึดเพียงผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก ตัวอวี้เซิงเยียนเอง หากไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเสิ่นเฉียว เขาก็ไม่มีทางไปช่วยคนด้วยความเมตตากรุณาอย่างเด็ดขาด

“ท่านอาจารย์ เสิ่นเฉียวผู้นี้มีสถานะพิเศษ เหตุใดพวกเราไม่ใช้เขามาแลกเปลี่ยนน้ำใจสักอย่างกับทางเขาเสวียนตูเล่า หากคำนึงถึงชื่อเสียงของเขาเสวียนตู พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เจ้าสำนักตัวเองเร่รอนอยู่ข้างนอกกระมัง”

เยี่ยนอู๋ซือยิ้มน้อยๆ หากเปลี่ยนเป็นศิษย์เอกอย่างเปียนเหยียนเหมยอยู่ที่นี่ คงไม่มีทางถามคำถามไร้เดียงสาน่าขันเช่นนี้อย่างแน่นอน อวี้เซิงเยียนยังเยาว์เหลือเกิน

แต่วันนี้ยังนับว่าเขาอารมณ์ดีและไม่คร้านที่จะอธิบาย “เจ้าเองก็รู้ว่าเสิ่นเฉียวชื่อเสียงอยู่ในสิบอันดับแห่งใต้หล้า แม้จะเร้นกายในป่า มีเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นเขาลงมือ แต่คุนเสียก็ไม่ใช่หูลู่กู เสิ่นเฉียวบรรลุถึงสภาวะของยอดฝีมือก่อนกำเนิดเช่นนี้ ต่อให้พ่ายแพ้คุนเสียจนต้องหนีเอาตัวรอด ก็คงไม่ยากเกินกำลังเจ้าสำนักเขาเสวียนตู แต่ไฉนเขาจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้”

อวี้เซิงเยียนก็ยังไม่นับว่าโง่ถึงที่สุด เมื่อได้ฟังจึงกล่าวต่อว่า “ระหว่างนั้นต้องเกิดเหตุอะไรแน่ หากเหตุสุดวิสัยนี้เกิดขึ้นภายในเขาเสวียนตู ต่อให้พวกเรามอบเสิ่นเฉียวกลับไป ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่จำเป็นต้องยอมรับ ถึงเวลาอาจมิได้รับน้ำใจ แต่กลับแปดเปื้อนกลิ่นคาวแทน”

สุดท้ายมิใช่หมดทางเยียวยาหรือ เยี่ยนอู๋ซือชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “มีข้าอยู่ นิกายฮ่วนเยวี่ยก็ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่หน้าผู้ใด ซ้ำยังไม่ต้องไปแลกเปลี่ยนน้ำใจอะไร” แม้เสิ่นเฉียวจะมีสถานะพิเศษ แต่สำหรับเขาแล้วก็เป็นเพียงของเล่นแปลกใหม่เท่านั้น

คำพูดนี้เกรี้ยวกราดอย่างยิ่ง แต่เยี่ยนอู๋ซือในวันนี้เวลานี้ มีต้นทุนต่อคำพูดเช่นนี้จริง

สิบปีก่อนเขาสู้กับชุยโหยววั่ง แม้พ่ายแพ้บาดเจ็บแต่ก็มิได้หนีเอาตัวรอด ในตอนนั้นวรยุทธ์ของปรมาจารย์นิกายมารลึกล้ำมิอาจคาด สูสีกันกับฉีเฟิ่งเก๋อ สิบปีให้หลัง ชุยโหยววั่งและฉีเฟิ่งเก๋อล้วนตายสิ้น เยี่ยนอู๋ซือกลับก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นเพราะแตกฉานขั้นเก้าของคัมภีร์หงส์กิเลน แม้ไม่อาจรู้ความก้าวหน้าของวรยุทธ์ได้ในชั่วพริบตา แต่ไม่มีทางต่ำไปกว่าสิบปีก่อน

บัดนี้ใต้หล้ารู้ว่าคนในยุทธภพที่ปรากฏตัวอีกครั้งมีบางตา เมื่อใครหวนมาก็รังแต่จะคึกคักยิ่งกว่าเดิม สิบอันดับในใต้หล้าก็ต้องจัดลำดับใหม่เช่นกัน

คิดถึงตรงนี้ อวี้เซิงเยียนขอบตาร้อนผ่าว ตื้นตันอยู่บ้าง “ขณะท่านเก็บตัว นิกายเหอฮวนมาหาเรื่องแทบทุกวัน ศิษย์กับซางอิ่งสิงเคยประมือกันคราหนึ่ง ซ้ำยังได้รับบาดเจ็บ มิอาจไม่ออกจากเมืองเฟิ่งหลิน หลีกหนีจากยุทธภพ ฉะนั้นจึงเอ้อระเหยอยู่ภายนอกหลายปีเพียงนี้ ดีที่ท่านกลับมาแล้ว…”

พรรคมารหรือนิกายมารที่คนนอกเรียกขาน ความจริงเป็นเพียงคำเรียกกว้างๆ อย่างหนึ่ง

พรรคมารในตอนแรกหมายถึงนิกายรื่อเยวี่ยแห่งเขารื่อเยวี่ยเมืองเฟิ่งหลิน ต่อมาก็แบ่งจากหนึ่งเป็นสาม กลายเป็นนิกายฮ่วนเยวี่ย นิกายเหอฮวน และนิกายฝ่าจิ้ง ทั้งสามแขนงแม้สังกัดพรรคมารเหมือนกัน แต่ก็กลมเกลียวกันแค่ภายนอก สู้กันในที่ลับและแจ้งไม่เคยหยุดหย่อน

หลังเยี่ยนอู๋ซือเก็บตัวเมื่อสิบปีก่อน นิกายฮ่วนเยวี่ยก็ถูกมองเหมือนฝูงมังกรไร้เศียร นิกายเหอฮวนจึงหมายผนวกนิกายฮ่วนเยวี่ยเข้าในสำนัก เพียงแต่ศิษย์ในสำนักนิกายฮ่วนเยวี่ยเดิมทีก็กระจัดกระจายอยู่แต่ละพื้นที่ หาได้เคยรวมตัวอย่างเคร่งครัดไม่ เปียนเหยียนเหมยกระทำการสงวนท่าทีรอบคอบ แม้สู้พวกหยวนซิ่วซิ่วและซางอิ่งสิงมิได้ แต่ลอบสร้างความยุ่งยากให้นิกายเหอฮวนไม่น้อย ต่างฝ่ายต่างหักล้างกัน นิกายเหอฮวนเองก็ไม่ได้เปรียบเท่าใดนัก

แต่กลับเป็นอวี้เซิงเยียนที่เคยเสียเปรียบหลายครั้ง เพราะเข้าสำนักช้าที่สุด ซ้ำยังเยาว์วัย

บัดนี้เยี่ยนอู๋ซือออกจากการเก็บตัว คนในนิกายฮ่วนเยวี่ยเหมือนบุตรที่มีมารดาในที่สุด ย่อมดีใจจนลิงโลด

“อาการบาดเจ็บของเสิ่นเฉียว คนทั่วไปดูแลไม่ได้ เจ้าอยู่ที่นี่สักไม่กี่วัน ดูแลกระทั่งเขาฟื้นตื่นค่อยกลับยอดเขาปั้นปู้ สำเร็จขั้นห้าของคัมภีร์หงส์กิเลนให้จงได้” เยี่ยนอู๋ซือกล่าว

อวี้เซิงเยียนรับคำอย่างนอบน้อม “ศิษย์น้อมรับคำสั่ง”

อาการบาดเจ็บของเสิ่นเฉียวสาหัสยิ่ง เพียงแต่รอยแผลบนหน้าส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการถูกบาดขณะตกลงมา หลังชำระล้างเลือดออกไป ก็เผยหน้าตาดั้งเดิม

ถึงแม้บนหน้ามีรอยแผล บนศีรษะเองก็พันปิดด้วยผ้าบางรอบหนึ่ง แต่ยังคงมิได้ทำร้ายถึงความหล่อเหลางดงามของเขา ไม่ว่าจะเป็นความโค้งของสันจมูก หรือว่าริมฝีปากที่เม้มแน่น ล้วนมีกลิ่นอายสันโดษเปล่าเปลี่ยวอยู่หลายส่วน สอดคล้องกับภาพลักษณ์เหนือสามัญชนที่คนรอบข้างนึกถึงคนสำนักพรตเขาเสวียนตูยิ่ง

คาดเดาได้ไม่ยาก หลังจากดวงตาคู่นี้ลืมขึ้น จะก่อเกิดผลลัพธ์อันงดงามเหลือล้ำเพียงไร

อวี้เซิงเยียนถูกเยี่ยนอู๋ซือรับเป็นศิษย์ได้ ย่อมไม่มีทางที่จะเป็นคนรูปโฉมอัปลักษณ์ ตัวเขาท่องเที่ยวทั่วหล้า นับว่าเคยพบเห็นคนงามเลิศล้ำไม่น้อย แต่กับใบหน้าที่มีรอยแผลนับไม่ถ้วนนี้ของเสิ่นเฉียว เขายังคงเหม่อลอยครู่หนึ่ง แล้วจึงหยิบยาขึ้นมา เริ่มทายาให้เขาพลางลอบรู้สึกเสียดาย

ถึงแม้กระดูกหักต่อได้ ชีพจรขาดต่อได้ แต่อวัยวะภายในที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้นกลับมิใช่สิ่งที่ซ่อมแซมให้กลับมาดีได้เท่าไร ซ้ำยังได้ฝึกปรือน้อยลง ภายหน้าเกรงว่าเสิ่นเฉียวผู้นี้จะเทียบไม่ได้แม้กระทั่งคนทั่วไป ลองคิดว่าเหตุการณ์ที่วรยุทธ์ซึ่งตนเองฝึกมาอย่างลำบากสูญหายไปในชั่วข้ามคืน อวี้เซิงเยียนก็รู้สึกมิอาจจินตนาการและยอมรับได้ กลับกัน ความสะเทือนใจที่เสิ่นเฉียวได้รับคงมากกว่าเขา

น่าเสียดายนัก

อวี้เซิงเยียนมองดูใบหน้าขาวซีดปราศจากสีเลือดของฝ่ายตรงข้าม ส่ายหน้าพลางลอบกล่าวในใจ

ที่เยี่ยนอู๋ซือลงมือช่วยคน เพียงแค่เกิดจากความคิดชั่ววูบ หลังคนถูกช่วยกลับมา ทุกอย่างก็กลายเป็นหน้าที่ของอวี้เซิงเยียน เขาไม่เคยถามแม้แต่ประโยคเดียว

อำเภอฝู่หนิงคืออำเภอเล็กๆ อำเภอหนึ่ง เดิมทีไม่มีผู้คนมาเยือนแต่อย่างใด แต่เพราะศึกนั้นที่ยอดเขาปั้นปู้เป็นที่เลื่องลือเหลือเกิน หลายวันนี้จึงมีคนในยุทธภพไม่น้อยทยอยลงมาจากยอดเขาปั้นปู้ ผ่านอำเภอฝู่หนิงก็แวะค้างแรมหนึ่งคืน อวี้เซิงเยียนออกไปข้างนอกจึงบังเอิญได้ยินข่าวคราวไม่น้อยกลับมา

อย่างเช่นการต่อสู้ของเสิ่นเฉียวกับคุนเสียตระการตาอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่ถึงอย่างไรเสิ่นเฉียวก็มิใช่ฉีเฟิ่งเก๋อ เทียบกับอาจารย์ของเขาแล้วยังห่างไกลอย่างยิ่ง ส่วนคุนเสียเทียบกับหูลู่กูเมื่อยี่สิบปีก่อน ยังมีท่าทางที่เหนือกว่า ฉะนั้นปรมาจารย์เสิ่นมิเพียงสู้ไม่ได้ ยังถูกตีตกหน้าผากระดูกแหลก

ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าคุนเสียส่งสารท้ารบไปยังเสิ่นเฉียวโต้งๆ คนไม่น้อยล้วนเดือดดาลอย่างยิ่ง ซ้ำยังใคร่ทดสอบ คิดสยบความโอหังของชาวทูเจวี๋ย ทว่าหลังศึกนี้จึงเห็นว่าแม้กระทั่งเจ้าสำนักเขาเสวียนตูก็แพ้ยับเยิน คนที่อยากออกหน้าแต่เดิมเหล่านั้นย่อมต่างหลบลี้หนีหาย มิกล้าลูบคมอีก

เมื่อผ่านศึกนี้ คุนเสียชื่อเสียงกระเดื่องเลื่องลือแทนที่เสิ่นเฉียวแล้ว ไต่เต้าสู่สิบอันดับแห่งใต้หล้า ว่ากันว่าเขามาจงหยวนครานี้ จะท้าประลองยอดฝีมือจงหยวนอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายต่อไปอาจเป็นหลวงจีนเสวี่ยถิงแห่งแคว้นโจว

นับตั้งแต่ชาวจิ้นย้ายลงใต้ ห้าชนเผ่านอกด่านเข้าสู่จงหยวน ใต้หล้าไม่เคยมีการรวมแคว้นเป็นหนึ่งอีกเลย บัดนี้ทางเหนือมีโจวและฉี ทางใต้มีราชวงศ์เฉิน (ราชวงศ์ใต้) ทูเจวี๋ยและถู่อวี้หุนยึดชายแดนขยายพื้นที่ บรรดาสำนักและตระกูลขุนนางต่างทำเพื่อเจ้านายตัวเอง

เขาเสวียนตูเป็นหัวหน้าสำนักเต๋า นับตั้งแต่ฉีเฟิ่งเก๋อเป็นต้นมาก็ยืนหยัดเป็นกลาง ไม่ก้าวก่ายการแย่งชิงอำนาจทางโลก บัดนี้เสิ่นเฉียวพ่ายแพ้ให้คุนเสีย เป็นตายไม่แน่ชัด เขาเสวียนตูยังไม่รู้จะให้ใครสืบทอด ผู้สืบทอดก็ไม่รู้จะสานต่อจุดยืนของรุ่นก่อนได้หรือไม่ สถานการณ์ในใต้หล้าก็ไม่แน่ว่าจะเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุนี้หรือเปล่า

ตัวหลักที่อยู่ใจกลางวังวนกลับนอนอยู่บนเตียงตลอด ทุกวันมีอวี้เซิงเยียนและคนในหมู่บ้านคอยทายาเปลี่ยนเสื้อให้เขา ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่สุขไม่โศก ไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างสิ้นเชิง

กระทั่งครึ่งเดือนให้หลัง เขาจึงมีความเคลื่อนไหวเป็นครั้งแรก

อวี้เซิงเยียนถูกบ่าวรีบเชิญมามองดูเสิ่นเฉียวที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกหักยังไม่ประสาน อย่าขยับส่งเดชจะดีกว่า”

ฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากเปิดปิด คล้ายอยากกล่าวอะไร ซ้ำยังมีสีหน้างงงวยทันที

คงไม่ได้ศีรษะกระแทกจนเป็นคนโง่ไปแล้วกระมัง

อวี้เซิงเยียนครุ่นคิด พลางถาม “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเจ้าชื่ออะไร”

ฝ่ายตรงข้ามกะพริบตาด้วยท่าทางเชื่องช้า จากนั้นค่อยๆ ส่ายหน้า วงโค้งแผ่วเบาจนแทบไม่สามารถสังเกตได้

สูญเสียความทรงจำแล้ว? แต่ก็เป็นปกติ ถึงอย่างไรศีรษะได้รับบาดเจ็บร้ายแรงเพียงนั้น อวี้เซิงเยียนยังจำวันที่เสิ่นเฉียวเพิ่งถูกแบกกลับมาได้ ปากแผลที่ทั้งลึกทั้งยาวรอยหนึ่งตรงท้ายทอยแทบจะมองเห็นกระดูกขาวอันน่าสยดสยองด้านล่างได้

“สหายท่านนี้…” ฝ่ายตรงข้ามกล่าวเสียงเบายิ่ง เขาต้องเขยิบเข้าไปใกล้จึงฟังได้อย่างถนัดถนี่ “เบื้องหน้าข้ามืดสนิท มองไม่เห็นสิ่งของ…”

อวี้เซิงเยียนตกใจอย่างเลี่ยงมิได้ ที่แท้มิได้กลายเป็นคนโง่ กลับกลายเป็นคนตาบอดไปแล้วอย่างนั้นหรือ

“เจ้ามีนามว่าเสิ่นเฉียว เดิมเป็นศิษย์ในนิกายฮ่วนเยวี่ย เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เคราะห์ดีข้าผ่านทางมาพบเข้า ช่วยเจ้ากลับมาได้ทันเวลา ศัตรูเหล่านั้นที่ทำร้ายเจ้าเป็นคนนิกายเหอฮวน ข้าเองก็สู้ไม่ได้ ได้แต่พาเจ้าหนีก่อน รอหลังเจ้ารักษาแผลหายดี ฟื้นฟูวรยุทธ์ค่อยไปแก้แค้นพวกเขาแล้วกัน”

อวี้เซิงเยียนกล่าวส่งเดช เสิ่นเฉียวกลับฟังด้วยสีหน้าจริงจัง

สุดท้ายก็เอ่ยถามว่า “เช่นนั้น…ข้าสมควรเรียกขานเจ้าว่า?”

“ข้าแซ่อวี้ อวี้เซิงเยียน เป็นศิษย์พี่เจ้า” อวี้เซิงเยียนตอบ

คำพูดนี้กล่าวได้ละอายใจโดยแท้จริง ปีนี้อวี้เซิงเยียนอายุยี่สิบต้นๆ แม้รูปโฉมเสิ่นเฉียวไม่แสดงอายุชัดเจน แต่เขาคือศิษย์ของฉีเฟิ่งเก๋อ ซ้ำยังกุมอำนาจเขาเสวียนตูมาห้าปี อย่างไรก็ไม่มีทางเด็กกว่าอวี้เซิงเยียน

นี่เห็นได้ชัดว่าอวี้เซิงเยียนรังแกผู้อื่น จงใจเอาเปรียบจากการเรียกขาน

เสิ่นเฉียวเองก็เรียกคนอย่างว่านอนสอนง่ายจริงๆ “สุขสวัสดิ์ศิษย์พี่”

“…” เห็นสีหน้าจริงใจของอีกฝ่าย อวี้เซิงเยียนก็รู้สึกร้อนตัวเล็กน้อยสุดบรรยาย

เขาหัวเราะฮ่าๆ “เด็กดี ในเมื่อเจ้ายังมิอาจลุกขึ้นก็นอนพักฟื้น รอแผลหายดีแล้วข้าค่อยพาเจ้าไปคารวะอาจารย์”

เสิ่นเฉียวกล่าว “ประเสริฐ”

เขาหลับตาลง ไม่ถึงครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้นอีก สองตาเลื่อนลอยอย่างเห็นได้ชัดเพราะสูญเสียจุดรวมศูนย์ไป แววตาเองก็ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเก่าก่อน “ศิษย์พี่…?”

“ยังมีอันใดอีก” อวี้เซิงเยียนคิดว่าเสิ่นเฉียวอ่อนโยนน่าทะนุถนอม ยิ่งได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังลอบกล่าวว่าน่าเสียดายอีกหนึ่งคำ คิดในใจว่าเป็นถึงเจ้าสำนักผู้นำของสำนักเต๋าในใต้หล้ากลับตกต่ำเช่นนี้ก็นับว่าน่าสงสาร หากเปลี่ยนเป็นขณะฝ่ายตรงข้ามวรยุทธ์เฟื่องฟู ควบคุมดูแลสำนักในวันวาน ก็ไม่รู้ว่าบุคลิกเช่นไร

เสิ่นเฉียวกล่าว “ข้าอยากดื่มน้ำสักหน่อย…”

อวี้เซิงเยียนกล่าว “อย่าเพิ่งดื่มน้ำ ประเดี๋ยวยาก็ต้มเสร็จแล้ว ตอนนี้เจ้าดื่มยาแทนน้ำไปก่อน”

มิทันขาดคำสาวใช้ก็ยกยาเข้ามา และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อครู่แต่งประวัติส่งเดชให้เสิ่นเฉียวหรือไม่ ความรู้สึกผิดที่หาได้ยากของอวี้เซิงเยียนกลับถูกกระตุ้นขึ้นมา เขารีบก้าวเข้าไปรับชาม ให้สาวใช้หนุนหมอนตรงท้ายทอยของเสิ่นเฉียว จากนั้นป้อนยาให้อีกฝ่ายดื่มด้วยตัวเองทีละช้อน

แม้กระดูกทั่วร่างเสิ่นเฉียวมิได้แหลกละเอียดทั้งหมด แต่ก็แทบไม่ต่างกัน กอปรกับชีพจรได้รับบาดเจ็บสาหัส โอกาสรอดชีวิตแทบจะสูญสิ้น สามารถฟื้นขึ้นมาได้ภายในหนึ่งเดือน ก็นับว่าเป็นบุญวาสนาแต่เก่าก่อนของเขาแล้ว บัดนี้หากมิได้นอนพักอย่างน้อยสามเดือน อย่าหวังว่าจะขยับเขยื้อนได้

อวี้เซิงเยียนกราบอาจารย์เข้าสำนักเยี่ยนอู๋ซือ แม้ได้รับความลำบากจากการฝึกวรยุทธ์ แต่พรรคมารใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาตลอด ดังนั้นเมื่อเทียบกับคุณชายตระกูลขุนนางแล้ว เสื้อผ้าของกินและค่าใช้จ่ายของเขาก็หาได้เป็นรองไม่ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงป้อนยาให้คนด้วยตัวเอง ต่อให้ท่วงท่าระมัดระวังเท่าใด บางครั้งก็หกลงบนอกเสื้อของเสิ่นเฉียวอยู่บ้าง แต่เสิ่นเฉียวกลับยังคงดื่มช้าๆ ทีละช้อน มิได้เผยสีหน้าไม่พอใจใดๆ ออกมา ดื่มยาเสร็จยังเผยรอยยิ้มซาบซึ้งออกมาให้เขา “ขอบคุณศิษย์พี่”

สุภาพเชื่อฟัง รูปงามน่าคบหา

แม้ว่ามุมโค้งของรอยยิ้มนี้หาได้ใหญ่ไม่ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ใบหน้าขาวซีดย้อมติดสีสันแห่งความอบอุ่น สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างหน้าแดงอยู่เงียบๆ รีบเคลื่อนสายตาออกจากใบหน้างดงาม

เขาไม่ถามอะไรทั้งสิ้น อวี้เซิงเยียนกลับประหลาดใจเล็กน้อย หากเปลี่ยนเป็นตนเองพอฟื้นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้ ทั้งตาบอดและได้รับบาดเจ็บจนไม่อาจลงจากเตียง แม้มิได้เสียสติ เกรงว่าก็ไม่สามารถสงบเสงี่ยมเช่นนี้

“เหตุใดเจ้าไม่ถามข้าว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าจะกลับสู่ปกติเมื่อใด”

“มีอาจารย์กับศิษย์พี่อยู่ พวกท่านต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ยอมเหนื่อยกายเหนื่อยใจเพื่อเรื่องของข้าอย่างแน่นอน” เสิ่นเฉียวกระแอมไอหลายเสียง ขมวดหัวคิ้วขึ้นเพราะปากแน่นตึง “หากข้าถามแล้ว มิใช่ยิ่งทำร้ายจิตใจของพวกท่านหรือ”

คล้ายไม่เคยเห็นคนที่เอาใจใส่และนึกถึงคนอื่นเช่นนี้มาก่อน บางทีอาจเป็นเพราะต้องประจันหน้ากับเขาจึงทำให้ร้อนตัวเล็กน้อย อวี้เซิงเยียนเงียบเสียงชั่วขณะ ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี พักหนึ่งจึงกล่าวขึ้น “เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาทายาให้เจ้า”

“ขอบคุณศิษย์พี่ ศิษย์พี่โปรดทักทายท่านอาจารย์แทนข้าสักคำ”

“ข้าจะบอกให้” อวี้เซิงเยียนพลันรู้สึกว่าหากอยู่ต่อไปจะยิ่งเก้อเขินเปล่าๆ จึงลูบจมูก ทิ้งคำพูดประโยคนี้แล้วจากไป

เดิมเขายังสงสัยอยู่บ้างว่าเสิ่นเฉียวสูญเสียความทรงจำคือการแสร้งบ้าใช่หรือไม่ แต่นับจากวันนั้นเขาไปเยี่ยมเยียนเสิ่นเฉียวแทบทุกวัน อีกฝ่ายยังคงเหมือนเมื่อตอนได้สติครั้งแรก มีความอ่อนโยน มองโลกในแง่ดี และเปี่ยมด้วยความซาบซึ้งต่ออวี้เซิงเยียน

อวี้เซิงเยียนกล่าวอะไร เขาล้วนรับฟังทุกอย่าง ไม่สงสัยแม้แต่น้อย บริสุทธิ์ดุจกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง

หลังสามารถลงจากเตียงก้าวเดินได้เล็กน้อย เสิ่นเฉียวยังเสนอจะไปขอบคุณ ‘อาจารย์’ เยี่ยนอู๋ซือด้วยตัวเอง

หากอวี้เซิงเยียนไม่ตักเตือน เยี่ยนอู๋ซือก็เกือบลืมการดำรงอยู่ของเสิ่นเฉียวไปแล้ว

เก็บตัวสิบปี ใต้หล้าเปลี่ยนแปลงมากหลาย มิใช่สิ่งที่บรรยายได้ด้วยคำพูดประโยคสองประโยคจากปากคนรอบข้าง

สำนักในใต้หล้ามีจำนวนมาก แต่ละแห่งมีอำนาจในการสนับสนุนและอำนาจทางการเมือง

สกุลเกาแห่งแคว้นฉีเหลวแหลก ฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยก็โปรดที่จะใกล้ชิดพรรคมาร เมื่อถึงยุคของเกาเหว่ยนี้ พระองค์กับนิกายเหอฮวนใกล้ชิดกันอย่างมาก นิกายเหอฮวนเองก็มีอำนาจในแคว้นฉีเพิ่มขึ้นด้วยเหตุนี้

ที่ราชวงศ์โจว (ราชวงศ์เหนือ) ขณะอวี่เหวินฮู่กุมอำนาจเมื่อกาลก่อนนับถือพุทธ ด้วยเหตุนี้หลวงจีนเสวี่ยถิงเองก็ถูกเคารพนับถือเป็นราชครูแห่งต้าโจว แต่ต่อมาอวี่เหวินยงกุมอำนาจ ลมเปลี่ยนทิศ ฮ่องเต้พระองค์นี้ไม่นับถือเต๋าและไม่นับถือพุทธ ถึงขั้นมีบัญชาห้ามนับถือทั้งพุทธและเต๋า อำนาจสำนักพุทธเองก็ไม่ใหญ่เหมือนแต่ก่อน

ส่วนเฉินโจวทางใต้ ยึดอารามศึกษาหลินชวนของลัทธิหรูเป็นหลัก เจ้าอารามหรู่เยียนเค่อฮุ่ยตั้งใจช่วยเหลือประมุขเฉิน จนได้รับความไว้วางใจ

ขณะเยี่ยนอู๋ซือยังมิได้เก็บตัว เคยใช้อีกสถานะหนึ่งเป็นขุนนางที่แคว้นโจว…ช่วยเหลืออวี่เหวินยงดำรงตำแหน่งหลู่กั๋วกง ในตอนนั้น ต่อมาเขาสู้กับชุยโหยววั่ง ได้รับบาดเจ็บจนต้องหนีไปไกล ก่อนจากไปได้กำชับเปียนเหยียนเหมยผู้เป็นศิษย์เอกให้อยู่ข้างกายอวี่เหวินยง

บัดนี้เขาออกจากการเก็บตัวอีกครั้ง ย่อมต้องไปแคว้นโจวสักรอบ เพื่อเข้าเฝ้าอวี่เหวินยงที่ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ อีกทั้งชิงอำนาจในมืออวี่เหวินฮู่กลับมาแล้ว

หลายปีนี้เป่ยโจวเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่มิใช่แคว้นอื่นจะเห็นดีเห็นงาม มิเพียงเท่านี้ แม้กระทั่งหรู พุทธ และเต๋าเองก็หาได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้แคว้นโจวพระองค์นี้ไม่ เพียงเพราะอวี่เหวินยงห้ามนับถือพุทธและเต๋า และไม่อนุญาตให้ก่อตั้งเวทีบรรยายที่ต้าโจวเพื่อขยายสำนักรับศิษย์

ภายใต้เบื้องหลังเช่นนี้ นิกายฮ่วนเยวี่ยใกล้ชิดสนับสนุนอวี่เหวินยง ส่วนอวี่เหวินยงเองก็ต้องการให้นิกายฮ่วนเยวี่ยมารักษา

หลังพบหน้ากับอวี่เหวินยง เยี่ยนอู๋ซือออกจากเป่ยโจว ถือโอกาสไปเขาเสวียนตูสักรอบ ซ้ำยังไปเยี่ยมคุนเสียยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งทูเจวี๋ยที่ว่ากันว่าเอาชนะเสิ่นเฉียวผู้นั้น

ต่างฝ่ายต่างประมือกันคราหนึ่ง คุนเสียพ่ายแพ้ ฉายา ‘ราชันมาร’ ของเยี่ยนอู๋ซือปรากฏในยุทธภพอีกครั้ง ใต้หล้าสั่นคลอน ล้วนกล่าวว่าหลังจากชุยโหยววั่ง นิกายมารก็ปรากฏผู้แข็งแกร่งที่ชวนให้เกรงกลัวอีกคนหนึ่งแล้ว

เพียงแค่ครั้งนี้ไม่มีฉีเฟิ่งเก๋อแล้ว เกรงว่าผู้ที่จะต่อกรกับเขาได้หายไปหนึ่งคน

ในสายตาของเยี่ยนอู๋ซือ ฝีมือของคุนเสียยังคงสูงส่ง คุณสมบัติก็ดีเพียงพอ แต่ยังมิสู้หูลู่กูในปีนั้น ต่อให้เทียบกับคนอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงในสิบอันดับแห่งใต้หล้าตอนนี้ ก็มิอาจนับได้ว่าเด่นล้ำ คนเช่นนี้สามารถโจมตีเจ้าสำนักเขาเสวียนตูจนบาดเจ็บสาหัสได้ คือเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างมากเรื่องหนึ่ง

แต่นี่หาใช่จุดสำคัญที่เขากังวลไม่ เสิ่นเฉียวได้รับบาดเจ็บมีเรื่องราวเบื้องลึกอะไรกันแน่ เกี่ยวข้องกับคุนเสียอีกหรือไม่ เยี่ยนอู๋ซือไม่มีความสนใจที่จะทำความเข้าใจเท่าใดนัก เขาต่อสู้กับคุนเสีย เพียงเพื่อให้คนอื่นรู้ข่าวการปรากฏตัวในยุทธภพอีกครั้งของตนเอง ช่วงนี้คุนเสียเพิ่งเอาชนะเจ้าสำนักเขาเสวียนตู กำลังอยู่ในช่วงร้อนแรง คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด

กำไรที่มากที่สุดในการออกมาครั้งนี้ของเยี่ยนอู๋ซือ มิได้อยู่ที่สร้างชื่อในยุทธภพหรือเอาชนะคุนเสีย แต่คือการได้รู้เบาะแสของชิ้นส่วนคัมภีร์ส่วนในของคัมภีร์สุริยัน

เมื่อห้าสิบปีก่อน ลือกันว่าเถาหงจิ่งปรมาจารย์แห่งยุคได้พบเซียนบนเขาเหมาซาน และได้รับเคล็ดสำเร็จเซียน คัมภีร์นี้มีทั้งสิ้นสี่ส่วน เถาหงจิ่งแบ่งสามส่วนในนั้นจัดทำเป็นหนังสือ ตั้งชื่อว่า ‘เคล็ดลับสำเร็จเซียน’

อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเนื้อหาซับซ้อนยากเข้าใจ และเกี่ยวข้องกับการฝึกปรือของเทวะเสียมาก เถาหงจิ่งจึงเรียบเรียงมันเป็นหนังสือโดยลำพัง ค่อยเพิ่มแก่นสารและความเห็นที่ตนเองเรียนรู้ชั่วชีวิตเข้าไปในนั้น นี่จึงเป็นคัมภีร์สุริยันอันเลื่องชื่อในเวลาต่อมา

เถาหงจิ่งร่ำเรียนเป็นเทวะ ตัวเขาเองแม้เป็นนักพรต แต่กลับเชี่ยวชาญเต๋า พุทธ และหรู ซ้ำยังได้รับความรู้ชั่วชีวิตของซุนโหยวเยวี่ยเซียนแห่งเขาตานหยาง วรยุทธ์ยอดเยี่ยม แม้กระทั่งฉีเฟิ่งเก๋อก็ต้องยอมรับด้วยใจจริง อันดับหนึ่งในใต้หล้ามิอาจถกเถียง

ในเมื่อมีประวัติความเป็นมาเช่นนี้ คัมภีร์สุริยันย่อมเป็นสมบัติล้ำค่าที่ผู้คนแย่งกันอ่าน ว่ากันว่าหากแตกฉานคัมภีร์สุริยันทั้งห้าเล่ม ก็สามารถมองขั้นสุดท้ายของผู้ฝึกยุทธ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ได้เข้าสู่สภาวะใหม่ จะเหาะเหินตอนกลางวันก็มิใช่ไม่สามารถ

น่าเสียดายหลังเถาหงจิ่งดับขันธ์เป็นเซียน สำนักซั่งชิงแห่งเขาเหมาซานจึงมีส่วนพัวพันเพราะราชสำนักเข้ามาก้าวก่าย ศิษย์ในสำนักต่างมีจุดยืน กอปรกับต่อมาราชวงศ์เหลียงเกิดความวุ่นวายภายใน คัมภีร์สุริยันทั้งห้าเล่มกระจายไปยังแต่ละพื้นที่ ไม่รู้ร่องรอย

กระทั่งหลายสิบปีให้หลัง ฉีเฟิ่งเก๋อยอมรับเองกับปากว่าวรยุทธ์ของตนเอง นอกจากสืบทอดจากเขาเสวียนตูแล้ว ยังมีส่วนจากคัมภีร์สุริยัน จึงทำให้เบาะแสของคัมภีร์สุริยันถ่ายทอดออกมาอย่างต่อเนื่อง ว่ากันว่าเล่มหนึ่งในนั้นซ่อนอยู่ที่แคว้นโจว เล่มหนึ่งอยู่ที่นิกายเทียนไถ เล่มหนึ่งซ่อนอยู่ที่เขาเสวียนตู อีกสองเล่มจวบจนบัดนี้เบาะแสยังคงเป็นปริศนา หลายสิบปีต่อมาไม่มีข่าวคราว เสาะหาไปทั่วแต่ไม่พบ

คัมภีร์สุริยันเล่มนั้นที่ซ่อนอยู่ในราชวังแคว้นโจว ก่อนนี้เยี่ยนอู๋ซือมีโอกาสได้เห็นครั้งหนึ่ง หลังเขาเก็บตัวฝึกปรือจนก้าวหน้า ยิ่งเหนือกว่าเมื่อก่อน ในนั้นมีส่วนมาจากคัมภีร์สุริยันเล่มนั้นด้วย

มีเพียงเรียนรู้ด้วยตัวเอง จึงรู้ได้ว่าคัมภีร์สุริยันวิเศษเพียงใด เห็นเพียงครั้งเดียวมีคุณอนันต์ คัมภีร์สุริยันผนวกความทุ่มเททั้งชีวิตของเถาหงจิ่ง รวบรวมวรยุทธ์ของหรู พุทธ และเต๋า ต่างหลอมรวมเติมเต็มซึ่งกันและกัน เรียกได้ว่าสมบูรณ์ไร้ช่องโหว่ หากได้เห็นอีกสี่เล่มที่เหลือ อย่าว่าแต่ช่วงชิงตำแหน่งราชาวิถียุทธ์ ต่อให้แตกฉานมรรคาสวรรค์ คนฟ้ารวมหนึ่ง ก็มิใช่เป็นไปไม่ได้

เยี่ยนอู๋ซือออกไปรอบนี้ เดิมทีคิดฉวยโอกาสขณะเขาเสวียนตูเป็นเหมือนฝูงมังกรไร้เศียร ผู้คนแตกตื่นลนลาน ลอบเข้าไปเสาะหาชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยัน แต่คิดไม่ถึงว่าระหว่างที่ประมือกับคุนเสีย เขาบังเอิญพบว่าแม้ฝีมือของฝ่ายตรงข้ามจะสืบทอดจากแถบตะวันตก แต่กำลังภายในและลมปราณกลับไม่ชัดเจน ราวกับมาจากที่เดียวกับเขา เยี่ยนอู๋ซือจึงสงสัยในใจว่าในปีนั้นหูลู่กูเทียบเคียงกับฉีเฟิ่งเก๋อได้ ซ้ำยังพ่ายแพ้เพียงครึ่งกระบวน อาจมีสาเหตุมาจากคัมภีร์สุริยัน

คุนเสียเป็นยอดฝีมือยุคใหม่แห่งทูเจวี๋ย เมื่อถึงเวลา หูลู่กูในปีนั้นต้องเทียบไม่ได้เป็นแน่ การผสมผสานของเคล็ดวิชาแดนตะวันตกกับคัมภีร์สุริยัน ในเมื่อสามารถสร้างหูลู่กูคนหนึ่งออกมาได้ ก็สามารถสร้างหูลู่กูคนที่สองออกมาได้เช่นกัน

เรื่องนี้สะกิดความสนใจของเยี่ยนอู๋ซืออย่างยิ่งยวด ฉะนั้นช่วงเวลาต่อมา เขาติดตามคุนเสียอยู่ตลอด พอนึกสนุกก็ให้ผู้อื่นต่อสู้กับเขา คุนเสียจะสู้ก็สู้ไม่ได้ จะหนีก็ยิ่งหนีไม่ได้ ทั้งร่างใกล้จะพังทลายแล้ว สุดท้ายถือโอกาสตรงกลับไปยังทูเจวี๋ย

เยี่ยนอู๋ซือยังไม่มีแผนการไล่ตามไปยังทูเจวี๋ย จึงกลับมายังหมู่บ้านอย่างสบายใจ

เมื่อกลับมา ก็ได้ยินข่าวที่ลูกศิษย์บอกว่าเสิ่นเฉียวฟื้นและลงจากเตียงเดินเหินได้แล้ว

ขณะเสิ่นเฉียวมา ในมือถือไม้เท้าไม้ไผ่เอาไว้ แต่ละย่างก้าวแม้เชื่องช้าแต่กลับมั่นคงยิ่งนัก

ด้านข้างยังมีสาวใช้ประคอง พลางอธิบายเส้นทางในหมู่บ้านกับเขาเสียงแผ่วเบา

หลังสาวใช้บอกทิศทาง เสิ่นเฉียวก็ก้มกราบไปยังบริเวณที่เยี่ยนอู๋ซือนั่งอยู่ “คารวะท่านอาจารย์”

“นั่งสิ” เยี่ยนอู๋ซือวางหมากในมือลง อวี้เซิงเยียนที่อยู่ตรงข้ามมีสีหน้าไม่น่าดู ตอนนี้พลันเหมือนได้รับการเว้นโทษ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์หมากกำลังตกเป็นเบี้ยล่าง

เสิ่นเฉียวนั่งนิ่งภายใต้การประคองของสาวใช้

หลังเขาฟื้นขึ้นมา ความทรงจำมากมายในสมองล้วนเลือนราง ถึงขั้นจำชื่อแซ่และประวัติของตนเองมิได้ กับเยี่ยนอู๋ซือและอวี้เซิงเยียน ยิ่งไม่มีความทรงจำแม้แต่น้อย

“ร่างกายรู้สึกเช่นไร” เยี่ยนอู๋ซือถาม

“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เป็นห่วง ศิษย์ลงจากเตียงก้าวเดินได้แล้ว เพียงแต่มือเท้ายังอ่อนแรง วรยุทธ์…เหมือนยังไม่ฟื้นคืน”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “มือ”

เสิ่นเฉียวยื่นมือไปอย่างว่าง่าย จุดชีพจรที่ข้อมือถูกจับเอาไว้ในทันใด

เยี่ยนอู๋ซือตรวจสอบครู่หนึ่ง บนใบหน้าไร้ความรู้สึกแต่เดิมปรากฏความผิดคาดเล็กน้อย

เขามองดูเสิ่นเฉียวแวบหนึ่งอย่างมีความหมายลึกซึ้ง เสิ่นเฉียวสีหน้างุนงงไร้เดียงสาเล็กน้อยเพราะมิอาจมองเห็น

เยี่ยนอู๋ซือถาม “เจ้ามีความรู้สึกไม่สบายหรือไม่”

เสิ่นเฉียวครุ่นคิด “ทุกครั้งพอถึงเที่ยงคืน ร่างกายก็จะเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน หน้าอกปวดตื้อ บางครั้งจะปวดจนเดินแทบไม่ไหว”

อวี้เซิงเยียนกล่าวเสริม “ศิษย์ตามหมอมาตรวจดู หมอบอกว่าอาจเป็นเพราะศิษย์น้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องค่อยๆ ฟื้นฟู”

ศิษย์น้องคำนี้กลับเรียกได้อย่างคล่องปากไร้เทียบเทียม เยี่ยนอู๋ซือยิ้มน้อยๆ กล่าวกับเสิ่นเฉียว “วรยุทธ์ของเจ้าหาได้สูญสิ้นไม่ ข้าพบว่าในร่างเจ้ายังคงมีลมปราณเล็กน้อย เหมือนแข็งแกร่งแต่ก็คล้ายอ่อนแอ เมื่อถึงเวลา มิใช่ไม่มีโอกาสฟื้นฟู เพียงแต่นิกายฮ่วนเยวี่ยเราไม่เลี้ยงสวะ ข้ามีภารกิจอย่างหนึ่งต้องให้ศิษย์พี่เจ้าไปทำ เจ้าก็ติดตามไปต่อยๆ ตีๆ เอาแล้วกัน”

เสิ่นเฉียวรับคำ “ขอรับ”

เขามิได้ถามว่าคือภารกิจอะไร เหมือนที่ปฏิบัติต่ออวี้เซิงเยียนก่อนหน้า คนอื่นว่าอย่างไรเขาก็ตอบไปตามนั้น เวลาที่เหลือล้วนนั่งอยู่ที่นั่น นิ่งเงียบไม่มีท่าทางอื่นใด

ทว่าเยี่ยนอู๋ซือหาได้รู้สึกสงสารเพราะตอนนี้เสิ่นเฉียวตกอับไม่ ความอ่อนแอของฝ่ายตรงข้ามรังแต่จะทำให้เขาบังเกิดความชั่วร้ายที่รุนแรงกว่าเดิม ยิ่งต้องการย้อมความขาวบริสุทธิ์ผืนนี้ให้ดำถ้วนทั่ว

“เช่นนั้นเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” เขากล่าวอย่างเฉยชา

เสิ่นเฉียวลุกขึ้นทำความเคารพและบอกลาอย่างเชื่อฟัง ซ้ำยังค่อยๆ จากไปภายใต้การประคองของสาวใช้

เยี่ยนอู๋ซือรั้งสายตากลับมาจากเงาร่างของอีกฝ่าย ก่อนกล่าวกับอวี้เซิงเยียนว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องใจร้อนไปยอดเขาปั้นปู้แล้ว ตรงไปแคว้นฉีสักรอบ ฆ่าเหยียนจือเวิ่น กุนซือที่ปรึกษาทั้งครอบครัว”

“ขอรับ” อวี้เซิงเยียนรับปากโดยไม่แม้แต่จะคิด “คนผู้นี้ล่วงเกินท่านอาจารย์หรือ”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าว “เขาคือคนในนิกายเหอฮวน และเป็นหนึ่งในหูตาของนิกายเหอฮวนที่แคว้นฉี”

อวี้เซิงเยียนได้ยินก็ตื่นเต้นขึ้นมา “ขอรับ นิกายเหอฮวนกำเริบมานานแล้ว หยวนซิ่วซิ่วฉวยโอกาสขณะท่านเก็บตัว หาเรื่องนิกายฮ่วนเยวี่ยหลายครั้ง หากไม่สั่งสอนให้หลาบจำ ยิ่งมิเห็นว่านิกายฮ่วนเยวี่ยเราไร้ประโยชน์เกินไปหรือ อีกไม่กี่วันศิษย์จะออกเดินทาง”

นิ่งเงียบครู่หนึ่ง เขาระงับรอยยิ้มเล็กน้อย กล่าวด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์จะให้ข้าพาเสิ่นเฉียวไปด้วยหรือ เขาสูญเสียวรยุทธ์ทั้งหมด เกรงว่าจะช่วยไม่ได้สักนิด”

เยี่ยนอู๋ซือคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ในเมื่อเจ้าเรียกเขาว่าศิษย์น้องแล้ว ก็ควรพาเขาไปดูโลกสักหน่อย แม้วรยุทธ์เขายังไม่ฟื้นฟู แต่ยังฆ่าคนได้”

อวี้เซิงเยียนฟังเข้าใจแล้ว อาจารย์เห็นเสิ่นเฉียวเป็นกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง หมายย้อมเขาให้เป็นสีดำทั้งหมด วันใดต่อให้เสิ่นเฉียวได้สติขึ้นมาจริงๆ หรือฟื้นฟูความทรงจำ เรื่องราวที่ทำไปแล้วก็มิอาจกู้คืน ถึงเวลาแม้เขาคิดกลับสู่วิถีเที่ยงธรรมอีกก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

การเป็นเหมือนพวกเขามีอะไรไม่ดี กระทำการไม่เลือกวิธีตามใจปรารถนา ไม่ถูกกฎเกณฑ์ทางโลกผูกมัด อวี้เซิงเยียนยังเชื่อว่าเนื้อแท้แล้วมนุษย์นั้นชั่วร้าย ก้นบึ้งในใจทุกคนล้วนมีด้านมืด เพียงแค่จะมีโอกาสกระตุ้นให้ออกมาหรือไม่เท่านั้น ที่เรียกว่าสำนักเต๋า สำนักพุทธ และสำนักหรูเหล่านั้น พล่ามแต่คุณธรรมจรรยา เมตตากรุณา สุดท้ายแล้วก็เพียงแค่อาศัยคำว่าคุณธรรมปิดบังความเห็นแก่ตัวเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการแย่งชิงอำนาจในใต้หล้า ผู้ชนะเป็นเจ้า สองมือของผู้ปกครองแคว้นมิใช่เต็มไปด้วยคาวเลือดหรอกหรือ ใครจะขาวสะอาดกว่าใครสักเท่าใดกัน

“ขอรับ ศิษย์ต้องสั่งสอนศิษย์น้องให้ดีอย่างแน่นอน”

 

ขณะอวี้เซิงเยียนพาเสิ่นเฉียวออกจากประตู หาได้อธิบายเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้กับเขาไม่

อำเภอฝู่หนิงห่างจากเมืองเย่เฉิงซึ่งเป็นเมืองหลวงแคว้นฉีไม่ไกลนัก เดิมทีการเดินทางด้วยเท้าของอวี้เซิงเยียน สามวันห้าวันก็บรรลุถึงได้ แต่เมื่อคำนึงถึงสภาพร่างกายของเสิ่นเฉียวจึงชะลอความเร็วลง เจ็ดวันให้หลังจึงบรรลุถึงเมืองเย่เฉิง

ถึงแม้การเดินทางจะช้าสักเท่าใด แต่ร่างกายของเสิ่นเฉียวในตอนนี้ ยังคงไม่เหมาะสมกับการเดินทางไกลอันยากลำบาก เพิ่งถึงเมืองเย่เฉิงก็ล้มป่วย เป็นไข้

ศิษย์ในนิกายฮ่วนเยวี่ยนั้นมีไม่มาก แต่กลับไม่ขาดเงิน อยู่ที่เมืองเย่เฉิงก็มีบ้านพัก อวี้เซิงเยียนกับเสิ่นเฉียวพักแรมที่นั่น เจ้าของบ้านคือเยี่ยนอู๋ซือ เหล่าบริวารเห็นอวี้เซิงเยียนกับเสิ่นเฉียวแล้ว ย่อมเรียกขานว่านายน้อย จัดหาที่พักให้อย่างเหมาะสม ดูแลเอาใจใส่อย่างทั่วถึง

ระหว่างทางเสิ่นเฉียวไม่มากความ อวี้เซิงเยียนให้เดินก็เดิน ให้หยุดก็หยุด แม้กระทั่งเรื่องป่วยไข้ก็มิได้บอก ยังคงเป็นอวี้เซิงเยียนที่พบเข้าเอง เมื่อซักถามขึ้นมา เสิ่นเฉียวก็ยิ้มพลางกล่าว “ข้ากับศิษย์พี่เดินทางในครานี้ เพื่อที่จะสำเร็จภารกิจที่อาจารย์มอบหมาย บัดนี้ข้าพิการ ช่วยเหลือไม่ได้ก็รู้สึกละอายใจยิ่ง ยังจะเพิ่มความลำบากให้ศิษย์พี่อีกได้อย่างไร”

ขณะกล่าวคำพูดนี้ เขามีสีหน้าขาวซีด แต่ยังพกพารอยยิ้มอันอบอุ่นมาด้วย ดูแล้วทั้งน่ารักทั้งน่าสงสารหลายส่วน

ถึงอย่างไรอวี้เซิงเยียนก็มิใช่เยี่ยนอู๋ซือ ยากที่จะเกิดความหงุดหงิด

“เจ้าไม่สบายแต่บอกว่าไม่เป็นไร ข้าเองก็มิใช่คนไม่มีเหตุผล เพียงแต่ภารกิจที่อาจารย์มอบหมายยังต้องสะสาง เรื่องที่เขาให้พวกเราไปทำ ข้าได้สอบถามมาแล้ว แม้เหยียนจือเวิ่นเป็นคนในนิกายเหอฮวน แต่ภรรยาในบ้านกลับไม่ชำนาญวรยุทธ์ ในสำนักตัวเขาก็นับเป็นเพียงยอดฝีมือชั้นรอง บ้านสกุลเหยียนไม่มีการป้องกัน ข้าเพียงคนเดียวก็ทำสำเร็จได้โดยง่าย แต่ในเมื่ออาจารย์ต้องการให้ฆ่าเขายกบ้าน ถึงเวลาข้าจะพาเจ้าไปด้วยกัน รอข้าฆ่าเหยียนจือเวิ่นแล้ว ค่อยจับภรรยากับบุตรให้เจ้าลงมือแล้วกัน”

เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเฉียวรู้ภารกิจที่เยี่ยนอู๋ซือมอบหมายเป็นครั้งแรกว่ามีเนื้อหาเช่นนี้ เขาเผยสีหน้าผิดคาด “เรียนถามศิษย์พี่ นิกายเหอฮวนมีที่มาอย่างไร พวกเรากับเหยียนจือเวิ่นมีความอาฆาตแค้นอันใด”

อวี้เซิงเยียนนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่รู้อะไรสักอย่าง จึงอธิบายให้เขาฟัง “พวกเรานิกายฮ่วนเยวี่ย ยังมีนิกายเหอฮวนและนิกายฝ่าจิ้ง ล้วนกำเนิดมาจากนิกายรื่อเยวี่ยแห่งเมืองเฟิ่งหลิน เมื่อนิกายรื่อเยวี่ยแตกเป็นเสี่ยงๆ แบ่งแยกเป็นสามแขนง กล่าวตามหลักการ พวกเราเกิดจากที่เดียวกัน เดิมควรร่วมมือกันจึงจะถูก แต่ใครๆ ต่างก็ต้องการรวบรวมสำนักเป็นหนึ่ง โดยเฉพาะนิกายเหอฮวน ประมุขนิกายของพวกเขามีนามว่าหยวนซิ่วซิ่ว ศิษย์ในสำนักไม่เหมือนกันกับนาง มักใช้โฉมงามมาบรรลุเป้าหมาย แต่คนเหล่านี้วรยุทธ์ไม่อ่อนด้อย ต่อไปหากเจ้าพบเจอเข้า หนีไปให้ไกลสักหน่อยจะดีกว่า

“หยวนซิ่วซิ่วผู้นี้ยังมีสามีนอกสมรสคนหนึ่ง คือซางอิ่งสิง เคยเป็นศิษย์ของชุยโหยววั่ง หญิงโฉดชายชั่วคู่นี้สมคบกันกระทำเรื่องชั่วช้า วางแผนนู่นนี่ทั้งวัน ยังฉวยโอกาสขณะอาจารย์เก็บตัวสิบปี หมายกลืนกินนิกายฮ่วนเยวี่ยของพวกเราหลายครั้ง”

เสิ่นเฉียวพยักหน้า “แต่ในเมื่อเหยียนจือเวิ่นเป็นเพียงยอดฝีมือชั้นรองของนิกายเหอฮวน ซ้ำยังมีสถานะเป็นขุนนางแคว้นฉี เมื่อก่อนคงไม่เคยหาเรื่องนิกายฮ่วนเยวี่ยเป็นแน่ เหตุใดท่านอาจารย์ยังต้องลงมือกับเขา”

อวี้เซิงเยียนเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ศิษย์น้อง เจ้าได้รับบาดเจ็บครั้งนี้ ช่างไร้เดียงสาโดยแท้! เหยียนจือเวิ่นมีสถานะพิเศษ ก่อนหน้าใช้สถานะขุนนางแคว้นฉีปิดบังอำพราง มีน้อยคนที่รู้ว่าเขาคือคนของนิกายเหอฮวน หากฆ่าเขาแล้ว ประการแรกสามารถเชือดไก่ให้ลิงดู ประการที่สองหากนิกายเหอฮวนรู้ว่าพวกเรารู้รายละเอียดของพวกเขา ต้องมิกล้ากระทำการบุ่มบ่ามเป็นแน่ ประการที่สามพวกเขาฉวยโอกาสขณะอาจารย์ไม่อยู่ หาเรื่องพวกเราหลายครั้ง บัดนี้อาจารย์ออกจากเขาแล้ว หากไม่สั่งสอนให้หลาบจำ ผู้อื่นจะไม่คิดว่านิกายฮ่วนเยวี่ยรังแกได้หรอกหรือ ในปีนั้นหลังชุยโหยววั่งตาย เดิมทีนิกายฮ่วนเยวี่ยคือผู้แข็งแกร่งที่สุดในนิกายทั้งสาม และเป็นผู้ที่มีหวังจะรวมสำนักเป็นหนึ่งได้มากที่สุด เพียงแต่ต่อมาอาจารย์ได้รับบาดเจ็บจึงต้องเร้นกายเก็บตัว ให้โอกาสนิกายเหอฮวนได้หยิบฉวย”

เสิ่นเฉียวกล่าว “เช่นนั้นนิกายฝ่าจิ้งเล่า พวกเขาไม่เคยหาเรื่องพวกเราหรือ”

อวี้เซิงเยียนกล่าว “ความจริงในสามนิกายนี้ นอกจากนิกายเหอฮวนที่มีกำลังคนและอำนาจมากแล้ว นิกายฝ่าจิ้งก็เหมือนกับนิกายฮ่วนเยวี่ย ศิษย์สำนักต่างกระจายไปแต่ละพื้นที่ กระทำการของตัวเอง ยามปกติไม่รวมตัวกัน หลังอาจารย์ออกจากการเก็บตัวก็บอกข้าเพียงคนเดียว ข้าจึงรุดมา ส่วนเจ้า” เขากระแอมเบาๆ หนึ่งเสียงเอ่ยต่อว่า “ย่อมเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บ ฉะนั้น สรุปแล้ว แม้ทั้งสามนิกายต่างหาได้กลมเกลียวกันไม่ แต่ก็มีเพียงนิกายเหอฮวนชอบหาเรื่องอยู่บ่อยๆ กระทำเกินไปที่สุด”

เสิ่นเฉียวถอนหายใจกล่าว “จะยุติเรื่องราว ต้องหาผู้เป็นหัวหน้า ในเมื่อนิกายเหอฮวนยึดหยวนซิ่วซิ่วเป็นหัวหน้า เหตุใดอาจารย์ไม่ไปหาหยวนซิ่วซิ่วโดยตรง เพราะแม้จะหาเหยียนจือเวิ่นพบ แต่ในเมื่อภรรยากับบุตรของเขามิใช่คนในยุทธภพ ไฉนดึงพวกเขาเข้ามาพัวพันอีก”

อวี้เซิงเยียนขยับพู่หน้าเตียงเล็กน้อย ไม่นำพามาใส่ใจ “ในเมื่ออาจารย์มีคำสั่ง เราก็ปฏิบัติตาม ไฉนถามมากเพียงนั้น ตัดหญ้าไม่ถอนโคน ลมวสันต์พัดมาก็งอกขึ้นอีก หากไม่ฆ่าภรรยาและบุตรของเหยียนจือเวิ่น จะรอให้พวกเขามาล้างแค้นในภายหน้าหรืออย่างไร”

เขากล่าวจบก็ลุกขึ้น “เอาล่ะ เรื่องนี้ไม่รีบร้อน ยังเหลืออีกหลายวันกว่าจะถึงวันที่เจ็ด สองวันนี้เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ รอเจ้าหายดีแล้ว ข้าจะให้คนพาเจ้าไปเดินเล่นทั่วเมืองเย่เฉิง ตามความเห็นข้า ด้านในเมืองหลวงทั่วหล้าตอนนี้ เมืองเย่เฉิงมั่งคั่งไม่เป็นรองเมืองเจี้ยนคัง ซ้ำยังใหญ่โตโอ่อ่ากว่าหลายส่วน ควรค่าแก่การเดินเล่น โดยเฉพาะสถานเริงรมย์ในเมือง…”

แม้ว่าอวี้เซิงเยียนอายุเพียงยี่สิบต้นๆ แต่กลับเป็นคุณชายเจ้าสำราญผู้หนึ่ง เขาซ่อนเร้นสถานะของตัว พูดคุยถึงกาพย์กลอน คบหาผู้มีชื่อเสียงแห่งหนานเฉินและมีชื่อเสียงไม่น้อย ยามนี้กำลังจะกล่าวต่อไปด้วยอารมณ์คึกคัก พลันนึกถึงสภาพในตอนนี้ของเสิ่นเฉียว แม้มีกะใจแต่คาดว่าก็คงไม่มีแรง จึงหยุดปากทันเวลา แย้มยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ตอนนี้เจ้าความจำเสื่อม ลืมเรื่องราวในอดีตก็ไม่เป็นไร สรุปแล้ว ในนิกายฮ่วนเยวี่ยเราส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำตามใจปรารถนา ปล่อยตัวตามสบาย ต่อไปคงค่อยๆ เข้าใจ”

ยามเคลื่อนไหวอยู่ภายนอก สถานะที่เยี่ยนอู๋ซือใช้คือพ่อค้าแซ่เซี่ย ป้ายที่แขวนในบ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านสกุลเซี่ย

อวี้เซิงเยียนมักไม่ค่อยอยู่ ทิ้งเสิ่นเฉียวไว้เพียงผู้เดียว เสิ่นเฉียวมีไมตรีต่อผู้คน แต่กลับอ่อนแอมากโรค ทำให้ลูกน้องในบ้านเห็นใจหลายส่วนอย่างเลี่ยงมิได้

โดยเฉพาะสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติหลายคนนั้น หลายวันต่อมาก็ใกล้ชิดกับเสิ่นเฉียวมากขึ้นแล้ว จึงเล่าถึงเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้ รวมถึงทิวทัศน์และน้ำใจผู้คนละแวกบ้านสกุลเซี่ยให้เขาคลายความเบื่อหน่ายอย่างละเอียด

เมื่อร่างกายดีขึ้น ยามว่างไม่มีอะไรทำ เสิ่นเฉียวจึงขอให้พวกเขาพาตนออกจากบ้านไปเดินหลายรอบ พบว่าเมืองเย่เฉิงเป็นดังอวี้เซิงเยียนว่าไว้ ถนนขาวราวหยก หลังคามุงกระเบื้องแกะสลัก สกุลเกาแห่งแคว้นฉีคือชาวเซียนเปยที่กลายเป็นชาวฮั่น กำแพงเมืองและสิ่งก่อสร้าง เสื้อผ้าเครื่องประดับและความชมชอบ ย่อมหลงเหลือรูปแบบของเผ่าเซียนเปยอยู่มาก เทียบกับความประณีตงดงามของทางใต้แล้วยังมากกว่าหลายส่วน ว่ากันว่าเรื่องสุราก็เช่นกัน ซื้อในเหลาสุราเมืองเย่เฉิง เข้มข้นกลมกล่อมกว่าในเมืองเจี้ยนคังเสียอีก

ชุดคลุมกว้างแขนเสื้อใหญ่ ชายเสื้อพลิ้วไหว หญิงสาวโฉมสะคราญ พาหนะชั้นเลิศ แม้เสิ่นเฉียวมิอาจมองเห็น แต่ก็รู้สึกได้ถึงความรุ่งเรืองสวยงามของเมืองหลวงแห่งนี้จากกลิ่นอายหอมหวนอบอุ่นในตรอกน้อยถนนใหญ่ของเมืองเย่เฉิง

สาวใช้พยุงเขาเข้าร้านขายยา เมื่อนั่งลงพักผ่อนที่โถงด้านข้างแล้ว สาวใช้ก็ถือใบสั่งยาไปซื้อยา

ยาคือสิ่งที่ซื้อให้เสิ่นเฉียว ตอนนี้เขาแทบกลายเป็นกระปุกยาแล้ว ทุกวันต้องซดน้ำแกงยาอย่างน้อยหนึ่งถ้วยใหญ่ แม้เยี่ยนอู๋ซือไม่มีเจตนาฟื้นฟูวรยุทธ์ให้เขา แต่ก็มิได้ปล่อยให้เสิ่นเฉียวครึ่งเป็นครึ่งตายต่อไป ยาที่เขาดื่มตอนนี้ หลักๆ คือปรับเลือดลมและชีพจร เสริมกระดูกอบอุ่นหยาง

สภาพของเสิ่นเฉียวในตอนนี้ ไม่มีแม้แต่ลมปราณสักครึ่งส่วน กอปรกับสูญเสียความทรงจำทั้งหมด มิอาจคาดหวังถึงวรยุทธ์ในเวลาอันสั้น เพียงแต่ตอนนี้เขาเดินได้ไม่มีปัญหา เคลื่อนไหวอย่างอิสระ ต้องขอบคุณการดูแลในหลายเดือนนี้

วันนี้สาวใช้ออกมาซื้อยา เขาจึงติดตามออกมาสูดอากาศสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าแม้ดวงตามองไม่เห็น ซ้ำยังเจ็บออดๆ แอดๆ แต่แค่นั่งอยู่ในร้านขายยาก็ดึงดูดสายตาได้ไม่น้อย

ใบหน้านี้ของเสิ่นเฉียวเดิมก็น่ามองอยู่แล้ว แม้ตอนนี้จะผอมลงเล็กน้อย แต่ไม่ส่งผลต่อบุคลิกท่วงท่า ชุดคลุมสีเขียวใบไผ่ธรรมดาๆ ศีรษะมิได้สวมหมวก ใช้เพียงปิ่นไม้ยึดผมเผ้าเอาไว้ นั่งเล่นอย่างสงบ นิ่งเงียบไม่กล่าวคำ ฟังสาวใช้พูดคุยกับเถ้าแก่ร้านขายยา มุมปากปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย

เยี่ยนอู๋ซือคล้ายหาได้กังวลว่าเสิ่นเฉียวออกจากสำนักมาจะถูกจำได้ไม่ ให้เขาเผยหน้าอยู่ภายนอกโดยตรง และมิได้กำชับอวี้เซิงเยียนให้อำพรางรูปโฉมของเขา

เนื่องเพราะไม่ว่าจะก่อนหรือหลังรับช่วงดูแลเขาเสวียนตู เสิ่นเฉียวล้วนลงเขาเผยใบหน้าต่อภายนอกน้อยยิ่งนัก ว่ากันว่าแม้กระทั่งศิษย์ในสำนักเขาเสวียนตูก็ไม่จำเป็นต้องจำเจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้ได้ ก่อนหน้านั้นศิษย์ของเขาเสวียนตูทั้งหลายที่คนภายนอกรู้จักอย่างกว้างขวาง สุดท้ายกลับไม่มีผู้ใดรับช่วงตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่กลับให้เสิ่นเฉียวที่ไม่มีชื่อเสียงเป็นเจ้าสำนัก บางทีสาเหตุอาจมีเพียงตัวฉีเฟิ่งเก๋อที่ล่วงลับไปแล้วเท่านั้นที่รู้

ประการที่สอง วันนั้นคุนเสียนัดประลองกับเสิ่นเฉียว บนยอดเขาปั้นปู้พื้นที่ไม่ใหญ่นัก จุได้เพียงสองคนเท่านั้น คนมุงดูการต่อสู้ที่เหลือล้วนอยู่บนยอดเขาอิงหุ่ยฝั่งตรงข้าม ห่างกันช่วงหนึ่ง คนรอบข้างไม่จำเป็นต้องจดจำหน้าตาของเสิ่นเฉียวใส่ใจ อีกทั้งตอนนี้หลังป่วยหนัก สีหน้าท่าทางของเสิ่นเฉียวเองก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนนัก

แต่สาเหตุเหล่านี้ ล้วนเป็นเพียงสิ่งที่อวี้เซิงเยียนคาดเดาเอาเอง

อวี้เซิงเยียนถึงขั้นลอบรู้สึกว่า ด้วยนิสัยของอาจารย์ คาดว่าความสำคัญของเสิ่นเฉียวที่มีต่อเขา เป็นเพียงเป้าหมายที่สามารถถูกฝึกสอนและหยอกเย้าเท่านั้น

“คุณชาย ซื้อยาเสร็จแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”

เสิ่นเฉียวพยักหน้า สาวใช้พยุงเขาเดินไปข้างนอก คนทั้งสองเพิ่งเดินถึงปากประตูร้านขายยา ก็ได้ยินคนกล่าวว่า “คุณชายผู้นี้ท่วงท่าสง่า หน้าตางดงาม ข้ากลับไม่เคยเห็นมาก่อน ขอเรียนถามชื่อแซ่อันสูงส่ง”

สุ้มเสียงชวนฟังอย่างยิ่ง ฝีเท้าของสาวใช้หยุดชะงัก เสิ่นเฉียวจึงรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังพูดกับตน

“ข้าน้อยเสิ่นเฉียว”

“ที่แท้เป็นคุณชายเสิ่น” สุ้มเสียงของสตรีกังวานเสนาะโสต ฉะฉานชัดเจน “คุณชายเสิ่นเป็นคนเมืองหลวง หรือมาจากตระกูลชั้นสูงบ้านใด”

สาวใช้กล่าวเสียงแผ่วเบาข้างหูเสิ่นเฉียว “ท่านนี้คือหานเอ๋ออิง บุตรีของเจ้าบ้านหาน”

เจ้าบ้านหานมิใช่เจ้าบ้านของบ้านใคร แต่เป็นหานเฟิ่งตำแหน่งซื่อจง แห่งแคว้นฉี คนผู้นี้โด่งดังอย่างยิ่ง บุตรของเขาแต่งกับองค์หญิง ซ้ำยังเรียกขานเป็นสามผู้สูงศักดิ์แคว้นฉีร่วมกับมู่ถีผอและเกาอาน่ากง กุมอำนาจราชสำนัก เป็นบุตรีของสกุลหาน หานเอ๋ออิงย่อมอยากได้ลมต้องได้ลม อยากได้ฝนต้องได้ฝน

เสิ่นเฉียวยิ้มพลางกล่าว “เคยได้ยินชื่อของแม่นางหานนานแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ข้าเจ็บป่วยและตาบอด มิอาจเห็นความงดงามของแม่นางหาน หวังอย่างยิ่งว่าจะให้อภัย รอวันหน้าเสิ่นเฉียวหายป่วย ค่อยไปเยี่ยมเยียนถึงบ้าน”

หานเอ๋ออิงเองก็สังเกตเห็นดวงตาที่ไร้แววของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย ในใจก็คิดว่าอยู่ดีๆ คุณชายรูปงามคนหนึ่งกลับเป็นคนตาบอด จึงกล่าวอย่างหมดความสนใจ “ช่างเถอะ เช่นนั้นท่านพักฟื้นให้เต็มที่เถิด เสี่ยวเหลียน เจ้าไปบอกเถ้าแก่สักคำ ให้เขาเอาคนมาจำนวนหนึ่ง พาคุณชายเสิ่นไปส่ง ทั้งหมดคิดบัญชีที่ข้า!”

เสิ่นเฉียวกล่าว “ขอบคุณแม่นางหาน รับมาแต่ไม่ตอบแทนเท่ากับไร้มารยาท ข้าเองก็มีของตอบแทน โปรดจงรับไว้”

หานเอ๋ออิงมีความสนใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว “เป็นสิ่งใด”

เสิ่นเฉียวกล่าว “อาเหมี่ยว เจ้านำกล่องใบนั้นบนรถมา”

สาวใช้รับคำ วิ่งไปหยิบกล่องที่เสิ่นเฉียวบอกมาอย่างเร่งรีบ

แม้เสิ่นเฉียวมิอาจมองเห็น แต่เขาพูดจาสุภาพอ่อนโยน คำพูดแฝงความหมาย ย่อมมีท่าทีที่ชวนให้เกิดความรู้สึกดีออกมา แม้แต่หานเอ๋ออิงที่โอหังเอาแต่ใจ ขวางบุรุษรูปงามบนถนนใหญ่เพื่อเกี้ยวพาราสีเช่นนี้ ก็อดเสียงอ่อนต่อเขามิได้

สาวใช้หยิบกล่องกลับมา เสิ่นเฉียวกับหานเอ๋ออิงจบหัวข้อสนทนาในไม่กี่ประโยค ต่างฝ่ายต่างบอกลา หานเอ๋ออิงถามที่อยู่ของเสิ่นเฉียว ยังบอกว่าวันหน้าจะเยี่ยมเยียนถึงบ้าน จากนั้นจึงรีบบอกลาจากไป

เมื่อกลับถึงบ้านสกุลเซี่ย อวี้เซิงเยียนรู้เรื่องนี้แล้ว ส่งเสียงจุ๊ๆ ชมเชยอย่างเลี่ยงมิได้ “เจ้าช่างมีความสามารถ ออกจากบ้านรอบหนึ่งก็ได้รู้จักหานเอ๋ออิง สตรีนางนี้คือศิษย์หลานของจ้าวฉืออิ๋งของนิกายปี้สยาแห่งเขาไท่ซาน วรยุทธ์ไม่เท่าไหร่ แต่กลับโชคดีมีบิดาที่ดี ทำให้นางเกะกะระรานในเมืองหลวงแห่งนี้ได้”

เสิ่นเฉียวยิ้มพลางกล่าว “ข้าเห็นนางก็ดี ไม่นับว่าระรานแต่อย่างใด”

อวี้เซิงเยียนหัวเราะฮ่าๆ “นางเป็นคนงามคนหนึ่ง น่าเสียดายที่นิสัยทำให้ผู้คนมิอาจรับได้ ในเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้ไม่มีสักคนไม่รู้สึกเช่นนี้ มีเพียงเจ้าที่บอกว่าดี!”

เสิ่นเฉียวแย้มยิ้มไม่กล่าวคำ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: