everY
ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 2 #นิยายวาย
เฉินกงเห็นสภาพนี้ของเสิ่นเฉียวก็เกิดโทสะ เหมือนทุกเรื่องล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขา อดผลักไหล่ของเขาอีกหนึ่งทีมิได้ “เจ้าพูดสิ อย่าเอาแต่มอง ตอนนี้เราอยู่ในโรงเตี๊ยม! ข้ากลัวว่าพวกเราจะถูกล้างแค้น จึงย้ายเจ้าออกมาจากวัดร้าง ยังเชิญหมอมาตรวจ หมอบอกว่าเจ้าลมปราณคั่งค้างอะไรสักอย่าง ในร่างมีไอเย็นอะไรสักอย่าง ถึงอย่างไรก็แก้ยากยิ่งนัก จ่ายยามามากมาย เงินหมดเกลี้ยงแล้ว!”
เสิ่นเฉียวได้สติกลับมา “ไม่ต้องให้เขาจ่ายยาแล้ว กินไปก็ไม่มีประโยชน์ ร่างกายของข้า ข้ารู้ดี มิอาจรีบร้อนในฉับพลันทันใด”
เฉินกงกล่าว “เจ้าบอกตอนนี้ยังมีประโยชน์อะไร ยาก็ซื้อกลับมาแล้ว หรือว่ายังเอาไปคืนได้อีก!”
เสิ่นเฉียวกล่าว “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”
เฉินกงย่อกายลงระดับเดียวกันกับเขา “นี่ ในเมื่อเจ้ามีฝีมือดีเพียงนี้ มิสู้พวกเราไปแสดงกายกรรมข้างถนน หรือว่าไปเข้าร่วมพรรคลิ่วเหอดี อำเภอนี้มีสาขาย่อยของพรรคลิ่วเหอ ด้วยวิทยายุทธ์ของเจ้า ต้องได้ตำแหน่งที่ไม่เลวอย่างแน่นอน ถึงเวลาค่อยพาข้า…”
เสิ่นเฉียวกล่าว “พรรคลิ่วเหอคืออันใด”
เฉินกงเห็นสายตางุนงงไร้เดียงสาของเขา ก็มิอาจไม่อธิบายด้วยความอดทน “เป็นพรรคที่ทำกิจการทั้งทางบกและทางน้ำ หลักๆ ทางน้ำคือคุ้มกัน ได้ยินว่ายังช่วยคนสอบถามข่าวคราวต่างๆ ถึงอย่างไรก็…สรุปแล้วเป็นพรรคใหญ่ที่เก่งกาจอย่างมากก็มิผิด! ข้าเองก็บังเอิญเคยได้ยินคนบอกจึงรู้ เป็นอย่างไร พวกเราไปพึ่งใบบุญพรรคลิ่วเหอกันเถอะ! หากได้หน้าที่ที่ดี เจ้าก็ไม่ต้องไปดูดวงทุกวันแล้ว ข้าเองก็ไม่ต้องแบกกระสอบข้าวแล้ว!”
กล่าวถึงสุดท้าย น้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นมา
เสิ่นเฉียวส่ายหน้ากล่าว “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ข้าจำอะไรไม่ได้ กระบวนท่าเมื่อคืนนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ อีกอย่างดวงตาข้าก็ไม่ดี ไปแล้วจะรับหน้าที่อะไรได้ มิสู้หาเงินที่นี่ต่ออย่างสุขสบายดีกว่า”
คำพูดนี้ราวกับน้ำเย็นกะละมังหนึ่งราดบนศีรษะเฉินกงในทันใด รอยยิ้มของเขาเลือนหายไปหมดแล้ว
ถึงแม้มองไม่เห็นนัก แต่เสิ่นเฉียวก็รู้สึกได้ถึงความซึมเศร้าของเด็กหนุ่ม “เจ้าอายุยังน้อย อย่าเอาแต่คิดประสบความสำเร็จโดยง่าย พวกเราใช่เป็นชาวยุทธภพ บุ่มบ่ามไปเข้าร่วมสำนักในยุทธภพ ไม่เข้าใจธรรมเนียมอะไรทั้งสิ้น เจ้าไม่รู้สึกแปลกแยกหรือ”
เฉินต้าหลางอารมณ์ไม่ดี “ข้าไม่รู้อะไรเรียกว่าแปลกแยก ข้ารู้เพียงอาศัยเงินที่ข้าไปแบกกระสอบข้าวมาได้ทุกวัน ยังไม่พอให้พวกเราจ่ายค่าเช่าห้อง ซื้อยาต้องใช้เงิน กินข้าวก็ต้องใช้เงิน เจ้ากลับยึดมั่นในคุณธรรมยิ่ง เงินมันตกลงมาจากฟ้าหรือไร ข้าใช่จะลักขโมยหรือปล้นชิง เจ้าอย่าหาว่าวันๆ ข้าไม่มีงานทำก็เอาแต่คิดหาเงินให้ตัวเอง…นี่ เจ้าเป็นอะไรไป อย่าทำให้ข้าตกใจสิ ข้ามิใช่พูดกับเจ้าไม่กี่คำหรือ!”
เสิ่นเฉียวกุมศีรษะ รอความเจ็บปวดวูบนั้นผ่านไป จึงค่อยๆ กล่าว “ข้าไม่ไปพรรคลิ่วเหอ ข้าจะไปเขาเสวียนตู”
เฉินกงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เขาเสวียนตู? นั่นคือที่ใด”
เขาเติบโตที่อำเภอฝู่หนิงตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังไม่เคยเรียนหนังสือ ความรู้จำกัด เคยได้ยินเรื่องพรรคลิ่วเหอเพราะมีสาขาย่อยที่อำเภอนี้ ส่วนเรื่องอื่นได้ยินมาเพียงเล็กน้อย
สำหรับเขาคำว่ายุทธภพนั้น ห่างไกลเกินไป
เสิ่นเฉียวส่ายหน้ามิได้กล่าวคำ ซ้ำยังเริ่มเหม่อลอยอีก
เฉินกงกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “นี่ เจ้าพูดสิ! ข้าเอาเงินของตัวเองมาจ่ายค่าหมอซื้อยาให้เจ้า มิใช่เจ้าไม่อยากคืนกระมัง”
เสิ่นเฉียวกล่าว “วันหลังข้าจะไปตั้งแผงดูดวง ไม่นานก็คืนเจ้าได้”
เฉินกงเห็นอีกฝ่ายไม่มีความสนใจไปพึ่งใบบุญพรรคลิ่วเหอแม้แต่น้อยก็รู้สึกอ่อนใจอย่างเลี่ยงมิได้ ถ้าหากเสิ่นเฉียวไม่ไป ก็อาศัยได้เพียงเรี่ยวแรงที่ตนเองแบกกระสอบข้าว ใครจะไปชมชอบ
“เขาเสวียนตูคือที่ใด”
เสิ่นเฉียวกล่าว “เขาลูกหนึ่ง”
เฉินกง “…”
เขาแทบจะโมโหตายอยู่แล้ว “เหลวไหล ข้าย่อมรู้ว่าเป็นเขาลูกหนึ่ง! ข้าถามเจ้าว่าจะไปทำอะไรที่นั่น!”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้ มีคนบอกว่าข้ามาจากที่นั่น จึงอยากกลับไปดูสักหน่อย”
“เขาลูกนั้นอยู่ที่ใด”
“ใกล้กับชายแดนแคว้นฉี โจว และเฉิน”
เฉินกงตกใจ “ไกลเพียงนั้นเชียว? เช่นนั้นเจ้าถ่อมาที่นี่ได้อย่างไร”
เสิ่นเฉียวกล่าวตอบอย่างจนปัญญา “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ข้าลืมเรื่องราวทั้งหลายไปแล้ว ตอนนี้ก็นึกไม่ออกสักอย่าง หากข้ารู้ เหตุใดยังบอกว่าจะกลับไปสืบเสาะอีกเล่า”
เฉินกงครุ่นคิด “มิสู้เช่นนี้ ข้าไปด้วยกันกับเจ้า ข้าไม่ให้เจ้าคืนเงินแล้ว ขอเพียงเจ้าสอนกระบวนท่าให้ข้า ให้ข้าเหมือนกันกับเจ้า สามารถต่อยหกเจ็ดคนให้คว่ำอยู่บนพื้น รอถึงแคว้นเฉินแล้วข้าจะไปพึ่งใบบุญพรรคลิ่วเหอ ส่วนเจ้าก็ไปเขาเสวียนตูของเจ้า เป็นอย่างไร”
“อำเภอฝู่หนิงคือบ้านเกิดของเจ้า ที่นี่สงบสุขไม่ค่อยมีภัยสงคราม ต่างกันกับภายนอกอย่างสิ้นเชิง ออกจากที่นี่แล้วข้าจะไปทางตะวันตก ยิ่งใกล้ชายแดนฉีกับโจวก็ยิ่งวุ่นวาย ข้าทำเพราะไม่มีทางเลือก ไฉนเจ้ายังจะไปเดินบนเส้นทางอันตรายเช่นนี้”
เฉินกงไม่แสดงสีหน้า “บิดามารดาข้าตายหมดแล้ว บ้านก็ถูกบรรดาน้องชายน้องสาวที่แม่เลี้ยงให้กำเนิดยึดไป แม้บอกว่าอยู่แบกกระสอบข้าวที่อำเภอฝู่หนิงดีกว่า แต่อยู่ไปเช่นนี้ก็ไร้ความหมาย มิสู้ถือโอกาสไปหาทางรอดด้านนอก เจ้าบอกว่าข้าเหมาะเข้าร่วมกองทัพมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ต้องไปสถานที่ที่เกิดไฟสงครามบ่อย ต้องการทหารอย่างเร่งด่วนจึงเข้าร่วมได้กระมัง…ข้าไม่อยากใช้ชีวิตอย่างไม่เอาไหนไปทั้งชาติ แม้กระทั่งกระยาจกไม่กี่คนก็รังแกข้า ดูถูกข้าได้!”
เสิ่นเฉียวนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ได้…”
คำพูดนี้เพิ่งเริ่มต้น เฉินกงก็คุกเข่าลงพึ่บหน้าเตียงของเขา “อาจารย์ โปรดรับการกราบจากศิษย์!”
“…” เสิ่นเฉียวเชิดมุมปาก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก “เจ้าลุกขึ้นมาเถอะ ข้าไม่รับศิษย์และรับศิษย์ไม่ได้ ในตอนนี้ข้ามิอาจจำกระบวนท่าเหล่านั้นได้ทั้งหมด อย่างมากก็ได้แต่สอนที่จำได้จำนวนหนึ่งให้เจ้า ใช้ได้หรือไม่ตัวข้าเองก็ไม่รู้ ฉะนั้นเจ้าไม่ต้องกราบอาจารย์”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฉินกงก็ลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่ว กล่าวอย่างสบายใจ “ก็ได้ เพียงแต่เจ้าอายุมากกว่าข้า ต่อไปข้าเรียกเจ้าพี่ชาย หากมีคนรังแกข้าอีก เจ้าต้องช่วยข้าออกหน้านะ!”
เสิ่นเฉียวแย้มยิ้ม มิได้กล่าวคำ เริ่มเหม่อลอยอีก
เฉินกงมองดูฝ่ายตรงข้ามเงียบๆ ครู่หนึ่ง เห็นเขาไม่มีท่าทีได้สติกลับมา จำต้องหันกายจากไปก่อน
เสิ่นเฉียวตกลงมาจากบนหน้าผา ได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกทั่วร่างแหลกละเอียด ในตอนนั้นอันตรายอย่างยิ่ง แต่อาการบาดเจ็บเหล่านี้ถูกรักษาได้พอสมควรแล้วในสามเดือนนั้นที่หมู่บ้านก่อนหน้า
สิ่งที่บาดเจ็บอย่างแท้จริงคืออวัยวะภายในกับวรยุทธ์ของเขา ล้วนแทบหายสาบสูญไปในเหตุสุดวิสัยครานั้น บัดนี้เหลือเพียงความทรงจำที่ขาดหายกับเรือนร่างกึ่งพิการ มิใช่เรื่องง่ายที่จะฟื้นฟู
หากเกิดขึ้นกับผู้อื่น นี่แทบเป็นการโจมตีอันหนักหน่วง ทว่าเสิ่นเฉียวกับเฉินกงอยู่ด้วยกัน ผู้ที่บันดาลโทสะส่วนใหญ่กลับเป็นเฉินกง
คนทั้งสองมิได้กลับไปที่วัดร้างอีก แต่ต่อรองขอราคาที่ย่อมเยากับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเช่าห้องหนึ่งเดือน ในหนึ่งเดือนนี้เสิ่นเฉียวไปจับกระดูกดูดวงหน้าวัดเจียงกงต่อ เฉินกงไปแบกกระสอบข้าวทำงานชั่วคราวต่อ ตกเย็นกลับมาก็เรียนวิทยายุทธ์กับเสิ่นเฉียว คุณสมบัติพื้นฐานของเขาไม่เลว หนึ่งเดือนต่อมาก็ร่ายรำได้อย่างเข้าท่าเข้าทาง เพียงแต่ไม่มีความช่วยเหลือจากกำลังภายใน สุดท้ายแล้วคือมีแค่เปลือกนอก รับมือกับอันธพาลทั่วไปยังพอได้ หากพบเจอผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงก็ยังคงไม่เกิดประโยชน์
เมื่อครบหนึ่งเดือนแล้ว เสิ่นเฉียวกับเฉินกงจึงออกจากอำเภอฝู่หนิงเดินทางไปยังทิศตะวันตก
หลังออกจากหมู่บ้าน เสิ่นเฉียวก็ไม่เคยพบพวกอวี้เซิงเยียนอีกเลย แม้กล่าวว่าอำเภอฝู่หนิงใกล้กับหมู่บ้านที่เคยอยู่ก่อนหน้ายิ่งนัก แต่เขาไปตั้งแผงดูดวงหน้าวัดเจียงกงทุกวัน สิ่งที่พบเห็นได้ยินล้วนเป็นเรื่องของประชาชนคนธรรมดา ชีวิตในเมืองอันแสนสดใส
ยุทธภพราวกับห่างไกลกับเขาอย่างหาใดเทียบ ห่างไกลจนบางครั้งเสิ่นเฉียวรู้สึกว่าตนเองไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปเขาเสวียนตูเลย ใช้ชีวิตอยู่ที่อำเภอฝู่หนิงตลอดชาติ ความจริงก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว
ทว่าบางครั้งยังคงกลัดกลุ้มในทรวงรางๆ กระดูกหักที่เชื่อมติดไม่นานเจ็บปวดเหมือนเข็มแทงในวันครึ้มฟ้าครึ้มฝน เรื่องในอดีตที่แวบผ่านในหัวสมอง พลังปราณที่แผ่ซ่านเป็นระยะทั่วร่าง เหล่านี้ล้วนกำลังเตือนเขาว่า เสิ่นเฉียวในตอนนี้ ยังมิใช่เสิ่นเฉียวที่สมบูรณ์
ตะวันตกของอำเภอฝู่หนิงคือเมืองไหวโจว ที่นั่นเป็นเมืองใหญ่ ซ้ำยังป้องกันแน่นหนาเพราะอยู่ใกล้แคว้นโจว โดยทั่วไปฮ่องเต้จะเป็นผู้ส่งผู้ว่าการมาที่นี่ด้วยพระองค์เอง ซ้ำยังมีขุนนางตรวจการมาตรวจตราเป็นประจำ ประกาศภาวะฉุกเฉินบ่อยครั้ง
แม้ใต้หล้าแตกแยกนานแล้ว แต่ทว่าแต่ละแคว้นกลับอดมิได้ที่จะค้าขายกันตามแนวชายแดน มีเพียงเซินปู้อี้ผู้ว่าการเมืองไหวโจวที่กระทำการเหลวไหล หลังจากเข้ารับตำแหน่ง เขาก็สั่งการให้ปิดด่านการค้าชายแดนของทั้งสองแคว้น พ่อค้าลักลอบค้าขายที่ถูกจับได้ถูกลงโทษรุนแรงทั้งหมด ซ้ำยังรายงานฮ่องเต้ว่าการค้าขายง่ายต่อการที่สายลับจะแฝงตัวเข้ามาในแคว้นโจว อาจเผยแพร่การวางกำลังป้องกันตามชายแดนของแคว้นเรา เสนอให้แคว้นฉีและพื้นที่อื่นปิดด่านการค้าด้วยเช่นกัน แม้เกาเหว่ยฮ่องเต้ฉีจะมิได้รับข้อเสนอของเซินปู้อี้ แต่กลับชื่นชมความจงรักภักดีของเขามากกว่าเดิม ออกราชโองการสดุดี
เซินปู้อี้ทุ่มเทกับงานราชการ ประจบยิ่งเช่นเดียวกันกับขุนนางชนชั้นสูงแคว้นฉี ฉะนั้นมักมีขุนนางใกล้ชิดฮ่องเต้กล่าวมธุรสวาจาให้เขา เขาจึงเลื่อนขึ้นจากนายอำเภอเล็กๆ สู่ผู้ว่าการเมืองในปัจจุบันได้โดยไม่เปลืองแรง
เมื่อพิจารณาได้ว่าหลังเข้าเมืองมีค่าใช้จ่ายมาก เสิ่นเฉียวกับเฉินกงจึงวางแผนอาศัยวัดนอกเมืองพักแรม พรุ่งนี้ค่อยเข้าเมืองเติมเสบียง ตอนบ่ายก็ออกจากเมืองเดินทางได้อีก
วัดนี้มีชื่อว่าวัดชูอวิ๋น แม้จะบอกว่าเป็นวัด แต่ความจริงมิได้ดีไปกว่าวัดร้างในอำเภอฝู่หนิงที่พวกเขาอยู่ก่อนหน้าเท่าใดนัก ในวัดมีหลวงจีนสามรูป หลวงจีนชราที่เป็นเจ้าอาวาสหนึ่งรูป กับหลวงจีนน้อยที่ถูกรับเลี้ยงไว้สองรูป
ในวัดเรียบง่าย มีห้องเพียงสองห้องเท่านั้น ห้องหนึ่งให้เจ้าอาวาสชราจำวัด อีกห้องหนึ่งให้หลวงจีนน้อยทั้งสองอยู่ นอกจากนี้ล้วนเป็นที่นอนรวม
เฉินกงคือผู้ที่เคยชินกับการใช้ชีวิตลำบาก อยู่ในวัดร้างแห่งนั้นที่อำเภอฝู่หนิง อย่าว่าแต่ที่นอนรวมเลย กระทั่งผ้าห่มก็ไม่มี สำหรับพวกเขาตอนนี้นับว่าดีมากแล้ว เสิ่นเฉียวปรับตัวตามสถานการณ์ได้ อัธยาศัยดียิ่งนักย่อมไม่มีความเห็นอะไร
เมื่อเข้าห้องจึงพบว่าผู้ที่มาก่อนพวกเขายังมีอีกกลุ่มหนึ่ง ทั้งหมดสี่คนล้วนเป็นบุรุษเยาว์วัย ในห้องยังมีหีบใหญ่สองใบ
กับคนแปลกหน้าเฉินกงมักกอดความเป็นอริกับความระแวดระวังไว้เสมอ ไม่มีทางเอ่ยปากกระชับความสัมพันธ์กับผู้อื่น เสิ่นเฉียวดวงตาไม่ดี อยากทักทายก็เห็นไม่ชัดว่าผู้อื่นมีลักษณะอย่างไร สี่คนฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีเจตนากระชับความสัมพันธ์เช่นเดียวกัน สังเกตเฉินกงกับเสิ่นเฉียวอย่างไม่ทิ้งร่องรอย เห็นพวกเขาฝีเท้าเบาหวิว เสื้อผ้าเรียบง่าย จึงไม่สนใจอีก
ไม่นานนัก หลวงจีนน้อยทั้งสองก็หอบที่นอนเดินมา
เดิมที่นอนรวมนี้ก็ไม่ใหญ่นัก เมื่อเพิ่มมาอีกสองคนจึงเบียดเสียดกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เฉินกงไม่พอใจ อดส่งเสียงซุบซิบมิได้ “หกคนก็มากพอแล้ว เหตุใดมาอีกสองคน!”
หลวงจีนน้อยได้ยินแล้ว กล่าวเสียงแผ่วเบากับเขา “ประสก ประสกหลายคนทางโน้นมีสตรีเยาว์วัย ไม่สะดวกนอนห้องเดียวกับพวกเรา ฉะนั้นพวกอาตมาจึงยกห้องให้ สะดวกกับผู้อื่น สะดวกกับตัวเอง”
ในเมื่อเป็นสตรีก็ต้องอยู่ลำพัง เฉินกงไม่พอใจแต่ก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรอีก กระทั่งมองเห็นสี่คนนั้นพกดาบกระบี่ติดตัวจึงมิกล้าเอ่ยปากแล้ว เพียงแค่ชำเลืองมองพวกเขา พลันเหมือนพบอะไรเข้าจึงตื่นเต้นไม่คลาย ฉวยโอกาสขณะพวกเขาไปกินข้าว รีบดึงเสิ่นเฉียวไว้พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “เจ้ามองเห็นหรือไม่ หลายคนนั้นเป็นคนของพรรคลิ่วเหอ! ข้ามองเห็นสัญลักษณ์พรรคลิ่วเหอบนเสื้อผ้าและหีบของพวกเขา เหมือนกันกับที่อำเภอฝู่หนิง!”
เสิ่นเฉียวแย้มยิ้มพลางกล่าว “ดวงตาข้าใช่จะดี จะมองเห็นได้อย่างไร”
เฉินกงตื่นเต้นไม่ลดลงแม้แต่น้อย “เจ้าว่าหากข้าหาโอกาสพูดคุยกับพวกเขา พวกเขาอารมณ์ดี จะรับปากให้ข้าเข้าพรรคลิ่วเหอหรือไม่”
เสิ่นเฉียวรู้ว่าเฉินกงตั้งใจไปยังพรรคลิ่วเหอ ต่อให้เดินทางมากเพียงนี้ ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเจตนาเดิม
เขาค่อยๆ กล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าอย่าเอ่ยคำพูดนี้จะดีกว่า”
“เพราะเหตุใด” เฉินกงถาม
เสิ่นเฉียวกล่าว “เมื่อครู่ข้าเห็นว่าเจ้ามีความคิดกระชับสัมพันธ์กับพวกเขา แต่พวกเขามิได้สนใจเจ้า ตอนที่อยู่ในห้องพวกเขาเองก็ไม่เอ่ยสักคำ เห็นได้ว่าหากไม่ระวังให้มาก ก็อย่าพูดคุยกับพวกเขาจะดีกว่า ไม่ว่าจะอย่างใด เกรงว่าความปรารถนาของเจ้าจะสูญเปล่า”
เฉินกงอารมณ์เสียยิ่ง แต่ก็มิอาจไม่ยอมรับว่าคำพูดของเขาถูกต้อง “หึ ข้ารู้ว่าพวกเขาเหล่านี้ล้วนดูถูกคนชั้นต่ำอย่างข้า สักวันหนึ่งข้าเองก็จะเหยียบบนศีรษะคนทั้งหมด ให้พวกเขามาคุกเข่ากราบข้าให้จงได้!”
เสิ่นเฉียวรู้ว่าปมในใจของเขามาจากสิ่งที่ผ่านตั้งแต่เด็กจนโต ไม่สามารถพลิกกลับมาเพียงเพราะคำพูดของตนเองอย่างเด็ดขาด ฉะนั้นจึงมิได้ตักเตือนมากนัก
วัดชูอวิ๋นเรียบง่ายเช่นนี้ อาหารเจก็เรียบง่ายจนถึงที่สุด ข้าวต้มชามหนึ่ง กับข้าวหลายจาน แต่กับข้าวเป็นของดองที่ทำเองในวัด รสชาติก็ไม่เลว
เสิ่นเฉียวกินได้ช้า เฉินกงกลับเร็วยิ่งนัก เขามิอาจกระชับสัมพันธ์กับคนของพรรคลิ่วเหอ อารมณ์ไม่ดี คุ้ยเขี่ยไม่กี่คำเสร็จก็กลับเข้าห้อง
หลังเขาไปได้ไม่นาน สองคนที่อยู่ร่วมกับพวกเสิ่นเฉียวก็เข้ามากินข้าว