everY
ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 2 #นิยายวาย
เสิ่นเฉียวยิ้มพลางกล่าว “ย่อมเป็นวิถีทางที่ถูกต้อง เจ้าดูสภาพข้าเป็นเช่นนี้ หรือว่ายังไปขโมยไปปล้นชิงได้อีก”
เฉินกงส่งเสียงหึ “ใครจะไปรู้เล่า!”
แม้กล่าวเช่นนี้ แต่เขายังคงหยิบแป้งย่างชิ้นหนึ่งขึ้นมา ผิวสัมผัสความอุ่นร้อนนุ่มนวล เห็นได้ชัดว่าเพิ่งออกจากเตา เมื่อเปิดห่อกระดาษออกก็กัดลงไปคำหนึ่ง แป้งที่ถูกย่างจนเหลืองทอง น้ำจากเนื้อด้านในไหลออกมาตามแป้งที่ถูกกัด หอมกรุ่นอบอวล
เฉินกงตะกละตะกลาม อึดใจเดียวก็กินไปสองชิ้นแล้ว เหลือชิ้นเดียวไม่อยากกินแล้ว จึงคิดว่าจะเหลือไว้เป็นอาหารเช้าวันพรุ่งนี้ กินเสร็จแล้วก็ไปทำงานพอดี
เขาหันหน้าไปมองดูเสิ่นเฉียว เสิ่นเฉียวยังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ในมือกอดไม้เท้าไม้ไผ่อันนั้น ดวงตาปิดเล็กน้อย ไม่รู้กำลังหลับตาทำสมาธิ หรือว่ากำลังคิดเรื่องใด
“นี่ เจ้าเป็นคนที่ใด”
เสิ่นเฉียวส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ระหว่างทางหกล้ม ศีรษะแตก ลืมเรื่องราวมากมายไปหมดแล้ว”
“ไม่บอกก็ไม่บอก จะแต่งเรื่องทำไม เจ้าเห็นข้าน่าหลอกนักหรือ!” เฉินกงไม่เห็นพ้อง หมดความสนใจพูดคุยทันที เอนกายนอนลง
สุดท้ายไม่รู้เพราะกินอิ่มเกินไปหรือไม่ จึงนอนไม่หลับพลิกตัวไปมา เฉินกงอดมิได้ที่จะเปิดหัวข้อสนทนาอีก “นี่ เมื่อกลางวันเจ้าไปทำอะไรกันแน่ เหตุใดหาเงินได้”
ทางโน้นถ่ายทอดสุ้มเสียงแผ่วเบามา “จับกระดูกดูดวง”
เฉินกงผุดลุกขึ้นหันหน้าไปหาเขา “เจ้าจับกระดูกดูดวงเป็นหรือ”
เสิ่นเฉียวยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ยิ้มพลางกล่าว “ความจริงก็ไม่นับว่าเป็น คนผู้หนึ่งจะจนหรือรวย มักมองออกได้จากร่องรอยบนฝ่ามือ ก็นับเป็นความสามารถน้อยนิดที่พอหาข้าวกินได้”
เฉินกงมีความสนใจแล้ว “เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูให้ข้าสักหน่อย ภายหน้าข้าจะมีดวงร่ำรวยหรือไม่”
เสิ่นเฉียวกล่าว “เอามือของเจ้ามาลองดู”
เฉินกงยื่นมือไป เสิ่นเฉียวถูไถบนสองมือของเขาครู่หนึ่ง “ยามปกติเจ้าคุ้นเคยกับการแบกสิ่งของ คงทำงานชั่วคราวที่ร้านข้าวหรือท่าเรือกระมัง”
“อะไรอีก” เฉินกงหาได้โง่ไม่ รู้ว่าบนมือตัวเองมีหนังด้านหนาๆ ฝ่ายตรงข้ามต้องชี้ขาดได้จากหนังด้านอย่างแน่นอน
“เจ้านิสัยดื้อรั้น แกร่งกร้าวไม่ยอมแพ้โดยกำเนิด ซ้ำยังขี้สงสัยอยู่บ้าง ตอนเด็กๆ ต้องขัดแย้งกับคนในบ้านอย่างแน่นอน อีกทั้งในบ้านคงมีพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง”
เฉินกงเบิกตาโพลงอย่างเลี่ยงมิได้ “อะไรอีก”
เสิ่นเฉียวยิ้มพลางกล่าว “บัดนี้เกิดกลียุค มีสิ่งที่ทำได้พอดี ด้วยนิสัยของเจ้า หากไปเข้าร่วมกองทัพ ภายหน้าต้องมีผลงานเป็นแน่”
เฉินกงกล่าว “เจ้ามองสิ่งเหล่านี้ออกได้อย่างไร”
เสิ่นเฉียวกล่าว “สำเนียงของเจ้าเป็นสำเนียงท้องถิ่น ฉะนั้นไม่สามารถหนีภัยมาจากต่างถิ่นได้ คนท้องถิ่นปกติล้วนมีบ้าน นอกเสียจากในบ้านเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างจึงไม่อาจอาศัยอยู่ได้ ประกอบกับนิสัยของเจ้าแล้ว ยิ่งเหมือนเป็นอย่างที่ข้าบอก แต่ต่อให้ขัดแย้งกับคนในบ้านอย่างไร หากมีบิดามารดาอยู่ ก็ไม่ถึงขั้นนั่งมองเจ้าตากลมตากฝนข้างนอก ฉะนั้นคงเป็นบิดาแต่งกับแม่เลี้ยงที่ดุร้าย หรือว่าบิดามารดาด่วนจากไป”
การพูดจ้อเป็นข้อๆ นี้ สุดท้ายเฉินกงเลื่อมใสเล็กน้อยแล้ว
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้ารู้ว่าข้าไปเป็นทหารจะมีความก้าวหน้า”
เสิ่นเฉียวกล่าว “เจ้าไม่อยากรับอารมณ์ของแม่เลี้ยงหรือพ่อเลี้ยง ฉะนั้นจึงออกจากบ้านด้วยความเดือดดาล ยินยอมอยู่ที่นี่ เมื่อคืนก็ต่อยตีกับกระยาจกเพื่อแป้งย่างไส้เนื้อลา เห็นได้ว่าเป็นคนที่โหดร้ายกับผู้อื่น และโหดร้ายกับตนเอง คงเหมาะกับสภาพแวดล้อมในกองทัพ”
เฉินกงแค่นเสียงหนึ่งเสียง “สุดท้ายแล้ว เจ้าดูถูกคนอย่างข้ากระมัง แม้แต่ข้าวสักมื้อก็ไม่มีกิน ต้องแย่งของของเจ้า อ้อมค้อมตั้งนาน เพียงเพื่อเยาะเย้ยข้าเท่านั้น!”
เสิ่นเฉียวยิ้มพลางกล่าว “ตัวข้าเองก็ตกยากมาถึงที่นี่ ไหนเลยจะมีหน้าเยาะเย้ยคนอื่นอีก เมื่อครู่เจ้าถามข้าว่าจับกระดูกดูดวงได้อย่างไรมิใช่หรือ ข้าเพียงแค่ใช้เจ้าเป็นตัวอย่างในการอธิบายเท่านั้น แม่นมากใช่หรือไม่ แม้กล่าวว่าทำเงินได้ไม่มาก แต่หาเงินค่าข้าวสักมื้อก็พอได้”
เฉินกงกล่าว “ในเมื่อเจ้ากล่าวได้น่าฟังเช่นนั้นราวกับรู้ทุกอย่าง เหตุใดยังตกยากเช่นนี้ หรือว่าระหว่างทางถูกโจรปล้น”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ช่างเถอะ ตัวข้าเองก็จำไม่ได้แล้ว หัวสมองประเดี๋ยวแจ่มใส ประเดี๋ยวมัวหมอง เรื่องราวมากมายล้วนเลือนราง เคราะห์ดีเจ้ายอมให้ข้าอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นสองวันนี้ข้าไม่รู้จะไปค้างคืนที่ใด ข้าต้องขอบคุณเจ้าจึงจะถูก!”
คำพูดสรรเสริญเยินยอนี้พอกล่าวออกมา เฉินกงก็รู้สึกดียิ่งขึ้น แม้กระทั่งเก็บแป้งย่างไส้เนื้อลาทั้งสามชิ้นนั้น เขาก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล เหมือนตนเองปกป้องเสิ่นเฉียวจริง
“เช่นนั้น พรุ่งนี้ยังคงเป็นแป้งย่างสามชิ้น อย่าคิดว่ากล่าวคำพูดมากเช่นนี้กับข้าแล้วจะหลอกข้าได้!”
“ตกลง”
เฉินกงกลับถึงวัดร้างพลบค่ำวันถัดมา ยังคงมีแป้งย่างไส้เนื้อลาสามชิ้นวางอยู่บนตำแหน่งของเขา ในมือเสิ่นเฉียวเองก็กำลังถือชิ้นหนึ่งกินอยู่อย่างเชื่องช้า ไม่เหมือนกำลังกินแป้งย่างไส้เนื้อลา แต่เหมือนกำลังกินอาหารชั้นเลิศอะไรอยู่มากกว่า
ดัดจริต! เฉินกงแค่นเสียงในใจ หันหน้ามาเปิดห่อกระดาษออก กัดลงไปแรงๆ หนึ่งคำ
ค่ำวันถัดมาก็ยังคงมีแป้งย่างสามชิ้นวางอยู่ เขาเองก็มิได้เกรงใจ หยิบมากินตามใจชอบ แม้กล่าวว่าเสิ่นเฉียวถามอะไรก็ตอบได้ นิสัยดียิ่งนัก แต่เฉินกงมักรู้สึกว่าเข้ากันกับเขาไม่ได้ คุยไม่ถูกคอ คำพูดของฝ่ายตรงข้าม ตนเองฟังไม่เข้าใจนัก ส่วนความดุร้ายป่าเถื่อนของเขาเองก็ไม่เกิดประโยชน์ ต่อยลงดอกฝ้ายหนึ่งหมัด ผู้ที่แสดงความน่าเกรงขามคือตนเอง ท้ายที่สุดผู้ที่เป็นทุกข์ก็คือตนเองเช่นกัน
เขารู้สึกว่าเสิ่นเฉียวผู้นี้ไม่ธรรมดา ไม่เพียงเพราะอีกฝ่ายรักษาเสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยเอาไว้ตลอด แต่ภายนอกสุภาพอ่อนโยนเหมือนปัญญาชน ยังมีความรู้สึกที่บอกได้ไม่ชัดเจนชนิดหนึ่ง คนทั้งสองต่างอยู่ในวัดร้างแห่งนี้ แต่ตนเองเหมือนต่ำกว่าเขาอยู่หนึ่งชั้น
เฉินกงไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้ ดังนั้นเขาเองก็ไม่ชอบเสิ่นเฉียว
ที่นี่ลมรั่วรอบด้าน ตอนดึกหนาวแทบตาย นอกจากคนทั้งสองแล้ว คาดว่ายังมีหนูอีกจำนวนมาก รองเท้าของเขาขาดแล้ว ปลายนิ้วเท้าเหมือนถูกกัด เฉินกงร้องโอ๊ยหนึ่งเสียง แต่ไม่อยากลุกขึ้นมาบันดาลโทสะกับหนู ถือโอกาสขดตัวจนแน่นกว่าเดิม
นอกจากเสียงลม ด้านนอกคล้ายมีเสียงฝีเท้าถ่ายทอดมา
แต่วันที่ลมแรงประหลาดนี้ ใครจะมาสถานที่ซอมซ่อเช่นนี้อีก
เฉินกงกำลังจะนอนด้วยความมึนงง พลันได้ยินเสิ่นเฉียวกล่าว “ด้านนอกมีคนมา”
เขาลืมตาขึ้น มองเห็นเงาคนหลายสายเข้ามาอย่างลับๆ ล่อๆ ในมือยังถือไม้พลองเอาไว้ สองคนที่เดินนำเหมือนเป็นหัวหน้า ดูคุ้นตาเหลือเกิน เมื่อเพ่งมองก็เห็นกระยาจกสองคนที่ถูกเขาขับไล่ไปวันนั้นอย่างชัดเจน
เฉินกงสั่นเทา ได้สติขึ้นมากในทันที เขารีบลุกขึ้นมา “พวกเจ้าคิดทำอะไร!”
คนหนึ่งในนั้นยิ้มพลางกล่าว “เฉินต้าหลางหนอเฉินต้าหลาง วันนั้นเจ้าน่าเกรงขามมากมิใช่หรือ ยังไล่พวกเราออกไป วันนี้พวกเราเรียกพี่น้องพรรคกระยาจกในเมืองนี้มาแล้ว ดูว่าเจ้ายังกล้าโอหังอีกหรือไม่!”
เฉินกงถ่มน้ำลาย “พรรคกระยาจกอะไรกัน แค่กระยาจกกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันก็มีหน้าเรียกว่าพรรคกระยาจกได้?!”
ฝ่ายตรงข้ามกล่าวด้วยโทสะ “ความตายมาเยือนยังปากแข็ง ประเดี๋ยวอย่าร้องขอชีวิต เหล่าพี่น้อง เป็นคนผู้นี้ยึดพื้นที่ของพวกเรา อ้อ ด้านข้างยังมีผู้มาใหม่ ในตัวเขามีเงิน ประเดี๋ยวเก็บไว้ทั้งหมด สิ่งของที่ค้นออกมาให้เหล่าพี่น้องดื่มสุราสักมื้อได้พอดี!”
เฉินกงมองเห็นเป็นคนยากจนข้นแค้น ต่อให้ในตัวมีเงินมากก็ซื้อซาลาเปาได้ไม่กี่ลูก แม้เสื้อผ้าค่อนข้างสะอาดเรียบร้อย หากถอดเสื้อผ้าตัวนั้นออกมา คาดว่าขายได้ไม่กี่สิบอีแปะกระมัง
เงาร่างห้าหกสายเบียดกันกระโจนไปยังเฉินกง แม้เฉินกงมีความป่าเถื่อนและความบ้าบิ่นเป็นพื้นฐาน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี ไม่ถึงขั้นล่ำสัน ฝ่ายตรงข้ามมีคนมาก เขาต่อยตีไม่กี่ทีก็ถูกทุ่มล้ม บนร่างและบนหน้าล้วนถูกต่อยแรงๆ หลายที แม้อีกฝ่ายไม่คิดเอาชีวิตของเขา แต่ก็ลงมือโหดเหี้ยม มุมปากเฉินกงแตกแล้ว ได้แต่ป้องกันจุดสำคัญบนร่างสุดความสามารถ ไม่ให้พวกเขาเตะถูก
เหล่ากระยาจกค้นบนร่างเฉินกงพักหนึ่ง สุดท้ายค้นได้เพียงเงินสามสิบอีแปะ คนหนึ่งในนั้นถุยหนึ่งเสียง “โชคร้ายจริงๆ เจอผียากไร้ ไล่ต้า ไหนเจ้าบอกว่าในตัวเขามีอย่างน้อยห้าสิบอีแปะมิใช่หรือ!”
ไล่ต้าแค่นยิ้มพลางกล่าว “อาจถูกเขาใช้หมดแล้วกระมัง นี่มิใช่ ด้านโน้นยังมีอีกคนหนึ่ง”
กลุ่มคนทอดสายตาไปยังเสิ่นเฉียว เห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ มาตลอด คล้ายตกใจจนงงงันไปแล้ว กอดไม้เท้าไม้ไผ่ไม่ขยับเขยื้อน
คนหนึ่งสงสัย “เหตุใดข้าเห็นดวงตาเขาผิดปกติเล็กน้อย คงมิใช่คนตาบอดกระมัง”
ไล่ต้าอาศัยคนมาก ตะโกนกับเสิ่นเฉียว “นี่ มอบเงินในตัวเจ้าออกมา เหล่าท่านปู่จะไม่ตีเจ้า ได้ยินหรือไม่!”
เสิ่นเฉียวส่ายหน้า “เงินในตัวข้าล้วนหามาเองอย่างยากลำบาก มิอาจให้พวกท่าน”
ไล่ต้าแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “กล้าหาญยิ่งนัก เช่นนั้นก็ได้ เจ้าป้องกันไว้ให้ดีเถอะ สองวันก่อนแม้แต่แป้งย่างไส้เนื้อลาก็ไม่ยอมให้ วันนี้เหล่าท่านปู่จะทำให้เจ้าเสียทรัพย์หลั่งเลือด!”
คนทั้งหลายกระโจนเข้าไปพร้อมกัน ปฏิบัติต่อเสิ่นเฉียวเหมือนที่ปฏิบัติต่อเฉินกง
พวกเขาไม่เคยเห็นปัญญาชนอ่อนแอผู้นี้อยู่ในสายตา
ไล่ต้าท่วงท่าเร็วที่สุด หมัดหนึ่งต่อยไปยังใบหน้าของเสิ่นเฉียวแล้ว มืออีกข้างหนึ่งหมายกระชากอกเสื้อของอีกฝ่าย
ดูจากท่วงท่า หมัดคงไปถึงก่อน หลังจากฝ่ายตรงข้ามหงายหลังไป เขากระโจนเข้าไปคร่อมบนร่างฝ่ายตรงข้ามพอดี
แต่แล้วข้อมือพลันเจ็บปวด!
ไล่ต้าอดร้องเฮ้ยมิได้ ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บนเอวก็รู้สึกเจ็บอีกเล็กน้อย ทั้งร่างเอนไปด้านข้างอย่างควบคุมมิได้ ชนพวกพ้องที่ด้านข้างจนล้ม คนทั้งกลุ่มชนกันเป็นก้อนทันที
ในวัดร้างไม่มีแสงเทียน ค่ำคืนที่ลมแรง แสงจันทร์วับๆ แวมๆ บางครั้งถูกชั้นเมฆบดบัง
คนทั้งหมดล้วนเห็นไม่ชัดว่าไล่ต้าล้มได้อย่างไรกันแน่ ฉะนั้นพวกเขาเองก็มิได้หยุดท่าทางลง ยังคงกระโจนไปหาเสิ่นเฉียว
ทว่าเกิดเสียงเปรี๊ยะๆ หลายเสียงติดต่อกัน มีหลายคนหกล้มกับพื้นอีก
“ที่เจ้าใช้คือวิชามารอะไร!” ไล่ต้าไม่ยอมแพ้ ปากตะโกน พลางลุกขึ้นมากระโจนไปยังฝ่ายตรงข้ามต่อ
ดวงตาของเสิ่นเฉียวฟื้นฟูได้ช้ายิ่งนัก ขณะแสงไฟยามค่ำคืนมืดสลัว มองเห็นเพียงเงากลุ่มหนึ่งเลือนราง พอไม่ระวังก็ถูกไล่ต้าผลักลงกับพื้น หมัดหนึ่งต่อยเข้าที่บริเวณหน้าอก เจ็บจนเขาสะดุ้งเฮือก
ไล่ต้าโจมตีอย่างราบรื่น หมายชิงไม้เท้าในมือเขา คาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกชาที่บั้นเอว ไม้เท้าไม้ไผ่ของฝ่ายตรงข้ามทิ่มเข้ามา ดูคล้ายธรรมดาชัดๆ เขายื่นมือไปแต่กลับจับไม่อยู่ บนสันจมูกถูกทิ่มแรงๆ เขาเจ็บจนร้องลั่น ไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่น ป้องจมูกแล้วจึงล้มไปด้านข้าง มีเลือดกำเดาไหลออกมาตามซอกนิ้วทันที
การพัฒนาเช่นนี้เป็นใครก็มิอาจคาดคิด เฉินกงยิ่งตกตะลึง เพียงมองดูเสิ่นเฉียวใช้ไม้เท้าไม้ไผ่เคาะซ้ายตีขวา ดูคล้ายวิธีต่อสู้ที่ไร้ซึ่งแบบแผน แต่กระยาจกหลายคนนั้นกลับเข้าใกล้ตัวเขาไม่ได้เลย ไม่นานก็ถูกตีจนกระจัดกระจาย ร้องโหยหวนไปทั่ว
เสิ่นเฉียวกล่าว “ข้าลงมือไว้ไมตรีแล้ว พวกท่านยังไม่ไปอีก หรือคิดรอให้ข้าทิ่มลูกตาของพวกท่านแตก กลายเป็นคนตาบอดเหมือนข้าหรือ”
สุ้มเสียงของเขาแผ่วเบา ระคนกับเสียงลม ฟังแล้วคล้ายกับภูตผี ชวนให้สะพรึงกลัวเป็นพิเศษ
พวกไล่ต้าจะกล้าอยู่ต่อได้อย่างไร ต่างรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วหนีไป ครานี้แม้กระทั่งคำขู่ก็มิกล้าทิ้งไว้ ล้มกลิ้งปัสสาวะราด เงาคนหายไปในชั่วขณะ
“เจ้าน่าจะแทงลูกตาของพวกเขาให้บอด!” เฉินกงกล่าวอย่างเคียดแค้น “ยังเกรงใจคนพรรค์นี้อีกทำไม!”
เสิ่นเฉียวยันไม้เท้าไม้ไผ่ไว้มิได้กล่าวคำ เห็นได้ว่าหัวไหล่สะท้อนขึ้นลงรางๆ คล้ายหอบหายใจเล็กน้อย
เฉินกงจึงตอบสนอง แม้กระทั่งกระยาจกหลายคนนั้นฝ่ายตรงข้ามก็ขับไล่ไปได้ เช่นนั้นยิ่งมิต้องกล่าวถึงตนเอง แต่ก่อนหน้าตนเองยังตะคอกเสียงดังใส่เขา เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายมิได้คิดเล็กคิดน้อย มิฉะนั้น…
เขาหวาดกลัวภายหลังเล็กน้อย น้ำเสียงเองก็สุภาพขึ้นมา “นี่ เอ่อ เสิ่นเฉียว? คุณชายเสิ่น? อาวุโสเสิ่น?”
เพิ่งขาดคำ เสิ่นเฉียวพลันไถลเลื่อนลงตามเสาด้านหลัง อ่อนระทวยล้มลงกับพื้น
เฉินกง “…”
ในตอนที่เสิ่นเฉียวฟื้นขึ้นมา เหนือศีรษะคือคานคร่ำคร่า ผุพังตามกาลเวลา เหมือนจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ
ด้านข้างมีคนกำลังเขย่าไหล่ของเขาอยู่
เขายังไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ที่ใดชั่วขณะ จึงกล่าวพึมพำตามสัญชาตญาณ “ศิษย์น้อง อย่าแกล้ง”
“ใครเป็นศิษย์น้องเจ้ากัน” เฉินกงอารมณ์ไม่ดี “เจ้านอนมาสองวันสองคืนแล้ว! ข้าเอาเงินในตัวจ่ายล่วงหน้าก็ยังไม่พอจนต้องเอาของเจ้ามาก่อนแล้ว แต่ก็ยื้อค่าห้องได้เพียงสามวัน พรุ่งนี้หากไม่นำเงินไปจ่าย พวกเราก็ต้องถูกไล่กลับไปอยู่วัดร้างแล้ว”
เสิ่นเฉียวส่งเสียงอ้อ จ้องคานบนเพดานเหม่อลอยอยู่นาน สองตาไร้แวว และไม่รู้กำลังมองอะไรอยู่