X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักวาสนาคนเขลา

ทดลองอ่าน วาสนาคนเขลา บทที่หนึ่ง-บทที่สอง

หน้าที่แล้ว1 of 25

บทที่หนึ่ง

‘คุณหนูรองสกุลหลี่แห่งอำเภอเฉิงเป่ยปัญญาอ่อนไปแล้ว!’

ข่าวที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ราวกับหญ้าแห้งฤดูใบไม้ร่วงถูกไฟป่าเผา ไม่จำเป็นต้องอาศัยแรงลมก็ลามไปเข้าหูชาวเมืองทั่วเมืองเหลียวเฉิงในทันที

เมืองเหลียวเฉิงเป็นเมืองเล็กแถบเจียงหนานของแคว้นฉู่ที่วุ่นวาย ถึงแม้ทางเหนือจะมีศึกและไฟสงครามไม่ขาดช่วง แต่ในเมืองเล็กแถบเจียงหนานแห่งนี้กลับสงบสุขและไม่ถูกสงครามรบกวน ผู้คนยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและอบอุ่นเรื่อยมา

บางครั้งก็มีคลื่นเล็กๆ เกิดขึ้นในน้ำนิ่งบ่อนี้ เป็นข่าวที่ขบวนสินค้าสกุลหลี่แห่งเมืองเหลียวเฉิงที่ทำการค้ามานานหลายปีนำกลับมา แต่ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวานสกุลไป๋พระญาติห่างๆ ของฮ่องเต้ต้าฉู่ควบคุมราชสำนักได้ หรือวันนี้หยวนซู่ที่ก่อกบฏทางเหนือโจมตียึดแผ่นดินทางเหนือได้กว่าครึ่ง เรื่องใหญ่ราวคลื่นลมแรงเหล่านี้ แท้จริงแล้วกลับไม่เกี่ยวอะไรกับผู้คนในเมืองเหลียวเฉิงเลย

อย่างไรเสียไม่ว่าผู้ใดจะเป็นฮ่องเต้ แตงดองกินแกล้มข้าวที่ใส่ในชามกระเบื้องทุกวันยังคงเปรี้ยวอร่อย ใบชาที่ชงในกาดินยังคงหอมสดชื่น แค่ได้ฟังดนตรีหนึ่งเพลงหลังกินอาหารดื่มชา เวลาสบายอารมณ์หนึ่งวันก็จะผ่านไปภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง

ทว่าการเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูรองสกุลหลี่แห่งอำเภอเฉิงเป่ย สำหรับชาวเมืองเหลียวเฉิงแล้ว น่าตกใจหวาดหวั่นยิ่งกว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ถูกสกุลไป๋พระญาติห่างๆ ยึดอำนาจไปจนสิ้นเสียอีก!

คุณหนูรองหลี่เป็นผู้ใดน่ะหรือ นางมิใช่หญิงชราที่รัดเท้าเล็ก ใช้ชีวิตด้วยการเย็บปักในครอบครัวคนทั่วไปแน่นอน

อาศัยความสามารถในการต่อเรือชั้นสูงและประสบการณ์การเดินเรือที่มีมากมาย ขบวนสินค้าสกุลหลี่ก็คุมแถบแม่น้ำต้าเจียงเหนือจรดใต้แล้ว ถึงขั้นเคยขนสัมภาระการทหารให้เรือทหารราชสำนักต้าฉู่ด้วยซ้ำ

หลังจากนายท่านหลี่ป่วยตายไปเมื่อปีที่แล้ว ผู้ที่รับภาระหนักของสกุลหลี่จึงตกไปอยู่ที่คุณหนูรองสกุลหลี่ หลี่รั่วอวี๋

สกุลหลี่มาถึงรุ่นนี้ มีบุรุษสืบสกุลน้อยลง บุตรชายภรรยาเอกเพียงคนเดียวอายุแค่เจ็ดขวบ บุตรสาวที่เหลืออีกสองคน ก็คือพี่สาวคนโตที่แต่งงานไปแล้ว และพี่สาวคนรองอายุสิบเจ็ดปีที่มีชื่อว่าหลี่รั่วอวี๋

หลี่รั่วอวี๋ผู้นี้แม้จะเป็นสตรีตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง แต่มีความฉลาดเหนือผู้ใดมาตั้งแต่เด็ก ด้วยชอบเข้าออกห้องหนังสือของบิดา ได้ยินได้เห็นมามาก จึงได้ออกแบบเรือเล็กความเร็วสูงที่เดินทางได้วันละพันลี้ ปกปิดชื่อเข้าร่วมการแข่งขันต่อเรือในตอนนั้นและได้รางวัลชนะเลิศ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว

นับจากตอนนั้น หลังจากนายท่านหลี่ครุ่นคิดอย่างหนักก็ทำการที่น่าตกใจอย่างการส่งต่อเคล็ดวิชาการต่อเรือสกุลหลี่ที่ไม่เคยถ่ายทอดให้สตรีชื่อว่า ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ ให้กับหลี่รั่วอวี๋บุตรสาวคนที่สองของตนเอง คุณหนูรองหลี่ผู้นี้ก็ไม่ทำให้ท่านพ่อเสียทีที่รักใคร่ ทำให้วิชาการต่อเรือของสกุลหลี่กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

เรือของสกุลหลี่ใช้เงินหมื่นตำลึงทองก็ยังหาได้ยาก คุณหนูรองหลี่ยิ่งเป็นเสมือนของล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้ คนที่มาทาบทามสู่ขอถึงบ้านมีไม่ขาดสาย รองเท้าปักที่แม่สื่อขจัดทิ้งสามารถเติมเต็มแม่น้ำอวิ้นเหอนอกเมืองเหลียวเฉิงได้เลยทีเดียว

คุณหนูรองหลี่อายุยังน้อย แต่มีความคิดมาก ประกาศกับคนภายนอกว่าวิชาสกุลหลี่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอก หากมีใจให้นางจริง ก็ต้องแต่งเข้าสกุลหลี่ มาเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าสกุล

แต่แม้จะยื่นเงื่อนไขโหดร้ายเช่นนี้ออกไป คนที่เข้ามาขอแต่งงานก็ยังไม่ขาดสาย สุดท้าย เสิ่นหรูป๋อคุณชายรองสกุลเสิ่น ตระกูลใหญ่แห่งเจียงหนานผู้งามสง่า ความรู้ความสามารถเกินผู้ใดก็เอาชนะใจของหลี่รั่วอวี๋ได้ หลายปีก่อนได้ทำการหมั้นหมายกัน เดิมทีจะจัดงานแต่งในเดือนหน้า…

ทว่าหญิงสาวที่สุขุมฉลาดเกินผู้ใดเช่นนี้ หลังจากเกิดอุบัติเหตุตกจากหลังม้า บาดเจ็บที่หัวและกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไป… ช่างทำให้คนเห็นต้องทอดถอนใจ สวรรค์อิจฉาคนงามจริงๆ!

นอกจากทอดถอนใจแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นของชาวเมืองเหลียวเฉิงก็ยังอดกลั้นไว้ไม่อยู่ ล้วนพูดกันว่าเมื่อตกทุกข์จะเห็นความจริงใจ ตอนนี้หญิงที่มีความสามารถมากกลายเป็นคนปัญญาอ่อน เช่นนั้นคุณชายรองสกุลเสิ่นยังจะยอมแต่งเข้าสกุลหลี่อีกหรือไม่

“แน่นอนว่าจะแต่งงานแบบนี้ไม่ได้แล้ว!” ผู้ที่พูดคือเสิ่นเฉียวซื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่น

หลังวางกระบอกยาเส้นกระดองเต่าในมือลงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นที่กึ่งเอนนอนอยู่บนตั่งนิ่มก็เลิกคิ้วพูดเสียงยานคาง “ป๋อเอ๋อร์ เจ้าต้องคิดให้ดีก่อนทำนะ สกุลหลี่ของนางต่อให้ร่ำรวยล้นฟ้าเพียงใด ก็เป็นแค่พ่อค้า เดิมทีก็ไม่คู่ควรกับครอบครัวขุนนางของพวกเราอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะรุ่นท่านพ่อของเจ้า ดวงการเป็นขุนนางของสกุลเสิ่นไม่สู้ดี พี่ใหญ่เจ้าอยู่ในราชสำนักได้รับความเดือดร้อนจากคดีก่อความวุ่นวายของหวังฉี ถูกเนรเทศไปที่หลิ่งหนานถิ่นทุรกันดาร แม่คงไม่ยอมให้เจ้าลดตัวเอง แต่งเข้าไปในบ้านหญิงร้ายกาจผู้นั้นหรอก…”

พูดถึงตรงนี้ นางก็ผ่อนลมหายใจ ก่อนจะสูบกระบอกยาเส้นอีกหนึ่งที แล้วพูดต่อท่ามกลางไอควัน “เดิมคิดว่าหลี่รั่วอวี๋นั่นแม้จะไม่ใช่หญิงที่เพียบพร้อม อย่างไรเสียก็ได้รับวิชาของสกุลหลี่เพียงผู้เดียว และมีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลไป๋พระญาติห่างๆ ของราชสำนัก สามารถช่วยสกุลเสิ่นของพวกเราได้ แต่ตอนนี้ตกม้าทำให้สมองซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่มีค่าเสียไป เจ้ายังจะเอานางมาทำอะไรอีกเล่า”

ในขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นกำลังพูดอยู่ เสิ่นหรูป๋อยังคงก้มหน้าอยู่หน้าโต๊ะ จัดการสมุดบัญชีไร่นาหลายเล่มในมือ รอจนฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นพักหายใจ เริ่มสูบยาเส้นอีกครั้ง เขาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หรี่ดวงตางามแล้วพูดว่า “ท่านแม่ คำพูดเช่นนี้ขออย่าได้มาพูดในห้องหนังสือของลูก ระวังจะเข้าหูผู้อื่น ลูกกับรั่วอวี๋ตัดสินใจแต่งงานด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย เพียงเพราะนางได้รับอุบัติเหตุ จะให้ลูกหันหลังให้สัญญาทิ้งคุณธรรม ถูกผู้คนเหยียดหยามได้อย่างไร”

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นฟังแล้วก็ไม่สนใจสูบยาเส้นอีก รีบดีดตัวลุกนั่ง เคาะขอบตั่งอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วพูดว่า “นางกรอกยากล่อมประสาทอะไรให้เจ้า ทำให้หลงใหลไม่ตื่นเช่นนี้ หรือว่าเจ้าจะยอม ‘แต่ง’ เข้าสกุลหลี่นั่น ปรนนิบัติหญิงปัญญาอ่อนผู้นั้นไปชั่วชีวิตจริงๆ หรือ!”

เสิ่นหรูป๋อลงบัญชีตัวสุดท้ายแล้วก็วางพู่กันในมือลง ก่อนจะลุกขึ้นยืน ตะโกนเรียกบ่าวร่วมเรียนหน้าห้องหนังสือให้เตรียมม้าเพื่อออกไปข้างนอก

แม้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นจะรู้ว่าบุตรชายคนรองของตนเองผู้นี้จิตใจยากจะคาดเดา แต่พอมาเห็นเขาหลงใหลไม่ตื่น ไม่สนใจคำเตือนของนางเช่นนี้ก็โกรธจนหายใจไม่ออก ลุกขึ้นยืนตรง เตรียมจะพูดอบรมบุตรชายยกใหญ่

ทว่ายังไม่ทันรอให้นางเอ่ยปาก เสิ่นหรูป๋อก็เบือนหน้าหนี พูดเสียงเย็นชาว่า “เดือนก่อนในคฤหาสน์มีเงินสามร้อยตำลึงไม่ตรงบัญชี ได้ยินพ่อบ้านบอกว่าท่านแม่โยกย้ายเงินจากหอซั่นฉือไปให้บ้านท่านลุง…”

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นคิดไม่ถึงว่าบุตรชายจะถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหันจึงชะงักไปชั่วครู่ ได้ยินเพียงเสิ่นหรูป๋อพูดต่อไปว่า “ท่านก็บอกแล้วว่าตอนนี้สกุลเสิ่นของพวกเรากำลังตกต่ำ พี่ใหญ่ไม่อยู่ สกุลเสิ่นต้องอาศัยลูกคอยค้ำจุนเอาไว้ สกุลเสิ่นของพวกเรามีรายรับน้อยกว่ารายจ่ายมาหลายปี ถึงตอนนี้ยังพอมีเงินเหลืออยู่ เสื้อผ้าอาหารของท่านแม่ไม่เสียหายแม้แต่น้อย แม้แต่ยาเส้นเตียนหนานในมือท่านที่ราคาชั่งละห้าสิบตำลึงเงินก็ยังมีให้ไม่ขาดแม้แต่วันเดียว ลูกไม่ขออย่างอื่น แต่ขอให้ท่านแม่ดูแลคลังเงินสกุลเสิ่นให้ดีก็นับเป็นวาสนาของลูก เป็นโชคดีของสกุลเสิ่นแล้ว สำหรับเรื่องอื่น หวังว่าท่านแม่อย่ากลัดกลุ้มกังวลใจเลย…”

คำพูดเสียดแทงใจเช่นนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นมีสีหน้าเคืองโกรธ นางเป็นคุณหนูที่มาจากตระกูลร่ำรวย มีเสื้อผ้าดีอาหารดีมาตั้งแต่เด็ก มีความราบรื่นทุกอย่าง สามีที่ล่วงลับกับบุตรชายคนโตล้วนทำตามนางทุกอย่าง มีเพียงบุตรชายคนรอง ไม่รู้ว่าได้นิสัยมาจากผู้ใด ทำลายชื่อเสียงมารดาตนเองแล้วยังไม่ละอาย ช่างน่าโมโหเสียจริง

ระหว่างที่พูด เสิ่นหรูป๋อก็ทิ้งท่านแม่ที่ยังคงตกตะลึงเดินมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์แล้ว ก่อนที่เขาจะพลิกตัวขึ้นหลังม้า สะบัดแส้ในมือ และรีบรุดไปที่คฤหาสน์สกุลหลี่ในอำเภอเฉิงเป่ย…

ตอนเสิ่นหรูป๋อไปถึงคฤหาสน์สกุลหลี่ คนเฝ้าประตูก็รายงานว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ออกไปตามหาท่านหมอชื่อดัง ตกเย็นจึงจะกลับคฤหาสน์

เสิ่นหรูป๋อได้ฟังแล้วเพียงแค่พยักหน้า ไม่ได้หมุนตัวเดินจากไป แต่มอบแส้ม้าให้กับคนเฝ้าประตู จากนั้นก็เดินตรงไปเรือนด้านหลังคฤหาสน์สกุลหลี่อย่างคุ้นเคย

บ่าวไพร่ของคฤหาสน์สกุลหลี่เหมือนจะเห็นเป็นเรื่องปกติ จึงไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด

เพราะบ่าวไพร่ล้วนรู้ว่า คุณหนูรองของตนเองไม่ใช่หญิงสาวที่ถูกเลี้ยงอยู่แต่ในเรือน นางกับคุณชายรองเสิ่นแม้จะยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่มีความรักลึกซึ้งต่อกัน หลังจากทำการหมั้นหมายเมื่อสามปีก่อน เสิ่นหลี่สองสกุลก็ร่วมมือกันเปิดสาขาการค้าหลายแห่ง ดังนั้นคุณชายรองเสิ่นจึงมาพบคุณหนูปรึกษาเรื่องสำคัญทางการค้าอยู่บ่อยครั้ง ในสายตาของบ่าวไพร่ คุณชายรองเสิ่นที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านผู้นี้ก็สนิทเหมือนกับคนในบ้านเดียวกัน หากไม่ใช่เพราะนายท่านล่วงลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน คุณหนูรองอยากไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อ ทั้งสองคงจะแต่งงานกันไปแล้ว จะดึงเวลามาถึงวันนี้ได้อย่างไร… ส่วนคุณหนูรองอาจจะหลบผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้ ไม่ตกจากหลังม้า… เฮ้อ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นชะตาจากสวรรค์จริงๆ!

ตอนที่เงาร่างสูงใหญ่ของเสิ่นหรูป๋อปรากฏขึ้นตรงประตูวงเดือนในสวนดอกไม้ด้านหลัง เสียงดังสนั่นที่ดังมาจากในศาลาพักร้อนบนสระน้ำของสวนดอกไม้ก็ทำให้เขาชะงักฝีเท้า ก่อนจะช้อนตามองไป ท่ามกลางดอกเข็มที่เบ่งบาน ทำให้เงาร่างบอบบางในศาลาพักร้อนนั้นยิ่งดูหงอยเหงากว่าเดิม

เห็นหญิงผู้นั้นหันหลังให้เขาคุกเข่าอยู่บนพื้นหิน ผมยาวราวเส้นไหมไม่ได้มวยขึ้น ปล่อยให้เส้นผมปลิวสะบัด คลอเคลียไปบนแผ่นไหล่บาง

เสิ่นหรูป๋อหรี่สองตาเรียวยาวลงเล็กน้อย แล้วก้าวเท้าเดินไปบนศาลายาวอย่างช้าๆ มาถึงด้านหลังร่างบางนั่น พอก้มหน้าลงดูจึงพบว่านางเหมือนจะทำถ้วยชาหยกขาวถ้วยหนึ่งตกแตก กำลังวุ่นวายเช็ดคราบชาที่กระเด็นถูกคอเสื้ออยู่ท่ามกลางเศษหยกที่แตกกระจาย… เนื้อผ้าบางเปียกชื้นนั้นแนบไปกับแผ่นอกเนียนของหญิงสาว เผยให้เห็นลายดอกบนบังทรงสีบานเย็นที่อยู่ข้างใน เมื่อลมหายใจเข้าออก ส่วนโค้งที่งดงามก็ทำให้คนหายใจไม่ทั่วท้อง…

ดูเหมือนจะเหลือบเห็นรองเท้าใหญ่ข้างกาย หญิงสาวเงยหน้าขึ้นอย่างลังเล ใต้หน้าผากงดงามนั้นคือดวงตาโตที่เปล่งประกายงดงาม แต่ดวงตาคู่งามนี้เหมือนจะขาดความฉลาดเฉลียวเหมือนที่ผ่านมา ดูเหม่อลอย มองชายหนุ่มสูงใหญ่งามสง่าข้างกายนี้อย่างหวาดหวั่น

เสิ่นหรูป๋อไม่ได้ส่งเสียงพูด ราวกับกำลังปรับลมหายใจอยู่ แม้จะผ่านไปสองเดือนเต็มแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นนาง นางที่ปกติจะสงบนิ่งงามสง่ามีท่าทางหวาดหวั่นเช่นนี้ เขาก็รู้สึกลังเลใจอยู่บ้าง…

หลังจากล้มหัวฟาด หญิงสาวที่ฉลาดเฉลียวผู้นี้ก็พูดจาไม่เป็นคำ ได้ยินท่านหมอชื่อดังที่เชิญมาจากเมืองหลวงพูดว่า คงเพราะมีก้อนเลือดคั่ง กระทบถึงสมองส่วนความคิดของนาง ทำให้นางเหมือนเด็กอายุสามขวบ การสวมใส่เสื้อผ้า การกินอาหาร การดำเนินชีวิตล้วนต้องค่อยๆ สอนกันไป

วันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้างกายนางจึงไม่มีผู้ใดเลย ปล่อยให้นางอยู่ในศาลาพักร้อนแห่งนี้ตามลำพัง

เพราะช่วงเวลานี้นอนติดเตียง ผิวพรรณที่ก่อนหน้าเคยผ่านการเข้าออกอู่เรือและตากแดดจนคล้ำเพราะไม่ได้เจอแสงแดดมานาน จึงค่อยๆ เปลี่ยนกลับเป็นผิวขาวราวหิมะดังเดิม ริมฝีปากสีชมพูทั้งสองกลีบราวกับย้อมด้วยน้ำผึ้ง ปลายคางที่งดงามแต่เดิม ในวันนี้ยิ่งดูเรียวแหลมมากกว่าเดิม เมื่ออยู่ภายใต้ผมงามดำขลับแล้ว ใบหน้านั้นยิ่งดูเล็กน่ารัก…

ความสามารถของคุณหนูรองสกุลหลี่ดังไปทั่วเหนือจรดใต้ ความห้าวหาญที่ฝึกฝนมาจากครอบครัวพ่อค้าทำให้ศัตรูคู่อริของสกุลหลี่ต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ลมพัดแดดส่องมานาน และไม่ชอบการแต่งหน้าแต่งตัว มีความสามารถที่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าซึ่งทำให้คนมองข้ามรูปโฉมแต่เดิมของนางไป…

แต่ในวันนี้ เพราะตกจากม้าจนกระเทือนถึงสมอง สาวน้อยที่อยู่ในวัยแรกแย้มนี้จึงถอดพิษร้ายหนามแหลมในอดีตทิ้งไป เปิดเผยความงามนิ่มนวลที่ซ่อนเอาไว้ใต้เปลือกแข็งอย่างไม่ปิดบัง…

เสิ่นหรูป๋อย่อตัวที่สูงใหญ่ลงอย่างช้าๆ ภายใต้สายตาหวาดหวั่นของหญิงสาว แล้วยื่นนิ้วมือยาวออกไป ลูบเบาๆ บนแก้มนวลเนียนของหญิงสาว นิ้วยาวลูบสัมผัสสักครู่ก็เลื่อนลงมากลางริมฝีปากสองกลีบนั้นอย่างง่ายดาย วนเวียนอยู่สักครู่ก็เลื่อนเข้าไปในปากของนางอย่างช้าๆ ราวกับอสรพิษที่ตั้งท่ารอมานาน ความเย็นวนเวียนอยู่ที่ปลายลิ้นนุ่มลื่นของนาง…

หลี่รั่วอวี๋ถูกนิ้วยาวนั้นหยอกเย้าจนรู้สึกไม่สบายตัวจึงขัดขืนจะหลบหลีก แต่ปลายคางเล็กน่ารักกลับถูกมือใหญ่ทรงพลังอีกข้างหนึ่งของชายหนุ่มยึดไว้ทำให้สลัดไม่หลุด ปากที่ไม่อาจหุบลงได้ตามใจ มีน้ำหวานไหลออกมาจากมุมปากช้าๆ ในดวงตาคู่งามมีน้ำตาแห่งความกล้ำกลืนคลอหน่วย

เสิ่นหรูป๋อดวงตาน่ากลัวขึ้นหลายส่วน ก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะโน้มลงต่ำเข้าหาคนที่ตัวสั่นเทาตรงหน้าอีกนิด

แต่ในตอนนี้เอง ข้างประตูวงเดือนนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังลอยมา “คุณหนูรอง! คุณหนูรอง ท่านอยู่ที่ใดเจ้าคะ”

หล่งเซียงสาวใช้ประจำตัวหลี่รั่วอวี๋วิ่งเข้ามาทางประตูวงเดือนของสวนดอกไม้อย่างร้อนใจ พอช้อนตาขึ้นก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของเสิ่นหรูป๋อนั่งย่อตัวอยู่ในศาลาพักร้อน แต่เพราะร่างของเขาใหญ่มาก จึงทำให้มองเห็นภาพตรงหน้าตัวเขาไม่ชัด พอเดินเข้าไปอีกไม่กี่ก้าวจึงเห็นคุณชายรองเสิ่นประคองคุณหนูรองที่นั่งอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้ว

เมื่อครู่โจวอี๋เหนียงในคฤหาสน์พาบุตรสาวคุณหนูสามหลี่เสวียนเอ๋อร์มาดื่มชาที่นี่ แม้ตัวคนจะกลับเรือนไปแล้ว แต่เครื่องชาเต็มโต๊ะยังไม่ทันเก็บ ตนเองก็ประมาท เพิ่งไปดูยาหม้อในห้องครัวเพียงชั่วครู่ ป้าหลิ่วบ่าวหญิงอาวุโสที่เฝ้าประตูไปสุขา คุณหนูรองก็เดินมาถึงที่นี่คนเดียวอย่างเงียบๆ ดูจากสถานการณ์แล้วน่าจะไม่ระวังจนทำถ้วยชาตกแตก ไม่รู้ว่ามือเท้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่

รอจนหล่งเซียงเดินเข้ามาใกล้ จึงเห็นว่ามุมปากของคุณหนูรองยังมีคราบน้ำลายติดอยู่ก็รู้สึกปวดใจ เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือน คุณหนูรองที่เฉลียวฉลาดเหนือผู้ใดของนางกลับปัญญาอ่อนถึงขั้นนี้ น้ำลายไหลก็ยังเช็ดให้ตนเองไม่เป็น ยังจะมีโอกาสกลับมาดีเหมือนเดิมได้หรือ

ยังไม่ทันที่นางจะส่งเสียงพูดอีกครั้ง เสิ่นหรูป๋อก็พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เหตุใดข้างกายคุณหนูรองจึงไม่มีคนคอยปรนนิบัติ เมื่อครู่ตอนข้ามานางก็ล้มลงพื้นแล้ว ถ้าถูกเศษถ้วยบาดเจ็บไปจะทำอย่างไร”

หล่งเซียงมีสีหน้าละอายใจ รีบโค้งคำนับแล้วพูดว่า “บ่าวสมควรตาย ประมาทไปชั่วครู่ ปล่อยให้คุณหนูออกจากเรือนมาคนเดียว” นางกล่าวพลางจะยื่นมือไปประคองตัวหลี่รั่วอวี๋

แต่เสิ่นหรูป๋อกลับกางแขนช้อนอุ้มหลี่รั่วอวี๋ขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปทางเรือนชั้นในของนาง หลี่รั่วอวี๋ก็ไม่รู้ว่าโมโหอะไร บิดตัวไม่ยอมให้เสิ่นหรูป๋อเข้าใกล้ ถูกแขนเหล็กนั้นอุ้มไว้แน่นไม่อาจเป็นอิสระได้ แต่ปากกลับส่งเสียงอ้อแอ้ ยื่นสองมืองามแล้วใช้เล็บยาวข่วนใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นหรูป๋อจนเป็นรอยเลือดหลายรอย

ทว่าข่วนจนเป็นเช่นนี้เสิ่นหรูป๋อกลับไม่ขุ่นไม่เคือง เพียงขยับแขนเล็กน้อย ไม่ได้หลบหลีก ปล่อยให้หลี่รั่วอวี๋ข่วน ปากก็พูดอย่างอ่อนโยน “รั่วอวี๋เด็กดี เมื่อครู่เพิ่งหกล้ม ไม่รู้ว่าบาดเจ็บถึงเอ็นถึงกระดูกหรือไม่ รอข้าอุ้มเจ้าเข้าห้อง ตามท่านหมอมาตรวจอาการสักหน่อย เด็กดี อีกครู่จะปล่อยเจ้าลงนะ…”

ว่ากันว่าเมื่อตกทุกข์จะเห็นความจริงใจ สองเดือนมานี้ ไม่ว่าหลี่รั่วอวี๋จะหมดสติไม่ยอมฟื้นหลังตกจากหลังม้า หรือเมื่อฟื้นแล้วก็กระเทือนถึงสมอง ทั้งจำคนไม่ได้และไม่พูดจา เสิ่นหรูป๋อผู้นี้ล้วนไม่ทอดทิ้ง และไม่แสดงท่าทางรังเกียจแต่อย่างใด

ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ว่าเสิ่นหรูป๋อผู้นี้มีความสามารถทั้งบุ๋นบู๊ และมีความสง่างาม รูปโฉมหล่อเหลาเรียกได้ว่าเป็นชายงาม หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้สกุลเสิ่นตกต่ำลงมาก บุตรชายสกุลเสิ่นที่บรรพบุรุษเคยเป็นขุนนางถึงขั้นอัครเสนาบดีคงไม่ยอมแต่งเข้าสกุลหลี่แน่นอน

เดิมทีบ่าวไพร่ในคฤหาสน์ก็เป็นเหมือนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ตอนแรกที่ได้ยินว่าคุณชายรองเสิ่นยอมรับเงื่อนไขสุดโหดของคุณหนูก็ล้วนติดใจสงสัยว่าคุณชายรองเสิ่นหรูป๋อที่ชะตากำหนดให้ไม่อาจสืบทอดสกุลเสิ่นอันรุ่งเรือง ซ้ำยังไม่ติดอันดับในการสอบที่เมืองหลวงจะพุ่งเป้ามาที่ทรัพย์สมบัติสกุลหลี่จึงยอมแต่งเข้าสกุลหลี่

แต่หลายปีมานี้ เห็นคุณชายลูกขุนนางผู้นี้ที่เดิมทีไม่รู้เรื่องการค้าขายเลย ทำกิจการสาขาร้านหลายแห่งได้รุ่งเรืองภายใต้การชี้แนะของคุณหนูของตน พลิกสภาพเลวร้ายของสกุลเสิ่นที่มีรายได้ไม่พอรายจ่ายจนต้องขายทรัพย์สินของบรรพบุรุษได้อย่างสิ้นเชิง เพียงพอจะทำให้เห็นว่าคุณชายรองผู้นี้ไม่ใช่ลูกเศรษฐีที่ทำอะไรไม่เป็น

ได้ยินว่าคุณชายใหญ่สกุลเสิ่นที่ถูกลดตำแหน่งจะฟื้นตัวได้แล้ว เพราะได้รับความรักชื่นชมจากสกุลไป๋ จึงขึ้นตำแหน่งกลับเข้าเมืองหลวงตามเดิม

สกุลเสิ่นใกล้จะฟื้นคืนอำนาจดังเดิมแล้ว ในตอนนี้คุณหนูรองกลับป่วยร้ายแรง หากคุณชายรองเสิ่นล้มเลิกการแต่งงาน ถอนการหมั้นหมายที่เดิมไม่ค่อยเหมาะสมกันอยู่แล้ว คนรอบข้างก็ไม่อาจพูดอะไรได้

แต่คุณชายรองเสิ่นกลับมาดูอาการป่วยของคุณหนูรองแทบทุกวัน มีความรักลึกซึ้งไม่คิดทอดทิ้ง ทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งใจ แม้คุณหนูรองจะโชคร้าย แต่กลับได้ว่าที่สามีที่มีน้ำใจและคุณธรรมเช่นนี้ ก็นับว่ามีครึ่งชีวิตที่เหลือนั้นมั่นคงแล้ว…

คิดถึงตรงนี้ หล่งเซียงก็ขอบตาแดงขึ้นมาอีกครั้ง ทนไม่ไหวจนน้ำตาไหลแทนคุณหนูรองไปหลายหยด

รอจนเสิ่นหรูป๋ออุ้มหลี่รั่วอวี๋เข้าเรือนชั้นใน วางตัวนางลงบนเตียงแล้ว ดวงตาโตของหลี่รั่วอวี๋ก็แดงก่ำ คว้าหมอนนุ่มปักลายบนเตียงทุ่มใส่เสิ่นหรูป๋ออย่างไม่ไยดี

เสิ่นหรูป๋อไม่ได้หลบหลีก ปล่อยให้นางทุบตีไม่หยุด ในใจกลับคิดว่า… นิสัยนี้ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงแข็งกร้าวไม่ยอมถูกทำร้ายแม้แต่น้อยเช่นเดียวกับตอนก่อนจะได้รับบาดเจ็บ

หล่งเซียงทนดูไม่ไหวจึงรีบไปขวางหน้าเสิ่นหรูป๋อ พูดปลอบเสียงอ่อนโยนอยู่ครู่ใหญ่ จึงทำให้หลี่รั่วอวี๋สงบอารมณ์ลงได้ ม้วนผ้าห่มแพรบนเตียง ปล่อยให้ผมยาวคลอเคลียผืนผ้า ขดตัวอยู่ตรงมุมเตียง

ในตอนนี้เอง บ่าวก็มารายงานเสิ่นหรูป๋อว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับคฤหาสน์มาแล้ว

ดังนั้นเสิ่นหรูป๋อจึงเดินตามบ่าวผู้นั้นไปพบฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่โถงด้านหน้า

หลายวันมานี้ด้วยอารมณ์ขึ้นลงและทำงานเหน็ดเหนื่อย ทำให้จอนผมของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ขาวขึ้นมาก เดิมทีนางเป็นคนที่ไม่ชอบทำงานวุ่นวาย หลังจากแต่งเข้าสกุลหลี่ ได้สามีคอยดูแลจัดการเรื่องทุกอย่างในร้าน ภายหลังสามีตายจากไปก็ได้บุตรสาวคนรองรับหน้าเพียงผู้เดียว จัดการเรื่องทุกอย่างทั้งในนอกคฤหาสน์ นางจึงมีชีวิตอย่างเงียบสงบมีอิสระเช่นกัน

แต่ผู้ใดจะคิดว่าการออกนอกบ้านตามปกติครั้งหนึ่ง ทำให้บุตรสาวตกม้ากลายเป็นปัญญาอ่อนไป นางคลอดลูกคนสุดท้องตอนอายุเกือบห้าสิบ เดิมทีก็เหนื่อยล้ามากแล้ว ตอนนี้ภารกิจใหญ่น้อยในคฤหาสน์ยังทะลักเข้ามาหานางราวน้ำหลากอีก โชคดีมีเสิ่นหรูป๋อว่าที่ลูกเขยผู้เพียบพร้อมคอยช่วยนางดูแลจัดการงานในร้านค้าขบวนเรือเป็นอย่างดี และมีพ่อบ้านและคนงานในสกุลหลี่คอยช่วยดูแล ไม่เช่นนั้นกิจการของสกุลหลี่คงจะเสียหายไปในมือของแม่บ้านแม่เรือนเช่นนางแน่นอน

ตอนนี้ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ เสิ่นหรูป๋อผู้นี้ก็เปรียบเสมือนบุตรชายในไส้ของนาง พอเห็นใบหน้าของเสิ่นหรูป๋อมีรอยข่วนสดๆ นางก็หน้าเสีย พูดทอดถอนใจว่า “รั่วอวี๋เป็นคนข่วนหรือ”

เสิ่นหรูป๋อนั้นไม่ใส่ใจ เพียงฉีกยิ้มกล่าว “เมื่อครู่ข้าไม่ระวัง ตอนเดินผ่านลานบ้านถูกกิ่งไม้เกี่ยวเอา ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องเป็นห่วง”

แต่เสิ่นหรูป๋อยิ่งสุภาพเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ยิ่งไม่สบายใจ “เดิมทีไม่รู้ว่าเจ้าละเอียดอ่อนจิตใจหนักแน่นเช่นนี้ ลูกของข้ายังไม่รู้จักพอ ก่อนเกิดเรื่องยังหาเรื่องจะล้มเลิกการแต่งงานกับเจ้า ตอนนี้นางกลายเป็นแบบนี้แล้ว เห็นทีคงกลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แม้ข้าที่เป็นแม่จะสงสารนาง แต่ก็ไม่อาจขัดต่อด้านดีในใจทำร้ายคุณชายบ้านอื่น ด้วยหน้าตานิสัยของเจ้าควรจะมีคู่ครองที่ดีกว่านี้ หนังสือยกเลิกการหมั้นหมายที่รั่วอวี๋เขียนไว้ก่อนหน้านี้ยังอยู่ แต่ตอนนั้นเกิดเรื่องกับนางอย่างกะทันหัน ไม่ทันส่งไปที่คฤหาสน์ของเจ้า… ตอนนี้คิดว่าคงเป็นกรรมตามสนอง เดิมทีบุตรสาวของข้าทำผิดต่อเจ้า ตอนนี้ข้าจะยกเลิกการแต่งงานแทนนางเอง วันที่บนหนังสือนั่นปลอมแปลงไม่ได้ ถ้าคนรอบข้างคิดจะนินทาอะไรเจ้า หนังสือนี้ก็คือหลักฐาน… ไม่ว่าวันข้างหน้าเจ้าจะแต่งกับคุณหนูสกุลใด ข้าจะยังเห็นเจ้าเป็นลูกเขย ไม่กล่าวโทษเจ้าแม้แต่น้อย…”

พูดพลางฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็สั่งสาวใช้ข้างๆ ให้เอาซองจดหมายที่ปิดผนึกขี้ผึ้งเอาไว้มาฉบับหนึ่ง อักษรอ่อนช้อยแต่ทรงพลังบนนั้นมาจากฝีมือของลูกสาวตนเอง

ตอนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พูด เสิ่นหรูป๋อก็อดทนฟังด้วยความเคารพ แต่ตอนที่ได้ยินว่าหลี่รั่วอวี๋จะล้มเลิกการแต่งงาน ก็ขมวดคิ้วเหมือนเสียใจ เมื่อจดหมายยื่นมาที่มือของเขาแล้ว เขาก็ดึงกระดาษออกมาอย่างเบามือ หลังจากอ่านอย่างคร่าวๆ แล้วก็เอ่ยปากถาม “ฮูหยินผู้เฒ่ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดรั่วอวี๋จึงอยากล้มเลิกการแต่งงานกับข้า”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ชะงักไปเพราะความละอายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าก็รู้ดี ความคิดของนางนางตัดสินใจเองมาตลอด นับจากขนสัมภาระการทหารกลับจากเมืองหลวงครั้งก่อน จู่ๆ ก็มาบอกข้าเรื่องจะล้มเลิกการแต่งงาน ซักต่ออีกนางก็ปิดปากไม่ยอมพูด… สรุปก็คือ สกุลหลี่ของพวกเราเลี้ยงบุตรสาวไม่ดี ขอให้คุณชายรองเสิ่นอย่าถือโทษรั่วอวี๋เลย…”

เสิ่นหรูป๋อฟังถึงตรงนี้ นิ้วยาวออกแรงเพียงนิด กระดาษแผ่นนั้นก็กลายเป็นผุยผง จากนั้นเขาจึงเอ่ยปาก “ถ้ารั่วอวี๋ไม่เป็นอะไร ในใจนางมีคู่หมายปองที่ดี ข้าคงไม่กล้าขัดความประสงค์ของนาง แต่ตอนนี้นางกลายเป็นเช่นนี้ แม้สกุลหลี่จะไม่ทุกข์ร้อนเรื่องเสื้อผ้าอาหารการกิน ภายหน้าถ้าท่านไม่อยู่แล้ว… จะมีผู้ใดคอยดูแลรั่วอวี๋เล่า ข้าไร้ความสามารถ ยินดีจะดูแลรั่วอวี๋ทั้งใจไปชั่วชีวิต ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าอุ้มสมข้าด้วย”

คำพูดนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่น้ำตาไหลจนควบคุมไม่อยู่ บุตรสาวกลายเป็นแบบนี้ เรื่องการแต่งงานจะไม่ทำให้รู้สึกกังวลได้อย่างไร หากเป็นคนอื่น นางย่อมไม่วางใจ แต่เสิ่นหรูป๋อเป็นคนรักษาคำพูดมาแต่ไหนแต่ไร เขายอมพูดเช่นนี้ ย่อมตัดสินใจมาแน่วแน่แล้ว ไม่มีทางรังเกียจบุตรสาวตนเองเด็ดขาด นางน้ำตาไหลราวสายฝนในทันที “คุณชายเสิ่น… ท่านเป็นคนมีน้ำใจมีคุณธรรมเช่นนี้… รั่วอวี๋นาง… นับว่ามีวาสนา…”

เสิ่นหรูป๋อพลิกชายเสื้อคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ “อีกไม่กี่วันพี่ชายข้าจะเข้าไปรับตำแหน่งที่เมืองหลวง เขาเขียนจดหมายถึงข้า เพราะสกุลไป๋ในเมืองหลวงจะก่อตั้งทัพเรือ ต้องการมีกองเรือรบที่มั่นคง ภาพผังเรือรบใบนั้น รั่วอวี๋มอบให้ข้าไว้แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงแผ่นดิน ดังนั้นจึงต้องพักอยู่ในเมืองหลวงหลายปี รั่วอวี๋อายุไม่น้อยแล้ว ถ้าไม่ทำพิธีเสียทีจะกลายเป็นที่ครหาของคนอื่นได้ ดังนั้นข้าคิดว่าจะรีบแต่งรั่วอวี๋เข้าบ้าน พานางเข้าเมืองหลวงพร้อมกัน แต่ตอนแรกนางพูดอย่างชัดเจนว่าอยากให้ข้าแต่งเข้าบ้านสกุลหลี่ แต่ตอนนี้จะต้องไปไกลบ้าน…”

ยังไม่รอให้เสิ่นหรูป๋อพูดจบ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็รีบพูดตัดบทคำพูดของเขา “บุตรสาวของข้าเดิมทีก็ทำอะไรตามอำเภอใจ นิสัยผิดแปลกจนน่าตกใจ ข้อเสนอของนางตอนนั้น ถ้าได้ลูกหลานชาวนาหรือพ่อค้าทั่วไปก็ดี สกุลเสิ่นของพวกเจ้าเป็นขุนนางมาทุกรุ่น เดิมทีก็ไม่เหมาะสม เสียทีที่เจ้าเอาใจนาง ตอบตกลงโดยไม่คำนึงอะไรเลย เดิมทีรั่วอวี๋จะแต่งสามีเข้ามาก็เพราะวิชาการต่อเรือของสกุลหลี่ไม่อาจถ่ายทอดให้คนนอก ตอนนี้นาง… เป็นเช่นนี้แล้ว แม้จะมีเคล็ดวิชาตกทอดของสกุลก็จำไม่ได้แม้แต่น้อย หมดเรื่องถ่ายทอดให้คนนอกแล้ว ถ้าเจ้ายอมแต่งงาน จะมาพูดเรื่องแต่งเข้าสกุลอีก พวกเราสกุลหลี่ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล ย่อมไม่อาจให้ลูกเขยของตัวเองลำบากใจได้… แต่ว่าตอนนี้นิสัยของรั่วอวี๋เหมือนเด็กสามขวบ คงจะทำหน้าที่ภรรยาที่ดีไม่ได้ ถ้าแต่งงานกับเจ้า… เรื่อง… เรื่องเข้าห้องหอ เกรงว่าคงจะทำให้นางตกใจ…”

เสิ่นหรูป๋อเหมือนจะเดาถึงความกังวลของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้จึงผ่อนเสียงเอ่ยปากพูด “ฮูหยินผู้เฒ่าคิดมากไปแล้ว ข้ารักและเคารพรั่วอวี๋มาตลอด แต่งนางมาอยู่ข้างกายก็เพื่อสะดวกในการดูแล จะทำให้รั่วอวี๋ตกใจเหมือนเด็กหนุ่มป่าเถื่อนบ้ากามได้อย่างไร ถ้านางไม่ยินยอม ข้าจะเคารพนางอย่างดี จะไม่ให้นางได้รับความลำบากใจแม้แต่น้อย…”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เป็นคนหูเบามาแต่ไหนแต่ไร หลายวันก่อน ไม่รู้ว่าหลี่รั่วอวี๋ไปสร้างอริทางการค้าที่ยากจะรับมืออะไร ตอนที่นางหมดสติอยู่ ร้านค้าสิบแห่งในทุกพื้นที่ถูกคนตรวจค้น แม้แต่หลงจู๊และคนงานที่คอยดูแลก็ถูกจับส่งทางการ โชคดีที่เสิ่นหรูป๋อลงแรงจัดการ จึงได้รักษาชีวิตของหลงจู๊และคนงานที่ซื่อสัตย์สิบกว่าคนเอาไว้ได้ แต่ร้านค้าสิบแห่งนั้นกลับเรียกคืนมาไม่ได้ พอไปสืบความก็ได้ยินว่าก่อนหน้านี้บุตรสาวไปล่วงเกินซือหม่าแซ่ฉู่ผู้หนึ่ง เขาจึงคอยหาเรื่อง ทำให้ร้านค้าสกุลหลี่ได้รับความเสียหาย

ในบ้านเสียหายอย่างหนัก กอปรกับเหนื่อยใจต่อกันหลายวัน ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เชื่อฟังเสิ่นหรูป๋อผู้นี้ยิ่ง

ตอนนี้เสิ่นหรูป๋อคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตนเอง ขอร้องให้นางยกบุตรสาวปัญญาอ่อนให้แต่งงานกับเขา นางยังมีอะไรจะปฏิเสธได้อีก

ด้วยสภาพของบุตรสาวในตอนนี้ แม้ว่าจะยังมีคนอยากมาขอดองด้วย คงต้องหวังในกิจการของสกุลหลี่แน่นอน จะมีความบริสุทธิ์ใจเหมือนเสิ่นหรูป๋อได้อย่างไร คิดได้ดังนั้นนางจึงยิ่งมีน้ำตาไหลลงมามากขึ้นอีก

หลังจากเสิ่นหรูป๋อลากลับไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ลุกขึ้นเดินไปเยี่ยมบุตรสาว หลายวันมานี้นางไปพบท่านหมอชื่อดังมาหลายคน แต่หลังจากฟังอาการของบุตรสาวแล้ว ท่านหมอยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนพากันส่ายหน้า เกรงว่ารักษาไม่สำเร็จจะเสียชื่อเสียงตนเอง จึงไม่ยอมลงมือช่วย

รอจนเข้าห้องบุตรสาวแล้ว เห็นหลี่รั่วอวี๋เปลี่ยนไปใส่เสื้อนวมปิดคอสีขาวนวล กำลังก้มหน้าเล่นชุดห่วงเชื่อมที่ทำจากไม้จันทน์ชิ้นหนึ่ง นี่เดิมทีเป็นของเล่นของเสียนเอ๋อร์บุตรชายอายุเจ็ดขวบของนาง ตอนนี้เอาเข้ามาในห้องของหลี่รั่วอวี๋ ในจำนวนของเล่นมากมาย มีเพียงชิ้นเดียวนี้ที่หลี่รั่วอวี๋ชื่นชอบ เล่นตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ยอมหยุด

บุตรสาวหมดสติไปหนึ่งเดือนเต็ม และเพราะมีไข้สูงต่อกันหลายวัน หลังจากฟื้นขึ้นมาก็สูญเสียความทรงจำและจำผู้ใดไม่ได้ หลายวันแรกไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้อีกด้วย เอาแต่ขว้างปาของ ภายหลังคนในบ้านปลอบใจอย่างดีจึงทำให้นางสงบสติอารมณ์ลงได้ แต่หญิงผู้มีความสามารถเลื่องชื่อไปทั่วเจียงหนานกลับไม่เหลือความสง่าไว้เลย การกระทำนิสัยล้วนเป็นเหมือนเด็กเล็ก แม้จะไม่เข้าใกล้คนอื่นนัก แต่นางสนิทสนมกับน้องชายเจ็ดขวบของนางมาก พอวางของเล่นที่เอามาจากเสียนเอ๋อร์เหล่านั้นไว้ให้ นางก็จะเล่นมันอย่างสนุกสนานได้เป็นครึ่งค่อนวัน

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองดูบุตรสาวที่ท่าทางไร้เดียงสาของตนเองแล้วก็เกิดความเศร้าใจขึ้นมาอีกครั้ง แต่น้ำตายังไม่ทันไหลก็เห็นบุตรสาวเงยหน้าขึ้นทันใด ดวงตาโตฉายประกายยินดี ชูห่วงชุดในมือที่เพิ่งปลดออกมาได้แล้วส่งเสียงอ้อแอ้ ทำให้บุตรชายคนเล็กนอนเปิดท้องกลิ้งไปหา “พี่รอง พี่จะทำให้เสียนเอ๋อร์โกรธจนตายอยู่แล้ว ข้าเล่นมาหลายวันก็ยังปลดไม่ได้ เหตุใดพี่เล่นไม่ถึงสองวันปลดออกได้แล้วล่ะ”

เขาพูดพลางดึงกางเกงที่เกือบหลุดขึ้นแล้วรีบโผเข้าไปในอ้อมกอดของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ “ท่านแม่ พวกลิ่วฝูในสำนักศึกษาล้วนพูดว่าพี่ปัญญาอ่อนไปแล้ว เสียนเอ๋อร์โกรธมาก ต่อยตีกับพวกเขาด้วย พี่ไม่ยอมพูดกับเสียนเอ๋อร์เลย แต่เหตุใดนางยังเก่งกว่าเสียนเอ๋อร์อีก นางกำลังแกล้งป่วยอยู่หรือ”

ฟังคำพูดเด็กอย่างไม่ซ่อนเร้นของบุตรชายแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ลูบใบหน้าเล็กอวบอิ่มของเขา มองดูบุตรสาวโยนห่วงชุดทิ้ง แล้วหยิบของเล่นข้างๆ ขึ้นมาเล่นอีก ก่อนจะพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ห่วงชุดนั่นเดิมทีก็เป็นของเล่นตอนเด็กของพี่รองเจ้า ภายหลังเก็บเอาไว้ให้เจ้า นางฉลาดเกินผู้ใดมาตั้งแต่เด็ก ตอนสี่ขวบก็ปลดห่วงชุดนั่นได้แล้ว ทำให้ท่านพ่อเจ้าดีใจอย่างมาก ชื่อของนางเดิมชื่อว่ารั่วซี แต่ภายหลังท่านพ่อเจ้าเปลี่ยนชื่อให้นางเป็น ‘รั่วอวี๋’ จุดประสงค์เพราะกลัวว่านางฉลาดเกินไปจนบดบังวาสนา…” พูดถึงตรงนี้ ในดวงตาก็รู้สึกเจ็บปวด พูดในใจว่า… นายท่าน ตอนนั้นที่ท่านเปลี่ยนชื่อ คิดเอาไว้แล้วหรือว่าบุตรสาวจะมีสภาพเหมือนเช่นวันนี้

หลี่รั่วเสียนได้ยินคำพูดของมารดาแล้วก็มีความสงสัยในทันที จึงหันกลับไปมองพี่รอง ในใจคิดว่า… คนถ้าฉลาด ไม่ใช่เรื่องดีหรือ อาจารย์ในสำนักศึกษามักจะด่าว่าเสียนเอ๋อร์โง่ เหตุใดพอไปถึงพี่รอง กลับกลายเป็นภัยร้ายไปได้

พี่รองที่ปกติจะดูน่าเกรงขามแม้จะไม่โมโห ตอนนี้ล้มนอนบนพรมนุ่มจากซีอวี้อย่างไม่เหลือความสง่าเลย สะบัดเท้างามที่ไม่ได้สวมถุงเท้า ท่าทางไร้เดียงสามีความสุข ไม่เหมือนกับเขา ต้องไปทนอยู่ในสำนักศึกษาทุกวัน… เช่นนี้ดูไปแล้ว นับว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง…

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เองยามนี้ก็มีน้ำตารื้นขอบตาอีกครั้ง จึงปล่อยมือบุตรชาย เดินไปข้างกายบุตรสาวที่นอนอยู่บนพรมนุ่ม ลูบหน้าผากนวลเนียนของนางอย่างเต็มไปด้วยความรัก เห็นนางสูญเสียความฉลาดไปหมด แต่กลับมีสายตาที่ไร้เดียงสา จึงพูดเสียงเบาว่า “พี่รองของเจ้าไม่มีทางแกล้งป่วยหรอก นางกตัญญูที่สุด จะทำให้คนอื่นเป็นห่วงแบบนี้ได้อย่างไร แต่นางก็ไม่ได้ปัญญาอ่อนเหมือนที่คนนอกพูดกัน นางก็แค่อยากเล่นกับเสียนเอ๋อร์ เติบโตใหม่อีกครั้งเท่านั้น”

หลี่รั่วอวี๋ปล่อยให้หญิงข้างกายลูบเบาๆ ปากก็พ่นเสียงไม่เป็นคำ นิ้วเรียวยาวขยับเล่นกลองป๋องแป๋งสีรุ้งในมืออย่างมีความสุข เสียงกลองดังตุงๆๆๆ

 

ตอนที่เสิ่นหรูป๋อเดินเข้ามาในคฤหาสน์สกุลหลี่ ไม่รู้ว่าเสิ่นโม่พ่อบ้านของตนเองมายืนรออยู่ที่ประตูตั้งแต่เมื่อใด เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาออกมาก็เดินตามเขาออกจากคฤหาสน์สกุลหลี่แล้วรายงานเสียงเบา “คุณชายรอง เมื่อครู่คนในเมืองหลวงวิ่งมาให้คำตอบแล้ว ทางฉู่ซือหม่าจนหนทาง สินค้าชุดที่ขนส่งทางน้ำไปทางเหนือ ถือว่าเป็นการเอาซาลาเปาไส้เนื้อไปปาสุนัข เอ่อ เอากลับมาไม่ได้แล้วขอรับ… เรื่องที่คุณหนูรองหลี่ก่อครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ในโลกนี้มีผู้ใดบ้างไม่รู้นิสัยฉู่จิ้งเฟิงที่ ‘ผีเห็นยังหวั่น’ ว่าเป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ เขาเป็นคนเย็นชาไม่ไว้หน้าผู้ใดมาแต่ไหนแต่ไร คุณหนูรองกลับกล้าถ่วงเวลาขนสัมภาระการทหารของฉู่ซือหม่า ทำให้ทหารสกุลฉู่เกือบจะถูกหยวนซู่ที่ทางเหนือทำลายสิ้นซากในสงครามฮุ่ยชาง ได้ยินว่าฉู่จิ้งเฟิงได้รับบาดเจ็บอีกด้วย เรื่องใหญ่เช่นนี้ นอกจากนางหลี่รั่วอวี๋แล้ว ผู้ใดคงไม่มีปัญญาแก้ไขได้”

เสิ่นหรูป๋อหมุนแหวนหยกบนนิ้วโป้งเบาๆ นิ่งเงียบสักครู่จึงพูดว่า “รั่วอวี๋นางไม่ทำเรื่องโง่ที่ตกเป็นขี้ปากของคนอื่นเช่นนี้ เหตุใดครั้งนี้กลับ… หลงจู๊และคนงานที่ถูกคุมตัวไว้ก่อนหน้าเหล่านั้นถูกปล่อยกลับมาหมดแล้วไม่ใช่หรือ ฉู่ซือหม่าคิดจะเปลี่ยนใจหรือ”

เสิ่นโม่ส่ายหน้าพลางพูดเสียงเบาว่า “โชคดีที่พระมาตุลาไป๋ชวนซีต้องอาศัยคุณหนูรองหลี่ต่อเรือ และเห็นแก่จดหมายที่ท่านเขียนด้วยตัวเอง จึงสั่งให้ทางการปล่อยคน แต่ฉู่จิ้งเฟิงกับพระมาตุลาไป๋เป็นศัตรูกัน คนแซ่ฉู่ไม่ไว้หน้าพระมาตุลา ภายหน้าจะมาหาเรื่องอีกหรือไม่ก็ยังพูดได้ยาก ไม่แน่ว่าการตกม้าของคุณหนูรองครั้งนี้ฉู่จิ้งเฟิงอาจจะเป็นคนสั่งการก็ได้ ท่านว่าเขาจะส่งคน…”

เสิ่นหรูป๋อได้ฟังถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้ว สงบนิ่งลงอีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงเครียดว่า “เมืองเหลียวเฉิงไม่ใช่เมืองโม่เหอของฉู่จิ้งเฟิง ที่นี่มีค่ายทหารของสกุลไป๋อยู่ตลอด จะปล่อยให้เขาทำอะไรส่งเดชได้อย่างไร เจ้าไปที่ค่ายทหารนอกเมือง นำจดหมายของข้าไป ให้พวกเขาส่งคนมีฝีมือจำนวนหนึ่งมาเฝ้าคฤหาสน์สกุลหลี่ไว้ ในระหว่างที่จัดพิธี จะให้รั่วอวี๋เป็นอะไรไปแม้เพียงขนเส้นเดียวไม่ได้”

พูดจบเขาก็ลอยตัวขึ้นม้า และลงแส้ควบม้าไปอย่างรวดเร็ว

เสิ่นโม่ตะลึงอยู่กับที่ ทนไม่ไหวถอนหายใจยาว คุณหนูรองหลี่สั่งการคุณชายของเขาจนชิน คุณชายรองที่มาจากครอบครัวขุนนาง กลับต้องมาคอยตามดูแลบุตรสาวพ่อค้าผู้หนึ่ง ดีที่คุณชายรองยังคอยคิดทุกอย่างเพื่อนางเช่นนี้!

แต่ตอนนี้ก่อเรื่องใหญ่โตแบบนี้ นางยังโชคดีเป็นปัญญาอ่อนไป ทิ้งเรื่องยุ่งเอาไว้ยังต้องให้คุณชายรองของเขามาเก็บกวาดอีกหรือ หลี่รั่วอวี๋ เจ้าเป็นดาวพิฆาตในชีวิตคุณชายรองของพวกเราจริงๆ!

คิดถึงข่าวลือช่วงก่อนที่ฉู่จิ้งเฟิงพ่ายศึกและได้รับบาดเจ็บ เดิมคิดว่าฉู่ซือหม่าผู้นี้จะลำบากอับจนต่อไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าในคืนเดียวกันกลับนำยอดฝีมือกองหนึ่งลอบเข้าไปในเมืองศัตรู ฉวยโอกาสที่ศัตรูเฉลิมฉลอง ลอบฆ่าจอมทัพของอีกฝ่าย แล้วเปิดประตูเมืองฆ่าทหารทั้งเมืองภายในคืนเดียวเพื่อล้างความอับอาย! เสิ่นโม่ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุก ‘มัจจุราชฉู่’ ไม่ใช่ฉายาที่ได้มาลอยๆ คติพจน์ของเขาก็คือ ‘ผู้ใดขวางข้า ตาย’ คนเลวร้ายขึ้นชื่อในต้าฉู่ผู้นี้ วิญญาณบริสุทธิ์ที่ตายด้วยฝีมือของเขาไม่ได้มีแค่เป็นพันเป็นหมื่นเท่านั้น

หลี่รั่วอวี๋ไปยั่วโมโหผู้ใดก็ไม่ไป ต้องเป็นปีศาจที่ผีเห็นยังหวั่นผู้นั้นด้วย ถูกหมายตาเช่นนี้ สู้ล้มหัวฟาดไม่รู้เรื่องราวอะไรดีกว่า!

ในชั่วขณะนั้น เสิ่นโม่รู้สึกอิจฉาคุณหนูรองสกุลหลี่ที่เป็นปัญญาอ่อนไปแล้วอย่างมาก

ข่าวที่คุณหนูรองจะออกเรือนกระจายไปทั่วคฤหาสน์สกุลหลี่อย่างรวดเร็ว

ทุกคนต่างพูดกันว่าเป็นภรรยาพ่อค้านั้นอยู่ยาก แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับสามีที่ล่วงลับสองสามีภรรยารักใคร่ปรองดองกันมาก

ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คลอดหลี่รั่วอวี๋ก็มีอายุมากอยู่แล้ว และเพราะคลอดยาก ทำให้ร่างกายทรุดโทรมไปบ้าง ตอนนั้นท่านหมอวินิจฉัยว่าคงตั้งครรภ์อีกได้ยาก นางกังวลว่าจะไม่สามารถมีผู้สืบสกุลให้สกุลหลี่ได้ จึงได้ขอร้องให้สามีรับโจวซื่อที่เป็นบุตรสาวชาวนามาเป็นอนุ หลังจากรับโจวซื่อเข้าบ้าน สามีก็ไม่ได้ละเลยหมางเมินนางที่เป็นภรรยาเอก เทียบกับโจวซื่อที่มีกำเนิดมาจากครอบครัวชาวนาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่มีกำเนิดมาจากครอบครัวบัณฑิตจึงได้รับความเคารพรักจากนายท่านหลี่มากกว่า คงเพราะความรักลึกซึ้งของสามีภรรยาทำให้สวรรค์ซาบซึ้งใจ หลังจากโจวซื่อเข้าบ้านมาก็ให้กำเนิดบุตรสาวหลี่เสวียนเอ๋อร์เพียงคนเดียว ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่เป็นภรรยาเอกกลับได้บุตรชายตอนอายุมากถึงสี่สิบหกปี ให้กำเนิดคุณชายน้อยหลี่รั่วเสียน

น่าเสียดายที่สามีป่วยและตายจากโลกนี้ไป โชคดีที่บุตรสาวคนรองหลี่รั่วอวี๋มีความสามารถจึงประคองกิจการคฤหาสน์สกุลหลี่ได้ แม้จะทำงานดูแลสกุลหลี่ได้เพียงสองเดือน แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่เสพสุขมาตลอดกลับหมดกำลังใจ รู้สึกว่าใจจะขาด บุตรสาวคนรองของตนเองที่อายุยังน้อยหลายปีมานี้ทนผ่านมาได้อย่างไร คงเพราะสวรรค์ทนเห็นไม่ไหว จึงได้ส่งเคราะห์ร้ายนี้มา ให้บุตรสาวตนเองได้พักผ่อนบ้างกระมัง

ในใจมีความสงสารละอายใจต่อบุตรสาวคนรอง ดังนั้นการจัดงานแต่งงานย่อมต้องทำอย่างเต็มที่ สกุลหลี่ไม่ขัดสนเงินทอง ของล้ำค่าหายากจากเหนือจรดใต้ล้วนมีนับไม่ถ้วน ขนเข้ามาในคฤหาสน์เหมือนไม่ต้องใช้เงินซื้อ ภายในคฤหาสน์สองวันนี้จึงคึกคักเป็นอย่างมาก

วันนี้โจวอี๋เหนียงพาบุตรสาวตนเองหลี่เสวียนเอ๋อร์ไปทักทายยามเช้าที่ห้องฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ และเอาหมอนมังกรหงส์คู่หนึ่งที่ตนเองเพิ่งเย็บใหม่มาให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดู ตามประเพณีท้องที่เมืองเหลียวเฉิง บุตรสาวออกเรือน คนเป็นแม่ต้องลงมือเย็บปักหมอนมงคลเอง

“หลายวันมานี้พี่ร้องไห้ตาแดง ไม่เหมาะจะลงมือเย็บปักที่เป็นผลเสียต่อดวงตา ถ้าไม่รังเกียจที่น้องฝีมือหยาบ ก็เอาหมอนปักคู่นี้ให้คุณหนูรองใช้เถิด” โจวอี๋เหนียงหน้าตาหมดจด พูดจาก็อ่อนโยนยิ่ง ตอนแรกแม่สื่อหาหญิงสาวจากหลายบ้านมาให้นายท่านหลี่เลือก เขาก็ชอบในนิสัยอ่อนโยนของโจวซื่อ ไม่มีทางเข้าบ้านแล้วจะก่อเรื่องแย่งชิงความรัก จึงได้เลือกโจวซื่อแต่งเข้าบ้าน

หลายปีมานี้ โจวอี๋เหนียงผู้นี้ก็เอาใจนายท่านและฮูหยินทุกอย่าง ภรรยาเอกกับอนุนับว่าปรองดองกันดี สงบสุขไม่มีเรื่องอะไร นายท่านตายไปเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่บางครั้งก็รู้สึกว่าตนเองกล่อมให้นายท่านรับอนุเข้ามาเป็นเรื่องที่ถูกต้อง อย่างน้อยในคฤหาสน์ที่มีแต่แม่ม่ายลูกกำพร้าก็ยังมีพี่น้องที่พูดคุยกันได้ ฆ่าเวลาครึ่งชีวิตที่เหลืออันเงียบเหงาได้

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รับหมอนปักคู่นั้นมา ลูบฝีเข็มที่ประณีตนั้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “น้องหญิงช่างเอาใจใส่จริง งานเย็บปักของข้าไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไร แม้จะลงมือปักเองก็คงประณีตสู้เจ้าไม่ได้ เจ้ามีน้ำใจ ทำงานที่ข้าควรจะทำโดยไม่ต้องพูด แต่เรื่องใหญ่อันดับแรกของรั่วอวี๋ในชาตินี้ ข้าที่เป็นแม่จะปล่อยปละได้อย่างไร แม้จะเชิดหน้าชูตาไม่ได้แต่ก็ต้องปักเอง รบกวนน้องหญิงช่วยวาดภาพตัวอย่างให้ที ถึงตอนนั้นก็ใช้พร้อมกับหมอนของเจ้าคู่นี้ด้วยก็แล้วกัน”

โจวอี๋เหนียงได้ฟังก็ยิ้มอ่อนโยน หลังจากช่วยฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เลือกกำไลคู่ลงทองฝังมุกที่บ่าวส่งมาให้ดูแล้วก็เอ่ยปากอย่างไม่รีบไม่ร้อน “การแต่งงานเสริมมงคลนี้เป็นเรื่องดี คุณหนูรองได้สามีที่เอาใจใส่ดูแล เห็นได้ว่าสวรรค์ก็เห็นใจ หลังจากแต่งงานไปแล้วก็เพียงพักฟื้น ผ่านไปสักระยะ ต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”

ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พอจะรับสภาพบุตรสาวตนเองในตอนนี้ได้บ้างแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของโจวอี๋เหนียงก็ถอนหายใจยาวพลางกล่าว “หวังว่าจะเป็นอย่างที่น้องหญิงว่า…”

โจวอี๋เหนียงหยุดไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยขึ้น “แต่ว่าตอนนี้คุณหนูรองสติไม่ครบถ้วน คุณชายรองเสิ่นแม้จะเอาใจใส่ดูแลดี แต่เมืองหลวงอยู่ไกลจากเมืองเหลียวเฉิงมาก แม้จะมีสาวใช้บ่าวอาวุโสตามไปปรนนิบัติข้างกายก็อย่าวางใจ ถ้าข้างกายคุณหนูรองไม่มีคนที่ใกล้ชิดเชื่อใจได้ ฮูหยินไม่เป็นห่วงอยู่ตลอดเวลาหรือ”

คำพูดของโจวอี๋เหนียงนี้เป็นสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กังวลมาตลอด ตอนนี้ถูกพูดจี้ใจดำจึงร้อนใจขึ้นมาในทันที “แล้วตามความคิดของน้องหญิง ควรจะทำเช่นไรดี”

โจวอี๋เหนียงมองดูบุตรสาวข้างกายที่ก้มหน้าไม่พูดจา หลี่เสวียนเอ๋อร์ปีนี้อายุสิบสี่สิบห้าปี หน้าตางดงามมาก

เมื่อเลื่อนสายตากลับอย่างช้าๆ แล้ว โจวอี๋เหนียงจึงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “สกุลเสิ่นยังคงเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ แม้คุณชายรองเสิ่นจะรักษาสัญญาแต่งคุณหนูรองเข้าบ้าน แต่ถ้าคุณหนูรองไม่หายเสียที รับรองได้ยากว่าคุณชายรองเสิ่นจะไม่รับอนุเข้ามาเพิ่ม ถ้าอนุมีนิสัยดีก็พอว่า คงไม่ร้ายกาจต่อคุณหนูรอง แต่ถ้าเป็นคนมีนิสัยโหดร้าย…เรื่องสกปรกในเรือนหลังบ้านคนอื่นมีน้อยเสียเมื่อใด อย่างไรเสียใช่ว่าตระกูลใหญ่ทุกบ้านจะเป็นเหมือนสกุลหลี่ของเราที่รักใคร่ปรองดองกัน…”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังคำพูดของโจวอี๋เหนียงก็รู้สึกว่าร่างทั้งร่างพลันเย็นเยือก นางเคยได้ยินเรื่องราวเหลือเชื่อของพวกเรือนหลังในงานเลี้ยงบรรดาฮูหยินมาบ้าง ภาพเหตุการณ์นั้นลอยผ่านหน้าเหมือนโคมม้าวิ่ง เมื่อคิดถึงบุตรสาวตนเองถูกคนรังแก จิตใจก็ให้ประหวั่นยิ่ง

นางเป็นคนที่ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง แค่ได้ยินเสียงลมก็คิดว่าฝนจะตก เกิดความคิดจะล้มเลิกการแต่งงานทันที แต่ตอนนี้กำหนดวันเวลาไว้แล้ว เทียบเชิญก็ส่งไปทั่วทุกคฤหาสน์ในเมืองเหลียวเฉิงแล้ว ได้ยินว่าคุณชายรองเสิ่นเป็นคนกว้างขวาง คบค้ากับขุนนางนับไม่ถ้วน แม้แต่จวนสิ่งทอที่ตั้งอยู่ในเจียงหนาน รับผิดชอบจัดซื้อเครื่องบรรณาการราชสำนักยังส่งเว่ยกงกงที่เป็นผู้ดูแลมาร่วมงานอีกด้วย

หากล้มเลิกการแต่งงานในตอนนี้ อย่าว่าแต่ไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอเลย ต่อให้มีหน้าตาของสกุลเสิ่นก็คงถูกการที่สกุลหลี่เปลี่ยนใจไม่แต่งงานฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแน่นอน

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดิมทีเป็นคนที่ถือธรรมเนียมประเพณีรักศักดิ์ศรีหน้าตาอยู่แล้ว เพียงแค่คิดถึงความวุ่นวายในการล้มเลิกการแต่งงาน ครึ่งร่างก็รู้สึกเหมือนแช่อยู่ในหลุมน้ำแข็งเช่นกัน

โจวอี๋เหนียงเห็นท่าทางฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดูทำอะไรไม่ถูกแล้วก็รีบกุมมือนางแล้วพูดปลอบ “พี่หญิงอย่าร้อนใจไป ทุกอย่างล้วนมีทางแก้ไข พูดไปแล้ว อะไรก็เทียบไม่ได้กับสายเลือดเดียวกัน ถ้าหวังจะให้ในอนาคตลูกเขยสกุลเสิ่นแต่งอนุที่เพียบพร้อม สู้ให้เสวียนเอ๋อร์แต่งเข้าไปพร้อมกับคุณหนูรองยังจะดีกว่า เป็นพี่น้องบ้านเดียวกัน อนาคตไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ล้วนมีเสวียนเอ๋อร์คอยดูแลคุณหนูรอง แบบนี้พี่กับข้าแม้ตัวจะอยู่เมืองเหลียวเฉิง ก็สามารถคลายความกังวลในใจได้ไม่ใช่หรือ”

ข้อเสนอเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่เคยคิดมาก่อนเลย เอ๋อหวงหนี่ว์อิง มีสามีคนเดียวกัน แม้จะเป็นเรื่องราวอันดีที่เล่าขานกันมานาน แต่พอมาเป็นเรื่องของบุตรสาวคนรองที่พิเศษไม่เหมือนผู้ใดของตนเองแล้วกลับเป็นนิทานโบราณที่เหลวไหลและไม่อาจเป็นจริงได้

หญิงสาวที่ท่องไปทั่วเหนือใต้ตั้งแต่อายุยังน้อย จะยอมใช้สามีร่วมกับหญิงอื่นได้อย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อดไม่ได้ที่จะคิดถึงว่าทุกครั้งที่ตนเองเกลี้ยกล่อมให้สามีรับอนุนั้น หลี่รั่วอวี๋ก็ปั้นหน้าเย็นชาใส่ ดวงตาโตของคนผ่านโลกมามากที่มองดูนางแสดงอารมณ์ขุ่นเคืองเวลาไม่ได้ดั่งใจออกมา คนเป็นแม่ที่ถูกบุตรสาวมองเหยียดเช่นนี้ก็เพียงพอจะทำให้ละอายใจได้แล้ว

“เรื่องนี้…เรื่องนี้จะได้อย่างไร มันไม่ยุติธรรมกับเสวียนเอ๋อร์เช่นกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เอ่ยตอบปฏิเสธออกไปในที่สุด

ทว่าหลี่เสวียนเอ๋อร์กลับเงยหน้าขึ้น พูดเสียงเบาว่า “แม่ใหญ่…ถ้าเพื่อพี่รองแล้ว เสวียนเอ๋อร์ยินดีจะเป็นอนุ ขอเพียงได้ดูแลข้างกายพี่รอง เสวียนเอ๋อร์ก็นับว่าได้แสดงความกตัญญูต่อแม่ใหญ่บ้างแล้ว ขอแม่ใหญ่อนุญาตด้วยเถิด”

“ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้ นิสัยของรั่วอวี๋พวกเจ้าใช่จะไม่รู้ ถ้านางหายดีแล้ว รู้ว่าข้าที่เป็นแม่จัดการเช่นนี้ นางต้องโกรธแน่นอน…” ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แม้จะไม่มีความคิดเป็นของตนเอง แต่ก็รู้ด้วยจิตใต้สำนึกว่าวิธีนี้ไม่เหมาะสม ควรจะปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

โจวอี๋เหนียงเห็นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่ยอมจึงถอนใจเบาๆ แล้วตำหนิบุตรสาวเสียงเข้ม “บอกเจ้าแต่แรกแล้วว่า แม้เจ้าจะเป็นห่วงพี่รอง ไปพร้อมสินสอดเช่นนี้ไม่เหมาะสม แม้แม่ใหญ่เจ้าจะยินยอม คุณชายรองเสิ่นนั่นดูจากอนาคตของเขาแล้ว ต่อไปแม้จะแต่งอนุจริงก็ไม่ใช่บุตรสาวอนุในบ้านคนธรรมดาทั่วไป อย่างน้อยต้องเลือกคุณหนูลูกขุนนางที่มีความสง่า เหตุใดเจ้าต้องทำให้แม่ใหญ่ของเจ้าลำบากใจในตอนนี้ด้วยนะ”

คำพูดที่เหมือนกับตำหนิบุตรสาวนี้เมื่อเข้าหูของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แล้วก็ทำให้หัวใจนางเหมือนมีคลื่นถาโถมในทันที ข้อเสนอของโจวอี๋เหนียงแม้จะน่าตกใจมาก แต่กลับมีเหตุผลและน้ำใจ ตอนนี้สกุลเสิ่นค่อยๆ รุ่งเรืองขึ้น อนาคตหากคุณชายรองสกุลเสิ่นมีตำแหน่งสูงขึ้นจริง หญิงสาวที่เข้ามาพะเน้าพะนอจะมีน้อยได้อย่างไร บุตรสาวของตนเองหากไม่หายดี แล้ว…แล้วจะทำอย่างไร

หลี่เสวียนเอ๋อร์ช่างเป็นห่วงพี่รองจริงๆ จึงเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว…

เมื่อคิดเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ไม่ยอมให้โจวอี๋เหนียงตำหนิหลี่เสวียนเอ๋อร์อีก ปากก็พูดอย่างลังเลขึ้นว่า “อันที่จริงน้องก็พูดมีเหตุผล… แต่อย่างไรเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมต่อเสวียนเอ๋อร์จริงๆ…”

หลี่เสวียนเอ๋อร์รู้ความหมายในคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเบา “สามารถอยู่ที่เดียวกับพี่รองได้จะมีความคับข้องใจอะไร แม่ใหญ่วางใจได้เลย หลังจากแต่งเข้าไปแล้วเสวียนเอ๋อร์จะพยายามดูแลพี่รองเต็มที่ จะไม่ให้นางมีความเสียใจแม้แต่น้อย…”

เห็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้าแก้ไขได้อย่างสวยงามแล้ว เหล่าหญิงสาวสกุลหลี่ยังไม่ทันได้ยิ้มเบิกบานก็ได้ยินเสียงพูดเย็นชาดังฟังชัดลอดเข้ามาจากนอกประตู “น้องรองยังไม่ทันออกเรือน สามีของตัวเองก็ถูกเตรียมการแบ่งเอาไว้อย่างดีแล้ว อี๋เหนียงช่างดีดลูกคิดได้ดีจริงๆ!”

คำพูดนี้แทงใจดำอย่างมาก ทุกคนพากันหันไปตามเสียง เห็นเพียงหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดขี่ม้าท่าทางสง่างามองอาจยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูโถงรับแขก

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ช้อนตาขึ้นมอง ความยินดีที่ได้พบกันหลังจากกันไปนานจางลงไปบ้าง นางถลึงตาแล้วพูดว่า “รั่วฮุ่ย เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!”

ที่แท้คนที่พูดก็คือหลี่รั่วฮุ่ยบุตรสาวคนโตสกุลหลี่ที่ออกเรือนไปแล้ว นางโตกว่าหลี่รั่วอวี๋สิบสามปี แต่งเป็นภรรยาของขุนนางฝ่ายบู๊หลิวจ้ง ภายหลังย้ายตามสามีไปประจำการที่เมืองฉางโจว

ฉางโจวไม่ไกลจากเมืองเหลียวเฉิงนัก หลี่รั่วฮุ่ยได้รับจดหมายของท่านแม่ หลังจากรู้ว่าน้องรองของตนเองเกิดเรื่องก็รีบเดินทางรอนแรมกลับมาบ้านทันที

เมืองเหลียวเฉิงไม่ใหญ่ ผู้คนในเมืองคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ดังนั้นตอนที่นางขี่ม้าเข้าเมืองก็มีคนเข้ามาแสดงความยินดีที่งานมงคลคฤหาสน์สกุลหลี่ใกล้เข้ามาแล้ว

เดิมทีรู้สึกซาบซึ้งที่คุณชายรองสกุลเสิ่นผู้นี้มีทั้งน้ำใจและคุณธรรมพร้อมสรรพ ไม่ได้ปฏิเสธการแต่งงานเพราะอาการป่วยเลวร้ายของน้องสาว รอจนมาถึงคฤหาสน์สกุลหลี่ นิสัยร้อนใจของนางไม่รอให้พ่อบ้านมารายงาน ตนเองก็รีบเดินมาถึงประตูโถงรับแขกจะมาพบท่านแม่ ไม่คิดว่ากลับได้ยินโจวอี๋เหนียงพูดคำนี้กับท่านแม่ จะยกน้องสาวลูกภรรยารองให้เป็นอนุของคุณชายรองสกุลเสิ่น จึงรีบชะงักฝีเท้าเอาไว้

เดิมคิดว่าข้อเสนอเหลวไหลเช่นนี้ท่านแม่คงจะปฏิเสธ คิดไม่ถึงว่าท่านแม่ที่หูเบามาแต่ไหนแต่ไรกลับเปลี่ยนใจรวดเร็วจนคิดจะตอบตกลง หลี่รั่วฮุ่ยจึงพูดโพล่งออกมาตัดบทคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทันที

หลี่รั่วฮุ่ยแม้จะเป็นหญิง แต่ชอบรำดาบควงกระบองมาตั้งแต่เด็ก นิสัยก็ไม่เหมือนหญิงสาวในเรือนทั่วไป ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มักจะทอดถอนใจ เหตุใดบุตรสาวสองคนที่นางให้กำเนิดเลี้ยงดูล้วนไม่เหมือนผู้ใดแบบนี้ หากเกิดมาอ่อนโยนสงบเสงี่ยมเหมือนหลี่เสวียนเอ๋อร์คงจะดีมาก

นี่อย่างไรล่ะ เมื่อครู่เพิ่งจะพูดตำหนิมารดาเสียงดัง หลี่รั่วฮุ่ยก็ปั้นหน้านิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง สองตาจ้องตรงไปทางหลี่เสวียนเอ๋อร์พลางพูดด้วยเสียงเย็นชา “น้องสามช่างเห็นอกเห็นใจคนจริง แต่เหตุใดข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าสนิทกับน้องรองถึงขั้นนี้ ยอมเสียสละตัวเองเป็นอนุเพื่อจะติดตามข้างกายน้องรองหรือ”

หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าพี่ใหญ่สกุลหลี่จะกลับคฤหาสน์มาในเวลานี้ นางกลัวเกรงพี่ใหญ่ผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไร จึงพูดอย่างหวาดหวั่นว่า “พี่ใหญ่คงไม่รู้อาการป่วยของพี่รองตอนนี้ ถ้าพี่เห็นท่าทางของนางตอนนี้กับตาตัวเอง เกรงว่าคงจะเป็นเหมือนเสวียนเอ๋อร์ วางใจไม่ลงที่จะให้นางแต่งเข้าสกุลเสิ่นผู้เดียว”

เห็นบุตรสาวคนโตยังจะเลิกคิ้วพูดอีก ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็รีบยับยั้งคำพูดนางเอาไว้ เอ่ยปากพูดว่า “เรื่องนี้ใหญ่นัก ต้องวางแผนระยะยาว เสวียนเอ๋อร์ แม่ใหญ่รู้ว่าเจ้ามีจิตใจดี ตามท่านแม่เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้ายังต้องพาพี่ใหญ่เจ้าไปเยี่ยมรั่วอวี๋อีก”

ดังนั้นเรื่อง ‘เอ๋อหวงหนี่ว์อิง’ ฉากนี้ จึงจบด้วยการแยกย้ายไปอย่างไม่มีความสุข

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รอจนโจวอี๋เหนียงพาบุตรสาวจากไปแล้ว จึงได้เอ่ยปากตำหนิบุตรสาวคนโต “จากบ้านไปนานเช่นนี้ ยิ่งไม่รู้ธรรมเนียมมากขึ้นอีกแล้ว!”

หลี่รั่วฮุ่ยเข้ามาประคองมารดา ทนไม่ไหวพูดขึ้นอีกว่า “ท่านแม่ ถ้าข้าไม่เป็นตัวร้าย ท่านจะยอมไม่ไว้หน้าปฏิเสธแม่ลูกคู่นี้หรือ ปีที่แล้วข้ากลับมาตอนวันปีใหม่ ก็เห็นหลี่เสวียนเอ๋อร์นั่นจ้องคุณชายรองสกุลเสิ่นตาไม่กะพริบ โจวอี๋เหนียงดีดลูกคิดเก่งเหลือเกิน รั่วอวี๋ยังไม่ทันแต่งไปก็คิดวางแผนให้อนาคตของบุตรสาวตัวเองแล้ว!”

ในตอนนี้เอง พวกเขาก็เข้าไปในเรือน เห็นหลี่รั่วอวี๋สวมชุดผ้าไหมยาว กำลังหมอบอยู่บนพื้นขุดรังมดอย่างสนุกสนาน

การละเล่นเด็กแบบนี้หลี่รั่วอวี๋ไม่ได้แตะต้องมาตั้งแต่ห้าขวบแล้ว หญิงสาวที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยดินโคลนมีรอยยิ้มไร้เดียงสาเห็นแล้วก็ให้รู้สึกปวดใจยิ่ง

หลี่รั่วฮุ่ยแม้จะรู้สภาพการณ์คร่าวๆ จากในจดหมายแล้ว แต่พอเห็นด้วยตาว่าน้องรองเป็นเช่นนี้ ความปวดในใจก็ยากจะอธิบายด้วยคำพูดได้ นางเดินเข้าไปหลายก้าว แย่งกิ่งไม้ที่มีมดเกาะเต็มจากมือของหลี่รั่วอวี๋ แล้วโอบไหล่ของนาง “น้องรอง เหตุใดเจ้าเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้…” พูดจบหญิงสาวที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดผู้นี้ก็ทนไม่ไหวน้ำตาเอ่อล้นขอบตา

หลี่รั่วอวี๋มองหญิงคิ้วเข้มตาคมตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก เมื่อคิดสักครู่แล้วจึงใช้นิ้วมือที่เปื้อนดินโคลนแตะน้ำตาบนแก้มของนางเบาๆ หลังจากริมฝีปากแดงขยับอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็พ่นคำออกมาอย่างยากลำบาก “ยี้ๆ…”

หลายวันมานี้ หลังจากหลี่รั่วอวี๋ลงเดินได้ก็ขลุกอยู่กับน้องชายคนเล็กของตนเองมาตลอด บางครั้งไปดูเขากับบุตรสาวตัวน้อยของบ่าวในเรือนเล่นกัน ทุกครั้งที่น้องชายแกล้งเด็กหญิงร้องไห้โฮ เขาจะทำหน้าล้อเลียน “ฝนตกหนักซ่าๆๆๆ หน้าไม่อายยี้ๆๆๆ…”

ตอนนี้เห็นหญิงผู้นี้มาร้องไห้ต่อหน้าตนเอง นางจึงพ่นคำพูดออกมาว่า “ยี้ๆ”

แต่แค่เพียงคำพูดนี้ก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่อยู่ข้างๆ ตื่นเต้นดีใจ หลังจากหลี่รั่วอวี๋ตื่นจากการนอนหมดสติก็พูดอ้อแอ้ไม่เป็นประโยคเหมือนคนใบ้ วันนี้จู่ๆ ก็เอ่ยปากพูด เห็นได้ว่าบุตรสาวมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ช่างเป็นเรื่องดีตกลงมาจากฟ้า แต่พอฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จับมือนาง ล่อให้นางเอ่ยปากพูดอีกครั้ง นางกลับไม่พูด เอาแต่ปั้นดินเป็นลูกกลม

ในตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยิ่งมั่นใจว่าการกำหนดวันแต่งงานก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ล้วนพูดกันว่าการแต่งงานเสริมมงคลนี้เหมาะกับโรคที่หายได้ยาก เห็นงานแต่งงานใกล้เข้ามา ในที่สุดหลี่รั่วอวี๋ก็เอ่ยปากพูดได้ นี่มิใช่ลางดีหรอกหรือไร

ข่าวดีนี้ย่อมต้องแจ้งเสิ่นหรูป๋อ เมื่อเขาได้ยินว่าในที่สุดหลี่รั่วอวี๋พูดได้จึงรีบมาที่คฤหาสน์สกุลหลี่ทันที

ตอนเขามายังเอากล่องอาหารใบใหญ่มาใบหนึ่ง เป็นแป้งย่างเป็ดเคี่ยวที่สั่งจากร้านเป่ายาไจในตรอกเก่าเมืองเหลียวเฉิง ยังมีเปาะเปี๊ยะเป็ดที่หอมกรอบอีกด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นของที่หลี่รั่วอวี๋ชอบกิน

แต่ไม่รู้เพราะอะไร หลี่รั่วอวี๋เหมือนไม่ยินดีที่เห็นเสิ่นหรูป๋อ แม้เขาจะมาพร้อมกับกล่องอาหารที่เต็มไปด้วยของหอมอร่อยก็ยังเบือนหน้าหนีไม่มองเขาด้วยความโกรธ จนกระทั่งเสิ่นหรูป๋อหยิบเรือเล็กจำลองที่ทำจากไม้ชุดหนึ่งออกมา หลี่รั่วอวี๋จึงหมุนตัวมาด้วยดวงตาโตเปล่งประกายแล้วเอนตัวเข้ามาอย่างสงสัย มองดูเรือเล็กถูกไขลาน แล่นไปอย่างอิสระในอ่างน้ำที่มีปลาทองว่ายอยู่หลายตัว

ส่วนเสิ่นหรูป๋อนั้นมองดูหลี่รั่วอวี๋หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเหมือนเด็กอย่างรักใคร่ สายตาที่เขามองหลี่รั่วอวี๋ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

หลี่รั่วฮุ่ยเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้วก็รู้สึกสบายใจลงได้บ้าง แต่ความสงสัยในใจควรจะพูดให้เร็ว จึงฉวยโอกาสตอนนี้ถามขึ้น “คุณชายรองเสิ่น น้องสาวข้าตอนนี้กลายเป็นเหมือนเด็กที่ไม่รู้ความ แม้คุณชายจะไม่รังเกียจ แต่เสิ่นฮูหยินในคฤหาสน์เจ้าย่อมมีความลำบากใจในฐานะเป็นผู้ใหญ่… คิดว่าภายหน้าคงต้องแต่งอนุ ไม่รู้ว่าเจ้า…”

เสิ่นหรูป๋อเงยหน้าขึ้นมองหลี่รั่วฮุ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อย่างประหลาดใจแล้วถามว่า “ข้าไม่เคยคิดเรื่องจะแต่งอนุ พี่ใหญ่เหตุใดจึงพูดเช่นนี้”

หลี่รั่วฮุ่ยทำเป็นมองไม่เห็นสายตายับยั้งของมารดา พูดคำของโจวอี๋เหนียงออกมาอย่างเปิดเผยตามตรง

เสิ่นหรูป๋อฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว จากนั้นพูดเสียงเครียดว่า “ความรู้สึกไม่วางใจในตัวรั่วอวี๋ของคุณหนูสามข้าเข้าใจดี แต่การที่พี่น้องแต่งงานร่วมกันเช่นนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ หรูป๋อชาตินี้ยินดีแต่งกับรั่วอวี๋เพียงคนเดียว”

ได้ฟังเสิ่นหรูป๋อพูดอย่างหนักแน่นเช่นนี้ ความสงสัยในใจหลี่รั่วฮุ่ยก็หายไปจนสิ้น คุณชายรองเสิ่นเป็นคนสุขุมมีความรับผิดชอบ หวังเพียงว่าน้องสาวอยู่ในคฤหาสน์สกุลเสิ่นจะมีชีวิตภายหน้าที่ราบรื่น

วันนั้นตอนที่เสิ่นหรูป๋อออกจากคฤหาสน์ บังเอิญเจอกับหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่เดินออกมาจากประตูด้านข้างของสวนดอกไม้ หลี่เสวียนเอ๋อร์เห็นเสิ่นหรูป๋อแล้ว แก้มก็แดงระเรื่อ พยักหน้าทักทายเสิ่นหรูป๋อ

แต่เสิ่นหรูป๋อสายตากลับไม่ลอกแลก ไม่ได้มองหลี่เสวียนเอ๋อร์เลย หลี่เสวียนเอ๋อร์ทำได้เพียงก้มหน้าลง เม้มมุมปากแน่น มองดูรอบด้านไม่มีผู้ใดก็หมุนตัวเดินไปที่ประตูสุดมุมด้านข้างและออกจากคฤหาสน์ไป

นอกประตูสุดมุมของคฤหาสน์สกุลหลี่เป็นตรอกเล็กพื้นหินที่สงบเงียบ นอกจากบางครั้งจะมีช่างลับมีดหรือพ่อค้าขายงานฝีมือสตรีแล้วก็ไม่มีผู้ใดผ่านมาอีก หลี่เสวียนเอ๋อร์ออกจากประตูไปแล้วก็เดินตามทางหินไปสักระยะ ก่อนจะเดินเลี้ยวไปถึงท้ายตรอกแห่งหนึ่ง ไม่นานก็เห็นร่างสูงใหญ่ของเสิ่นหรูป๋อปรากฏขึ้นบนถนนเล็กนอกตรอกนั้น เขาไม่ได้ขี่ม้า แต่เดินเท้าออกจากคฤหาสน์

หลี่เสวียนเอ๋อร์อาศัยตอนที่เขาเดินมาถึงปากตรอก หาโอกาสทิ้งผ้าเช็ดหน้าในมือลง

เสิ่นหรูป๋อหางตาเหลือบเห็นผ้าเช็ดหน้านั้นแล้ว แต่ไม่ได้ก้มลงเก็บ ทว่าค่อยๆ เดินเลี้ยวเข้าไปในตรอก

เขาร่างสูงใหญ่ ตรงนี้เป็นมุมเลี้ยว เป็นจุดมืดอับที่ไม่มีแสงแดดทะลุผ่าน แม้จะมีคนนอกเดินผ่านก็ไม่มีทางเห็นว่าตรงมุมเลี้ยวนี้มีคนอยู่

หลี่เสวียนเอ๋อร์ดวงตาแฝงความรัก แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ชายหนุ่มตรงหน้าก็โบกมือมาปะทะบนแก้มของนาง

“ผู้ใดให้เจ้าคิดเองเออเอง” เสิ่นหรูป๋อเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ฝ่ามือนั้นแท้จริงแล้วไม่หนักมาก แต่หลี่เสวียนเอ๋อร์จะเคยถูกตบเช่นนี้เมื่อใด ในตอนนี้จึงมีน้ำตาเอ่อล้นขอบตา พูดเสียงเบาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้ารอคอยและไม่ได้รับคำตอบจากท่านเสียที ข้า…ข้ารอไม่ไหวแล้ว…” พูดพลางมือคู่งามก็กุมไปที่ท้องน้อยของตนเอง

การกระทำเล็กน้อยนี้ย่อมอยู่ในสายตาของเสิ่นหรูป๋อ เขาขมวดคิ้วหนา ในแววตาฉายความรังเกียจ แต่ผ่อนเสียงพูดว่า “ข้าย่อมเตรียมการอย่างเหมาะสมแน่นอน แต่อย่าทำเหมือนเมื่อวานอีก ที่วิ่งไปหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่…”

ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็รีบหยุดปาก เพราะด้านหลังหลี่เสวียนเอ๋อร์มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่

หลี่เสวียนเอ๋อร์เห็นเสิ่นหรูป๋อมีสีหน้าผิดปกติ จึงหันมองตามไป จากนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป เห็นเพียงหลี่รั่วอวี๋ที่เดิมควรจะเล่นซ่อนแอบกับน้องชายในสวนดอกไม้ กำลังยืนหน้านิ่งอยู่ด้านหลังพวกเขา

สีหน้าท่าทางนั้นคนในคฤหาสน์สกุลหลี่เห็นจนชินตาแล้ว แม้จะมีอายุเพียงสิบเจ็ดปี แต่ทุกครั้งที่หลี่รั่วอวี๋มีท่าทางเรียบเฉย มักจะทำให้เหล่าสาวใช้และพ่อบ้านในคฤหาสน์อดจะกระวนกระวายใจไม่ได้

ตอนนี้หลี่รั่วอวี๋ที่ดูแลคฤหาสน์สกุลหลี่มองคนทั้งสองพูดคุยกันด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นนี้ หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็หัวใจเต้นแรง ชั่วขณะนั้นนางรู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายหายดีแล้ว หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ตกใจจนเอ่ยปากอธิบาย “พี่รอง พี่ฟังข้าพูดก่อน…”

แต่ยังไม่ทันพูดอธิบายเหตุผล หญิงสาวร่างบางตรงหน้ากลับเดินเข้ามาหนึ่งก้าว นิ้วขาวแตะไปบนใบหน้ามีคราบน้ำตาของหลี่เสวียนเอ๋อร์เบาๆ ทันใดนั้นก็เปิดปากเผยให้เห็นฟันขาวสะอาดและกะพริบดวงตาโตพลางพูดว่า “ยี้ๆ…”

จุดที่ถูกสัมผัสเหมือนถูกไฟลน หลี่เสวียนเอ๋อร์รีบถอยไปสองก้าว หัวใจที่ลอยสูงขึ้นกลับร่วงลงมาอีกครั้ง

พี่รองปัญญาอ่อนไปแล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้นนางที่ไม่ชอบความไร้เหตุผลไม่ยุติธรรมตอนนี้จะยิ้มแย้มอย่างไร้เดียงสาแบบนี้ได้อย่างไร คิดว่าเมื่อครู่ตอนที่เล่นอยู่ในสวนดอกไม้ นางคงจะเดินออกมาจากประตูสุดมุมตรงนี้ผู้เดียวกระมัง

หลี่เสวียนเอ๋อร์เหงื่อยังไม่ทันหายเปียกหันกลับไปมองเสิ่นหรูป๋อที่แววตาเคร่งเครียด ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เสิ่นหรูป๋อจ้องหลี่รั่วอวี๋ครู่หนึ่ง แล้วควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดดินโคลนที่ติดหน้าหลี่รั่วอวี๋พลางกล่าว “เจ้าพารั่วอวี๋กลับไปเถอะ” พูดจบก็รีบหมุนตัวเดินจากไป

หลี่เสวียนเอ๋อร์รีบจูงมือหลี่รั่วอวี๋ที่หัวเราะคิกคักเดินตามตรอกเล็กเข้าประตูสุดมุม เพิ่งเดินเข้าประตูสวนดอกไม้ก็เห็นหล่งเซียงรีบร้อนวิ่งมาทางนี้ พออีกฝ่ายเห็นหลี่เสวียนเอ๋อร์จูงหลี่รั่วอวี๋มาจึงพูดอย่างโล่งอก “คุณหนูรองหลบเก่งจริง นายน้อย คุณหนูรองอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ!”

บรรดาสาวใช้ล้วนพากันโล่งอก ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าบนแก้มคุณหนูสามมีรอยแดงจางๆ อยู่…

บทที่สอง

ในเมืองเหลียวเฉิงมีของดีสามอย่าง แตงกรอบดอง เรือท้องแบน น้ำพุร้อนในหิน!

สองสิ่งแรกยังอธิบายได้ง่าย แตงกรอบดองก็คือการเอาผลแตงขนาดเท่านิ้วมือมาแช่ในน้ำเกลือที่มีแต่ในพื้นที่จนผิวเขียวมันเป็นประกาย กัดเพียงหนึ่งคำก็สามารถกินข้าวได้ถึงครึ่งชาม

และเรือท้องแบนก็คือผลงานของคุณหนูรองสกุลหลี่ ไม่เพียงมีตัวเรือที่เบา แต่ไม่ว่าจะเป็นน้ำตื้นหรือมีคลื่นใหญ่ก็สามารถล่องไปได้อย่างอิสระ เป็นของล้ำค่าในการตักตวงผลประโยชน์ของชาวประมงจริงๆ

ส่วนน้ำพุร้อนในหิน ก็คือข้อดีอีกอย่างของเมืองเหลียวเฉิง บนภูเขาเหล่าจวินเมืองเหลียวเฉิงมีน้ำพุร้อนธรรมชาติอยู่แห่งหนึ่ง ในหลุมหินธรรมชาติก้อนใหญ่สองก้อนมีน้ำพุร้อนที่ผุดออกมาจากใต้ดินมารวมตัวกัน น้ำพุร้อนนี้มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการบาดเจ็บ เคยมีคนนอกพื้นที่มาตามคำเล่าลือว่าขอเพียงจ่ายเงินค่าธูปจำนวนมหาศาลให้แก่วัดหานเฟิงบนภูเขาเหล่าจวินก็สามารถไปแช่น้ำพุร้อนได้ครึ่งวันแล้ว

ตอนแรกที่หลี่รั่วอวี๋ตกจากหลังม้าได้รับบาดเจ็บ ไม่เพียงกระเทือนถึงสมอง แผ่นหลังก็ถูกหินคมบาดจนเป็นแผล แม้จะถูกส่งกลับคฤหาสน์มารักษาทันที แต่บาดแผลก็ยังบวมแดง ผิวขาวแต่เดิมมีบาดแผลนั้นอยู่คงไม่งาม น้ำพุร้อนในหินเหมาะกับการสมานแผลเป็นที่สุด ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จึงตั้งใจรีบพาหลี่รั่วอวี๋ไปแช่น้ำพุร้อนที่นี่ก่อนถึงกำหนดแต่งงาน

เสิ่นหรูป๋อจัดการทุกอย่างพร้อมสรรพ เขาไปติดต่อกับเจ้าอาวาสไว้ก่อน จองทั้งวัดเอาไว้ ถึงวันนั้นไม่รับแขกนอก จะได้ไม่มีผู้ใดมารบกวนหญิงสาวคฤหาสน์สกุลหลี่

หลี่รั่วฮุ่ยเพราะไม่อาจอยู่เมืองเหลียวเฉิงได้นาน หลังจากเยี่ยมน้องสาวและพูดกำชับมารดาแล้ว เมื่อวานก็รีบกลับไปแต่เช้า

ก่อนออกเดินทาง นางได้กำชับมารดาอีกครั้งว่าอย่าทำตามความต้องการของโจวอี๋เหนียงเด็ดขาด ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แม้จะไม่คิดว่าโจวอี๋เหนียงคิดร้ายอะไร แต่คำพูดของบุตรสาวคนโตนางก็เก็บใส่ใจไว้แล้ว

ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่ได้เรียกโจวอี๋เหนียงสองแม่ลูก เพียงแค่พาบุตรชายคนเล็กกับบุตรสาวคนรองมาแช่น้ำพุร้อนที่นี่ด้วยกัน

เพราะออกจากคฤหาสน์ ในคฤหาสน์นอกจากพ่อบ้านและบ่าวไพร่แล้ว ไม่มีเจ้านายที่เป็นบุรุษสักคน เสิ่นหรูป๋อจึงจงใจวางงานทุกอย่างแล้วคุ้มกันรถม้าของสกุลหลี่ไปที่วัดหานเฟิงเอง

บนเขานี้ไม่เหมือนที่อื่น แม้จะเป็นช่วงต้นฤดูร้อน แต่ความหนาวยังคงมีอยู่บ้าง รอจนหลี่รั่วอวี๋ลงจากรถ เสิ่นหรูป๋อก็เอาผ้าคลุมกันลมผืนบางมาคลุมร่างผอมบางของหลี่รั่วอวี๋เอาไว้

คงเพราะวันนี้เสิ่นหรูป๋อขยันกว่าที่ผ่านมา และทุกครั้งล้วนเอาของเล่นที่ทำให้หลี่รั่วอวี๋สนใจมา กิริยาก็ล้วนมีมารยาท ทำให้นางลืมเรื่องที่เขาเคยล่วงเกินนางไป ไม่ยู่ปากหลบเลี่ยงเขาเหมือนเมื่อหลายวันก่อน

เสิ่นหรูป๋อผูกเชือกผ้าคลุมให้หลี่รั่วอวี๋เสร็จแล้วก็มองใบหน้าเล็กของนางที่ส่งยิ้มให้เขาด้วยความสงสาร จากนั้นก็หมุนตัวไปพูดว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ สินค้าชุดใหม่ที่เพิ่งมาถึงในร้าน ต้องให้ข้ากลับไปนับจำนวนรับของด้วยตัวเอง ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินกับรั่วอวี๋ได้แล้ว ข้าจะให้เสิ่นโม่อยู่ที่นี่ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ให้เขามาแจ้งข้าได้เลย”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยิ้มรับคำ รู้สึกว่ามีลูกเขยที่ได้ดั่งใจเช่นนี้เหมือนมีบุตรชายมาครึ่งตัว

ระหว่างร่องหินสองแห่งบนเขานี้มีฉากหินกั้น หล่งเซียงกับพวกสาวใช้คอยปรนนิบัติหลี่รั่วอวี๋เติมยาสมุนไพรลงในน้ำอยู่ข้างๆ

ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พาเสียนเอ๋อร์บุตรชายคนเล็กไปแช่น้ำร้อนอยู่ในร่องหินด้านข้าง น้ำพุร้อนกลางแจ้งเช่นนี้ย่อมไม่อาจแช่แบบถอดเสื้อจนหมดได้ ต้องสวมเสื้อชั้นในพันผ้าไว้ แต่เสียนเอ๋อร์อายุยังน้อยจึงไม่ต้องกังวลอะไร เปลื้องผ้าเผยให้เห็นก้นเล็กกลมดิก ถูกมารดากอดเอาไว้ก็ยังอยู่ไม่สุข ขยับแขนเล็กตบไปบนน้ำจนเกิดระลอกคลื่นใหญ่

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่วันนี้อยากจะผ่อนคลายสักหน่อย แต่ถูกรบกวนจนสุดทน จึงสั่งให้ป้าจางบ่าวหญิงอาวุโสที่อยู่ด้านข้างมาอุ้มนายน้อยออกจากสระน้ำก่อน

เสียนเอ๋อร์ซุกซนเหมือนลูกปลาน้อยตัวลื่น ขยับก้นจมลงด้านล่าง คิดจะสะบัดให้หลุดจากอ้อมกอดของป้าจาง ป้าจางจึงยิ้มแล้วดีดเบาๆ ไปที่ ‘จำปีน้อย’ ของเสียนเอ๋อร์พลางพูดว่า “ถ้านายน้อยยังดื้ออีก จะให้นกใหญ่มาคาบลูกเจี๊ยบนี่ไปนะเจ้าคะ”

เสียนเอ๋อร์ถูกดีดจนรู้สึกคัน แต่ยังคงไม่ยอม กุมท้องน้อยบิดตัวหัวเราะอยู่ในอ้อมกอดอวบอ้วนของป้าจาง

หลี่รั่วอวี๋แช่น้ำจนรู้สึกร้อน จึงยกตัวขึ้นกึ่งพาดอยู่บนฉากหินมองมาทางมารดา มองดูน้องชายตัวกลมน่ารักแล้วก็หัวเราะตามไปด้วย

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองบุตรสาวคนรองของตนเองแล้วก็รู้สึกปวดใจอย่างทนไม่ไหวอีกครั้ง

ช่างงดงามเหลือเกิน! ตอนยิ้มออกมา ที่มุมปากมีลักยิ้มเล็กๆ ดวงตาฉ่ำวาวราวน้ำค้างที่เกาะดอกท้อบานในเดือนสาม…

ในตอนนี้เอง หลี่รั่วอวี๋ก็นึกสนุกขึ้นมาจึงยกมือขึ้นแล้วตะโกนว่า “คาบ…ลูกเจี๊ยบ…ไป!”

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คลึงหัวคิ้ว หากไม่พูดอะไร ผู้ใดจะมองออกว่าเป็นคนปัญญาอ่อน?

หลังจากแช่น้ำพุร้อนเสร็จแล้ว สิ่งที่ทุกคนรอคอยยิ่งกว่าก็คืองานเลี้ยงอาหารเจในวัดหานเฟิง อย่างไรเสียเจ้าอาวาสวัดก็เป็นนักบวช ยังพอมีความเมตตา ใจรู้ว่าเงินค่าธูปในการแช่น้ำพุร้อนนี้มากเกินไป จะทำการค้าเพียงอย่างเดียวไม่ได้ อย่างไรต้องคืนประโยชน์ให้แก่คนเหล่านี้บ้าง ดังนั้นจึงเชิญพ่อครัวชื่อดังมาจัดงานเลี้ยงอาหารเจ ต้อนรับเศรษฐีที่เดินทางมาแช่น้ำพุร้อน

สกุลหลี่เป็นตระกูลเศรษฐีในเมืองเหลียวเฉิง เจ้าอาวาสย่อมต้อนรับเป็นอย่างดีจึงตั้งใจเก็บกวาดสวนถิงหลินทางตะวันตกของวัดเพื่อต้อนรับเหล่าหญิงสาว

ที่ตรงนี้ไผ่เขียวเป็นม่านบัง หอศาลาล้วนมีอายุนับร้อยปี มีความสงบเงียบอย่างมาก แต่ต่อให้สถานที่งดงามเพียงใดก็ยังถูกเสียงตะโกนดังลั่นของเสียนเอ๋อร์ทำลายลงได้ บุตรชายคนเล็กของสกุลหลี่เวลาซนขึ้นมาก็น่าปวดหัว

ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองไปทางหลี่รั่วอวี๋ที่กินอาหารไปไม่กี่คำก็ดูอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง จึงนึกถึงคำของท่านหมอที่เขียนใบสั่งยาขึ้นได้ว่าหลังจากแช่น้ำพุร้อนที่เติมยาอาจจะมีอาการง่วงนอนได้ พลันสั่งให้หล่งเซียงประคองคุณหนูรองไปในห้องที่เก็บกวาดในสวนถิงหลินไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืด ทุกคนจึงพักอยู่ในสวนถิงหลินนี้หนึ่งคืน

หล่งเซียงปรนนิบัติคุณหนูรองให้เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นเอายากันยุงสองก้านที่จุดไฟไว้แล้วไปรมควันที่สี่มุมเตียง แล้วจึงปลดผ้าม่านสีเขียวลง ยุงแมลงบนเขามีมากต้องดูแลเป็นอย่างดี คุณหนูรองไม่เหมือนเมื่อก่อน นิสัยเหมือนเด็กเล็ก หากถูกยุงแมลงกัด จะต้องไม่สบายตัวจนร้องงอแงแน่นอน

รอจนปรนนิบัติให้คุณหนูรองนอนหลับแล้ว หล่งเซียงจึงปูฟูกพักผ่อนตรงนอกห้อง คุณหนูรองพอตกดึก ปกติจะนอนหลับสนิทไม่ตื่นมาตอนกลางคืน ดังนั้นการเฝ้าตอนกลางคืนจึงนับว่าสบายดี

อาศัยวาสนาของผู้เป็นนาย หลังอาหารวันนี้พวกนางก็ได้ผลัดกันไปแช่น้ำชำระร่างกายที่น้ำพุร้อน เลือดลมเดินสะดวก นอนหลับได้สนิทมากขึ้น

ดังนั้นหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ตอนคุณหนูรองลุกขึ้นมานั่งข้างเตียงจึงไม่มีผู้ใดรู้ตัว ได้ยินเพียงเสียงกรนดังสนั่นของบ่าวหญิงอาวุโสนอกห้องรางๆ

อาหารเย็นเค็มมาก หลี่รั่วอวี๋นอนถึงเที่ยงคืนก็รู้สึกปากแห้งจึงลุกขึ้นนั่ง

เวลานี้ในวัดเงียบสงัด นอกจากบ่าวหญิงอาวุโสและสาวใช้ในห้องแล้ว บ่าวไพร่คนคุ้มกันที่เหลือล้วนตั้งกระโจมพักผ่อนอยู่ตรงทางเขาสวนถิงหลิน ท่ามกลางเสียงลมหายใจทอดยาวและเสียงร้องของแมลงกลางคืน

หลี่รั่วอวี๋พลิกเปิดม่านเขียว มองไปโดยรอบอย่างงุนงง นับจากฟื้นขึ้นจากการหมดสติไปหนึ่งเดือนเต็ม ทุกครั้งที่ตื่นลืมตาตอนเช้า สมองจะถูกความว้าวุ่นและความว่างเปล่ามาแทนที่ ความรู้สึกเงียบเหงาไร้ที่พึ่งนั้นไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไร ก็เหมือนตอนนี้ที่ถูกความมืดปกคลุม ความเย็นจากพื้นหินทะลุผ่านใต้ถุงเท้าส่งผ่านไปถึงหัวใจที่ว่างเปล่านั้น

นางกะพริบตาช้าๆ ท่ามกลางความมืดแล้วเริ่มลุกขึ้นคลำทาง เดินเท้าเปล่าออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ

ค่ำคืนที่วัดบนภูเขาในพุ่มดอกไม้เต็มไปด้วยหิ่งห้อยที่มีแสงสว่างดวงน้อยๆ กำลังเต้นรำภายใต้แสงจันทร์ และท่ามกลางแสงจันทร์ นางสวมชุดนอนตัวบางหลวมโคร่งปล่อยผมสยายเดินไปในลานเรือน

บนภูเขานี้กลับมีเสียงสะท้อนอย่างชัดเจน จนสามารถได้ยินเสียงพูดคุยเบาๆ ของบ่าวที่เฝ้ายามหน้าประตูเรือนจากที่ไกลๆ

นับจากนางฟื้นขึ้นมาก็ชอบอยู่คนเดียว จึงปลีกตัวจากบ่าวไพร่ หมุนตัวเดินไปหลังเขาที่ติดกับตัวเรือนอย่างช้าๆ

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ตามสัญชาตญาณแล้วก็ได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากบนเขา… หลี่รั่วอวี๋เม้มริมฝีปากที่แห้งผาก ยื่นมือเกาะไปบนผนังผาแล้วปีนขึ้นไปราวกับแมวน้อยที่คล่องแคล่วตัวหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปบนทางหินกรวดที่มีดอกกล้วยไม้ปกคลุมตามเสียงน้ำนั้นไป ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าใด ตอนที่เสียงน้ำเข้ามาใกล้ เลี้ยวผ่านหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ด้านหลังเป็นสถานที่อาบน้ำที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง แตกต่างกับสถานที่อาบน้ำของสกุลหลี่ในตอนเช้า ที่นี่เหมือนจะสร้างขึ้นชั่วคราว ถังไม้ใบใหญ่รองรับน้ำที่ใช้กระบอกไม้ไผ่ดึงน้ำลงมาจากที่สูง

และในตอนนี้คนที่หลับตาแช่น้ำอยู่ในถังอาบน้ำคือชายที่มีรูปร่างสูงใหญ่… ชายผมขาว

เห็นผมที่สยายอยู่บนไหล่ที่มีมัดกล้ามแข็งแรงไม่ใช่เพียงแค่ขาว แต่มีสีเงินที่ทำให้ตาพร่า ส่องประกายเย็นชาอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ตัดกับกล้ามเนื้อแน่นตึงสีแทนนั้นอย่างประหลาด

หากจะบอกว่าเป็นเพราะอายุมากจึงมีผมขาวก็ว่าไม่ได้ ดูคิ้วที่เรียวงาม รูปโฉมที่งามสง่านั้นแล้ว ไม่เหมือนคนแก่เลย แต่เหมือนชายงามที่อยู่ในวัยแรกรุ่นมากกว่า…

ไม่รู้เพราะเหตุใด หลี่รั่วอวี๋รู้สึกว่าชายหนุ่มใต้แสงจันทร์ที่น่าประหลาดนั้นน่ามองเหลือเกิน… ดังนั้นจึงอดใจไม่ไหวเดินเข้าไปอีกหลายก้าว แต่ตอนที่เท้าเปลือยเปล่าของนางเหยียบไปบนกิ่งไม้ ชายหนุ่มที่หลับตาอยู่ตลอดก็ลืมตาขึ้นทันที ในดวงตาเฉี่ยวราวหงส์ราวกับแฝงด้วยประกายงดงามของผลึกแก้ว…

แววตาประหลาดคู่นั้น สีของนัยน์ตาทั้งสองข้างไม่เหมือนกันนัก ข้างหนึ่งเป็นสีดำ แต่นัยน์ตาอีกข้างหนึ่ง… กลับเป็นสีแดงจางๆ ราวทับทิม

ค่ำคืนบนเขาเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นมาเห็นชายหนุ่มนัยน์ตาปีศาจผมขาวผู้หนึ่งอาบน้ำ เกรงว่าคงสงสัยว่าเป็นปีศาจในเขา ตกใจจนล้มกลิ้งหนีอย่างทุลักทุเลไปแล้ว ทว่าคนที่ลอบมองชายหนุ่มอาบน้ำในตอนนี้กลับเป็นคนปัญญาอ่อนสมองเสื่อมผู้หนึ่ง เมื่อชายหนุ่มผู้นั้นมองมาด้วยสายตาเย็นเยือก นางยังไม่รู้จักหลบเลี่ยง และยังคงเหม่อมองชายหนุ่มดังเดิม

ในตอนนี้เอง คมกระบี่เย็นเยือกก็มาพาดอยู่บนลำคอระหงของหลี่รั่วอวี๋แล้ว

“อย่าขยับ!”

ไม่รู้ว่ามีชายฉกรรจ์ในชุดทะมัดทะแมงผู้หนึ่งโผล่เอากระบี่มาจ่อที่คอหลี่รั่วอวี๋ตั้งแต่เมื่อใด กระบี่ที่แหลมคมกรีดผิวเนียนนั้นเล็กน้อยแล้ว ความเจ็บที่ส่งมาทำให้ในดวงตาโตของนางมีน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว…

ในตอนนี้ชายฉกรรจ์อีกคนก็ยกตะเกียงเล็กดวงหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะขยับมาทางหลี่รั่วอวี๋ แสงไฟส่องไปบนใบหน้าของนาง ส่องให้เห็นใบหน้าซีดขาวไร้เรี่ยวแรงนั่น

ชายผมขาวผู้นั้นเห็นหน้าตาผู้บุกรุกอย่างชัดเจนแล้ว ดวงตาที่ฉายประกายสีแดงจางๆ แต่เดิมดูเหมือนเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย เมื่อแสงสีแดงสว่างขึ้น ดวงตาปีศาจคู่นั้นก็ยิ่งทำให้คนไม่กล้าจ้องมองโดยตรง เขายกมุมปากบางขึ้นพลางพูดขึ้นเสียงเข้ม “คุณหนูรอง ไม่เจอกันเสียนานเลย!”

หลี่รั่วอวี๋กะพริบดวงตาที่มีน้ำตา เดิมในใจรู้สึกกลัวและกำลังจะร้องไห้ออกมา แต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผมขาวจะเอ่ยเรียกนางขึ้นมาทันใด นับจากนางฟื้นขึ้นมา บ่าวไพร่สาวใช้ข้างกายล้วนเรียกนางว่า ‘คุณหนูรอง’ ดูแลเอาใจนางเป็นอย่างดี ตอนนี้ได้ยินชายหนุ่มเรียกเช่นนี้ เห็นได้ว่าเขารู้จักนาง ไม่มีทางทำร้ายนาง

เมื่อคิดเช่นนี้ หลี่รั่วอวี๋จึงฉีกยิ้มยิงฟันอย่างขลาดกลัว

แต่รอยยิ้มแสดงความเป็นมิตรนี้พอเข้าไปในตาของชายหนุ่มผู้นั้นกลับเหมือนการท้าทาย ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ยืนขึ้นจากถังไม้อย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงน้ำหยด เผยให้เห็นมัดกล้ามที่แข็งแกร่ง แต่บนร่างสูงใหญ่แข็งแรงนั่นมีบาดแผลสดใหม่เต็มไปหมด

เห็นทีเขาคงได้ยินชื่อเสียงของน้ำพุร้อนที่นี่ จึงมาแช่น้ำเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเช่นกัน

ภายใต้แสงจันทร์ ชายหนุ่มผู้นี้แม้จะสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ แต่เมื่อเสื้อคลุมอาบน้ำเปียกน้ำก็ดูเหมือนไม่ได้สวมอะไรเลย หากเป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไป ตอนนี้คงจะกรีดร้องเลื่อนสายตาหนีแล้ว แต่หญิงสาวที่ถูกคมกระบี่จ่อเอาไว้นี้ กลับยังคงเบิกดวงตาโต จ้องตรงไปใต้ท้องน้อยของเขา…

ชายหนุ่มผมขาวอ้าขายืนนิ่ง มองดูท่าทางของหลี่รั่วอวี๋ แล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ความกล้าของคุณหนูรองไม่ได้ลดลงเลย เดิมทีคิดจะเห็นแก่พระมาตุลาปล่อยเจ้าไปสักครั้ง แต่ในเมื่อเจ้ามาถึงที่เอง ก็ได้แต่โทษชะตาชีวิตแล้ว…”

เขาพูดพลางยื่นมือไปรับมีดสั้นวาววับเล่มหนึ่งที่องครักษ์ด้านข้างยื่นมาให้ คมมีดแหลมนั้นกรีดท้องตัดไส้ หรือควักลูกตาล้วนเป็นอาวุธที่เหมาะมือ

ชายฉกรรจ์ที่เดิมทีคุมตัวหลี่รั่วอวี๋เอาไว้ก็คลายกระบี่ในมือ ปล่อยให้หญิงสาวที่ไม่มีผู้ใดประคองล้มลงคุกเข่าบนพื้น ผู้เป็นนายเสียเชิงมามากเพราะหญิงสาวที่ไร้เรี่ยวแรงนางนี้ ตอนนี้สามารถคลายความคับแค้นใจได้อย่างไม่ง่ายนัก พวกเขาที่เป็นผู้ใต้บัญชาย่อมต้องเห็นดีด้วย ไม่ขัดขวางความสุขของผู้เป็นนาย

หลี่รั่วอวี๋คุกเข่าอยู่บนพื้น เจ็บจนร้องครางเบาๆ แต่นางคิดว่าเป็นเพราะชายหนุ่มผมขาวผู้นี้เอ่ยปาก คนเลวด้านหลังจึงปล่อยมือ ดังนั้นเขาต้องเป็นคนดีแน่นอน ในตอนนี้นางจึงช้อนตามองไปทางชายหนุ่มผมขาวที่มองนางอย่างเย็นชาอยู่ตลอด รู้สึกเพียงว่าดวงตาของเขาคู่นั้นน่าดูมากยิ่งขึ้น แต่เขาได้รับบาดเจ็บมากมายเช่นนี้คงเจ็บมากแน่นอน และคงเจ็บยิ่งกว่าบาดแผลบนลำคอของนางด้วย

ดวงตางดงามอย่างนั้น หากยิ้มออกมาต้องน่าดูยิ่งขึ้น… หลี่รั่วอวี๋ดวงตาเปล่งประกายขึ้นทันใด นึกถึงการเล่นที่เพิ่งเรียนรู้เมื่อตอนเช้าจึงยืนขึ้นอย่างช้าๆ

หลายวันมานี้นางมีสหายใหม่เพิ่มขึ้นไม่น้อย เข้ากับเพื่อนเล่นหลายคนของน้องชายได้ดี จึงเกิดความคิดอยากคบสหายขึ้นมาบ้าง

ในตอนนี้นางจึงยิ้มขัดเขินให้กับชายหนุ่มผมขาว สองมือบิดแขนเสื้อ แล้วขยับไปทางชายหนุ่มอย่างช้าๆ

ชายหนุ่มผมขาวดูเหมือนคาดไม่ถึงที่นางไม่หลบหลีก แต่เดินเข้ามาหาตนเอง แววตานั้นเปล่งประกาย ลดมือที่ถือมีดคมลง อยากดูว่านางคิดจะทำอะไร

เห็นเพียงหญิงสาวผอมบางในที่สุดก็ก้มหน้าเดินมาถึงตรงหน้าเขา ใบหน้าเล็กน่ารักเงยขึ้นเล็กน้อย ยิ้มให้เขาอย่างไร้เดียงสา โน้มตัวยื่นมืองามข้างหนึ่งออกมา นิ้วโป้งกับนิ้วชี้เกี่ยวกัน แล้วยื่นไปที่หว่างขาของเขาช้าๆ สอดผ่านเสื้อคลุมอาบน้ำ จากนั้นก็ดีดนิ้วทันที “คาบ…คาบลูกเจี๊ยบไป…”

เคร้งๆ… ที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะใสแจ๋วของหญิงสาว ก็คือเสียงดาบและกระบี่ที่ตกลงพื้น

ชายหนุ่มผมขาวช้อนดวงตาแดงก่ำขึ้นช้าๆ มองเห็นทหารฝีมือดีหลายนายของตนเองถือดาบโลหะไว้ไม่อยู่ อ้าปากกว้าง เบิกตาโตเท่าไข่ไก่หัวเราะขัน

ไม่โทษเหล่าผู้ใต้บัญชาที่น้อยนักจะเห็นผู้เป็นนายเสียหน้า… คุณหนูรองหลี่ผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ กล้ามาหยอกล้อผู้มีใบหน้าปีศาจผีเห็นยังหวาดหวั่นจนตัวสั่นทั้งที่ไม่หนาวผู้นี้ และยังใช้วิธีน่าอับอายแบบนั้นด้วย ข้อมือปลายนิ้วของหญิงอ่อนแอผู้หนึ่งสามารถดีดออกดึงกลับได้อย่างเป็นธรรมชาติ ลงมือรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว…

ฉู่จิ้งเฟิงก้มหน้าลง ผมยาวราวน้ำตกปิดบังสีหน้าของเขา ทำให้คนยากจะเดาความคิดในตอนนี้ของเขาได้ เขายื่นมีดในมือออกไป คมมีดเย็นเยือกเชยใบหน้าที่มีรอยยิ้มไร้เดียงสาขึ้นมา แต่บนใบหน้าเล็กนั่นไม่ได้แสดงท่าทางเล่นหูเล่นตา ไม่เหมือนคนที่อยู่ระหว่างความเป็นความตายที่เตรียมจะเอาความบริสุทธิ์มาแลกกับชีวิต…

ตอนนี้แสงไฟส่องสว่าง ส่องกระทบใบหน้าใต้เงามืดของหญิงสาว ดวงตาโตโค้งเป็นรอยยิ้มส่องประกายดึงดูดใจคน ไม่เหมือนครั้งแรกที่นางได้เห็นเขาซึ่งมีผมขาวนัยน์ตาประหลาด ในแววตาฉายความตกใจและมีความรังเกียจแวบผ่าน

หลี่รั่วอวี๋พบว่าชายผู้นั้นไม่เหมือนเสียนเอ๋อร์ผู้เป็นน้องชายที่ยิ้มอย่างเบิกบานตอนป้าจางหยอกเย้า ในใจก็เกิดความสงสัย หรือว่าเมื่อครู่ดีดได้ไม่ดีพอ? นางจึงยกมือขึ้น หามุมจะลองดีดอีกครั้ง

ครั้งนี้ทหารที่รักของฉู่จิ้งเฟิงดึงสติคืนมาได้แล้ว ซือหม่าแห่งต้าฉู่ที่กุมอำนาจทหารหนึ่งฝ่าย จะปล่อยให้ถูกหญิงชาวบ้านหยอกล้ออีกครั้งได้อย่างไรกัน

ทหารใต้บัญชาจึงตะคอกเสียงเข้มขึ้นทันใด “บังอาจ! กล้า…ลอบทำร้ายซือหม่าหรือ!”

เหล่าทหารกำลังจะเข้ามาลากตัวหญิงบ้าตัณหาผู้นั้นออกไป กลับเห็นฉู่จิ้งเฟิงเก็บมีด แล้วยกตัวหญิงสาวขึ้นด้วยมือข้างเดียว กดไว้บนกำแพงหินด้านข้าง ขยับริมฝีปากเข้าใกล้ พูดเสียงเบาข้างใบหูนุ่มนิ่มของหลี่รั่วอวี๋ “คุณหนูรองหลี่ เจ้าเตรียมจะทำอะไรอีก”

หลี่รั่วอวี๋รูปร่างเล็ก ถูกเขายกลอยสูง เท้าเล็กเปลือยเปล่าพยายามแตะปลายเท้าก็ไม่ถึงพื้น รู้สึกเพียงว่าตอนชายหนุ่มพูดข้างหูรู้สึกคันที่ใบหู กลิ่นยาสมุนไพรหอมสดชื่นที่ลอยมาจากบนตัวเขาก็มีกลิ่นน่าดมมาก แต่ตัวลอยอยู่กลางอากาศไม่สบายตัวนัก ตอนนี้จึงยิ้มไม่ออก ขมวดคิ้วและร้องไห้โฮขึ้นมา

หากเพียงแค่ร้องไห้ด้วยความกลัวก็ยังดี แต่คุณหนูในมือเขาผู้นี้ร้องไห้โฮไม่สนใจอะไรเหมือนเด็กๆ

นัยน์ตาประหลาดของฉู่จิ้งเฟิงคู่นั้นฉายความแปลกใจ นิ้วมือเลื่อนเข้าไปช้าๆ กำลังจะแตะน้ำตาหยดใสนั้น แต่ก็ห้ามใจไว้ในที่สุด เขาเคยถูกใบหน้าที่ดูเหมือนอ่อนหวานงดงามนี้ทำให้หลงใหลมาแล้ว… ผลปรากฏว่ากลายเป็นความผิดมหันต์ และความผิดนี้ ชาตินี้เขาจะไม่ยอมทำผิดซ้ำอีก!

เมื่อคิดดังนี้ มือของเขาจึงเลื่อนไปกุมที่คอหอยของนาง…

“ฉู่ซือหม่าโปรดยั้งมือด้วย!” ในช่วงความเป็นความตายนี้ เสียงพูดหนึ่งก็ดังขึ้น

เห็นเพียงเสิ่นหรูป๋อสีหน้าเคร่งเครียดนำคนมาปรากฏกายตรงทางเดินกลางภูเขา

ตกดึกเขาจึงได้รู้ข่าวที่ฉู่จิ้งเฟิงมาเมืองเหลียวเฉิงอย่างลับๆ เพื่อแช่น้ำพุร้อนรักษาอาการบาดเจ็บ แม่ทัพที่กำลังต่อสู้แบ่งแยกดินแดนทางเหนือ เหตุใดจึงต้องมารักษาตัวไกลถึงเจียงหนานด้วย คิดถึงความขัดแย้งก่อนหน้าที่หลี่รั่วอวี๋มีต่อฉู่ซือหม่าผู้นี้แล้ว เสิ่นหรูป๋อก็รู้สึกไม่ค่อยดี เมื่อนึกได้ว่าหญิงสาวสกุลหลี่อยู่ในวัดบนเขา จึงรีบขอให้แม่ทัพที่เฝ้าอยู่นอกเมืองนำกำลังทหารมารับหลี่รั่วอวี๋กลับคฤหาสน์

คิดไม่ถึงว่าตอนมาถึง ปลุกบ่าวหญิงอาวุโสนอกห้องหลี่รั่วอวี๋ตื่นแล้วก็ต้องตกใจที่นางไม่อยู่บนเตียง เสิ่นหรูป๋อลอบคิดในใจว่าแย่แล้ว เขาไม่มีเวลาสนใจฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่ตกใจลนลาน รีบพาคนไปสอบถามบ่าวที่เฝ้าประตูอยู่ หลังจากมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดเข้าออกแล้ว จึงพาคนขึ้นบนภูเขาเล็กหลังเรือน บังเอิญได้ยินเสียงตะโกนร้องไห้ของหลี่รั่วอวี๋จึงรีบรุดมาทันเวลา

ฉู่จิ้งเฟิงช้อนตาขึ้นมองผู้ที่มา ก่อนจะยกข้อมือโยนหลี่รั่วอวี๋ให้กับสมุนของตนเอง จากนั้นยื่นมือไปรับเสื้อคลุมมาสวมเอาไว้อย่างสงบนิ่ง เพราะไม่ได้สัมผัสกับไอร้อนจากน้ำพุร้อน นัยน์ตาสีแดงประหลาดนั้นจึงค่อยๆ จางลงกลับเป็นสีเหมือนปกติ แต่ไอสังหารบนตัวเขาที่มีมาตั้งแต่เกิดยังคงทำให้คนตัวสั่นทั้งที่ไม่หนาว เขาเหลือบมองคุณชายรองเสิ่นแวบหนึ่งแล้วพูดอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นผู้ใด คู่ควรจะมาสั่งข้าด้วยหรือ”

รูปโฉมของเขาเดิมก็ต่างจากคนทั่วไปอยู่แล้ว ไอสังหารที่ซึมซับจากสนามรบมาหลายปีจึงยากจะปิดบังได้ เหล่าทหารที่เดินตามหลังเสิ่นหรูป๋อเห็นแล้วก็ใจสั่นอย่างห้ามไม่อยู่

เสิ่นหรูป๋อยังนับว่าสงบนิ่ง คำนับอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเสิ่นหรูป๋อเป็นผู้ช่วยเสนาบดีกองชลประทานกรมโยธาที่พระมาตุลาไป๋เป็นผู้แต่งตั้ง”

ฉู่จิ้งเฟิงส่งเสียงสบถพลางกวาดมองเสิ่นหรูป๋อแวบหนึ่งด้วยแววตาเย็นชา ราวกับว่าเสียงสบถนั้นก็เพียงพอจะแสดงการดูหมิ่นได้มากกว่าคำพูดแล้ว

ทว่าทหารของเขากลับไม่เกรงใจ พูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมขึ้นว่า “ที่แท้ก็คู่หมั้นคุณหนูรองหลี่นี่เอง เรือเล็กน้ำตื้นที่คุณหนูรองหลี่ออกแบบเข้าตาพระมาตุลาไป๋ พลอยทำให้สุนัขระกาเยี่ยมวิมาน ตามไปด้วย…”

เสิ่นหรูป๋อขบกราม ได้ยินมาว่าฉู่ซือหม่าผู้นี้ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา วันนี้ได้มาเห็นเองช่างสมคำเล่าลือจริงๆ

น่าเสียดายที่ที่นี่ไม่ใช่เมืองโม่เหอ ฉู่ซือหม่ามังกรแกร่งตัวนี้ต้องหวั่นเกรงบ้าง คิดถึงตรงนี้ เขาจึงเอ่ยพูดเสียงเรียบ “ข้าน้อยรู้ว่ารั่วอวี๋ล่วงเกินฉู่ซือหม่าไว้มาก แต่สองเดือนก่อนนางไม่ระวังตกหลังม้า หัวได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้เป็นเหมือนคนปัญญาอ่อน หวังว่าฉู่ซือหม่าจะไม่ถือสาหญิงสมองเสื่อม ให้อภัยในการเสียมารยาทของนางด้วย…”

ฉู่จิ้งเฟิงฟังถึงตรงนี้ดวงตาหงส์ก็หรี่ลง ก่อนจะหันไปมองหลี่รั่วอวี๋อีกครา ประกายในดวงตาถูกขนตางอนยาวนั้นบดบังไว้ ทำให้มองไม่ออกว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่

เสิ่นหรูป๋อแม้ปากจะพูดอย่างนอบน้อม แต่ดวงตายังคงทนไม่ไหวมองไปทางหลี่รั่วอวี๋ที่ถูกคุมตัวไว้ เห็นนางร้องไห้จนหายใจหอบไม่ทัน ใบหน้าขาวเปียกชื้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นไร้ทางช่วย

“อ้อ? ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ คุณหนูรองหลี่ก็ได้รับบาดเจ็บหนักแบบนี้ เช่นนั้นเรื่องที่นางรับปากข้าก่อนหน้านี้ว่าจะเร่งทำเรือเดินทะเลให้ก็เป็นไปไม่ได้แล้วสิ อาการสมองเสื่อมนี่ช่างบังเอิญเสียจริง…”

ฉู่จิ้งเฟิงเห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ บนใบหน้าค่อยๆ เย็นเหมือนน้ำแข็ง “ครั้งนี้ข้ามารักษาอาการบาดเจ็บที่เมืองเหลียวเฉิง พาหมอชื่อดังมาด้วยหลายท่าน คงต้องลองรักษาอาการให้คุณหนูรองแล้ว ดูว่าไปอุดเส้นความฉลาดเส้นใดกันแน่”

ในคำพูด เขาได้สื่อความหมายแล้วว่าจะพาตัวหลี่รั่วอวี๋ไปด้วย

เสิ่นหรูป๋อมีหรือจะยอม “ความหวังดีของซือหม่า ข้าน้อยขอขอบคุณแทนคุณหนูรอง แต่นางเป็นหญิง และกำลังจะแต่งงานกับข้าน้อย ถ้าซือหม่าพาตัวนางไปเช่นนี้ เกิดข่าวลือออกไปมิเสื่อมเสียชื่อเสียงของฉู่ซือหม่าหรือ ข้าน้อยรู้ว่าฉู่ซือหม่ากับพระมาตุลาไป๋ตอนนี้กำลังร่วมแรงร่วมใจต่อต้านหยวนซู่ ถ้าใต้เท้าต้องการเรือรบ ข้าน้อยจะพยายามทำอย่างเต็มที่แน่นอน แม้รั่วอวี๋จะป่วย ก็ไม่กล้าให้เสียงานแผ่นดินเด็ดขาด พระมาตุลาไป๋ก็ให้คนส่งสารมาสั่งขุนนางเมืองเหลียวเฉิงต้อนรับท่านซือหม่าให้ดี ตอนนี้การศึกทางเหนือขาดเรือรบอย่างมาก การเร่งต่อเรือจะเสียเวลาไม่ได้ มีภารกิจมากมายต้องให้อู่เรือของคฤหาสน์สกุลหลี่ออกแรงช่วย… หวังว่าท่านซือหม่าจะไว้หน้าสกุลหลี่ในครั้งนี้ด้วย”

เสิ่นหรูป๋อเป็นคนสุขุม พูดจาไม่มีข้อบกพร่องใด ฉู่จิ้งเฟิงได้ฟังคำของเขาแล้วก็ต้องหันมามองเขาใหม่อีกครั้ง

เขากับสกุลไป๋สู้กันทั้งในที่แจ้งและที่ลับ แต่ในราชสำนักแม้จะมีการปัดแข้งปัดขาก็ยังมีช่วงเวลาต้องหลอกใช้กันเช่นกัน ตอนนี้เพราะกองทหารของหยวนซู่ เขากับพระมาตุลาไป๋จึงร่วมมือกันชั่วคราว รักษาความสามัคคีกันแค่เปลือกนอกไว้

และด้วยหลี่รั่วอวี๋ผู้นี้เป็นกำลังของพระมาตุลาไป๋ เขาจึงคิดถึงสภาพการณ์โดยรวม สะกดความแค้นในใจที่มีต่อหลี่รั่วอวี๋เอาไว้ชั่วคราว

ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว พิษในร่างของเขายังไม่จางหาย ยังมิอยากถูกขุนนางท้องถิ่นเหล่านี้ทำให้เสียเวลา ส่วนสำหรับหลี่รั่วอวี๋นั้น… ฉู่จิ้งเฟิงยิ้มเย็นชามองนางอีกครั้ง

อยู่ดินแดนทางเหนือที่เหน็บหนาวมานาน กลับยิ่งรู้สึกถึงความงดงามของเมืองเก่าแก่แถบเจียงหนาน เขาต้องพักอยู่ที่เจียงหนานนี้สักระยะ วันเวลายังอีกยาวนาน ตอนนี้เขามีเวลามากพอจะ ‘รำลึกความหลัง’ กับคุณหนูรองหลี่มากเล่ห์ผู้นี้แล้ว

คิดถึงตรงนี้ เขาจึงโบกมือช้าๆ อย่างเกียจคร้านพลางเอ่ยปากพูดว่า “อีกสองสามวันข้าจะจัดงานเลี้ยงคนมีชื่อเสียงที่ที่พักรับรองเมืองเหลียวเฉิง หวังว่าคุณหนูรองหลี่จะไปร่วมงาน จะได้ช่วยตรวจอาการให้ ถ้าคุณหนูรองหลี่สามารถหายได้ ‘ทันที’ ภายในไม่กี่วันนี้นั่นก็ดีที่สุด ข้าก็สามารถรำลึกความหลังกับนางได้ ไม่อย่างนั้น ถ้าพบในภายหลังว่ามีคนคิดจะทำตัวบ้าๆ บอๆ มาหลอกข้า…”

พูดถึงตอนนี้ ฝ่ามือของเขาก็ออกแรงจนมีดในมือถึงกับหักเป็นสองท่อนในทันที!

ไม่รอให้เสิ่นหรูป๋อตอบ เขาก็ส่งสัญญาณให้คนใต้บัญชาปล่อยหลี่รั่วอวี๋ แล้วพาคนใต้บัญชาเดินจากไป

จนกระทั่งกลุ่มคนเดินหายไปตรงปากทางเขา เสิ่นหรูป๋อจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ปกติซือหม่าผู้นี้มีนิสัยประหลาด เข้าหาได้ยากที่สุด เมื่อครู่ตอนเห็นเขาบีบคอหลี่รั่วอวี๋ด้วยแววตาฉายไอสังหาร เสิ่นหรูป๋อก็ลอบปาดเหงื่อในใจ

เขารีบเดินเข้าไปหลายก้าว ก่อนจะถอดเสื้อกันลมออกมาคลุมตัวหลี่รั่วอวี๋ที่กำลังตัวสั่นเทา และช้อนอุ้มนางขึ้นมาแล้วรีบเดินลงจากเขาไป

ทว่าเขาไม่ได้อุ้มหลี่รั่วอวี๋กลับไปที่สวนถิงหลิน แต่เดินอ้อมทางเขาอุ้มนางมาถึงบนรถม้าที่จอดอยู่ตรงหน้าประตูวัด เขาหมุนตัวไปพูดกับเสิ่นโม่ที่เดินตามมาว่า “เจ้าไปบอกฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ว่าคุณหนูรองไม่เป็นอะไร เพียงแต่ตกใจเล็กน้อย นอกเมืองมีหมอชื่อดังมา ข้าจะพานางไปดูอาการ ตอนนี้นางคงกลับคฤหาสน์สกุลหลี่ไม่ได้ ต้องหลบเลี่ยงฉู่ซือหม่าสักพัก ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่สบายใจได้ ข้าจะดูแลคุณหนูรองให้ดี”

จากนั้นเขาก็ขึ้นนั่งบนรถม้า สั่งคนรถให้เคลื่อนม้า มีบ่าวชายหลายคนติดตาม แล้วเดินทางอย่างรวดเร็วไปยังคฤหาสน์เปลี่ยวร้างห่างไกลแห่งหนึ่งนอกเมือง

กำแพงคฤหาสน์แห่งนี้สูงตระหง่าน รอบด้านไม่มีบ้านคน ผู้เฒ่าตาเดียวผู้หนึ่งได้รับแจ้งก็รีบเปิดประตูเหล็กหนาหนักให้เสิ่นหรูป๋ออุ้มหญิงสาวที่หลับสนิทเข้าไปข้างใน

รอจนเขาเข้ามาในเขตรั้ว เรือนทรงชาวนาที่ดูเหมือนไม่มีอะไรประหลาดก็ค่อยๆ เผยให้เห็นความลี้ลับ ในลานบ้านมีคนคุ้มกันเรือนยืนอยู่ ส่วนประตูหน้าต่างห้องนอนก็มีราวเหล็กหนากั้น เมื่อเข้าไปในห้องนอนก็พบว่าเครื่องใช้ที่จัดวางไว้ล้วนสะอาดเอี่ยม เตียงใหญ่มุมโค้งมนนั้นดูสะดุดตาอย่างมาก

ที่นี่…หากจะเรียกว่าห้องนอน เรียกว่าคุกน่าจะเหมาะสมกว่า

เพราะเหตุไม่คาดคิดเมื่อสองเดือนก่อน ‘คฤหาสน์กรงเหล็ก’ ส่วนตัวที่บรรจงตกแต่งไว้แต่แรกนี้จึงไม่มีโอกาสได้ใช้งาน คิดไม่ถึงว่าเพราะการมาถึงอย่างกะทันหันของฉู่จิ้งเฟิงผีเห็นยังหวั่น ทำให้ได้ใช้งานอีกครั้ง…

เสิ่นหรูป๋อวางหญิงสาวที่ตกใจเกินไปจนนอนหมดสติลงบนเตียงใหญ่นั้นอย่างเบามือ แล้วสั่งให้บ่าวหญิงอาวุโสที่เป็นใบ้ต้มน้ำร้อน จากนั้นยกเข้ามาหนึ่งอ่าง

เสิ่นหรูป๋อโบกมือเป็นสัญญาณให้นางวางอ่างน้ำลงแล้วถอยออกไป จากนั้นจึงบิดผ้ามาเช็ดเท้าเปล่าคู่งามของหลี่รั่วอวี๋ที่สกปรกเพราะเดินย่ำพื้น

หลังจากนั้นเท้านุ่มนิ่มก็ค่อยๆ กระดุกกระดิก หลี่รั่วอวี๋ขยับเท้าอย่างไม่สบายตัว ปรือตาขึ้นกะพริบๆ เหมือนจะพูดบ่นอะไร แล้วหลับตาลงนอนหลับไปอย่างเงียบๆ อีกครั้ง ท่าทางนอนหลับสนิทเหมือนเด็กอ่อนไร้การระแวดระวังตัวอยู่ในสายตาของเสิ่นหรูป๋อแล้ว ทำให้หัวใจของเขาเหมือนมีประกายไฟไหวระริก

เขาอดใจไม่ไหวค่อยๆ ลูบไปบนเท้าเปลือยเปล่านวลเนียนนั้นแล้วจุมพิตเบาๆ บนหลังเท้าขาวผ่องแผ้ว… นางปัญญาอ่อนไปก็ดีเหมือนกัน ริมฝีปากสดใสนั้นคงไม่พ่นคำพูดตัดเยื่อใยที่ทำให้ฟังแล้วอยากจะหักสองขาของนางออกมาอีก ความคิดที่ยากจะจับต้องได้ก็เปลี่ยนเป็นกระจ่างใสราวกับสายน้ำ…

นางหลี่รั่วอวี๋เป็นคนของเสิ่นหรูป๋อ เมื่อก่อนเป็น ต่อไปก็ต้องเป็นเช่นกัน!

 

ตอนฉู่จิ้งเฟิงกลับถึงที่พักรับรอง เห็นกวนป้าคนใต้บัญชามีท่าทางประหลาด อยากจะพูดแต่ก็หยุดไป จึงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่แล้วถามเสียงเอื่อยว่า “มีเรื่องอะไรจะรายงานหรือ”

กวนป้าทนแล้วทนอีก สุดจะทนจึงเอ่ยปากพูดว่า “ซือหม่า ท่าน…มีตรงไหนไม่สบายตัวหรือไม่”

ฉู่จิ้งเฟิงมองสายตาคนใต้บัญชาที่มองดูกายส่วนล่างของเขาก็อดไม่ไหวคิดถึงฉากถูกดีดเจ้าจำปีบนเขาขึ้นมาจึงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที “สารเลว เจ้าจะพูดอะไร”

กวนป้าพูดด้วยสีหน้าอมทุกข์ “นางเจ้าเล่ห์อันตราย ไม่แน่ว่าอาจจะแกล้งบ้ามาวางยาท่านซือหม่าก็ได้… ต้องระวังเอาไว้ดีกว่า นางดีดไปที่ตรงนั้น เห็นได้ว่ามีจุดประสงค์บางอย่าง จะให้ข้าน้อยหาสาวงามมาให้ท่านซือหม่าลอง… ลอง…”

ครึ่งประโยคหลังที่ว่า ‘ลองดูว่ายังใช้การได้หรือไม่…’ เขาไม่กล้าพูดออกมา เพราะสีเลือดในดวงตาซือหม่าของเขาเริ่มทะลักขึ้นมาแล้ว…

ขอเพียงเป็นศัตรูของใบหน้าปีศาจผีเห็นยังหวั่น ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าหากเห็นสีเลือดในดวงตาของฉู่ซือหม่าก็คือต้องการชีวิตผู้นั้น ต่อให้เขากินหัวใจหมีดีเสือมาก็ไม่กล้าทำให้นายของตนเองโกรธ นับประสาอะไรกับข้อเสนอของเขาที่แม้แต่ตนเองคิดก็ยังรู้สึกขำ

ฉู่จิ้งเฟิงไม่ชอบเรื่องสาวงามมาแต่ไหนแต่ไร ชายหนุ่มผู้เย็นชา ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความไร้ปรารถนา เขาติดตามข้างกายผู้เป็นนายมานาน บางครั้งยังอดสงสัยไม่ได้ว่านายของตนเองเป็นโรคอะไรที่ยากจะพูดได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่สนใจสาวงามนางไหนเลย

หนึ่งเดียวที่เป็นข้อยกเว้น คงจะเป็นคุณหนูรองหลี่ผู้นั้น

ตอนแรกที่ผู้เป็นนายเชิญคุณหนูรองหลี่มาต่อเรือให้ ก็ได้มอบภารกิจขนส่งสัมภาระการทหารสามเหล่าทัพให้แก่ขบวนสินค้าสกุลหลี่อีกด้วย

ท่านซือหม่าของเขายากนักจะจัดงานเลี้ยงเชิญคุณหนูรองหลี่สักครั้ง พูดตามความจริง คุณหนูรองหลี่ผู้นั้นเป็นคนที่โดดเด่น แม้จะเป็นสตรี แต่การพูดจากิริยาดูงามสง่า เกิดมาจากครอบครัวพ่อค้าทว่าแม้แต่ท่านซือหม่าผู้เย็นชาก็ยังมองนางด้วยสายตาชื่นชม

ช่วงเวลานั้นท่านซือหม่าราวกับถูกปีศาจเข้าครอบงำ แม้จะอยู่ห่างไกลแต่ก็หาข้ออ้างดูความคืบหน้าของการต่อเรือรบไปพบหน้าคุณหนูรองหลี่ที่อู่เรือ

ต่อมาในอู่เรือมีคนร้ายบุกเข้ามาคิดจะเอาชีวิตของคุณหนูรองหลี่ ท่านซือหม่าขวางกระบี่ที่หมายเอาชีวิตนั้นแทนนาง และไล่สังหารพวกคนร้ายเหล่านั้น

หากเป็นคนที่เข้าใจความรักเข้าใจคุณธรรม ก็ควรจะมอบกายถวายตัวเพื่อทดแทนบุญคุณด้วยตนเอง ทว่าทั้งที่ท่านซือหม่าสู้อุตส่าห์แสดงความรู้สึกดีให้ แต่นางกลับปฏิเสธอย่างไม่ลังเล พูดเพียงว่าตนเองได้ทำการหมั้นหมายที่บ้านเกิดไว้แล้ว ไม่สามารถรับความปรารถนาดีจากท่านซือหม่าได้!

ฟังดูสิ! ช่างไม่รู้ดีรู้ชั่ว! ทุกครั้งที่คิดถึงสีหน้าแข็งกระด้างตอนถูกหญิงผู้นี้ปฏิเสธ กวนป้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจแทนผู้เป็นนาย

ท่านซือหม่ามีความหยิ่งทะนง หลังจากถูกคุณหนูรองหลี่ปฏิเสธย่อมไม่มาเกาะแกะนางอีก และไม่ได้หาข้ออ้างมาหาเรื่อง แม้จะไม่มาพบหน้าคุณหนูรองหลี่อีก แต่ภารกิจการขนส่งสัมภาระการทหารก็ยังมอบให้สกุลหลี่ไปทำ

แต่หญิงใจคอโหดร้ายผู้นี้กลับร่วมมือกับสกุลไป๋ จงใจถ่วงกำหนดการส่งสินค้า ทำให้ท่านซือหม่าอยู่แนวหน้าต้องเอาตัวไปเสี่ยงบุกทะลวงวงล้อมและถูกพิษประหลาด ทำให้ผมขาวไปภายในคืนเดียว

ตอนคุณหนูรองหลี่เอาสัมภาระการทหารมาส่งและขอโทษหน้าค่ายใหญ่ของผู้เป็นนาย หญิงผู้นั้นเห็นหน้าตาของผู้เป็นนายเช่นนี้ กลับมีท่าทีรังเกียจ… กวนป้าคิดถึงตรงนี้ก็ขบกรามแน่น

แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ผู้เป็นนายก็ไม่ได้ฆ่านางให้ตายในดาบเดียว เพียงแค่ฆ่าม้าในขบวนสินค้าของนาง เผาทำลายรถม้าและไล่นางออกจากค่ายใหญ่ ประกาศว่าต่อไปอย่าได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีก

เฮ้อ ผู้เป็นนายมีเมตตาเกินไปหน่อย ไม่เช่นนั้นจะถูกดีดอย่างดูหมิ่นในวันนี้ได้อย่างไร

ฉู่จิ้งเฟิงแค่นเสียงสบถเย็นชา มองท่าทางของกวนป้าที่ถูกตนเองถลึงตาใส่จนตกใจไม่กล้าพูดอะไรอีก แล้วลุกขึ้นเดินไปที่กลางลาน หยิบกระบี่ออกมาจากแท่นวางกระบี่แล้วตวัดร่ายรำอย่างคล่องแคล่วใต้แสงจันทร์ ทุกที่ที่ปลายกระบี่ชี้ไปเกิดเป็นลมแรงเย็นเยือกบีบใจคน

ใช้การได้หรือไม่ มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ พอคิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ช่วงล่างของเขาก็เกิดความร้อนรุ่มขึ้นมาเล็กน้อย…

สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมเสียงป๊อก คือแท่นวางกระบี่ที่ทำจากไม้ถูกเขาผ่าออกเป็นสองส่วนในหนึ่งกระบี่ “สตรีสมควรตาย มีคู่หมั้นอยู่แล้วยังมายั่วยวนข้าแบบนี้ ช่างใจโลเลจริงๆ! ถ้านางตกมาอยู่ในมือข้า…”

จู่ๆ ฉู่จิ้งเฟิงก็ไม่อยากคิดต่อไป เพียงแค่ร่ายรำกระบี่ในมืออย่างรวดเร็วเย็นเยือก ไล่ใบหน้าเล็กยิ้มสดใสที่ปรากฏตรงหน้านั้นให้สลายไป…

หลังจากฝึกวิชากระบี่เสร็จหนึ่งชุด ชายหนุ่มใต้แสงจันทร์นั้นมีไอความร้อนแผ่กระจายไปทั่วร่าง เขาเอ่ยสั่งกวนป้าที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเย็นชา “ไป! สืบดูว่าหลี่รั่วอวี๋นั่นเกิดเรื่องขึ้นจริงหรือไม่”

เมื่อฟ้าสาง หญิงสาวบนเตียงใหญ่ก็ตื่นขึ้น

พอตื่นมาพบว่าตนเองอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แปลกตาแห่งหนึ่ง ความหวาดกลัวก็พุ่งขึ้นในหัวใจ หลี่รั่วอวี๋อยากร้องไห้ แต่ก่อนนอนร้องไห้มากเกินไป หางตาจึงรู้สึกเจ็บเล็กน้อย อยากจะบีบน้ำตาออกมาสักนิดก็เป็นเรื่องที่เสียแรงมาก

นางกะพริบตาหลายครั้ง ก่อนจะขยับมาข้างเตียงช้าๆ บนพื้นมีรองเท้าสวมเล่น ที่พื้นรองเท้าเป็นผ้าไหมอ่อนนุ่ม นางสวมรองเท้าเดินมาถึงข้างหน้าต่าง พบว่าบนหน้าต่างนั้นมีราวเหล็กหนาหลายเส้น

หลี่รั่วอวี๋รู้สึกว่ามันคล้ายกับกรงที่ใช้ขังนกแก้วขนเขียวในห้องของนางมาก แต่ตอนนี้ห้องที่เหมือนกรงนี้คนที่ถูกขังคือนาง

ในลานบ้านนอกห้อง มีผู้เฒ่าตาเดียวผู้หนึ่งกวาดลานอยู่ ดูหน้าแล้วก็เป็นคนที่นางไม่รู้จักเช่นกัน หลังเขย่าราวเหล็กอย่างเสียแรงเปล่าไปหลายที นางจึงขยับตัวไปข้างประตูช้าๆ ตอนที่มาถึงประตูห้อง พบว่าข้างนอกก็มีประตูราวเหล็กอีกชั้นหนึ่ง

ตอนนี้ไม่มีประตูทางเดินอิสระแล้ว ในตอนที่ดวงตานางมีน้ำตาเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง เสิ่นหรูป๋อก็มาปรากฏตัวที่ปากประตู มือถือข้าวต้มเห็ดหอมเนื้อไก่ฉีกร้อนๆ พอเห็นหลี่รั่วอวี๋ยืนอยู่ที่ประตู เขาจึงฉีกยิ้มกล่าว “เจ้าตื่นแล้วหรือ กินอาหารได้พอดี”

ตอนที่พูด บ่าวที่อยู่ข้างกายเขาก็จับกลอนเหล็กที่ประตู และเปิดประตูออกให้เสิ่นหรูป๋อเดินเข้าไป

“ข้าวต้มนี้ใช้น้ำกระดูกหมูต้ม ข้าสั่งให้คนพัดให้มันเย็นลงหน่อยแล้ว เช่นนี้เจ้าก็กินได้เลย”

พอเขาพูดจบและเงยหน้าขึ้น กลับพบว่าหญิงสาวยืนอยู่ไกลจากเขามาก ใบหน้าระแวดระวังไม่คลาย

เขาคนข้าวต้มในถ้วย จากนั้นก็ยกถ้วยเดินมาใกล้ตรงหน้านาง ตักหนึ่งช้อนแล้วพูดว่า “เด็กดี อ้าปาก”

แต่ช้อนนั่นกลับถูกหลี่รั่วอวี๋ปัดทิ้งอย่างแรงและตกลงบนพื้น ดวงตากลมเปล่งประกายคู่งามที่จ้องมองเขา เต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและโมโห

เสิ่นหรูป๋อปัดเศษข้าวต้มที่กระเด็นติดบนตัวออกเบาๆ ทันใดนั้นก็ยื่นมือไปกุมมืองามของนาง แรงบนมือหนักมาก แต่ปากกลับพูดอย่างอ่อนโยนดังเดิม “รั่วอวี๋ไม่เชื่อฟังอีกแล้ว ท่านแม่เจ้าเอาใจเจ้าจนเคยตัว นิสัยขี้โมโหจึงได้รุนแรงขึ้น…”

หลี่รั่วอวี๋รู้สึกเพียงว่ามือถูกกุมจนเจ็บมาก ทั้งร่างถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอย่างบังคับไม่ได้ ชายผู้นี้มักจะแสดงท่าทางอ่อนโยนสุภาพต่อหน้ามารดา แต่ทุกครั้งที่อยู่ตามลำพังกับนาง สายตานั้นมักเหมือนจะกลืนกินนางลงท้อง นางรู้สึกไม่ชอบเลย เหตุใดตอนมารดากับน้องชายไม่อยู่ต้องทิ้งนางไว้กับเขาเพียงผู้เดียวด้วย

เสิ่นหรูป๋อมองดูหญิงสาวในอ้อมกอดที่เหมือนกวางน้อยตื่นตกใจ โดยเฉพาะริมฝีปากแดงราวย้อมด้วยสีกุหลาบนั้น ก่อนจะโน้มหน้าลงไปช้าๆ…

ในตอนนี้เอง นอกประตูมีคนพูดเสียงเบาว่า “คุณชายรอง คุณหนูสามหลี่มาถึงแล้ว รออยู่ห้องชั้นนอกขอรับ”

เสิ่นหรูป๋อขมวดคิ้วแล้วคลายออกอีกครั้ง คนเข้ามาในคฤหาสน์ของเขาแล้ว จะเด็ดดมเมื่อใดก็เป็นเรื่องง่าย เหตุใดต้องร้อนใจให้ได้ตอนนี้เล่า! ดังนั้นเขาจึงคลายมือที่ตรึงนางเอาไว้ หลังจากสั่งให้นางกินข้าวต้มอย่างอ่อนโยนแล้วก็เดินออกจากห้องและตรงไปที่ห้องชั้นนอกทันที

หลี่เสวียนเอ๋อร์รู้จักที่นี่ย่อมไม่แปลก ตอนแรกตามแผนการ เดิมทีควรเป็นนางที่หลอกพี่รองของตนเองมาที่นี่ แต่ตอนนี้ที่นางมาที่นี่กลับไม่ใช่เป็นการทำไปตามแผนของเสิ่นหรูป๋อ

หลี่เสวียนเอ๋อร์พาอิงเถาสาวใช้ประจำตัวมาเพียงคนเดียว โดยใช้ข้ออ้างว่าไปที่ร้านเครื่องแป้งเพื่อเลือกซื้อชาดทาแก้ม ออกจากคฤหาสน์สกุลหลี่แล้วก็จ่ายเงินจ้างรถม้ารับจ้างคันหนึ่งจึงมาถึงที่นี่ได้

ตอนที่เห็นร่างสูงใหญ่ของเสิ่นหรูป๋อปรากฏที่ประตู ดวงตาของนางก็เปล่งประกาย ก้าวเข้าไปหาเขาพลางร้องเรียก “คุณชายรองเสิ่น!”

เสิ่นหรูป๋อยกมือขึ้นขวางกิริยาที่นางคิดจะโผเข้ามากอด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้ใดให้เจ้ามาที่นี่”

ความห่างเหินอย่างไม่ปิดบังของเขาทำให้หลี่เสวียนเอ๋อร์ต้องกัดริมฝีปาก นางพูดด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ “คุณชายรอง เหตุใดเสวียนเอ๋อร์จึงรู้สึกว่าท่านเปลี่ยนไป”

เสิ่นหรูป๋อนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง เทน้ำชาให้นางหนึ่งถ้วยแล้วถามว่า “เจ้ามาได้อย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้หรือ ระหว่างทางมีผู้ใดตามมาหรือไม่”

หลี่เสวียนเอ๋อร์รับถ้วยชาไป ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นพลางตอบเสียงเบา “วางใจได้ ไม่มีผู้ใดรู้ ข้าจ้างรถม้าอีกคันมา… ตอนนี้เรื่องของท่านกับข้ามีบทสรุปหรือยัง”

เสิ่นหรูป๋อพูดโดยหลบสายตา “ตอนนี้พี่รองของเจ้าเป็นแบบนี้ ถ้าคนนอกรู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้ากับข้ามีความสัมพันธ์กันจะไม่ถูกคนด่าจนป่นปี้หรือ ต้องให้พี่รองของเจ้าแต่งเข้าบ้านก่อน จึงจะใคร่ครวญเรื่องของเจ้าได้”

หลี่เสวียนเอ๋อร์เม้มริมฝีปากแน่น “ตอนนี้ข้าท้องได้สามเดือนแล้ว ท้องเริ่มมีให้เห็นแล้ว ทำได้เพียงใช้เสื้อตัวหลวมมาอำพราง ถ้าประวิงเวลาต่อไป คนทั้งคฤหาสน์ก็ต้องรู้เรื่องน่าเกลียดนี้อยู่ดี… ตอนแรกพูดกับข้าไว้อย่างไร ขอเพียงจับตัวนางแล้วแกล้งทำเป็นว่าถูกโจรจับไปเป็นตัวประกันแล้วโดนฆ่าก็พอ ถึงตอนนั้นท่านก็สามารถควบคุมการค้าของสกุลหลี่ได้ และสามารถแต่งข้าเข้าบ้านได้อย่างถูกต้อง แต่ตอนนี้เพราะพี่รองป่วย หน้าร้านกับขบวนเรือตกมาอยู่ในมือของท่านกว่าครึ่ง นางกลายเป็นคนไร้ประโยชน์แล้ว ท่านจะเก็บนางไว้ด้วยเหตุใดกัน ตอนแรกท่านทำบัญชีปลอมฮุบเงินสินค้าก้อนใหญ่ของสกุลหลี่เพื่อปูเส้นทางการเป็นขุนนางของพี่ชาย และลอบวางแผนร่วมกับพระมาตุลาไป๋ จงใจถ่วงเวลาการขนส่งสัมภาระการทหารของขบวนสินค้าสกุลหลี่ ถ้าเรื่องทั้งหมดถูกพี่รองรู้เข้า คนที่เคร่งครัดอย่างนางคงจะยกเลิกการหมั้นกับท่าน ท่านก็ยกเลิกไปตามน้ำก็ดีแล้ว เหตุใดต้องดื้อดึงไปแต่งงานกับคนสมองเสื่อมนั้นด้วยเล่า หรือว่าท่านยังชอบนางอยู่อย่างนั้นหรือ”

เสิ่นหรูป๋อไม่ได้พูดอะไร ดวงตาที่ปิดลงครึ่งหนึ่งกลับฉายไอสังหาร หญิงผู้นี้รู้มากเกินไปแล้ว เก็บนางไว้รังแต่จะเป็นภัย ถึงแม้ในท้องนางจะมีเลือดเนื้อของเขา แต่ก็เป็นผลที่เกิดหลังจากเขากับรั่วอวี๋ทะเลาะกัน และดื่มสุรากับหญิงผู้นี้เมามายจนเกิดเรื่อง

แม้จะเสียดายอยู่บ้าง แต่ภายหน้ารั่วอวี๋ต้องให้กำเนิดลูกได้มากกว่านี้… ฉวยโอกาสเหมาะในตอนนี้ลงมือกำจัดนางเสียจะดีกว่า…

แม้ว่าเขาจะมีความคิดต้องการฆ่า แต่บนใบหน้าหล่อเหลากลับไม่มีความเปลี่ยนแปลง ยังพูดอย่างอ่อนโยนตามเดิม “ตอนนี้กรมโยธาดูแลเรื่องการต่อเรือใหญ่ แต่ภาพผังต่อเรือที่พี่รองของเจ้าให้ข้าในตอนแรกยังไม่สมบูรณ์ กลไกใบพายต้านกระแสน้ำใต้ห้องเครื่องยังว่างเปล่า ย่อมต้องร่วมมือทำงานกับสกุลหลี่ต่อไป ว่าแต่ว่าคนที่ตามเจ้ามา มีแต่สาวใช้ชื่ออิงเถานั่น ไม่มีผู้อื่นแล้วหรือ โจวอี๋เหนียงรู้หรือไม่ว่าเจ้ามาที่นี่”

หลี่เสวียนเอ๋อร์ไม่สังเกตเห็นไอสังหารของเสิ่นหรูป๋อ ได้ฟังคำพูดนี้แล้วในดวงตาก็ฉายความได้ใจ “พูดไปแล้ว สิ่งที่ท่านต้องการก็คือตำราเรือย่ำคลื่นที่ตกทอดจากบรรพบุรุษสกุลหลี่ แต่นางกลายเป็นคนสมองเสื่อมไปแล้ว แม้จะเคยเป็นยอดฝีมือในการต่อเรือมาก่อน ตอนนี้ก็เป็นเพียงเศษสวะผู้หนึ่ง ถ้าท่านจะฝากความหวังไว้ที่นาง สู้มาขอร้องข้าให้มากๆ จะดีกว่า!”

เสิ่นหรูป๋อได้ฟังคำก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หันมองนางเต็มตาเป็นครั้งแรก “ความหมายของเจ้าคือ?”

“ตำราเรือย่ำคลื่น เคล็ดวิชาที่ตกทอดจากบรรพบุรุษสกุลหลี่อยู่ที่ข้า!” หลี่เสวียนเอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้นพลางกล่าวเสียงเน้นหนัก

คำพูดนี้ทำให้เสิ่นหรูป๋อมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาจ้องหลี่เสวียนเอ๋อร์เขม็งแล้วพูดว่า “เคล็ดวิชาสกุลหลี่ไม่ให้ผู้ใดเห็นง่ายๆ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เองก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เจ้าจะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไรกัน”

หลี่เสวียนเอ๋อร์ได้ฟังคำพูดนี้แล้วยิ่งมั่นใจว่าตนเองวางเดิมพันด้วยของที่ถูกต้องแล้ว เสิ่นหรูป๋อไปสอบถามฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มาแล้วจริงๆ เขาต้องร้อนใจอยากได้ตำรามหัศจรรย์ในการต่อเรือเล่มนี้แน่นอน ในตอนนี้นางจึงสบายใจขึ้น นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างพลางพูดเสียงเบาว่า “พี่รองมีกุญแจดอกหนึ่งคล้องคอไว้ตลอด แม้ตอนอาบน้ำก็ไม่ยอมถอดออก ข้าบังเอิญเห็นกุญแจดอกนั้น รูปแบบแปลกประหลาดของกุญแจนั่นทำให้คนเห็นยากจะลืมได้ จึงได้คิดไปถึงตอนเด็กที่อยู่ในห้องหนังสือท่านพ่อ บังเอิญได้เห็นรูกุญแจกล่องเหล็กประณีตใบหนึ่งที่ซ่อนอยู่ข้างหลังภาพบรรพชนสกุลหลี่ วันที่พี่รองตกม้าบาดเจ็บ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนใจจะไปตามท่านหมอ ข้าจึงหาข้ออ้างไล่สาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสข้างกายออกไป หยิบกุญแจดอกนั้นมาเปิดกล่องลับ และในนั้นก็เป็นตำราเรือย่ำคลื่นของสกุลหลี่ของพวกเราจริงๆ”

ฟังถึงตรงนี้ แววตาของเสิ่นหรูป๋อก็สั่นไหว “ตำราเรือย่ำคลื่นนั่นตอนนี้อยู่ที่ใด”

หลี่เสวียนเอ๋อร์อมยิ้มชี้ไปที่หน้าผากของตนเอง “อยู่ที่นี่หมดแล้ว ผู้ใดก็มาขโมยไปไม่ได้แล้ว”

เสิ่นหรูป๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดนาง เขารู้ดีว่าเรือที่อยู่ในตำราเรือย่ำคลื่นนั้นมีเกือบร้อยชนิด ขนาดและกลไกของเรือแต่ละอย่างแตกต่างกัน นางจะจำทั้งหมดได้อย่างไร

หลี่เสวียนเอ๋อร์ยืดอกขึ้นเล็กน้อย “ข้าวาดแบบผิดๆ เล่มหนึ่งวางกลับเข้ากล่องลับในห้องหนังสือ กุญแจก็เอากลับไปคล้องที่คอพี่รองแล้ว… สกุลหลี่ไม่ได้มีเพียงหลี่รั่วอวี๋ที่ฉลาดเป็นเลิศ ความจำของข้าดีกว่าผู้อื่นมาตั้งแต่เกิด แค่ผ่านตาก็ไม่มีวันลืม ตำราเล่มนั้นข้าตั้งใจใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ในการจดจำ มั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดจึงทำลายตำราเล่มนั้นไป”

นางหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็เป็นลูกหลานสกุลหลี่เช่นกัน ไม่มีที่ใดด้อยไปกว่าหลี่รั่วอวี๋ เพียงเพราะนางเป็นลูกภรรยารอง จึงกำหนดว่านางต้องต้อยต่ำกว่าลูกภรรยาเอกทั้งสองอยู่หนึ่งขั้นอย่างนั้นหรือ นางไม่ยินยอม!

สวรรค์มีตา ถึงได้เกิดเคราะห์กรรมของหลี่รั่วอวี๋ในครั้งนี้ ส่วนนางหลี่เสวียนเอ๋อร์ในที่สุดก็จะได้เชิดหน้าชูตาแล้ว หลี่รั่วอวี๋ตกม้าสมองเสื่อมไปแล้ว แต่ในสมองของนางหลี่เสวียนเอ๋อร์กลับมีตำราเรือย่ำคลื่นที่สมบูรณ์อยู่หนึ่งเล่ม ขอเพียงนางไม่ยินยอม ผู้ใดก็ขโมยไปไม่ได้ แย่งไปไม่ได้!

นางในตอนนี้กุมชัยชนะไว้ในมือ หลี่รั่วอวี๋อย่าหวังจะมาแย่งกับนางอีก ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือไม่ว่าจะได้ชื่อเรียกว่าเป็นผู้สืบทอดสกุลหลี่…

เสิ่นหรูป๋อลุกขึ้น เรียกบ่าวร่วมเรียนให้ไปหยิบสำเนาภาพผังเรือรบที่หลี่รั่วอวี๋วาดให้กรมโยธาก่อนหน้านี้ในกล่องหนังสือประจำตัวของเขามา จากนั้นพูดว่า “ในเมื่อเสวียนเอ๋อร์จำได้หมด เจ้าลองดูสิว่าจะวาดส่วนที่ขาดไปออกมาได้หรือไม่”

หลี่เสวียนเอ๋อร์รับกระดาษมา หลังดูอย่างละเอียดแล้วก็หัวเราะเบาๆ แม้ท่าทางจะอ่อนโยน แต่น้ำเสียงกลับฉายการดูหมิ่น “เดิมทีคิดว่าพี่รองจะให้ผลงานสุดยอดอะไรแก่พระมาตุลาไป๋ ที่แท้ก็แค่เรือเลียบหาดง่ายๆ ธรรมดา ข้อดีของเรือนี้คือเบา สะดวก สามารถขึ้นหาดได้ง่าย สามารถจอดบริเวณชายทะเลน้ำตื้นที่มีหินโสโครกได้อย่างรวดเร็ว แต่พี่รองวาดรูปนี้ เหมือนจะลบจุดที่มหัศจรรย์ที่สุดของเรือนี้ไป ทำให้ยิ่งหนักเทอะทะ เรือรบแบบนี้ถ้าเอาไปใช้จริง เป็นไปได้มากว่าจะหมดโอกาสเป็นต่อ… พี่รองออกแบบเช่นนี้…นางไม่กลัวจะถูกพระมาตุลาไป๋กล่าวโทษหรือไร”

พูดพลางนางก็สั่งบ่าวร่วมเรียนให้เตรียมพู่กันหมึกและกระดาษ คิดสักครู่ก็ยกข้อมือ วาดภาพผังเรือเลียบหาดใหม่ทั้งหมดออกมาหนึ่งภาพอย่างคล่องแคล่ว เรือรบนี้ดูแล้วคล้ายกับภาพผังที่หลี่รั่วอวี๋วาดไว้ แต่พอแยกแยะอย่างละเอียดจะพบส่วนกลไกที่แตกต่างกันมาก

นี่เป็นเรือรบที่ออกแบบได้อย่างประณีตจริงๆ ไม่ใช่คนเรือชั้นต่ำทั่วไปจะวาดออกมาได้ และจากสิ่งนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่หลี่เสวียนเอ๋อร์พูดไม่ใช่เรื่องโกหก

ขณะที่เสิ่นหรูป๋อกำลังเหม่อลอย ภาพผังในมือก็ถูกหลี่เสวียนเอ๋อร์ดึงไปอย่างเบามือ แล้วฉีกทิ้งจนละเอียดภายในไม่กี่ที

เสิ่นหรูป๋อหรี่ตาลง ปรับสีหน้าเป็นปกติอีกครั้งแล้วพูดอ่อนโยนด้วยรอยยิ้ม “เสวียนเอ๋อร์ใจแคบเช่นนี้ ดูนานสักนิดก็ไม่ได้ นี่หมายความว่าอย่างไร”

หลี่เสวียนเอ๋อร์พูดหนักแน่นว่า “ไม่ใช่เสวียนเอ๋อร์ใจแคบ แต่ข้าไม่ใช่พี่รองที่แสนเย็นชาผู้นั้น ในใจมีเพียงกิจการบรรพชนกับผลประโยชน์ทางการค้าของสกุลหลี่ จนลืมหน้าที่ความเป็นหญิง ชอบเปิดเผยหน้าตานอกบ้าน ข้ายินดีเป็นศรีภรรยาผู้หนึ่ง ติดตามอยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนให้สามารถโบยบินสูงขึ้น แต่ไม่รู้ว่าท่านจะยินดีทำความปรารถนานี้ของเสวียนเอ๋อร์ให้เป็นจริง แต่งเสวียนเอ๋อร์เข้าสกุลเสิ่นอย่างเปิดเผยหรือไม่”

นิ้วยาวของเสิ่นหรูป๋อเคาะแท่นฝนหมึกข้างโต๊ะเบาๆ บนใบหน้าแม้จะมีรอยยิ้ม แต่กลับไปไม่ถึงดวงตาแม้แต่น้อย “เสวียนเอ๋อร์กำลังข่มขู่ข้าอยู่หรือ”

หลี่เสวียนเอ๋อร์ลุกขึ้นเดินมาข้างกายเขา ทรุดตัวคุกเข่าข้างขาของเขา ใช้แก้มแตะเบาๆ ไปบนหลังมือของเขาที่วางอยู่บนตักพลางพูดเสียงอ่อนโยน “เสวียนเอ๋อร์ไม่ได้ข่มขู่ แค่อยากขอให้คุณชายรองเสิ่นแต่งข้าเป็นภรรยา ก่อนหน้านี้เพราะมีพี่รอง เสวียนเอ๋อร์จึงไม่กล้าทำให้คุณชายรองลำบากใจ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา พี่รองกลายเป็นแบบนี้แล้ว ไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะกลับมาดีเช่นเดิม ท่านเป็นคนมีปณิธานยิ่งใหญ่ อนาคตในราชสำนักต้องกุมอำนาจใหญ่แน่นอน ตอนนี้พี่รองช่วยอะไรไม่ได้ ภายหน้าหากคุณชายรองเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางใหญ่ ไม่กลายเป็นที่น่าขันสำหรับเพื่อนร่วมงานไปหรือ แต่ถ้าไม่แต่งงานกับพี่รอง ก็จะกลายเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ ไม่มีคุณธรรมไป สู้เอาแบบนี้ดีกว่า ข้ากับพี่รองไม่แบ่งเอกหรืออนุ แต่งเข้าสกุลเสิ่นพร้อมกันด้วยฐานะเสมอกัน เช่นนี้เท่ากับเป็นเรื่องเล่างดงามที่ท่านรักษาน้ำใจและคุณธรรมทั้งสองอย่างไว้ได้ครบถ้วนไม่ใช่หรือไร”

หลี่เสวียนเอ๋อร์พูดเรื่องเก่าขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หมากของนางเปลี่ยนจากลูกในท้องมาเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของสกุลหลี่ น้ำหนักเทียบกันไม่ได้เลย ตอนแรกนางยินดีแต่งเป็นอนุเข้าบ้านสกุลเสิ่น แต่กลับไม่สมปรารถนา ทั้งยังถูกพี่ใหญ่สกุลหลี่พูดฉีกหน้าอีก

เดิมคิดว่าเสิ่นหรูป๋อจะเห็นแก่ลูกในท้อง คิดหาหนทางที่ดีให้นาง แต่ปฏิกิริยาของชายหนุ่มทำให้นางผิดหวังมาก แม้แต่ความละอายใจน้อยนิดที่มีต่อพี่รองอยู่แต่เดิมก็ถูกบดจนแหลกเป็นผุยผง

มาถึงวันนี้ นางไม่สนใจผู้ใดอีกแล้ว ต้องวางแผนให้ดีเพื่อตนเอง ปฏิกิริยาของชายหนุ่มในตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าความคิดในตอนแรกของนางที่เก็บไม้ตายอันนี้ไว้ให้ตนเองเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างมาก! นางรู้จักเสิ่นหรูป๋อดี เขาเป็นชายที่มีปณิธานแรงกล้า และเหยื่อที่นางยื่นไปในตอนนี้ เขาไม่อาจต่อต้านได้แน่นอน!

ตอนนี้นางหลี่เสวียนเอ๋อร์ไม่มีทางเป็นอนุอีกแล้ว นางจะเป็นภรรยาเอกที่มีฐานะเทียบเท่ากับพี่รอง!

เสิ่นหรูป๋อลังเลใจขึ้นมาจริงดังคาด พูดตามจริงแล้ว เพราะเรื่องเรือนี้ทำให้เขาปวดหัวมานานมากแล้ว เรื่องวันนี้ที่หลี่เสวียนเอ๋อร์บอกว่านางได้ตำราเรือมาแล้ว เป็นการเปิดเส้นทางการอยู่รอดตรงหน้าเขาอย่างไม่ต้องสงสัย…

เขาจ้องมองใบหน้าอมยิ้มของหลี่เสวียนเอ๋อร์ ปกปิดความรังเกียจในใจเอาไว้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะประคองนางขึ้นมากอด จากนั้นพูดข้างหูนาง “เอ๋อหวงหนี่ว์อิงเป็นเรื่องที่ดี ถ้าเสวียนเอ๋อร์ยินดี ข้าจะไม่ยินดีทำได้อย่างไร เสวียนเอ๋อร์จะได้ตามที่หวังแน่นอน…”

ตอนที่หลี่เสวียนเอ๋อร์จะกลับไป ได้พูดคำมีความนัยแฝงกับเสิ่นหรูป๋อว่า “คุณชายรองหมายปองในตัวพี่รองข้ามานานแล้ว เสวียนเอ๋อร์ก็รู้ดี แต่รีบร้อนเช่นนี้ไม่เหมือนตัวท่านที่เป็นคนสุขุมมาตลอด ท่านใช้ข้ออ้างว่าเพื่อคุ้มครองพี่รองถึงได้คุมตัวนางเอาไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน นางเป็นแม่บ้านแม่เรือนไม่รู้ว่าพี่รองล่วงเกินฉู่ซือหม่าเอาไว้มาก ในใจเห็นเรื่องชื่อเสียงเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าอะไร ถ้าข้าเป็นคุณชายรอง จะรีบส่งพี่รองกลับไป สิ่งที่ทำมาจะได้ไม่สูญเปล่า!”

พูดจบนางก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วให้สาวใช้อิงเถาประคองขึ้นรถม้าไป

เสิ่นหรูป๋อยืนอยู่กลางลานบ้าน รอรถม้านั้นเคลื่อนไปไกลแล้วจึงค่อยๆ หมุนตัวกลับ ความโกรธบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาในตอนนี้ไม่ได้ปิดบังไว้อีกต่อไป

แต่คนที่ใจเขาโกรธไม่ใช่คนที่เพิ่งจากไป แต่เป็น…คนที่ถูกขังอยู่ในห้องที่เรือนด้านหลัง ภาพผังนี้วาดเสร็จเมื่อสี่เดือนก่อน หลี่รั่วอวี๋เป็นคนมอบให้กับมือเขาเอง แต่จากคำพูดของหลี่เสวียนเอ๋อร์วันนี้ ภาพผังไม่เพียงไม่สมบูรณ์ ยังมีข้อบกพร่องมากมายอีกด้วย… ตอนนั้นนางยังไม่รู้เรื่องของเขาเลยมาปรึกษาเรื่องเตรียมสินสอดอย่างมีความสุข… แต่นางด้านหนึ่งยิ้มสดใสแสดงออกถึงความสุขของว่าที่เจ้าสาวที่รอคอยการแต่งงาน อีกด้านหนึ่งลอบคอยระแวงระวังและลอบทำร้ายเขาอย่างนั้นหรือ

หลี่รั่วอวี๋ ที่แท้เจ้าเปลี่ยนใจไปนานแล้วหรือไร คิดจะเล่นงานข้าเสิ่นหรูป๋อจนถึงขั้นใดกัน

เขามาถึงห้องหนังสือ ลองต่อภาพผังที่ถูกหลี่เสวียนเอ๋อร์ฉีกขาด แต่หลี่เสวียนเอ๋อร์นั่นก็เป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นกัน จงใจให้ภาพส่วนหนึ่งเปื้อนน้ำชา เลือนจนดูไม่เป็นรูปแล้ว

เสิ่นหรูป๋อนั่งเงียบๆ ในใจครุ่นคิดประโยชน์และโทษต่างๆ สุดท้ายยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ นึกอยากใช้สาวงามสมองเสื่อมผู้นั้นมาคลายความรำคาญใจ จึงลุกขึ้นสั่งให้คนเปิดประตูห้องด้วยสีหน้าดุร้าย

ภายในห้องเงียบมาก มีเพียงผ้าห่มบนเตียงใหญ่หลังม่านที่นูนสูงขึ้น หลี่รั่วอวี๋เหมือนจะนอนหลับไปแล้ว

เสิ่นหรูป๋อสูดหายใจเข้าลึก เดินไปที่หน้าเตียงอย่างช้าๆ ก่อนจะยื่นมือไปเปิดผ้าห่ม… ทว่าสิ่งที่อยู่ใต้ผ้าห่มคือหมอนหนุนเพียงใบเดียว!

เสิ่นหรูป๋อหน้าเปลี่ยนสีทันใด รีบเงยหน้าขึ้นมองไปโดยรอบ ปากก็ตะโกนว่า “รั่วอวี๋! เจ้าอยู่ที่ใด เด็กดี รีบออกมาเถอะ”

แต่ภายในห้องเงียบมาก ไม่มีเสียงตอบรับใด เขาก้มลงตรวจดูใต้เตียงก็พบว่าว่างเปล่าเช่นกัน ในห้องนี้ตกแต่งเรียบง่าย ไม่มีสถานที่บังตาอื่นใดอีก

เมื่อก้าวเท้าเดินไปที่ข้างหน้าต่าง เสิ่นหรูป๋อก้มลงเก็บเศษชายกระโปรงที่ฉีกขาดกับช้อนอีกคันหนึ่ง รู้สึกตกใจที่เห็นเส้นเหล็กที่หน้าต่างถูกบิดจนเปลี่ยนรูปร่าง…

นอกหน้าต่างไกลออกไป มีเพียงผู้เฒ่าตาเดียวทำงานอยู่ เขาหูหนวกมาแต่เกิด ทำงานก็ตั้งใจมาก เขากำลังตั้งใจซ่อมรั้วกั้นอยู่ ใช้ลวดเหล็กในมือบิดอย่างแรงไปบนแท่งไม้ แต่คงใช้แรงมากเกินไป ไม้นั่นจึงถูกรัดเป็นรอยลึก…

หากเขาเดาไม่ผิด หลี่รั่วอวี๋คงจะเห็นแล้วได้แรงบันดาลใจจึงคิดวิธียอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมาได้ อาศัยเศษผ้าที่ถูกบิดเข้าด้วยกันกับช้อนหนึ่งคัน เอาเศษผ้ามาผูกบนเส้นเหล็กหน้าต่าง แล้วออกแรงบิดผ้าบนช้อน การยืมแรงแบบนี้แม้แต่หญิงสาวอ่อนแอก็สามารถบิดเส้นเหล็กที่ไม่นับว่าบางมากให้ผิดรูปไปได้ จากนั้นก็มุดหนีออกไปจากที่นี่

เสิ่นหรูป๋อไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีก รีบสั่งบ่าวไพร่ให้ออกตามหาหลี่รั่วอวี๋ให้ทั่ว

เขาประมาทเกินไป เดิมคิดว่าหลี่รั่วอวี๋สมองเสื่อมไปแล้ว จึงละเลยการป้องกันภายในเรือน เอาแต่สนใจนอกเรือน เพื่อไม่ให้ฉู่ซือหม่าส่งคนมาคิดทำเรื่องไม่ดี แต่ไม่เคยคิดว่าหญิงสาวสมองเสื่อมผู้นี้จะอาศัยเศษผ้าไม่กี่เส้นกับช้อนข้าวต้มหนึ่งคันก็บิดเส้นเหล็กให้ถ่างออกแล้วมุดหนีออกไปได้

หลี่รั่วอวี๋ เจ้ากลับเป็นปกติแล้วหรือ!

ไม่ช้าบ่าวผู้หนึ่งก็พบร่องรอยที่มุมกำแพงด้านหนึ่ง “คุณชายรอง เหมือนมีคนลอดรูหมาลอดออกไปขอรับ!”

เสิ่นหรูป๋อออกจากเรือนมาดูทันที แล้วก็เป็นจริงดังคาด ข้างรูหมาลอดนั้นพบรอยเท้าเล็กๆ จำนวนหนึ่ง รอยเท้านี้ไปถึงจุดที่หลี่เสวียนเอ๋อร์จอดรถม้าเอาไว้เมื่อครู่แล้วหายไป…

เสิ่นหรูป๋อขมวดหัวคิ้ว สั่งการเสียงเข้ม “เตรียมม้า! ไล่ตามรถม้าของคุณหนูสาม!”

หลี่รั่วอวี๋ซ่อนตัวอยู่บนรถม้าของหลี่เสวียนเอ๋อร์จริงๆ

หลี่เสวียนเอ๋อร์เพื่อพรางตาผู้คน รถที่จ้างคันนี้จึงเป็นรถขนสินค้าที่ขนผ้าให้ร้านผ้าก่อนหน้านี้ ตัวรถครึ่งหน้าสามารถให้คนนั่งได้ แต่ด้านหลังมีตะกร้าใหญ่หลายใบอยู่นอกตัวรถ มีเศษผ้าที่ร้านผ้าตัดทิ้งอยู่กองหนึ่ง เศษผ้าเหล่านี้แม้จะไม่มีราคา แต่พวกหญิงสาวตามหัวถนนท้ายตรอกชอบซื้อมาเย็บปะเสื้อผ้า นับว่าเป็นรายได้เสริมเล็กน้อยของคนบังคับรถ

หลี่รั่วอวี๋ซ่อนอยู่ในตะกร้าหนึ่งในนั้น ทำราวกับรังนกใช้เศษผ้ามากองสุมบนหัวจนสูง รถม้าเคลื่อนที่ไม่เร็ว ท่ามกลางเสียงล้อรถนั้นสามารถได้ยินเสียงจากในตัวรถได้

“คุณหนู คุณชายรองเสิ่นนั่นรับปากแต่งท่านเข้าบ้านหรือยังเจ้าคะ”

“เขาไม่ตอบตกลงไม่ได้ ตอนนี้นางสมองเสื่อมนั่นเป็นเศษสวะไปแล้ว ก็เป็นแค่คนที่หาความสุขด้วยบนเตียงเท่านั้น เขาเสิ่นหรูป๋อไม่โง่ จะยอมทิ้งข้าซึ่งเป็นคนกุมเคล็ดวิชาการต่อเรือผู้นี้ แล้วแต่งกับเศษสวะนั่นแค่คนเดียวได้อย่างไร แต่ว่าอย่างไรเสียนางก็ยังเป็นพี่รองของข้า ข้าไม่สนใจนางไม่ได้ แม้จะเป็นภรรยาที่ฐานะเท่าเทียมกัน แต่ยังต้องให้ข้าดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของนางไม่ใช่หรือ”

“คุณหนูสามใจกว้างจริงๆ ยังคิดถึงความเป็นพี่น้องอีกด้วย…”

หลี่รั่วอวี๋หลุบดวงตาโตลง เล่นเศษผ้าในตะกร้า ถึงแม้นางจะพูดจาไม่คล่องแคล่ว แต่ความหมายในคำพูดของผู้อื่นล้วนฟังได้เข้าใจ เสียงนั้นเป็นของน้องสามที่นางมักจะได้ยินในบ้านเสมอ คำว่า ‘นางสมองเสื่อม’ ที่น้องสามพูดถึงก็คือนาง ในจุดนี้นางรู้เช่นกัน เพื่อนร่วมเรียนของน้องชายบางคราก็จะเรียกนางต่อหน้าเช่นนี้ เดิมทีนางไม่เข้าใจ แต่น้องชายจะโกรธจนหน้าแดงก่ำและทุบตีเด็กผู้นั้นยกใหญ่ จึงเห็นได้ว่านี่ไม่ใช่คำที่ดี

หลี่รั่วอวี๋แอบขึ้นรถม้าคันนี้ เดิมทียังดีใจที่จะได้พบน้องสามและสามารถกลับบ้านได้ทันที แต่จู่ๆ นางก็ไม่อยากนั่งบนรถม้าคันนี้แล้ว นางพยายามลุกขึ้นจากตะกร้าใหญ่ ฉวยโอกาสตอนที่รถม้าผ่านหลุมโคลน กลิ้งลงจากรถม้าทั้งคนและตะกร้า

โชคดีที่คนบังคับรถเร่งเจ้าม้าตัวนั้น เสียงหอบแรงและเสียงพ่นจมูกของเจ้าม้า รวมทั้งเสียงขาสี่ขาที่เหยียบย่ำอยู่ในหลุมโคลน ทำให้กลบเสียงตะกร้าไม้ไผ่ตกพื้นไปได้พอดี ตะกร้าพร้อมคนกลิ้งลงจากเนินเขานั้นไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากรถม้าจากไปแล้ว หลี่รั่วอวี๋ที่ตัวเต็มไปด้วยดินโคลนก็โงนเงนลุกขึ้นยืน มองไปรอบด้านอย่างงุนงง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าวันนี้ดูเหมือนจะยาวนานกว่าวันที่ผ่านมา

ทันใดนั้นก็มีนกใหญ่ตัวหนึ่งบินผ่าน นกเช่นนั้นนางไม่เคยเห็นมาก่อน หลี่รั่วอวี๋เลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างแรงและลากตะกร้าไล่ตามนกใหญ่ตัวนั้น โดยอาศัยความรู้สึกเดินตามลำธารเข้าไปในป่าทึบ

ในตอนที่นางเดินเข้าป่าไปได้ไม่นาน เสิ่นหรูป๋อก็นำคนขี่ม้าผ่านตรงนี้แล้วไล่ตามรถม้าข้างหน้าไป…

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 ก.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 25

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: