everY
ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 2 #นิยายวาย
บทที่ 2
ฉากขั้นนี้ผ่านไปประมาณสามวัน คือวันที่อวี้เซิงเยียนกำหนดลงมือ
เทศกาลโคมไฟยังมาไม่ถึง แต่ทั้งนอกและในเมืองเย่เฉิงแห่งแคว้นฉีล้วนมีบรรยากาศมงคล เพราะเดือนหนึ่งเพิ่งผ่านไปไม่นานเท่าใดนัก
ตำแหน่งขุนนางของเหยียนจือเวิ่นหาได้สูงไม่ นิกายเหอฮวนจัดให้เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ คงเพียงต้องการเพิ่มหูตาในราชสำนักให้มากขึ้นเป็นแน่ ตัวเขาเองวรยุทธ์ไม่สูง ซ้ำยังไม่มีการป้องกันแม้แต่น้อย อาศัยเพียงฝีมือของอวี้เซิงเยียน เกรงว่าคงไม่ลำบากไปกว่าดื่มน้ำถ้วยหนึ่งสักเท่าไร
เพียงแต่ในเมื่อเยี่ยนอู๋ซือกำชับ อวี้เซิงเยียนก็ต้องพาเสิ่นเฉียวไปด้วย ซ้ำยังให้เขารออยู่นอกประตูบ้านสกุลเหยียน ตนเองกระโดดขึ้นหลังคาบ้าน คลำทางไปยังห้องหนังสือของเหยียนจือเวิ่นอย่างไร้สุ้มเสียง
ตามข่าวคราวที่ได้รับก่อนหน้า เหยียนจือเวิ่นผู้นี้วรยุทธ์ชั้นรอง แต่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์หลายส่วน ฉะนั้นจึงมีตำแหน่งในนิกายเหอฮวน อวี้เซิงเยียนฆ่าเขาเพียงเพื่อเคาะภูผาสะเทือนพยัคฆ์ ก่อนหน้านี้หาได้ใส่ใจคนผู้นี้ไม่ แต่หลังเข้าไปจึงพบว่าผิดปกติ
บริวารในบ้านสกุลเหยียนยังอยู่ ผู้คุ้มกันเรือนเองก็ลาดตระเวนอยู่รอบนอกตลอดเวลา แต่ไม่ว่าห้องหนังสือหรือห้องนอน อวี้เซิงเยียนล้วนไม่พบร่องรอยของเหยียนจือเวิ่น
มิเพียงเหยียนจือเวิ่น แม้กระทั่งภรรยา อนุ และบุตรธิดาของเขาต่างก็เหมือนอันตรธานไป
รูปร่างของอวี้เซิงเยียนคล้ายวิญญาณเสมือนเงาตามรูปแบบของนิกายฮ่วนเยวี่ย เขาเข้าไปในบ้านอย่างเบาหวิว ซ้ำยังสกัดบริวารคนหนึ่งเอาไว้ จี้จุดใบ้ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกราวกับตกอยู่ในความฝันไม่ทันตอบสนอง
“เหยียนจือเวิ่นเล่า”
บริวารผู้นั้นเบิกตาโพลง พบว่าคนหนุ่มที่หล่อเหลางดงามตรงหน้าได้หยุดยั้งเขาเอาไว้อย่างง่ายดาย จึงตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างเลี่ยงมิได้ แต่กลับกล่าวไม่ออก
อวี้เซิงเยียนแย้มยิ้มเล็กน้อยให้เขา “เจ้าบอกข้ามา เหยียนจือเวิ่นและคนสกุลเหยียนไปที่ใดหมด ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า มิฉะนั้นต่อให้เจ้าร้องขอความช่วยเหลือ ข้าก็ฆ่าทั้งจวนให้สิ้นซากได้ เจ้าคงเข้าใจใช่หรือไม่”
บริวารหวาดหวั่นอย่างยิ่งแล้ว พยักหน้าซ้ำๆ
อวี้เซิงเยียนคลายมือเล็กน้อย ซ้ำยังคลายจุดใบ้ของเขา
บริวารรีบกล่าว “นายหญิงกับนายน้อยออกไปเมื่อสองวันก่อน นายท่านบอกว่าจะส่งพวกเขาไปอยู่ที่หมู่บ้านเวินเฉวียนระยะหนึ่ง”
อวี้เซิงเยียนแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “ต่อให้สตรีในครอบครัวไม่อยู่ เหยียนจือเวิ่นเองก็ตามไปไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องว่าราชการ เขาไม่เตรียมตัวกลับมาหรือ”
บริวารกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ตอนที่นายท่านไปมิได้บอกพวกเราชัดเจน พวกเราเองก็ไม่ทราบ ไม่ทราบว่า…”
เขาไม่มีความอดทนฟังต่อไปอีก ใช้ฝ่ามือสับฝ่ายตรงข้ามจนสลบ จากนั้นก็พบผู้ดูแลบ้านของบ้านสกุลเหยียนจึงเค้นถามเบาะแส คำตอบที่ได้รับล้วนเหมือนกันกับก่อนหน้า
อวี้เซิงเยียนหาได้โง่ไม่ ยามนี้เขาตระหนักได้แล้วว่า เรื่องที่ตนเองจะฆ่าเหยียนจือเวิ่นอาจถูกเหยียนจือเวิ่นล่วงรู้แล้ว
แต่เรื่องนี้เป็นเยี่ยนอู๋ซือสั่งการ นอกจากเขาแล้วก็มีเพียงเสิ่นเฉียวที่รู้ แม้กระทั่งผู้ดูแลบ้านของสกุลเซี่ยก็ไม่รู้
ตัวอวี้เซิงเยียนเองย่อมไม่สามารถเปิดเผยเรื่องราวใดได้
หัวใจของเขาบังเกิดจิตสังหารเย็นเยียบ เดิมคิดบีบกระดูกคอของผู้ดูแลบ้านให้แหลก แต่ลองคิดดู ตอนนี้มิอาจฆ่าสกุลเหยียนยกบ้าน การสังหารบริวารคนหนึ่งไม่มีความหมาย ไม่แน่ว่าอาจแหวกหญ้าให้งูตื่น ถูกคนของนิกายเหอฮวนเยาะเย้ย จึงทุบคนให้สลบแล้วหันกายออกจากบ้านสกุลเหยียน พกพาเพลิงโทสะเต็มทรวง พบเสิ่นเฉียวที่รอเขาอยู่ในตรอกเล็กด้านข้าง
“เป็นเจ้าส่งข่าวให้เหยียนจือเวิ่น?”
เสิ่นเฉียวพยักหน้า ไม่มีความลังเลหรือปฏิเสธแม้แต่น้อย “มิผิด”
อวี้เซิงเยียนแค้นที่เขาทำเสียเรื่อง บนหน้าไม่มีรอยยิ้มเหมือนยามปกติอีกแล้ว สีหน้าเยือกเย็นกระจายเต็มไปด้วยจิตสังหาร “เพราะเหตุใด”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ข้ารู้ว่านิกายเหอฮวนกับสำนักเราแตกแยกกันมาตลอด ในเมื่อเหยียนจือเวิ่นเป็นคนในนิกายเหอฮวน ท่านอาจารย์คิดฆ่าเขาก็ไม่ต้องให้ข้ามาก้าวก่าย เพียงแต่เด็กน้อยคือผู้บริสุทธิ์ จะฆ่าเหยียนจือเวิ่น ไยต้องเกี่ยวโยงภรรยาและบุตรของเขา”
อวี้เซิงเยียนกล่าวเสียงเย็นชา “ฆ่าภรรยาและบุตรของเขาหรือไม่ ไม่ต้องให้เจ้ามาบอก ข้าอยากรู้นักว่าตอนนี้เจ้าตาบอด มือไม่มีแรงแม้จะจับไก่ ออกจากบ้านก็ไม่รู้เหนือใต้ออกตกเช่นนี้ ส่งข่าวให้เหยียนจือเวิ่นได้อย่างไรกัน”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ท่านเคยบอกว่า เหยียนจือเวิ่นคือคนเจ้าเล่ห์ ขอเพียงมีจุดหนึ่งไม่ถูกต้อง เขาก็จะเกิดความสงสัย ในใบสั่งยาที่ให้ข้ากินมีตังกุย ข้าจึงมิอาจเก็บซ่อน เดิมคิดหาโอกาสส่งไปยังบ้านสกุลเหยียน ใครจะไปรู้ว่าวันนั้นจะพบเจอหานเอ๋ออิงตรงประตูร้านขายยาพอดี ข้าจึงใช้ของตอบแทนเป็นข้ออ้าง ใส่สิ่งของที่จะให้เหยียนจือเวิ่นไปในกล่อง ฝากนางส่งต่อ นางเพียงเห็นข้ารู้จักกันกับเหยียนจือเวิ่นก็หาได้ถามมากไม่ ดูเหมือนเหยียนจือเวิ่นเองก็คงได้รับยาที่ข้าให้ สังเกตเห็นว่าผิดปกติ จึงโยกย้ายคนในครอบครัวไปก่อน”
อวี้เซิงเยียนเดือดดาลแต่กลับหัวเราะ “ข้าดูถูกเจ้าเกินไปจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีฝีมือเช่นนี้!”
เขายื่นมือบีบลำคอของเสิ่นเฉียวเอาไว้ ค่อยๆ ออกแรงพลางกล่าว “เจ้าทำลายภารกิจที่อาจารย์วางแผน คงรู้ว่าจะมีผลลัพธ์อะไร หืม?”
เสิ่นเฉียวไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย เนื่องจากหายใจไม่สะดวก สีหน้าค่อยๆ ไม่น่ามอง หน้าอกสะท้อนขึ้นลงรุนแรง ได้แต่เค้นคำพูดประโยคหนึ่งออกมาอย่างขาดๆ หายๆ “ความจริง…ข้ามิใช่ศิษย์ของนิกายฮ่วนเยวี่ย ใช่หรือไม่”
อวี้เซิงเยียนตกตะลึง คลายมือออก
เสิ่นเฉียวพิงผนังกระแอมไอขึ้นมาทันที
อวี้เซิงเยียนกล่าว “เจ้ามองออกได้อย่างไร”
เสิ่นเฉียวกล่าวอย่างสงบ “ความรู้สึก แม้ข้าไม่เหลือความทรงจำ แต่กลับยังมีการชี้ขาดขั้นพื้นฐาน ท่านอาจารย์ก็ดี ศิษย์พี่ท่านก็ช่าง ท่าทีที่มีต่อข้า ล้วนไม่เหมือนสิ่งที่ศิษย์ร่วมสำนักหรือศิษย์พี่ศิษย์น้องควรมี บริวารที่ปรนนิบัติข้างกายในหมู่บ้านก่อนหน้าผู้นั้นก็เช่นกัน ระมัดระวังต่อข้า กลัวว่าจะเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผย ข้าไม่มีวรยุทธ์แล้ว ช่วยอะไรไม่ได้เลย รังแต่จะเป็นตัวถ่วง อาจารย์กลับยังให้ข้ามาช่วยเหลือท่าน ข้าได้รับบาดเจ็บหนักเพียงนี้ ต่อให้ตัวข้าเองไม่เอาไหนและทำให้สำนักเสื่อมเสีย แต่พวกท่านกลับปิดเป็นความลับอยู่ตลอด ทั้งหมดนี้ล้วนไม่สมเหตุสมผล”
เห็นฝ่ายตรงข้ามไม่กล่าวคำ เขาจึงกล่าวอีก “ความจริงวิธีนี้ของข้าหาได้นับว่าชาญฉลาดไม่ ปิดบังได้เพียงสาวใช้ในบ้านสกุลเซี่ย หากมิใช่ท่านไม่เห็นเหยียนจือเวิ่นอยู่ในสายตา ส่งคนจับจ้องร่องรอยของเขาล่วงหน้าสักหน่อย เขาคิดหนีก็หนีไม่รอด”
อวี้เซิงเยียนกล่าว “มิผิด เหยียนจือเวิ่นคนเดียวไม่สำคัญเพียงพอ ข้ามิได้เก็บมาใส่ใจ ฉะนั้นจึงให้โอกาสเจ้าได้หยิบฉวย เพียงแต่เจ้าคงรู้ว่าหากอาจารย์รู้เรื่องนี้จะมีผลลัพธ์เช่นไร คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าทั้งหลายที่เจ้าช่วย พวกเขาถึงขั้นไม่รู้ว่าเจ้าทำให้พวกเขาพ้นเคราะห์ ต่อให้รู้ ก็คงไม่ซาบซึ้งเจ้า เจ้าคิดว่าคุ้มค่าหรือ”
เสิ่นเฉียวส่ายหน้า “คุ้มค่าหรือไม่ ในใจแต่ละคนชั่งน้ำหนักเองได้ จะยุติเรื่องราวต้องหาผู้เป็นหัวหน้า หากเกี่ยวโยงถึงผู้บริสุทธิ์ก็หาได้ควรค่าแก่การยกย่องไม่ มีบางคน มีบางเรื่อง ช่วยได้แต่ไม่ช่วย ทำได้แต่ไม่ทำ ทั้งชีวิตล้วนมีแต่มารในใจ ส่วนคนอื่นรู้หรือไม่ ซาบซึ้งหรือไม่ นั่นคือเรื่องของคนอื่น”
อวี้เซิงเยียนไม่เคยเห็นเสิ่นเฉียวในอดีตมาก่อน และไม่รู้ว่าก่อนเขาได้รับบาดเจ็บเป็นคนอย่างไร เสิ่นเฉียวหลังฟื้นขึ้นมาเจ็บออดๆ แอดๆ ทั้งวัน ในสิบวันกลับมีเก้าวันนอนอยู่บนเตียง นอกจากใบหน้านั้นแล้ว ไม่มีจุดที่ควรค่าให้คนอื่นสนใจสักนิด แม้อวี้เซิงเยียนไม่เคยกล่าวสิ่งไม่ดี แต่ส่วนลึกในใจมิใช่ไม่ดูแคลน รู้สึกว่าเจ้าสำนักแห่งสำนักเต๋าที่แสนดีอย่างเขากลับตกต่ำถึงขั้นนี้ ช่างไร้ความสามารถโดยแท้จริง
แต่ขณะนี้เขาพิงผนังยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าผ่อนคลาย ไม่มีความหวาดกลัว ยังคงมองเห็นท่าทางของประมุขนิกายในวันวานได้
อวี้เซิงเยียนแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าเอาตัวเองยังไม่รอด ยังมีเวลาว่างเป็นห่วงความเป็นความตายของคนอื่นอีกหรือ ในเมื่อเจ้าคำนึงถึงความเมตตาเช่นนี้ เหตุใดไม่ลองคิดดูว่าวันนั้นสูญสิ้นวรยุทธ์ถูกคนทิ้งไว้ใต้หน้าผา เป็นพวกเราช่วยเจ้าขึ้นมา ไม่เช่นนั้นเจ้าคงตายไปแล้ว เจ้าตอบแทนอย่างนี้หรือ”
เสิ่นเฉียวถอนหายใจ “บุญคุณช่วยชีวิต ย่อมตอบแทนเป็นเท่าทวี แต่ทั้งสองอย่างหาได้เกี่ยวข้องกันไม่”
อวี้เซิงเยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
เดิมเขาคิดว่านี่คือภารกิจที่ง่ายเหลือเกิน ใครจะไปรู้ว่าเสิ่นเฉียวสูญเสียความทรงจำไปแล้ว แต่กลับไม่ทำตามที่คาด กล้าส่งข่าวให้เหยียนจือเวิ่นใต้จมูกของเขา หากเรื่องราวถ่ายทอดกลับไป เขาเองก็ต้องถูกอาจารย์คิดว่าไร้ความสามารถอย่างเลี่ยงมิได้ แม้กระทั่งเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งก็ทำไม่ได้
คนผู้นี้มีสถานะพิเศษ จะฆ่าก็ฆ่าไม่ได้ ยังต้องพากลับไปให้ท่านอาจารย์จัดการ
เสิ่นเฉียวคล้ายรู้สึกได้ถึงจิตใจของเขา กลับเป็นฝ่ายปลอบใจเขา “ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะรายงานสาเหตุต่อประมุข ไม่โยงถึงท่านแน่นอน”
อวี้เซิงเยียนอารมณ์ไม่ดี “เจ้าเป็นห่วงตัวเจ้าเองก่อนสักหน่อยจะดีกว่า!”
เสิ่นเฉียวแย้มยิ้ม พลันถาม “ศิษย์พี่อวี้ ในเมื่อข้าหาใช่คนในนิกายฮ่วนเยวี่ยไม่ เรียนถาม เสิ่นเฉียวชื่อนี้คือชื่อจริงหรือไม่”
อวี้เซิงเยียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “…เป็นชื่อจริง”
“เช่นนั้นก่อนข้าได้รับบาดเจ็บมีสถานะอันใด คงยังมีญาติอยู่บนโลกหรือเปล่า”
อวี้เซิงเยียนกล่าว “เจ้ารอกลับไปถามอาจารย์เองเถอะ”
ทว่าหลังพวกเขากลับไป ก็หาได้พบเยี่ยนอู๋ซือไม่
หลังพวกเขาออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเย่เฉิงไม่นาน เยี่ยนอู๋ซือก็ออกจากหมู่บ้าน ว่ากันว่ามุ่งหน้าไปแคว้นโจว
“เช่นนั้นก่อนอาจารย์ออกเดินทาง คงทิ้งคำสั่งอะไรไว้หรือไม่” อวี้เซิงเยียนถามผู้ดูแลบ้าน
ผู้ดูแลบ้านกล่าว “นายท่านให้ท่านกลับไปฝึกวรยุทธ์ใต้ยอดเขาปั้นปู้ ส่วนคุณชายเสิ่น นายท่านบอกว่า หากการเดินทางครั้งนี้ทุกอย่างราบรื่น ก็ให้เขาอยู่พักฟื้นในหมู่บ้านต่อ หากคุณชายเสิ่นก่อเรื่องอะไรที่เมืองเย่เฉิง เพิ่มความลำบากให้ท่าน ก็ให้เขาจากไปไม่ต้องนำสิ่งของไปสักนิด”
อวี้เซิงเยียนผิดคาดเล็กน้อย “อาจารย์กำชับเช่นนี้?”
ผู้ดูแลบ้านแค่นยิ้มพลางกล่าว “ผู้น้อยจะกล้าแต่งเรื่องได้อย่างไร”
เดิมอวี้เซิงเยียนยังกังวล ไม่รู้ว่ากลับมาจะอธิบายอย่างไร ใครจะไปรู้ว่าเรื่องราวกลับจบสิ้นด้วยวิธีผ่อนคลายเช่นนี้
เขาขบคิดครู่หนึ่งแล้วเรียกเสิ่นเฉียวมา บอกคำพูดที่เยี่ยนอู๋ซือทิ้งไว้ให้เขาฟัง
สีหน้าของเสิ่นเฉียวกลับสงบเสงี่ยมยิ่งนัก “ไม่ว่าอย่างไร ข้าเพิ่มความลำบากให้ท่านจริงๆ ทำให้ท่านมิอาจสำเร็จเรื่องราวที่ประมุขมอบหมาย ประมุขจัดการเช่นนี้ ก็นับว่าเมตตายิ่งแล้ว”
อวี้เซิงเยียนมีความเข้าใจอาจารย์ของตัวเองหลายส่วน เยี่ยนอู๋ซือจัดการเช่นนี้ไม่นับว่าเมตตาอะไร บางทีอาจยังมีแผนการอื่น
เสิ่นเฉียวมิอาจมองเห็น ตอนนี้ทางโลกยังวุ่นวาย อยู่ภายนอกอะไรก็เกิดขึ้นได้ หากถูกคนลักพาตัวไป วันหน้าหากถูกคนพบเข้า เป็นถึงเจ้าสำนักเขาเสวียนตูกลับกลายเป็น ‘เหยื่อ’ เกรงว่าเขาเสวียนตูจะต้องเสียหน้าแล้ว ไหนเลยจะยังมีหน้ายืนหยัดในยุทธภพได้
แม้อวี้เซิงเยียนมิได้กระทำการตามอำเภอใจเหมือนอาจารย์ของเขา แต่ก็ไม่สามารถขัดขืนคำสั่งของอาจารย์เพื่อเสิ่นเฉียวคนเดียว
“เมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้เจ้าก็ไปเสียเถอะ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากที่นี่คือเมืองเย่เฉิง ไปทางตะวันตกเฉียงใต้คือหนานเฉิน ถ้าหากจะไปเจี้ยนคัง ก็ต้องไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เส้นทางค่อนข้างไกล เย่เฉิงเจ้าเองก็เคยไปแล้ว ที่นั่นแม้รุ่งเรืองแต่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ระหว่างทางยังมีอันธพาลมาก หากคิดใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไปหนานเฉินจะดีกว่า”
เสิ่นเฉียวพยักหน้า ประสานมือกล่าว “ขอบคุณพี่อวี้ที่บอก ข้ามีเรื่องหนึ่งขอร้อง หวังว่าพี่อวี้จะบอกสถานะที่มาของข้า และให้ข้ามีที่ไป”
อวี้เซิงเยียนกล่าวอย่างเฉยชา “เรื่องถึงขั้นนี้ บอกไปก็คงไม่เป็นไร เดิมเจ้าเป็นเจ้าสำนักเขาเสวียนตูแห่งเขาเสวียนตู ตกลงจากหน้าผาเพราะนัดสู้กับคุนเสีย ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งทูเจวี๋ย แล้วก็ถูกอาจารย์ช่วยไว้ เพียงแต่ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่ารีบกลับไปหาญาติมิตรจะดีกว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องมาจนถึงตอนนี้ ข้าไม่เคยได้ยินคนของเขาเสวียนตูเสาะหาเบาะแสของเจ้าเลย”
“เขาเสวียนตู…” เสิ่นเฉียวขมวดคิ้วพึมพำซ้ำรอบหนึ่ง ปรากฏสีหน้างุนงง
อวี้เซิงเยียนแย้มยิ้มพลางกล่าว “นิกายฮ่วนเยวี่ยเราแม้เป็นพรรคมารในสายตาชาวโลก แต่กลับเป็นคนต่ำทรามที่ใจกว้าง จะฆ่าก็ฆ่าไม่เคยอ้อมค้อม ไหนเลยจะเหมือนสำนักฝ่ายธรรมะบางสำนัก สิ่งที่ปากบอกกับการกระทำต่างกันอย่างสิ้นเชิง! เพียงแต่เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ถึงเวลาสิ้นชีวิตไปแล้ว อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
เสิ่นเฉียวนิ่งเงียบ
เช้าตรู่วันถัดมา เขาถูกบริวารปลุกและเชิญออกจากหมู่บ้านด้วยความสุภาพ
บนร่างนอกจากไม้เท้าไผ่เขียวอันหนึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นอีก อย่าว่าแต่เหรียญทองแดง แม้กระทั่งเสบียงกรังสักนิดก็ไม่มี
เห็นได้ชัดว่าอวี้เซิงเยียนไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้แม้ครึ่งส่วน คิดปล่อยให้เสิ่นเฉียวเป็นไปตามยถากรรมภายนอกจริงๆ
ตะวันส่องบนร่างอย่างอบอุ่น พกพากลิ่นอายวสันตฤดู หาได้ชวนให้ทุกข์ใจไม่
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ยกมือบดบังการมองเห็น
ความจริงตอนนี้เขาค่อยๆ รับรู้ถึงแสงแดดด้านนอกได้บ้างแล้ว แม้ว่าจะยังพร่ามัวและมองนานเข้ายังกระตุ้นให้หลั่งน้ำตา แต่สรุปแล้วดีกว่าลืมตาขึ้นก็มืดสนิทมองอะไรไม่เห็น
เสิ่นเฉียวหมุนตัวมองดูหมู่บ้านแวบหนึ่ง แม้นิกายฮ่วนเยวี่ยไม่มีเจตนาดีตั้งแต่ต้นจนจบ แต่มิอาจปฏิเสธว่าพวกเขาให้ที่พักตนเอง ให้หมอให้ยา นี่คือข้อดีที่มิอาจลบเลือน
ภายหน้าถ้าหากได้พบเยี่ยนอู๋ซืออีก เขายังคงต้องกล่าวขอบคุณต่อหน้าสักคำ
เวลานี้การย้ายลงใต้ของชาวจิ้นได้ผ่านมาสองร้อยกว่าปีแล้ว หลังพ้นช่วงห้าชนเผ่านอกด่านเข้าสู่จงหยวน อาณาเขตทางเหนือค่อยๆ มั่นคงขึ้นมา
แคว้นฉีและโจวแบ่งกันยึดครองตะวันออกและตะวันตก เกาเหว่ยฮ่องเต้ฉีเหลวแหลก ละเลยบ้านเมือง ทำให้เป่ยฉีถดถอยลงทุกวัน ส่วนเป่ยโจวกำลังรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ในแคว้นสงบสุขร่ำรวยยิ่งกว่าเดิม ภายใต้การปกครองของอวี่เหวินยง
จากอำเภอฝู่หนิงไปแคว้นโจวต้องใช้เวลาเดินทางระยะหนึ่ง อันธพาลตามทางมีไม่น้อย ถ้าหากออกเดินทางโดยไม่ได้เตรียมตัวอย่างเพียงพอ เช่นนั้นขอความช่วยเหลือไปก็ไม่มีผู้ใดสนใจ
ตั้งแต่หน้าแล้งปีที่แล้วเป็นต้นมา ที่เป่ยฉีเมื่อถึงฤดูหนาวแม้แต่หิมะก็ตกลงมาน้อยยิ่ง และภัยแล้งของปีก่อนก็ลุกลามมาถึงปีนี้ จากเมืองเย่เฉิงไปสู่ชายแดนแคว้นเฉิน ทุกแห่งตามทางเห็นได้ถึงเงาร่างของอันธพาล ว่ากัน