บทที่ 2
ฉากขั้นนี้ผ่านไปประมาณสามวัน คือวันที่อวี้เซิงเยียนกำหนดลงมือ
เทศกาลโคมไฟยังมาไม่ถึง แต่ทั้งนอกและในเมืองเย่เฉิงแห่งแคว้นฉีล้วนมีบรรยากาศมงคล เพราะเดือนหนึ่งเพิ่งผ่านไปไม่นานเท่าใดนัก
ตำแหน่งขุนนางของเหยียนจือเวิ่นหาได้สูงไม่ นิกายเหอฮวนจัดให้เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ คงเพียงต้องการเพิ่มหูตาในราชสำนักให้มากขึ้นเป็นแน่ ตัวเขาเองวรยุทธ์ไม่สูง ซ้ำยังไม่มีการป้องกันแม้แต่น้อย อาศัยเพียงฝีมือของอวี้เซิงเยียน เกรงว่าคงไม่ลำบากไปกว่าดื่มน้ำถ้วยหนึ่งสักเท่าไร
เพียงแต่ในเมื่อเยี่ยนอู๋ซือกำชับ อวี้เซิงเยียนก็ต้องพาเสิ่นเฉียวไปด้วย ซ้ำยังให้เขารออยู่นอกประตูบ้านสกุลเหยียน ตนเองกระโดดขึ้นหลังคาบ้าน คลำทางไปยังห้องหนังสือของเหยียนจือเวิ่นอย่างไร้สุ้มเสียง
ตามข่าวคราวที่ได้รับก่อนหน้า เหยียนจือเวิ่นผู้นี้วรยุทธ์ชั้นรอง แต่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์หลายส่วน ฉะนั้นจึงมีตำแหน่งในนิกายเหอฮวน อวี้เซิงเยียนฆ่าเขาเพียงเพื่อเคาะภูผาสะเทือนพยัคฆ์ ก่อนหน้านี้หาได้ใส่ใจคนผู้นี้ไม่ แต่หลังเข้าไปจึงพบว่าผิดปกติ
บริวารในบ้านสกุลเหยียนยังอยู่ ผู้คุ้มกันเรือนเองก็ลาดตระเวนอยู่รอบนอกตลอดเวลา แต่ไม่ว่าห้องหนังสือหรือห้องนอน อวี้เซิงเยียนล้วนไม่พบร่องรอยของเหยียนจือเวิ่น
มิเพียงเหยียนจือเวิ่น แม้กระทั่งภรรยา อนุ และบุตรธิดาของเขาต่างก็เหมือนอันตรธานไป
รูปร่างของอวี้เซิงเยียนคล้ายวิญญาณเสมือนเงาตามรูปแบบของนิกายฮ่วนเยวี่ย เขาเข้าไปในบ้านอย่างเบาหวิว ซ้ำยังสกัดบริวารคนหนึ่งเอาไว้ จี้จุดใบ้ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกราวกับตกอยู่ในความฝันไม่ทันตอบสนอง
“เหยียนจือเวิ่นเล่า”
บริวารผู้นั้นเบิกตาโพลง พบว่าคนหนุ่มที่หล่อเหลางดงามตรงหน้าได้หยุดยั้งเขาเอาไว้อย่างง่ายดาย จึงตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างเลี่ยงมิได้ แต่กลับกล่าวไม่ออก
อวี้เซิงเยียนแย้มยิ้มเล็กน้อยให้เขา “เจ้าบอกข้ามา เหยียนจือเวิ่นและคนสกุลเหยียนไปที่ใดหมด ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า มิฉะนั้นต่อให้เจ้าร้องขอความช่วยเหลือ ข้าก็ฆ่าทั้งจวนให้สิ้นซากได้ เจ้าคงเข้าใจใช่หรือไม่”
บริวารหวาดหวั่นอย่างยิ่งแล้ว พยักหน้าซ้ำๆ
อวี้เซิงเยียนคลายมือเล็กน้อย ซ้ำยังคลายจุดใบ้ของเขา
บริวารรีบกล่าว “นายหญิงกับนายน้อยออกไปเมื่อสองวันก่อน นายท่านบอกว่าจะส่งพวกเขาไปอยู่ที่หมู่บ้านเวินเฉวียนระยะหนึ่ง”
อวี้เซิงเยียนแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “ต่อให้สตรีในครอบครัวไม่อยู่ เหยียนจือเวิ่นเองก็ตามไปไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องว่าราชการ เขาไม่เตรียมตัวกลับมาหรือ”
บริวารกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ตอนที่นายท่านไปมิได้บอกพวกเราชัดเจน พวกเราเองก็ไม่ทราบ ไม่ทราบว่า…”
เขาไม่มีความอดทนฟังต่อไปอีก ใช้ฝ่ามือสับฝ่ายตรงข้ามจนสลบ จากนั้นก็พบผู้ดูแลบ้านของบ้านสกุลเหยียนจึงเค้นถามเบาะแส คำตอบที่ได้รับล้วนเหมือนกันกับก่อนหน้า
อวี้เซิงเยียนหาได้โง่ไม่ ยามนี้เขาตระหนักได้แล้วว่า เรื่องที่ตนเองจะฆ่าเหยียนจือเวิ่นอาจถูกเหยียนจือเวิ่นล่วงรู้แล้ว
แต่เรื่องนี้เป็นเยี่ยนอู๋ซือสั่งการ นอกจากเขาแล้วก็มีเพียงเสิ่นเฉียวที่รู้ แม้กระทั่งผู้ดูแลบ้านของสกุลเซี่ยก็ไม่รู้
ตัวอวี้เซิงเยียนเองย่อมไม่สามารถเปิดเผยเรื่องราวใดได้
หัวใจของเขาบังเกิดจิตสังหารเย็นเยียบ เดิมคิดบีบกระดูกคอของผู้ดูแลบ้านให้แหลก แต่ลองคิดดู ตอนนี้มิอาจฆ่าสกุลเหยียนยกบ้าน การสังหารบริวารคนหนึ่งไม่มีความหมาย ไม่แน่ว่าอาจแหวกหญ้าให้งูตื่น ถูกคนของนิกายเหอฮวนเยาะเย้ย จึงทุบคนให้สลบแล้วหันกายออกจากบ้านสกุลเหยียน พกพาเพลิงโทสะเต็มทรวง พบเสิ่นเฉียวที่รอเขาอยู่ในตรอกเล็กด้านข้าง
“เป็นเจ้าส่งข่าวให้เหยียนจือเวิ่น?”
เสิ่นเฉียวพยักหน้า ไม่มีความลังเลหรือปฏิเสธแม้แต่น้อย “มิผิด”
อวี้เซิงเยียนแค้นที่เขาทำเสียเรื่อง บนหน้าไม่มีรอยยิ้มเหมือนยามปกติอีกแล้ว สีหน้าเยือกเย็นกระจายเต็มไปด้วยจิตสังหาร “เพราะเหตุใด”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ข้ารู้ว่านิกายเหอฮวนกับสำนักเราแตกแยกกันมาตลอด ในเมื่อเหยียนจือเวิ่นเป็นคนในนิกายเหอฮวน ท่านอาจารย์คิดฆ่าเขาก็ไม่ต้องให้ข้ามาก้าวก่าย เพียงแต่เด็กน้อยคือผู้บริสุทธิ์ จะฆ่าเหยียนจือเวิ่น ไยต้องเกี่ยวโยงภรรยาและบุตรของเขา”
อวี้เซิงเยียนกล่าวเสียงเย็นชา “ฆ่าภรรยาและบุตรของเขาหรือไม่ ไม่ต้องให้เจ้ามาบอก ข้าอยากรู้นักว่าตอนนี้เจ้าตาบอด มือไม่มีแรงแม้จะจับไก่ ออกจากบ้านก็ไม่รู้เหนือใต้ออกตกเช่นนี้ ส่งข่าวให้เหยียนจือเวิ่นได้อย่างไรกัน”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ท่านเคยบอกว่า เหยียนจือเวิ่นคือคนเจ้าเล่ห์ ขอเพียงมีจุดหนึ่งไม่ถูกต้อง เขาก็จะเกิดความสงสัย ในใบสั่งยาที่ให้ข้ากินมีตังกุย ข้าจึงมิอาจเก็บซ่อน เดิมคิดหาโอกาสส่งไปยังบ้านสกุลเหยียน ใครจะไปรู้ว่าวันนั้นจะพบเจอหานเอ๋ออิงตรงประตูร้านขายยาพอดี ข้าจึงใช้ของตอบแทนเป็นข้ออ้าง ใส่สิ่งของที่จะให้เหยียนจือเวิ่นไปในกล่อง ฝากนางส่งต่อ นางเพียงเห็นข้ารู้จักกันกับเหยียนจือเวิ่นก็หาได้ถามมากไม่ ดูเหมือนเหยียนจือเวิ่นเองก็คงได้รับยาที่ข้าให้ สังเกตเห็นว่าผิดปกติ จึงโยกย้ายคนในครอบครัวไปก่อน”
อวี้เซิงเยียนเดือดดาลแต่กลับหัวเราะ “ข้าดูถูกเจ้าเกินไปจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีฝีมือเช่นนี้!”
เขายื่นมือบีบลำคอของเสิ่นเฉียวเอาไว้ ค่อยๆ ออกแรงพลางกล่าว “เจ้าทำลายภารกิจที่อาจารย์วางแผน คงรู้ว่าจะมีผลลัพธ์อะไร หืม?”
เสิ่นเฉียวไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย เนื่องจากหายใจไม่สะดวก สีหน้าค่อยๆ ไม่น่ามอง หน้าอกสะท้อนขึ้นลงรุนแรง ได้แต่เค้นคำพูดประโยคหนึ่งออกมาอย่างขาดๆ หายๆ “ความจริง…ข้ามิใช่ศิษย์ของนิกายฮ่วนเยวี่ย ใช่หรือไม่”
อวี้เซิงเยียนตกตะลึง คลายมือออก
เสิ่นเฉียวพิงผนังกระแอมไอขึ้นมาทันที
อวี้เซิงเยียนกล่าว “เจ้ามองออกได้อย่างไร”
เสิ่นเฉียวกล่าวอย่างสงบ “ความรู้สึก แม้ข้าไม่เหลือความทรงจำ แต่กลับยังมีการชี้ขาดขั้นพื้นฐาน ท่านอาจารย์ก็ดี ศิษย์พี่ท่านก็ช่าง ท่าทีที่มีต่อข้า ล้วนไม่เหมือนสิ่งที่ศิษย์ร่วมสำนักหรือศิษย์พี่ศิษย์น้องควรมี บริวารที่ปรนนิบัติข้างกายในหมู่บ้านก่อนหน้าผู้นั้นก็เช่นกัน ระมัดระวังต่อข้า กลัวว่าจะเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผย ข้าไม่มีวรยุทธ์แล้ว ช่วยอะไรไม่ได้เลย รังแต่จะเป็นตัวถ่วง อาจารย์กลับยังให้ข้ามาช่วยเหลือท่าน ข้าได้รับบาดเจ็บหนักเพียงนี้ ต่อให้ตัวข้าเองไม่เอาไหนและทำให้สำนักเสื่อมเสีย แต่พวกท่านกลับปิดเป็นความลับอยู่ตลอด ทั้งหมดนี้ล้วนไม่สมเหตุสมผล”
เห็นฝ่ายตรงข้ามไม่กล่าวคำ เขาจึงกล่าวอีก “ความจริงวิธีนี้ของข้าหาได้นับว่าชาญฉลาดไม่ ปิดบังได้เพียงสาวใช้ในบ้านสกุลเซี่ย หากมิใช่ท่านไม่เห็นเหยียนจือเวิ่นอยู่ในสายตา ส่งคนจับจ้องร่องรอยของเขาล่วงหน้าสักหน่อย เขาคิดหนีก็หนีไม่รอด”
อวี้เซิงเยียนกล่าว “มิผิด เหยียนจือเวิ่นคนเดียวไม่สำคัญเพียงพอ ข้ามิได้เก็บมาใส่ใจ ฉะนั้นจึงให้โอกาสเจ้าได้หยิบฉวย เพียงแต่เจ้าคงรู้ว่าหากอาจารย์รู้เรื่องนี้จะมีผลลัพธ์เช่นไร คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าทั้งหลายที่เจ้าช่วย พวกเขาถึงขั้นไม่รู้ว่าเจ้าทำให้พวกเขาพ้นเคราะห์ ต่อให้รู้ ก็คงไม่ซาบซึ้งเจ้า เจ้าคิดว่าคุ้มค่าหรือ”
เสิ่นเฉียวส่ายหน้า “คุ้มค่าหรือไม่ ในใจแต่ละคนชั่งน้ำหนักเองได้ จะยุติเรื่องราวต้องหาผู้เป็นหัวหน้า หากเกี่ยวโยงถึงผู้บริสุทธิ์ก็หาได้ควรค่าแก่การยกย่องไม่ มีบางคน มีบางเรื่อง ช่วยได้แต่ไม่ช่วย ทำได้แต่ไม่ทำ ทั้งชีวิตล้วนมีแต่มารในใจ ส่วนคนอื่นรู้หรือไม่ ซาบซึ้งหรือไม่ นั่นคือเรื่องของคนอื่น”
อวี้เซิงเยียนไม่เคยเห็นเสิ่นเฉียวในอดีตมาก่อน และไม่รู้ว่าก่อนเขาได้รับบาดเจ็บเป็นคนอย่างไร เสิ่นเฉียวหลังฟื้นขึ้นมาเจ็บออดๆ แอดๆ ทั้งวัน ในสิบวันกลับมีเก้าวันนอนอยู่บนเตียง นอกจากใบหน้านั้นแล้ว ไม่มีจุดที่ควรค่าให้คนอื่นสนใจสักนิด แม้อวี้เซิงเยียนไม่เคยกล่าวสิ่งไม่ดี แต่ส่วนลึกในใจมิใช่ไม่ดูแคลน รู้สึกว่าเจ้าสำนักแห่งสำนักเต๋าที่แสนดีอย่างเขากลับตกต่ำถึงขั้นนี้ ช่างไร้ความสามารถโดยแท้จริง
แต่ขณะนี้เขาพิงผนังยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าผ่อนคลาย ไม่มีความหวาดกลัว ยังคงมองเห็นท่าทางของประมุขนิกายในวันวานได้
อวี้เซิงเยียนแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าเอาตัวเองยังไม่รอด ยังมีเวลาว่างเป็นห่วงความเป็นความตายของคนอื่นอีกหรือ ในเมื่อเจ้าคำนึงถึงความเมตตาเช่นนี้ เหตุใดไม่ลองคิดดูว่าวันนั้นสูญสิ้นวรยุทธ์ถูกคนทิ้งไว้ใต้หน้าผา เป็นพวกเราช่วยเจ้าขึ้นมา ไม่เช่นนั้นเจ้าคงตายไปแล้ว เจ้าตอบแทนอย่างนี้หรือ”
เสิ่นเฉียวถอนหายใจ “บุญคุณช่วยชีวิต ย่อมตอบแทนเป็นเท่าทวี แต่ทั้งสองอย่างหาได้เกี่ยวข้องกันไม่”
อวี้เซิงเยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
เดิมเขาคิดว่านี่คือภารกิจที่ง่ายเหลือเกิน ใครจะไปรู้ว่าเสิ่นเฉียวสูญเสียความทรงจำไปแล้ว แต่กลับไม่ทำตามที่คาด กล้าส่งข่าวให้เหยียนจือเวิ่นใต้จมูกของเขา หากเรื่องราวถ่ายทอดกลับไป เขาเองก็ต้องถูกอาจารย์คิดว่าไร้ความสามารถอย่างเลี่ยงมิได้ แม้กระทั่งเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งก็ทำไม่ได้
คนผู้นี้มีสถานะพิเศษ จะฆ่าก็ฆ่าไม่ได้ ยังต้องพากลับไปให้ท่านอาจารย์จัดการ
เสิ่นเฉียวคล้ายรู้สึกได้ถึงจิตใจของเขา กลับเป็นฝ่ายปลอบใจเขา “ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะรายงานสาเหตุต่อประมุข ไม่โยงถึงท่านแน่นอน”
อวี้เซิงเยียนอารมณ์ไม่ดี “เจ้าเป็นห่วงตัวเจ้าเองก่อนสักหน่อยจะดีกว่า!”
เสิ่นเฉียวแย้มยิ้ม พลันถาม “ศิษย์พี่อวี้ ในเมื่อข้าหาใช่คนในนิกายฮ่วนเยวี่ยไม่ เรียนถาม เสิ่นเฉียวชื่อนี้คือชื่อจริงหรือไม่”
อวี้เซิงเยียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “…เป็นชื่อจริง”
“เช่นนั้นก่อนข้าได้รับบาดเจ็บมีสถานะอันใด คงยังมีญาติอยู่บนโลกหรือเปล่า”
อวี้เซิงเยียนกล่าว “เจ้ารอกลับไปถามอาจารย์เองเถอะ”
ทว่าหลังพวกเขากลับไป ก็หาได้พบเยี่ยนอู๋ซือไม่
หลังพวกเขาออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเย่เฉิงไม่นาน เยี่ยนอู๋ซือก็ออกจากหมู่บ้าน ว่ากันว่ามุ่งหน้าไปแคว้นโจว
“เช่นนั้นก่อนอาจารย์ออกเดินทาง คงทิ้งคำสั่งอะไรไว้หรือไม่” อวี้เซิงเยียนถามผู้ดูแลบ้าน
ผู้ดูแลบ้านกล่าว “นายท่านให้ท่านกลับไปฝึกวรยุทธ์ใต้ยอดเขาปั้นปู้ ส่วนคุณชายเสิ่น นายท่านบอกว่า หากการเดินทางครั้งนี้ทุกอย่างราบรื่น ก็ให้เขาอยู่พักฟื้นในหมู่บ้านต่อ หากคุณชายเสิ่นก่อเรื่องอะไรที่เมืองเย่เฉิง เพิ่มความลำบากให้ท่าน ก็ให้เขาจากไปไม่ต้องนำสิ่งของไปสักนิด”
อวี้เซิงเยียนผิดคาดเล็กน้อย “อาจารย์กำชับเช่นนี้?”
ผู้ดูแลบ้านแค่นยิ้มพลางกล่าว “ผู้น้อยจะกล้าแต่งเรื่องได้อย่างไร”
เดิมอวี้เซิงเยียนยังกังวล ไม่รู้ว่ากลับมาจะอธิบายอย่างไร ใครจะไปรู้ว่าเรื่องราวกลับจบสิ้นด้วยวิธีผ่อนคลายเช่นนี้
เขาขบคิดครู่หนึ่งแล้วเรียกเสิ่นเฉียวมา บอกคำพูดที่เยี่ยนอู๋ซือทิ้งไว้ให้เขาฟัง
สีหน้าของเสิ่นเฉียวกลับสงบเสงี่ยมยิ่งนัก “ไม่ว่าอย่างไร ข้าเพิ่มความลำบากให้ท่านจริงๆ ทำให้ท่านมิอาจสำเร็จเรื่องราวที่ประมุขมอบหมาย ประมุขจัดการเช่นนี้ ก็นับว่าเมตตายิ่งแล้ว”
อวี้เซิงเยียนมีความเข้าใจอาจารย์ของตัวเองหลายส่วน เยี่ยนอู๋ซือจัดการเช่นนี้ไม่นับว่าเมตตาอะไร บางทีอาจยังมีแผนการอื่น
เสิ่นเฉียวมิอาจมองเห็น ตอนนี้ทางโลกยังวุ่นวาย อยู่ภายนอกอะไรก็เกิดขึ้นได้ หากถูกคนลักพาตัวไป วันหน้าหากถูกคนพบเข้า เป็นถึงเจ้าสำนักเขาเสวียนตูกลับกลายเป็น ‘เหยื่อ’ เกรงว่าเขาเสวียนตูจะต้องเสียหน้าแล้ว ไหนเลยจะยังมีหน้ายืนหยัดในยุทธภพได้
แม้อวี้เซิงเยียนมิได้กระทำการตามอำเภอใจเหมือนอาจารย์ของเขา แต่ก็ไม่สามารถขัดขืนคำสั่งของอาจารย์เพื่อเสิ่นเฉียวคนเดียว
“เมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้เจ้าก็ไปเสียเถอะ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากที่นี่คือเมืองเย่เฉิง ไปทางตะวันตกเฉียงใต้คือหนานเฉิน ถ้าหากจะไปเจี้ยนคัง ก็ต้องไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เส้นทางค่อนข้างไกล เย่เฉิงเจ้าเองก็เคยไปแล้ว ที่นั่นแม้รุ่งเรืองแต่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ระหว่างทางยังมีอันธพาลมาก หากคิดใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไปหนานเฉินจะดีกว่า”
เสิ่นเฉียวพยักหน้า ประสานมือกล่าว “ขอบคุณพี่อวี้ที่บอก ข้ามีเรื่องหนึ่งขอร้อง หวังว่าพี่อวี้จะบอกสถานะที่มาของข้า และให้ข้ามีที่ไป”
อวี้เซิงเยียนกล่าวอย่างเฉยชา “เรื่องถึงขั้นนี้ บอกไปก็คงไม่เป็นไร เดิมเจ้าเป็นเจ้าสำนักเขาเสวียนตูแห่งเขาเสวียนตู ตกลงจากหน้าผาเพราะนัดสู้กับคุนเสีย ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งทูเจวี๋ย แล้วก็ถูกอาจารย์ช่วยไว้ เพียงแต่ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่ารีบกลับไปหาญาติมิตรจะดีกว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องมาจนถึงตอนนี้ ข้าไม่เคยได้ยินคนของเขาเสวียนตูเสาะหาเบาะแสของเจ้าเลย”
“เขาเสวียนตู…” เสิ่นเฉียวขมวดคิ้วพึมพำซ้ำรอบหนึ่ง ปรากฏสีหน้างุนงง
อวี้เซิงเยียนแย้มยิ้มพลางกล่าว “นิกายฮ่วนเยวี่ยเราแม้เป็นพรรคมารในสายตาชาวโลก แต่กลับเป็นคนต่ำทรามที่ใจกว้าง จะฆ่าก็ฆ่าไม่เคยอ้อมค้อม ไหนเลยจะเหมือนสำนักฝ่ายธรรมะบางสำนัก สิ่งที่ปากบอกกับการกระทำต่างกันอย่างสิ้นเชิง! เพียงแต่เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ถึงเวลาสิ้นชีวิตไปแล้ว อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
เสิ่นเฉียวนิ่งเงียบ
เช้าตรู่วันถัดมา เขาถูกบริวารปลุกและเชิญออกจากหมู่บ้านด้วยความสุภาพ
บนร่างนอกจากไม้เท้าไผ่เขียวอันหนึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นอีก อย่าว่าแต่เหรียญทองแดง แม้กระทั่งเสบียงกรังสักนิดก็ไม่มี
เห็นได้ชัดว่าอวี้เซิงเยียนไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้แม้ครึ่งส่วน คิดปล่อยให้เสิ่นเฉียวเป็นไปตามยถากรรมภายนอกจริงๆ
ตะวันส่องบนร่างอย่างอบอุ่น พกพากลิ่นอายวสันตฤดู หาได้ชวนให้ทุกข์ใจไม่
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ยกมือบดบังการมองเห็น
ความจริงตอนนี้เขาค่อยๆ รับรู้ถึงแสงแดดด้านนอกได้บ้างแล้ว แม้ว่าจะยังพร่ามัวและมองนานเข้ายังกระตุ้นให้หลั่งน้ำตา แต่สรุปแล้วดีกว่าลืมตาขึ้นก็มืดสนิทมองอะไรไม่เห็น
เสิ่นเฉียวหมุนตัวมองดูหมู่บ้านแวบหนึ่ง แม้นิกายฮ่วนเยวี่ยไม่มีเจตนาดีตั้งแต่ต้นจนจบ แต่มิอาจปฏิเสธว่าพวกเขาให้ที่พักตนเอง ให้หมอให้ยา นี่คือข้อดีที่มิอาจลบเลือน
ภายหน้าถ้าหากได้พบเยี่ยนอู๋ซืออีก เขายังคงต้องกล่าวขอบคุณต่อหน้าสักคำ
เวลานี้การย้ายลงใต้ของชาวจิ้นได้ผ่านมาสองร้อยกว่าปีแล้ว หลังพ้นช่วงห้าชนเผ่านอกด่านเข้าสู่จงหยวน อาณาเขตทางเหนือค่อยๆ มั่นคงขึ้นมา
แคว้นฉีและโจวแบ่งกันยึดครองตะวันออกและตะวันตก เกาเหว่ยฮ่องเต้ฉีเหลวแหลก ละเลยบ้านเมือง ทำให้เป่ยฉีถดถอยลงทุกวัน ส่วนเป่ยโจวกำลังรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ในแคว้นสงบสุขร่ำรวยยิ่งกว่าเดิม ภายใต้การปกครองของอวี่เหวินยง
จากอำเภอฝู่หนิงไปแคว้นโจวต้องใช้เวลาเดินทางระยะหนึ่ง อันธพาลตามทางมีไม่น้อย ถ้าหากออกเดินทางโดยไม่ได้เตรียมตัวอย่างเพียงพอ เช่นนั้นขอความช่วยเหลือไปก็ไม่มีผู้ใดสนใจ
ตั้งแต่หน้าแล้งปีที่แล้วเป็นต้นมา ที่เป่ยฉีเมื่อถึงฤดูหนาวแม้แต่หิมะก็ตกลงมาน้อยยิ่ง และภัยแล้งของปีก่อนก็ลุกลามมาถึงปีนี้ จากเมืองเย่เฉิงไปสู่ชายแดนแคว้นเฉิน ทุกแห่งตามทางเห็นได้ถึงเงาร่างของอันธพาล ว่ากัน
ว่าสถานที่บางแห่งถึงขั้นเริ่มอัตคัดขัดสน เสิ่นเฉียวรู้ตัวว่าสายตาไม่ดี ต่อยตีก็สู้คนอื่นไม่ได้ หากถึงขั้นที่คนกินคน ก็คงถูกจับไปลงหม้อก่อนผู้อื่น
อำเภอฝู่หนิงอยู่ค่อนข้างใกล้กับเมืองเย่เฉิง เพราะตั้งอยู่ทางเหนือ แม้ปีที่แล้วฝนน้อยแต่กลับไม่เกิดภัยพิบัติใหญ่ ยังค่อนข้างมั่นคง เมืองใหญ่กำลังอยู่ในช่วงจัดงาน ผู้คนขวักไขว่คึกคักอย่างยิ่ง
แคว้นฉีและโจวตั้งอยู่ทางเหนือ กาลก่อนประเพณีของเซียนเปยเป็นที่นิยม นานวันเข้าค่อยๆ กลายเป็นชาวฮั่นแล้ว แม้กระทั่งเสื้อผ้าเครื่องประดับก็ผสมผสานรูปแบบของเผ่าเซียนเปยในวัฒนธรรมของชาวฮั่น ชนชั้นสูงแสวงหาความสวยหรู อาภรณ์อ่อนช้อย อัญมณีสุกใส การแสวงหาประเภทนี้ส่งผลกระทบถึงชาวบ้าน ขอเพียงเป็นครอบครัวคนมีฐานะ ส่วนใหญ่จะสวมใส่กระโปรงยาวลากพื้น และมีหมวกกับกระโปรงของเผ่าเดียวกัน ในอำเภอฝู่หนิงนี้ เมื่อถึงช่วงเวลางานเทศกาลก็จะปรากฏสภาพของ ‘เมืองหลวงเล็ก’ ออกมา
วัดเจียงกงที่จัดงานคือวัดที่ปรับปรุงใหม่ในภายหลัง ที่กราบไหว้กันคือเจียงไท่กง วัดเจียงกงในอดีตอยู่ทางใต้ของเมือง ว่ากันว่าเริ่มสร้างสมัยฮั่น ต่อมาประสบภัยทางทหารจึงถูกทิ้งร้าง เหลือเพียงเปลือกนอกที่ผุพังเกินทน แม้กระทั่งรูปปั้นของเจียงไท่กงที่อยู่ภายในก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ใด วัดร้างที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง จึงกลายเป็นที่อยู่ของกระยาจกคนจน
ในกลุ่มคนที่มาอาศัยอยู่ที่นี่มีเพิ่มมาคนหนึ่งชื่อว่าเฉินกง
กลางวันเขาเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่ร้านข้าวสารในเมือง แบกข้าวขึ้นรถขนย้าย งานที่ทำล้วนเป็นงานหนักเหล่านี้ เนื่องเพราะรายได้น้อย ไม่อยากจ่ายไปกับการเช่าบ้าน ฟ้ามืดก็กลับไปในวัดร้างแห่งนี้ ไม่สุขสบายแต่ก็รู้สึกอิสระ เนื่องจากวัดร้างยังมีกระยาจกอีกสองคน ที่อยู่ชั่วคราว ต้องพกเงินติดตัว แม้กระทั่งของกินก็ต้องดูให้ดี เพื่อมิให้ถูกคนเอาไปขณะไม่ได้สนใจ
ขณะกลับมาตอนพลบค่ำวันนี้ เขามองแวบหนึ่งก็พบว่าในวัดร้างมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
คนที่ชุดคลุมสีเทานั่งอยู่ตรงนั้น
เฉินกงขมวดคิ้วตามสัญชาตญาณก่อน เดิมทีวัดร้างไม่ใหญ่นัก มีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ก็เหมือนเขตอิทธิพลที่เดิมควรเป็นของตนถูกยึดไปส่วนหนึ่ง
จากนั้นเขาสังเกตเห็นว่า ในมือฝ่ายตรงข้ามถือห่อกระดาษ ก้มหน้าค่อยๆ กินทีละคำ กลิ่นหอมแผ่ออกมาจากในห่อกระดาษ
เพียงครู่เดียวเขาก็ดมออกว่าเป็นกลิ่นหอมของแป้งย่างไส้เนื้อลา ขณะบิดามีชีวิตอยู่เฉินกงเคยกินหลายครั้ง หลังบิดาเสียชีวิต แม่เลี้ยงร่วมมือกับบุตรธิดาบังเกิดเกล้าของนางไล่เขาออกจากบ้าน ทุกวันเงินเหล่านั้นที่เขาแบกกระสอบข้าวได้มา หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือไม่เท่าไหร่ ไหนเลยจะยังลิ้มลองสิ่งนี้ได้
กลิ่นหอมสะกิดความทรงจำในอดีตของเขา เฉินกงกลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างเลี่ยงมิได้
แวบที่สอง เฉินกงมองเห็นว่าด้านข้างคนผู้นั้นยังมีห่อกระดาษนูนๆ
ก็หมายความว่า ยังมีแป้งย่างไส้เนื้อลาอีกชุดหนึ่ง
มิเพียงเฉินกง กระยาจกอีกสองคนนั้นก็สังเกตเห็นแล้ว คนหนึ่งในนั้นกล่าวเสียงดัง “นี่ เจ้าอยู่ที่นี่ถามพวกเราแล้วหรือยัง ที่นี่เป็นวัดเล็ก ให้คนอยู่มากไม่ได้ ยังไม่รีบออกไปอีก!”
เฉินกงรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจหาเรื่องจึงมิได้ส่งเสียง เดินไปนั่งลงตรงตำแหน่งที่ตนอยู่ในยามปกติ สุมกองหญ้า หูยังเงี่ยฟังอยู่ หางตามิได้ห่างจากแป้งย่างไส้เนื้อลา
คนชุดคลุมเทากล่าวเสียงอ่อนโยน “ข้าเองก็ไม่มีที่ไป เห็นที่นี่ยังมีพื้นที่จึงอยากเข้ามาพักสักหน่อย พี่ชายท่านนี้หากอำนวยความสะดวกได้ ข้าย่อมซาบซึ้งไม่คลาย”
กระยาจกกล่าว “อยากอยู่ต่อพักผ่อนก็ได้ แต่ต้องมอบสิ่งของทั้งหมดในตัวเจ้าออกมา!”
เฉินกงแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาด้วยความเหยียดหยามอยู่บ้างหนึ่งเสียง ก่อนเอ่ย “ข้าไม่ต้องการทรัพย์สินของเจ้า ขอเพียงเจ้าให้สิ่งของเป็นค่าตอบแทน ข้ายินยอมช่วยเจ้าขัดขวางสองคนนั้น!”
กระยาจกกล่าวด้วยโทสะ “เฉินต้าหลาง พวกเราใช่เรียกเจ้า เหตุใดเจ้าขัดขวางพวกเรา!”
เฉินกงอายุไม่มาก เพิ่งจะสิบหกปี รูปร่างลักษณะก็ไม่สูงใหญ่ เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีความยืดหยุ่นดี ความอดทนเยี่ยม เปี่ยมด้วยความบ้าบิ่น หาไม่คงมิอาจแซงหน้าผู้มาก่อน ยึดครอง ‘เขตอิทธิพล’ ผืนใหญ่ที่สุดในวัดร้างแห่งนี้
“ทำไม เจ้าเอ่ยปากได้ แต่ข้าห้ามเอ่ยปากหรือ” เฉินกงกล่าวอย่างเกียจคร้าน
แม้กล่าวว่าเป็นกระยาจก แต่อยู่ในเมืองล้วนคบค้าสมาคมกัน ส่งข่าวซึ่งกันและกัน อาศัยที่ฝั่งตนเองมีสองคน พวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัวเฉินกง
คนผู้นั้นมิได้สนใจเฉินกงอีก เขาลุกขึ้นหมายหยิบแป้งย่างไส้เนื้อลาชุดที่อยู่ด้านข้างคนชุดเทาไปพลางกล่าว “ไม่ต้องพูดพล่ามแล้ว มอบสิ่งของในตัวออกมาให้หมด อยากเข้าประตูวัดนี้ ก็ต้องให้ท่านปู่ไล่ของเจ้าตัดสินใจ!”
มือยังมิได้แตะถูกของกิน ข้อมือก็ถูกจับเอาไว้แล้ว กระยาจกเดือดดาล “เฉินต้าหลาง เจ้าคิดยุ่งเรื่องชาวบ้านอีกแล้ว ข้าจะกินก็ขัดขวางเจ้าหรือ”
เฉินกงใช้มือหยิบแป้งย่างไส้เนื้อลาชุดนั้นขึ้น “ข้าเองก็อยากกิน เหตุใดเจ้าไม่ลองถามข้า!”
กล่าวจบก็ฉีกห่อกระดาษออกก่อนกัดหนึ่งคำ กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “สิ่งที่ข้ากินแล้ว เจ้ายังต้องการหรือไม่”
กระยาจกกระโจนเข้ามาหมายสู้กับเฉินกง เฉินกงรีบยัดห่อกระดาษไว้ในอกเสื้อ คนทั้งสองต่อสู้กันเป็นพัลวัน กระยาจกที่อยู่ด้านข้างผู้นั้นเข้าร่วมด้วย การต่อสู้เปลี่ยนจากสองคนเป็นสามคน เรี่ยวแรงเฉินกงสู้อีกสองคนไม่ได้ รูปร่างก็สูงไม่เท่าอีกสองคน แต่เคล็ดลับในการเอาชนะของเขากลับอยู่ที่การต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต โหดเหี้ยมเพียงพอ
หลังถีบเข้าที่ท้องของกระยาจกหนึ่งในนั้นแรงๆ หนึ่งที เฉินกงก็ปรบมือ เท้าเอวถุยหนึ่งคำ “ข้าทนพวกเจ้ามานานพอแล้ว อาศัยว่าตัวเองมาก่อน ขัดขวางข้าไปหมดทุกอย่าง แต่ก่อนยังลอบถ่มน้ำลายในอาหารของข้า อย่าคิดว่าข้าไม่เห็น! ยังสู้อีกหรือไม่ มาสิ! อย่างไรข้าก็ไม่มีอะไรจะเสีย อย่างมากก็ชดใช้ด้วยชีวิต หากมีฝีมือพวกเจ้าก็รีบแสดงออกมา!”
ฝ่ายตรงข้ามหวาดกลัวความบ้าบิ่นของเขา ได้ฟังก็มองดูพวกพ้องที่ยังลุกไม่ขึ้นบนพื้นแวบหนึ่ง หวาดผวาในทันใด จับเอวของตนเองด้วยความเจ็บ หันกายหนีไป
พวกพ้องผู้นั้นเห็นเขาหนีไปแล้วย่อมมิกล้าสู้ต่ออีก กุมท้องลุกขึ้นมาพลางร้องโอ๊ยๆ ทิ้งคำขู่ไว้ว่า “เด็กน้อยรอข้าก่อนเถอะ” แล้วจึงวิ่งออกไปอย่างกะโผลกกะเผลก
เฉินกงหยิบแป้งย่างไส้เนื้อลาที่ยังกินไม่หมดนั้นออกมาจากในอกเสื้อแล้วกัดอีกคำ กล่าวอย่างพึงพอใจ “ไม่เลวนี่ เจ้าซื้อมาจากร้านหลี่ทางใต้ของเมืองใช่หรือไม่ เนื้อนุ่มหนึบเพียงพอ ซ้ำยังร้อนผ่าว ลวกจนหน้าอกข้าใกล้จะสุกแล้ว!”
เพื่อเนื้อลาคำนี้ เขารู้สึกว่าการต่อสู้เมื่อครู่คุ้มค่า ถึงอย่างไรเขาก็ขัดตาสองคนนั้นนานแล้ว วันนี้ได้โอกาส ต่อไปก็ยึดครองที่นี่เพียงลำพังได้ นั่นจึงจะดี
เห็นคนเสื้อเทามิได้ส่งเสียงใด เขาก็กล่าวอีก “นี่ ข้าถามเจ้าอยู่ เป็นใบ้หรือ”
ฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้น “เจ้าไล่พวกเขาไปแล้ว ไม่กลัวพวกเขากลับมาล้างแค้นหรือ”
เฉินกงจึงพบว่า ดวงตาของฝ่ายตรงข้ามคล้ายมีปัญหาอยู่บ้าง แววตามืดมัว แม้กำลังมองดูเขาก็เหมือนมิได้กำลังมองมา
สายตาเคลื่อนไปหลังไม้เท้าไม้ไผ่ด้านข้างคนผู้นั้น เขากระจ่างโดยพลัน “ที่แท้มิได้เป็นใบ้ แต่เป็นคนตาบอด”
เขาส่งเสียงชิ ก่อนกล่าวอย่างเหยียดหยาม “กลัว? ข้าไม่เคยกลัว! พวกเขาโง่เช่นนี้จะทำอะไรได้”
เฉินกงสังเกตคนชุดเทาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ วัสดุมิได้หายากอะไร แต่งกายก็มิได้แปลกประหลาด สิ่งที่ดูได้เพียงหนึ่งเดียวคือใบหน้านั้น
กล่าวตามตรง ไม่เหมือนไม่มีบ้านให้กลับเช่นเขา แต่กลับเหมือนเป็นปัญญาชนที่ท่องเที่ยวอยู่ภายนอก
“เจ้าชื่อแซ่อะไร ดูลักษณะของเจ้าไม่เหมือนตกยาก เหตุใดมาที่นี่ ที่แห่งนี้แม้แต่หนูก็ไม่ยินยอมขุดรู!”
คนชุดเทาพยักหน้าไปยังทิศทางของเขา ยิ้มพลางกล่าว “ข้าชื่อเสิ่นเฉียว แต่เพราะเจ็บป่วย เงินในตัวก็ไม่มี จำต้องเสาะหามาจนถึงที่นี่ อาศัยอยู่ชั่วคราวไม่กี่วัน รอรวบรวมค่าเดินทางได้บ้างค่อยกลับบ้าน เมื่อครู่ขอบคุณที่เจ้าช่วยข้าไล่สองคนนั้นไป มิทราบข้าควรเรียกขานเจ้าเช่นไรจึงจะดี”
คำพูดของอวี้เซิงเยียนจริงครึ่งเท็จครึ่ง มิอาจเชื่อได้ทั้งหมด แต่หากไม่ไปเขาเสวียนตู เสิ่นเฉียวก็ไม่มีที่ให้ไป เขาครุ่นคิด สุดท้ายยังคงตัดสินใจลองไปดูที่เขาเสวียนตูก่อน
เขาเสวียนตูตั้งอยู่บริเวณชายแดนระหว่างเป่ยโจวกับหนานเฉิน เส้นทางไปเขาเสวียนตูมีสองสาย หนึ่งคือตรงไปทางใต้จากที่นี่ กระทั่งเข้าสู่แคว้นเฉินค่อยไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เท่ากับอ้อมหนึ่งวงใหญ่ เส้นทางอีกสายคือลงใต้จากที่นี่ เทียบกันแล้วใกล้กว่าและสะดวกกว่าอยู่บ้าง
เสิ่นเฉียวเลือกเส้นทางสายหลัง
ใต้หล้าแม้วุ่นวาย อำเภอฝู่หนิงยังนับว่าสงบสุขสมบูรณ์เพราะมิได้ประสบภัย เป็นพื้นที่บริสุทธิ์อันหาได้ยากในกลียุค เหมือนที่เสิ่นเฉียวกล่าวเมื่อครู่ เขาไม่มีเงินแม้แต่อีแปะ เดียว ได้แต่จัดการตัวเองอยู่ที่นี่ก่อน
สายตาของเขาฟื้นฟูได้ช้ายิ่ง แต่มิใช่ไม่ก้าวหน้าเลย ตอนกลางวันขณะแสงแดดเพียงพอ ก็มองเห็นเค้าโครงคร่าวๆ ได้อย่างเลือนราง เทียบกับสภาพที่ยื่นมือมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าขณะเพิ่งฟื้นขึ้นมาก่อนหน้า นับว่าดีอย่างยิ่งแล้ว
เฉินกงนั่งลงพลางกล่าว “ตามสบายเถอะ ข้าแซ่เฉินชื่อกง เจ้าเรียกข้าเฉินต้าหลางก็ได้ เมื่อครู่กินแป้งย่างไส้เนื้อลาของเจ้าหนึ่งชิ้น ก็เท่ากับเป็นค่าใช้จ่ายในการพักอยู่ที่นี่วันนี้ของเจ้า ข้ายังช่วยเจ้าขับไล่สองคนนั้น รวมกับส่วนของวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เจ้าต้องตอบแทนข้าด้วยแป้งย่างไส้เนื้อลาสามชิ้นจึงจะพอ!”
เสิ่นเฉียวแย้มยิ้ม “ตกลง”
เห็นเขารับปากอย่างง่ายดาย เฉินกงกลับสงสัย “เจ้าบอกว่าในตัวเจ้าไม่มีเงินมิใช่หรือ เช่นนั้นจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อแป้งย่างไส้เนื้อลาได้อีก”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ไม่มีเงินก็ออกไปหาได้!”
เฉินกงหัวเราะเยาะ “เจ้าน่ะหรือ ข้าได้ยินว่าปัญญาชนสามารถเป็นนักบัญชีเขียนจดหมายได้ แต่เจ้าแม้แต่ดวงตาก็มองไม่เห็น จะเขียนได้อย่างไร มิสู้ไปแบกกระสอบข้าวสารเหมือนข้า? ข้าจะบอกเจ้าให้ แป้งย่างไส้เนื้อลาสามชิ้น ห้ามขาดแม้แต่ชิ้นเดียว อย่าคิดว่าจะเบี้ยวหนี้ได้ เจ้าออกไปลองสอบถามดู ข้าเฉินต้าหลางหากต่อยตีขึ้นมาแม้แต่ภูตผีก็กลัว มองเห็นพวกไม่เอาไหนสองคนนั้นเมื่อครู่หรือไม่ หากพรุ่งนี้เจ้าเอาแป้งย่างทั้งสามชิ้นมาไม่ได้ ก็ไปตากลมข้างนอกแล้วกัน”
เสิ่นเฉียวอารมณ์ดียิ่งนัก ได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ก็มิได้บันดาลโทสะ ยังแย้มยิ้มรับปาก
วัดร้างแม้ผุพังอย่างมาก ลมพัดเข้ามาจากรูรั่วรอบด้าน แม้กระทั่งหน้าต่างที่สมบูรณ์สักบานก็ไม่มี แต่ดีที่มีเสามาก ตั้งแท่นบูชาทั้งหลายขึ้นมาก็สามารถบังลมได้ ยังมีกองหญ้าและฟืนที่เฉินกงย้ายมาสุมไว้เองจำนวนหนึ่ง กองหญ้าบังลมเป็นผ้าห่มได้ ฟืนเผาเพื่อความอบอุ่นได้ เพียงแต่เหล่านี้เขาเก็บไว้ใช้เอง ตอนนี้เห็นแก่ที่เสิ่นเฉียวยอม ‘ถวายสิ่งของ’ เฉินกงจะฝืนแบ่งกองหญ้าและฟืนให้เขาเล็กน้อย
เห็นเสิ่นเฉียวเตรียมตัวอย่างดี ในห่อของติดตัวยังพกเสื้อผ้าเก่าหนาๆ ตัวหนึ่งเป็นผ้าห่ม เฉินกงแค่นเสียงหนึ่งเสียงอย่างเลี่ยงมิได้
กระยาจกสองคนนั้นมิได้กลับมาเลย คาดว่าคงพบที่อยู่ใหม่แล้ว เฉินกงหยิบเสื้อผ้าที่พวกเขาใช้ต่างผ้าห่มเมื่อก่อนมาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย แต่ได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวจึงจำต้องเบะปากทิ้งไป ย้ายร่างกายขยับเข้าใกล้กองไฟเล็กน้อย
เดิมเขาคิดชิงเสื้อผ้าของเสิ่นเฉียวมา แต่ลองคิดดู รอพรุ่งนี้ฝ่ายตรงข้ามเอา ‘เครื่องเซ่น’ มาไม่ได้ ตนเองค่อยสร้างความลำบากก็ไม่สาย
เขากอดความคิดนี้หลับไปโดยไม่รู้ตัว
เช้าตรู่วันถัดมา เฉินกงตื่นแล้ว เขาเตรียมไปทำงานร้านข้าวเหมือนเช่นปกติ
มองดูรอบด้าน ไม่เห็นร่องรอยเสิ่นเฉียวแล้ว เหลือเพียงกองหญ้าที่ถูกทับจนเป็นรอย กับกองฟืนไฟที่มอดเป็นสีดำเทากองหนึ่ง
เฉินกงมิได้สนใจ ไปทำงานร้านข้าวเหมือนปกติ เขาไม่เชื่อว่าวันนี้เสิ่นเฉียวจะนำแป้งย่างทั้งสามชิ้นกลับมาได้เช่นที่พูด เพราะหากเขามีเงินเหลือจริงก็คงไม่จำเป็นต้องอยู่ในวัดร้างที่แม้แต่ภูตผีก็ไม่อยู่แห่งนั้น คนผู้นั้นไม่มีเรี่ยวแรงซ้ำยังเป็นคนตาบอด จะอาศัยอะไรหาเงินได้อีก
อย่าได้กลับมามือเปล่า ข้าต้องตีจนเจ้าจำไม่ได้กระทั่งมารดาตัวเองอย่างแน่นอน!
พลบค่ำ เฉินกงเดินไปยังทิศทางของวัดร้าง สีหน้าลอบครุ่นคิด
ยังมิได้ก้าวเข้าประตู เขาก็ได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคย
เสียงฝีเท้าของตนเองคล้ายดึงดูดความสนใจของเสิ่นเฉียว อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นแย้มยิ้มส่งให้ “เจ้ากลับมาแล้ว”
“เนื้อลา…” เฉินกงสีหน้ามืดครึ้ม เพิ่งกล่าวสองคำก็หยุดเอาไว้
ด้วยมองเห็นห่อกระดาษที่ใส่แป้งย่างไส้เนื้อลาทั้งสามชิ้น กองกันอยู่บนกองหญ้าบริเวณที่ตนเองนอนหลับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เฉินกงตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบสนองขึ้นมา “นี่เป็นสิ่งที่เจ้านำกลับมา?”
เสิ่นเฉียวพยักหน้า “เจ้าให้ข้านำแป้งย่างไส้เนื้อลาสามชิ้นกลับมามิใช่หรือ”
เฉินกงสังเกตเห็นว่า เสื้อผ้าบนร่างของฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าใหม่สีเขียวชุดหนึ่ง ชุดคลุมเทาชุดนั้นแต่เดิมถูกเขาถอดออกมาเป็นที่นอนปูอยู่ใต้ร่าง คนยังคงสะอาดสะอ้าน ไม่แน่ว่าอาจไปอาบน้ำทำความสะอาดที่ใดมาแล้ว
“เจ้าหาเงินมาจากที่ใด” เฉินกงสงสัย
เสิ่นเฉียวยิ้มพลางกล่าว “ย่อมเป็นวิถีทางที่ถูกต้อง เจ้าดูสภาพข้าเป็นเช่นนี้ หรือว่ายังไปขโมยไปปล้นชิงได้อีก”
เฉินกงส่งเสียงหึ “ใครจะไปรู้เล่า!”
แม้กล่าวเช่นนี้ แต่เขายังคงหยิบแป้งย่างชิ้นหนึ่งขึ้นมา ผิวสัมผัสความอุ่นร้อนนุ่มนวล เห็นได้ชัดว่าเพิ่งออกจากเตา เมื่อเปิดห่อกระดาษออกก็กัดลงไปคำหนึ่ง แป้งที่ถูกย่างจนเหลืองทอง น้ำจากเนื้อด้านในไหลออกมาตามแป้งที่ถูกกัด หอมกรุ่นอบอวล
เฉินกงตะกละตะกลาม อึดใจเดียวก็กินไปสองชิ้นแล้ว เหลือชิ้นเดียวไม่อยากกินแล้ว จึงคิดว่าจะเหลือไว้เป็นอาหารเช้าวันพรุ่งนี้ กินเสร็จแล้วก็ไปทำงานพอดี
เขาหันหน้าไปมองดูเสิ่นเฉียว เสิ่นเฉียวยังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ในมือกอดไม้เท้าไม้ไผ่อันนั้น ดวงตาปิดเล็กน้อย ไม่รู้กำลังหลับตาทำสมาธิ หรือว่ากำลังคิดเรื่องใด
“นี่ เจ้าเป็นคนที่ใด”
เสิ่นเฉียวส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ระหว่างทางหกล้ม ศีรษะแตก ลืมเรื่องราวมากมายไปหมดแล้ว”
“ไม่บอกก็ไม่บอก จะแต่งเรื่องทำไม เจ้าเห็นข้าน่าหลอกนักหรือ!” เฉินกงไม่เห็นพ้อง หมดความสนใจพูดคุยทันที เอนกายนอนลง
สุดท้ายไม่รู้เพราะกินอิ่มเกินไปหรือไม่ จึงนอนไม่หลับพลิกตัวไปมา เฉินกงอดมิได้ที่จะเปิดหัวข้อสนทนาอีก “นี่ เมื่อกลางวันเจ้าไปทำอะไรกันแน่ เหตุใดหาเงินได้”
ทางโน้นถ่ายทอดสุ้มเสียงแผ่วเบามา “จับกระดูกดูดวง”
เฉินกงผุดลุกขึ้นหันหน้าไปหาเขา “เจ้าจับกระดูกดูดวงเป็นหรือ”
เสิ่นเฉียวยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ยิ้มพลางกล่าว “ความจริงก็ไม่นับว่าเป็น คนผู้หนึ่งจะจนหรือรวย มักมองออกได้จากร่องรอยบนฝ่ามือ ก็นับเป็นความสามารถน้อยนิดที่พอหาข้าวกินได้”
เฉินกงมีความสนใจแล้ว “เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูให้ข้าสักหน่อย ภายหน้าข้าจะมีดวงร่ำรวยหรือไม่”
เสิ่นเฉียวกล่าว “เอามือของเจ้ามาลองดู”
เฉินกงยื่นมือไป เสิ่นเฉียวถูไถบนสองมือของเขาครู่หนึ่ง “ยามปกติเจ้าคุ้นเคยกับการแบกสิ่งของ คงทำงานชั่วคราวที่ร้านข้าวหรือท่าเรือกระมัง”
“อะไรอีก” เฉินกงหาได้โง่ไม่ รู้ว่าบนมือตัวเองมีหนังด้านหนาๆ ฝ่ายตรงข้ามต้องชี้ขาดได้จากหนังด้านอย่างแน่นอน
“เจ้านิสัยดื้อรั้น แกร่งกร้าวไม่ยอมแพ้โดยกำเนิด ซ้ำยังขี้สงสัยอยู่บ้าง ตอนเด็กๆ ต้องขัดแย้งกับคนในบ้านอย่างแน่นอน อีกทั้งในบ้านคงมีพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง”
เฉินกงเบิกตาโพลงอย่างเลี่ยงมิได้ “อะไรอีก”
เสิ่นเฉียวยิ้มพลางกล่าว “บัดนี้เกิดกลียุค มีสิ่งที่ทำได้พอดี ด้วยนิสัยของเจ้า หากไปเข้าร่วมกองทัพ ภายหน้าต้องมีผลงานเป็นแน่”
เฉินกงกล่าว “เจ้ามองสิ่งเหล่านี้ออกได้อย่างไร”
เสิ่นเฉียวกล่าว “สำเนียงของเจ้าเป็นสำเนียงท้องถิ่น ฉะนั้นไม่สามารถหนีภัยมาจากต่างถิ่นได้ คนท้องถิ่นปกติล้วนมีบ้าน นอกเสียจากในบ้านเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างจึงไม่อาจอาศัยอยู่ได้ ประกอบกับนิสัยของเจ้าแล้ว ยิ่งเหมือนเป็นอย่างที่ข้าบอก แต่ต่อให้ขัดแย้งกับคนในบ้านอย่างไร หากมีบิดามารดาอยู่ ก็ไม่ถึงขั้นนั่งมองเจ้าตากลมตากฝนข้างนอก ฉะนั้นคงเป็นบิดาแต่งกับแม่เลี้ยงที่ดุร้าย หรือว่าบิดามารดาด่วนจากไป”
การพูดจ้อเป็นข้อๆ นี้ สุดท้ายเฉินกงเลื่อมใสเล็กน้อยแล้ว
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้ารู้ว่าข้าไปเป็นทหารจะมีความก้าวหน้า”
เสิ่นเฉียวกล่าว “เจ้าไม่อยากรับอารมณ์ของแม่เลี้ยงหรือพ่อเลี้ยง ฉะนั้นจึงออกจากบ้านด้วยความเดือดดาล ยินยอมอยู่ที่นี่ เมื่อคืนก็ต่อยตีกับกระยาจกเพื่อแป้งย่างไส้เนื้อลา เห็นได้ว่าเป็นคนที่โหดร้ายกับผู้อื่น และโหดร้ายกับตนเอง คงเหมาะกับสภาพแวดล้อมในกองทัพ”
เฉินกงแค่นเสียงหนึ่งเสียง “สุดท้ายแล้ว เจ้าดูถูกคนอย่างข้ากระมัง แม้แต่ข้าวสักมื้อก็ไม่มีกิน ต้องแย่งของของเจ้า อ้อมค้อมตั้งนาน เพียงเพื่อเยาะเย้ยข้าเท่านั้น!”
เสิ่นเฉียวยิ้มพลางกล่าว “ตัวข้าเองก็ตกยากมาถึงที่นี่ ไหนเลยจะมีหน้าเยาะเย้ยคนอื่นอีก เมื่อครู่เจ้าถามข้าว่าจับกระดูกดูดวงได้อย่างไรมิใช่หรือ ข้าเพียงแค่ใช้เจ้าเป็นตัวอย่างในการอธิบายเท่านั้น แม่นมากใช่หรือไม่ แม้กล่าวว่าทำเงินได้ไม่มาก แต่หาเงินค่าข้าวสักมื้อก็พอได้”
เฉินกงกล่าว “ในเมื่อเจ้ากล่าวได้น่าฟังเช่นนั้นราวกับรู้ทุกอย่าง เหตุใดยังตกยากเช่นนี้ หรือว่าระหว่างทางถูกโจรปล้น”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ช่างเถอะ ตัวข้าเองก็จำไม่ได้แล้ว หัวสมองประเดี๋ยวแจ่มใส ประเดี๋ยวมัวหมอง เรื่องราวมากมายล้วนเลือนราง เคราะห์ดีเจ้ายอมให้ข้าอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นสองวันนี้ข้าไม่รู้จะไปค้างคืนที่ใด ข้าต้องขอบคุณเจ้าจึงจะถูก!”
คำพูดสรรเสริญเยินยอนี้พอกล่าวออกมา เฉินกงก็รู้สึกดียิ่งขึ้น แม้กระทั่งเก็บแป้งย่างไส้เนื้อลาทั้งสามชิ้นนั้น เขาก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล เหมือนตนเองปกป้องเสิ่นเฉียวจริง
“เช่นนั้น พรุ่งนี้ยังคงเป็นแป้งย่างสามชิ้น อย่าคิดว่ากล่าวคำพูดมากเช่นนี้กับข้าแล้วจะหลอกข้าได้!”
“ตกลง”
เฉินกงกลับถึงวัดร้างพลบค่ำวันถัดมา ยังคงมีแป้งย่างไส้เนื้อลาสามชิ้นวางอยู่บนตำแหน่งของเขา ในมือเสิ่นเฉียวเองก็กำลังถือชิ้นหนึ่งกินอยู่อย่างเชื่องช้า ไม่เหมือนกำลังกินแป้งย่างไส้เนื้อลา แต่เหมือนกำลังกินอาหารชั้นเลิศอะไรอยู่มากกว่า
ดัดจริต! เฉินกงแค่นเสียงในใจ หันหน้ามาเปิดห่อกระดาษออก กัดลงไปแรงๆ หนึ่งคำ
ค่ำวันถัดมาก็ยังคงมีแป้งย่างสามชิ้นวางอยู่ เขาเองก็มิได้เกรงใจ หยิบมากินตามใจชอบ แม้กล่าวว่าเสิ่นเฉียวถามอะไรก็ตอบได้ นิสัยดียิ่งนัก แต่เฉินกงมักรู้สึกว่าเข้ากันกับเขาไม่ได้ คุยไม่ถูกคอ คำพูดของฝ่ายตรงข้าม ตนเองฟังไม่เข้าใจนัก ส่วนความดุร้ายป่าเถื่อนของเขาเองก็ไม่เกิดประโยชน์ ต่อยลงดอกฝ้ายหนึ่งหมัด ผู้ที่แสดงความน่าเกรงขามคือตนเอง ท้ายที่สุดผู้ที่เป็นทุกข์ก็คือตนเองเช่นกัน
เขารู้สึกว่าเสิ่นเฉียวผู้นี้ไม่ธรรมดา ไม่เพียงเพราะอีกฝ่ายรักษาเสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยเอาไว้ตลอด แต่ภายนอกสุภาพอ่อนโยนเหมือนปัญญาชน ยังมีความรู้สึกที่บอกได้ไม่ชัดเจนชนิดหนึ่ง คนทั้งสองต่างอยู่ในวัดร้างแห่งนี้ แต่ตนเองเหมือนต่ำกว่าเขาอยู่หนึ่งชั้น
เฉินกงไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้ ดังนั้นเขาเองก็ไม่ชอบเสิ่นเฉียว
ที่นี่ลมรั่วรอบด้าน ตอนดึกหนาวแทบตาย นอกจากคนทั้งสองแล้ว คาดว่ายังมีหนูอีกจำนวนมาก รองเท้าของเขาขาดแล้ว ปลายนิ้วเท้าเหมือนถูกกัด เฉินกงร้องโอ๊ยหนึ่งเสียง แต่ไม่อยากลุกขึ้นมาบันดาลโทสะกับหนู ถือโอกาสขดตัวจนแน่นกว่าเดิม
นอกจากเสียงลม ด้านนอกคล้ายมีเสียงฝีเท้าถ่ายทอดมา
แต่วันที่ลมแรงประหลาดนี้ ใครจะมาสถานที่ซอมซ่อเช่นนี้อีก
เฉินกงกำลังจะนอนด้วยความมึนงง พลันได้ยินเสิ่นเฉียวกล่าว “ด้านนอกมีคนมา”
เขาลืมตาขึ้น มองเห็นเงาคนหลายสายเข้ามาอย่างลับๆ ล่อๆ ในมือยังถือไม้พลองเอาไว้ สองคนที่เดินนำเหมือนเป็นหัวหน้า ดูคุ้นตาเหลือเกิน เมื่อเพ่งมองก็เห็นกระยาจกสองคนที่ถูกเขาขับไล่ไปวันนั้นอย่างชัดเจน
เฉินกงสั่นเทา ได้สติขึ้นมากในทันที เขารีบลุกขึ้นมา “พวกเจ้าคิดทำอะไร!”
คนหนึ่งในนั้นยิ้มพลางกล่าว “เฉินต้าหลางหนอเฉินต้าหลาง วันนั้นเจ้าน่าเกรงขามมากมิใช่หรือ ยังไล่พวกเราออกไป วันนี้พวกเราเรียกพี่น้องพรรคกระยาจกในเมืองนี้มาแล้ว ดูว่าเจ้ายังกล้าโอหังอีกหรือไม่!”
เฉินกงถ่มน้ำลาย “พรรคกระยาจกอะไรกัน แค่กระยาจกกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันก็มีหน้าเรียกว่าพรรคกระยาจกได้?!”
ฝ่ายตรงข้ามกล่าวด้วยโทสะ “ความตายมาเยือนยังปากแข็ง ประเดี๋ยวอย่าร้องขอชีวิต เหล่าพี่น้อง เป็นคนผู้นี้ยึดพื้นที่ของพวกเรา อ้อ ด้านข้างยังมีผู้มาใหม่ ในตัวเขามีเงิน ประเดี๋ยวเก็บไว้ทั้งหมด สิ่งของที่ค้นออกมาให้เหล่าพี่น้องดื่มสุราสักมื้อได้พอดี!”
เฉินกงมองเห็นเป็นคนยากจนข้นแค้น ต่อให้ในตัวมีเงินมากก็ซื้อซาลาเปาได้ไม่กี่ลูก แม้เสื้อผ้าค่อนข้างสะอาดเรียบร้อย หากถอดเสื้อผ้าตัวนั้นออกมา คาดว่าขายได้ไม่กี่สิบอีแปะกระมัง
เงาร่างห้าหกสายเบียดกันกระโจนไปยังเฉินกง แม้เฉินกงมีความป่าเถื่อนและความบ้าบิ่นเป็นพื้นฐาน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี ไม่ถึงขั้นล่ำสัน ฝ่ายตรงข้ามมีคนมาก เขาต่อยตีไม่กี่ทีก็ถูกทุ่มล้ม บนร่างและบนหน้าล้วนถูกต่อยแรงๆ หลายที แม้อีกฝ่ายไม่คิดเอาชีวิตของเขา แต่ก็ลงมือโหดเหี้ยม มุมปากเฉินกงแตกแล้ว ได้แต่ป้องกันจุดสำคัญบนร่างสุดความสามารถ ไม่ให้พวกเขาเตะถูก
เหล่ากระยาจกค้นบนร่างเฉินกงพักหนึ่ง สุดท้ายค้นได้เพียงเงินสามสิบอีแปะ คนหนึ่งในนั้นถุยหนึ่งเสียง “โชคร้ายจริงๆ เจอผียากไร้ ไล่ต้า ไหนเจ้าบอกว่าในตัวเขามีอย่างน้อยห้าสิบอีแปะมิใช่หรือ!”
ไล่ต้าแค่นยิ้มพลางกล่าว “อาจถูกเขาใช้หมดแล้วกระมัง นี่มิใช่ ด้านโน้นยังมีอีกคนหนึ่ง”
กลุ่มคนทอดสายตาไปยังเสิ่นเฉียว เห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ มาตลอด คล้ายตกใจจนงงงันไปแล้ว กอดไม้เท้าไม้ไผ่ไม่ขยับเขยื้อน
คนหนึ่งสงสัย “เหตุใดข้าเห็นดวงตาเขาผิดปกติเล็กน้อย คงมิใช่คนตาบอดกระมัง”
ไล่ต้าอาศัยคนมาก ตะโกนกับเสิ่นเฉียว “นี่ มอบเงินในตัวเจ้าออกมา เหล่าท่านปู่จะไม่ตีเจ้า ได้ยินหรือไม่!”
เสิ่นเฉียวส่ายหน้า “เงินในตัวข้าล้วนหามาเองอย่างยากลำบาก มิอาจให้พวกท่าน”
ไล่ต้าแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “กล้าหาญยิ่งนัก เช่นนั้นก็ได้ เจ้าป้องกันไว้ให้ดีเถอะ สองวันก่อนแม้แต่แป้งย่างไส้เนื้อลาก็ไม่ยอมให้ วันนี้เหล่าท่านปู่จะทำให้เจ้าเสียทรัพย์หลั่งเลือด!”
คนทั้งหลายกระโจนเข้าไปพร้อมกัน ปฏิบัติต่อเสิ่นเฉียวเหมือนที่ปฏิบัติต่อเฉินกง
พวกเขาไม่เคยเห็นปัญญาชนอ่อนแอผู้นี้อยู่ในสายตา
ไล่ต้าท่วงท่าเร็วที่สุด หมัดหนึ่งต่อยไปยังใบหน้าของเสิ่นเฉียวแล้ว มืออีกข้างหนึ่งหมายกระชากอกเสื้อของอีกฝ่าย
ดูจากท่วงท่า หมัดคงไปถึงก่อน หลังจากฝ่ายตรงข้ามหงายหลังไป เขากระโจนเข้าไปคร่อมบนร่างฝ่ายตรงข้ามพอดี
แต่แล้วข้อมือพลันเจ็บปวด!
ไล่ต้าอดร้องเฮ้ยมิได้ ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บนเอวก็รู้สึกเจ็บอีกเล็กน้อย ทั้งร่างเอนไปด้านข้างอย่างควบคุมมิได้ ชนพวกพ้องที่ด้านข้างจนล้ม คนทั้งกลุ่มชนกันเป็นก้อนทันที
ในวัดร้างไม่มีแสงเทียน ค่ำคืนที่ลมแรง แสงจันทร์วับๆ แวมๆ บางครั้งถูกชั้นเมฆบดบัง
คนทั้งหมดล้วนเห็นไม่ชัดว่าไล่ต้าล้มได้อย่างไรกันแน่ ฉะนั้นพวกเขาเองก็มิได้หยุดท่าทางลง ยังคงกระโจนไปหาเสิ่นเฉียว
ทว่าเกิดเสียงเปรี๊ยะๆ หลายเสียงติดต่อกัน มีหลายคนหกล้มกับพื้นอีก
“ที่เจ้าใช้คือวิชามารอะไร!” ไล่ต้าไม่ยอมแพ้ ปากตะโกน พลางลุกขึ้นมากระโจนไปยังฝ่ายตรงข้ามต่อ
ดวงตาของเสิ่นเฉียวฟื้นฟูได้ช้ายิ่งนัก ขณะแสงไฟยามค่ำคืนมืดสลัว มองเห็นเพียงเงากลุ่มหนึ่งเลือนราง พอไม่ระวังก็ถูกไล่ต้าผลักลงกับพื้น หมัดหนึ่งต่อยเข้าที่บริเวณหน้าอก เจ็บจนเขาสะดุ้งเฮือก
ไล่ต้าโจมตีอย่างราบรื่น หมายชิงไม้เท้าในมือเขา คาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกชาที่บั้นเอว ไม้เท้าไม้ไผ่ของฝ่ายตรงข้ามทิ่มเข้ามา ดูคล้ายธรรมดาชัดๆ เขายื่นมือไปแต่กลับจับไม่อยู่ บนสันจมูกถูกทิ่มแรงๆ เขาเจ็บจนร้องลั่น ไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่น ป้องจมูกแล้วจึงล้มไปด้านข้าง มีเลือดกำเดาไหลออกมาตามซอกนิ้วทันที
การพัฒนาเช่นนี้เป็นใครก็มิอาจคาดคิด เฉินกงยิ่งตกตะลึง เพียงมองดูเสิ่นเฉียวใช้ไม้เท้าไม้ไผ่เคาะซ้ายตีขวา ดูคล้ายวิธีต่อสู้ที่ไร้ซึ่งแบบแผน แต่กระยาจกหลายคนนั้นกลับเข้าใกล้ตัวเขาไม่ได้เลย ไม่นานก็ถูกตีจนกระจัดกระจาย ร้องโหยหวนไปทั่ว
เสิ่นเฉียวกล่าว “ข้าลงมือไว้ไมตรีแล้ว พวกท่านยังไม่ไปอีก หรือคิดรอให้ข้าทิ่มลูกตาของพวกท่านแตก กลายเป็นคนตาบอดเหมือนข้าหรือ”
สุ้มเสียงของเขาแผ่วเบา ระคนกับเสียงลม ฟังแล้วคล้ายกับภูตผี ชวนให้สะพรึงกลัวเป็นพิเศษ
พวกไล่ต้าจะกล้าอยู่ต่อได้อย่างไร ต่างรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วหนีไป ครานี้แม้กระทั่งคำขู่ก็มิกล้าทิ้งไว้ ล้มกลิ้งปัสสาวะราด เงาคนหายไปในชั่วขณะ
“เจ้าน่าจะแทงลูกตาของพวกเขาให้บอด!” เฉินกงกล่าวอย่างเคียดแค้น “ยังเกรงใจคนพรรค์นี้อีกทำไม!”
เสิ่นเฉียวยันไม้เท้าไม้ไผ่ไว้มิได้กล่าวคำ เห็นได้ว่าหัวไหล่สะท้อนขึ้นลงรางๆ คล้ายหอบหายใจเล็กน้อย
เฉินกงจึงตอบสนอง แม้กระทั่งกระยาจกหลายคนนั้นฝ่ายตรงข้ามก็ขับไล่ไปได้ เช่นนั้นยิ่งมิต้องกล่าวถึงตนเอง แต่ก่อนหน้าตนเองยังตะคอกเสียงดังใส่เขา เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายมิได้คิดเล็กคิดน้อย มิฉะนั้น…
เขาหวาดกลัวภายหลังเล็กน้อย น้ำเสียงเองก็สุภาพขึ้นมา “นี่ เอ่อ เสิ่นเฉียว? คุณชายเสิ่น? อาวุโสเสิ่น?”
เพิ่งขาดคำ เสิ่นเฉียวพลันไถลเลื่อนลงตามเสาด้านหลัง อ่อนระทวยล้มลงกับพื้น
เฉินกง “…”
ในตอนที่เสิ่นเฉียวฟื้นขึ้นมา เหนือศีรษะคือคานคร่ำคร่า ผุพังตามกาลเวลา เหมือนจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ
ด้านข้างมีคนกำลังเขย่าไหล่ของเขาอยู่
เขายังไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ที่ใดชั่วขณะ จึงกล่าวพึมพำตามสัญชาตญาณ “ศิษย์น้อง อย่าแกล้ง”
“ใครเป็นศิษย์น้องเจ้ากัน” เฉินกงอารมณ์ไม่ดี “เจ้านอนมาสองวันสองคืนแล้ว! ข้าเอาเงินในตัวจ่ายล่วงหน้าก็ยังไม่พอจนต้องเอาของเจ้ามาก่อนแล้ว แต่ก็ยื้อค่าห้องได้เพียงสามวัน พรุ่งนี้หากไม่นำเงินไปจ่าย พวกเราก็ต้องถูกไล่กลับไปอยู่วัดร้างแล้ว”
เสิ่นเฉียวส่งเสียงอ้อ จ้องคานบนเพดานเหม่อลอยอยู่นาน สองตาไร้แวว และไม่รู้กำลังมองอะไรอยู่
เฉินกงเห็นสภาพนี้ของเสิ่นเฉียวก็เกิดโทสะ เหมือนทุกเรื่องล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขา อดผลักไหล่ของเขาอีกหนึ่งทีมิได้ “เจ้าพูดสิ อย่าเอาแต่มอง ตอนนี้เราอยู่ในโรงเตี๊ยม! ข้ากลัวว่าพวกเราจะถูกล้างแค้น จึงย้ายเจ้าออกมาจากวัดร้าง ยังเชิญหมอมาตรวจ หมอบอกว่าเจ้าลมปราณคั่งค้างอะไรสักอย่าง ในร่างมีไอเย็นอะไรสักอย่าง ถึงอย่างไรก็แก้ยากยิ่งนัก จ่ายยามามากมาย เงินหมดเกลี้ยงแล้ว!”
เสิ่นเฉียวได้สติกลับมา “ไม่ต้องให้เขาจ่ายยาแล้ว กินไปก็ไม่มีประโยชน์ ร่างกายของข้า ข้ารู้ดี มิอาจรีบร้อนในฉับพลันทันใด”
เฉินกงกล่าว “เจ้าบอกตอนนี้ยังมีประโยชน์อะไร ยาก็ซื้อกลับมาแล้ว หรือว่ายังเอาไปคืนได้อีก!”
เสิ่นเฉียวกล่าว “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”
เฉินกงย่อกายลงระดับเดียวกันกับเขา “นี่ ในเมื่อเจ้ามีฝีมือดีเพียงนี้ มิสู้พวกเราไปแสดงกายกรรมข้างถนน หรือว่าไปเข้าร่วมพรรคลิ่วเหอดี อำเภอนี้มีสาขาย่อยของพรรคลิ่วเหอ ด้วยวิทยายุทธ์ของเจ้า ต้องได้ตำแหน่งที่ไม่เลวอย่างแน่นอน ถึงเวลาค่อยพาข้า…”
เสิ่นเฉียวกล่าว “พรรคลิ่วเหอคืออันใด”
เฉินกงเห็นสายตางุนงงไร้เดียงสาของเขา ก็มิอาจไม่อธิบายด้วยความอดทน “เป็นพรรคที่ทำกิจการทั้งทางบกและทางน้ำ หลักๆ ทางน้ำคือคุ้มกัน ได้ยินว่ายังช่วยคนสอบถามข่าวคราวต่างๆ ถึงอย่างไรก็…สรุปแล้วเป็นพรรคใหญ่ที่เก่งกาจอย่างมากก็มิผิด! ข้าเองก็บังเอิญเคยได้ยินคนบอกจึงรู้ เป็นอย่างไร พวกเราไปพึ่งใบบุญพรรคลิ่วเหอกันเถอะ! หากได้หน้าที่ที่ดี เจ้าก็ไม่ต้องไปดูดวงทุกวันแล้ว ข้าเองก็ไม่ต้องแบกกระสอบข้าวแล้ว!”
กล่าวถึงสุดท้าย น้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นมา
เสิ่นเฉียวส่ายหน้ากล่าว “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ข้าจำอะไรไม่ได้ กระบวนท่าเมื่อคืนนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ อีกอย่างดวงตาข้าก็ไม่ดี ไปแล้วจะรับหน้าที่อะไรได้ มิสู้หาเงินที่นี่ต่ออย่างสุขสบายดีกว่า”
คำพูดนี้ราวกับน้ำเย็นกะละมังหนึ่งราดบนศีรษะเฉินกงในทันใด รอยยิ้มของเขาเลือนหายไปหมดแล้ว
ถึงแม้มองไม่เห็นนัก แต่เสิ่นเฉียวก็รู้สึกได้ถึงความซึมเศร้าของเด็กหนุ่ม “เจ้าอายุยังน้อย อย่าเอาแต่คิดประสบความสำเร็จโดยง่าย พวกเราใช่เป็นชาวยุทธภพ บุ่มบ่ามไปเข้าร่วมสำนักในยุทธภพ ไม่เข้าใจธรรมเนียมอะไรทั้งสิ้น เจ้าไม่รู้สึกแปลกแยกหรือ”
เฉินต้าหลางอารมณ์ไม่ดี “ข้าไม่รู้อะไรเรียกว่าแปลกแยก ข้ารู้เพียงอาศัยเงินที่ข้าไปแบกกระสอบข้าวมาได้ทุกวัน ยังไม่พอให้พวกเราจ่ายค่าเช่าห้อง ซื้อยาต้องใช้เงิน กินข้าวก็ต้องใช้เงิน เจ้ากลับยึดมั่นในคุณธรรมยิ่ง เงินมันตกลงมาจากฟ้าหรือไร ข้าใช่จะลักขโมยหรือปล้นชิง เจ้าอย่าหาว่าวันๆ ข้าไม่มีงานทำก็เอาแต่คิดหาเงินให้ตัวเอง…นี่ เจ้าเป็นอะไรไป อย่าทำให้ข้าตกใจสิ ข้ามิใช่พูดกับเจ้าไม่กี่คำหรือ!”
เสิ่นเฉียวกุมศีรษะ รอความเจ็บปวดวูบนั้นผ่านไป จึงค่อยๆ กล่าว “ข้าไม่ไปพรรคลิ่วเหอ ข้าจะไปเขาเสวียนตู”
เฉินกงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เขาเสวียนตู? นั่นคือที่ใด”
เขาเติบโตที่อำเภอฝู่หนิงตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังไม่เคยเรียนหนังสือ ความรู้จำกัด เคยได้ยินเรื่องพรรคลิ่วเหอเพราะมีสาขาย่อยที่อำเภอนี้ ส่วนเรื่องอื่นได้ยินมาเพียงเล็กน้อย
สำหรับเขาคำว่ายุทธภพนั้น ห่างไกลเกินไป
เสิ่นเฉียวส่ายหน้ามิได้กล่าวคำ ซ้ำยังเริ่มเหม่อลอยอีก
เฉินกงกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “นี่ เจ้าพูดสิ! ข้าเอาเงินของตัวเองมาจ่ายค่าหมอซื้อยาให้เจ้า มิใช่เจ้าไม่อยากคืนกระมัง”
เสิ่นเฉียวกล่าว “วันหลังข้าจะไปตั้งแผงดูดวง ไม่นานก็คืนเจ้าได้”
เฉินกงเห็นอีกฝ่ายไม่มีความสนใจไปพึ่งใบบุญพรรคลิ่วเหอแม้แต่น้อยก็รู้สึกอ่อนใจอย่างเลี่ยงมิได้ ถ้าหากเสิ่นเฉียวไม่ไป ก็อาศัยได้เพียงเรี่ยวแรงที่ตนเองแบกกระสอบข้าว ใครจะไปชมชอบ
“เขาเสวียนตูคือที่ใด”
เสิ่นเฉียวกล่าว “เขาลูกหนึ่ง”
เฉินกง “…”
เขาแทบจะโมโหตายอยู่แล้ว “เหลวไหล ข้าย่อมรู้ว่าเป็นเขาลูกหนึ่ง! ข้าถามเจ้าว่าจะไปทำอะไรที่นั่น!”
เสิ่นเฉียวกล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้ มีคนบอกว่าข้ามาจากที่นั่น จึงอยากกลับไปดูสักหน่อย”
“เขาลูกนั้นอยู่ที่ใด”
“ใกล้กับชายแดนแคว้นฉี โจว และเฉิน”
เฉินกงตกใจ “ไกลเพียงนั้นเชียว? เช่นนั้นเจ้าถ่อมาที่นี่ได้อย่างไร”
เสิ่นเฉียวกล่าวตอบอย่างจนปัญญา “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ข้าลืมเรื่องราวทั้งหลายไปแล้ว ตอนนี้ก็นึกไม่ออกสักอย่าง หากข้ารู้ เหตุใดยังบอกว่าจะกลับไปสืบเสาะอีกเล่า”
เฉินกงครุ่นคิด “มิสู้เช่นนี้ ข้าไปด้วยกันกับเจ้า ข้าไม่ให้เจ้าคืนเงินแล้ว ขอเพียงเจ้าสอนกระบวนท่าให้ข้า ให้ข้าเหมือนกันกับเจ้า สามารถต่อยหกเจ็ดคนให้คว่ำอยู่บนพื้น รอถึงแคว้นเฉินแล้วข้าจะไปพึ่งใบบุญพรรคลิ่วเหอ ส่วนเจ้าก็ไปเขาเสวียนตูของเจ้า เป็นอย่างไร”
“อำเภอฝู่หนิงคือบ้านเกิดของเจ้า ที่นี่สงบสุขไม่ค่อยมีภัยสงคราม ต่างกันกับภายนอกอย่างสิ้นเชิง ออกจากที่นี่แล้วข้าจะไปทางตะวันตก ยิ่งใกล้ชายแดนฉีกับโจวก็ยิ่งวุ่นวาย ข้าทำเพราะไม่มีทางเลือก ไฉนเจ้ายังจะไปเดินบนเส้นทางอันตรายเช่นนี้”
เฉินกงไม่แสดงสีหน้า “บิดามารดาข้าตายหมดแล้ว บ้านก็ถูกบรรดาน้องชายน้องสาวที่แม่เลี้ยงให้กำเนิดยึดไป แม้บอกว่าอยู่แบกกระสอบข้าวที่อำเภอฝู่หนิงดีกว่า แต่อยู่ไปเช่นนี้ก็ไร้ความหมาย มิสู้ถือโอกาสไปหาทางรอดด้านนอก เจ้าบอกว่าข้าเหมาะเข้าร่วมกองทัพมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ต้องไปสถานที่ที่เกิดไฟสงครามบ่อย ต้องการทหารอย่างเร่งด่วนจึงเข้าร่วมได้กระมัง…ข้าไม่อยากใช้ชีวิตอย่างไม่เอาไหนไปทั้งชาติ แม้กระทั่งกระยาจกไม่กี่คนก็รังแกข้า ดูถูกข้าได้!”
เสิ่นเฉียวนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ได้…”
คำพูดนี้เพิ่งเริ่มต้น เฉินกงก็คุกเข่าลงพึ่บหน้าเตียงของเขา “อาจารย์ โปรดรับการกราบจากศิษย์!”
“…” เสิ่นเฉียวเชิดมุมปาก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก “เจ้าลุกขึ้นมาเถอะ ข้าไม่รับศิษย์และรับศิษย์ไม่ได้ ในตอนนี้ข้ามิอาจจำกระบวนท่าเหล่านั้นได้ทั้งหมด อย่างมากก็ได้แต่สอนที่จำได้จำนวนหนึ่งให้เจ้า ใช้ได้หรือไม่ตัวข้าเองก็ไม่รู้ ฉะนั้นเจ้าไม่ต้องกราบอาจารย์”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฉินกงก็ลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่ว กล่าวอย่างสบายใจ “ก็ได้ เพียงแต่เจ้าอายุมากกว่าข้า ต่อไปข้าเรียกเจ้าพี่ชาย หากมีคนรังแกข้าอีก เจ้าต้องช่วยข้าออกหน้านะ!”
เสิ่นเฉียวแย้มยิ้ม มิได้กล่าวคำ เริ่มเหม่อลอยอีก
เฉินกงมองดูฝ่ายตรงข้ามเงียบๆ ครู่หนึ่ง เห็นเขาไม่มีท่าทีได้สติกลับมา จำต้องหันกายจากไปก่อน
เสิ่นเฉียวตกลงมาจากบนหน้าผา ได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกทั่วร่างแหลกละเอียด ในตอนนั้นอันตรายอย่างยิ่ง แต่อาการบาดเจ็บเหล่านี้ถูกรักษาได้พอสมควรแล้วในสามเดือนนั้นที่หมู่บ้านก่อนหน้า
สิ่งที่บาดเจ็บอย่างแท้จริงคืออวัยวะภายในกับวรยุทธ์ของเขา ล้วนแทบหายสาบสูญไปในเหตุสุดวิสัยครานั้น บัดนี้เหลือเพียงความทรงจำที่ขาดหายกับเรือนร่างกึ่งพิการ มิใช่เรื่องง่ายที่จะฟื้นฟู
หากเกิดขึ้นกับผู้อื่น นี่แทบเป็นการโจมตีอันหนักหน่วง ทว่าเสิ่นเฉียวกับเฉินกงอยู่ด้วยกัน ผู้ที่บันดาลโทสะส่วนใหญ่กลับเป็นเฉินกง
คนทั้งสองมิได้กลับไปที่วัดร้างอีก แต่ต่อรองขอราคาที่ย่อมเยากับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเช่าห้องหนึ่งเดือน ในหนึ่งเดือนนี้เสิ่นเฉียวไปจับกระดูกดูดวงหน้าวัดเจียงกงต่อ เฉินกงไปแบกกระสอบข้าวทำงานชั่วคราวต่อ ตกเย็นกลับมาก็เรียนวิทยายุทธ์กับเสิ่นเฉียว คุณสมบัติพื้นฐานของเขาไม่เลว หนึ่งเดือนต่อมาก็ร่ายรำได้อย่างเข้าท่าเข้าทาง เพียงแต่ไม่มีความช่วยเหลือจากกำลังภายใน สุดท้ายแล้วคือมีแค่เปลือกนอก รับมือกับอันธพาลทั่วไปยังพอได้ หากพบเจอผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงก็ยังคงไม่เกิดประโยชน์
เมื่อครบหนึ่งเดือนแล้ว เสิ่นเฉียวกับเฉินกงจึงออกจากอำเภอฝู่หนิงเดินทางไปยังทิศตะวันตก
หลังออกจากหมู่บ้าน เสิ่นเฉียวก็ไม่เคยพบพวกอวี้เซิงเยียนอีกเลย แม้กล่าวว่าอำเภอฝู่หนิงใกล้กับหมู่บ้านที่เคยอยู่ก่อนหน้ายิ่งนัก แต่เขาไปตั้งแผงดูดวงหน้าวัดเจียงกงทุกวัน สิ่งที่พบเห็นได้ยินล้วนเป็นเรื่องของประชาชนคนธรรมดา ชีวิตในเมืองอันแสนสดใส
ยุทธภพราวกับห่างไกลกับเขาอย่างหาใดเทียบ ห่างไกลจนบางครั้งเสิ่นเฉียวรู้สึกว่าตนเองไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปเขาเสวียนตูเลย ใช้ชีวิตอยู่ที่อำเภอฝู่หนิงตลอดชาติ ความจริงก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว
ทว่าบางครั้งยังคงกลัดกลุ้มในทรวงรางๆ กระดูกหักที่เชื่อมติดไม่นานเจ็บปวดเหมือนเข็มแทงในวันครึ้มฟ้าครึ้มฝน เรื่องในอดีตที่แวบผ่านในหัวสมอง พลังปราณที่แผ่ซ่านเป็นระยะทั่วร่าง เหล่านี้ล้วนกำลังเตือนเขาว่า เสิ่นเฉียวในตอนนี้ ยังมิใช่เสิ่นเฉียวที่สมบูรณ์
ตะวันตกของอำเภอฝู่หนิงคือเมืองไหวโจว ที่นั่นเป็นเมืองใหญ่ ซ้ำยังป้องกันแน่นหนาเพราะอยู่ใกล้แคว้นโจว โดยทั่วไปฮ่องเต้จะเป็นผู้ส่งผู้ว่าการมาที่นี่ด้วยพระองค์เอง ซ้ำยังมีขุนนางตรวจการมาตรวจตราเป็นประจำ ประกาศภาวะฉุกเฉินบ่อยครั้ง
แม้ใต้หล้าแตกแยกนานแล้ว แต่ทว่าแต่ละแคว้นกลับอดมิได้ที่จะค้าขายกันตามแนวชายแดน มีเพียงเซินปู้อี้ผู้ว่าการเมืองไหวโจวที่กระทำการเหลวไหล หลังจากเข้ารับตำแหน่ง เขาก็สั่งการให้ปิดด่านการค้าชายแดนของทั้งสองแคว้น พ่อค้าลักลอบค้าขายที่ถูกจับได้ถูกลงโทษรุนแรงทั้งหมด ซ้ำยังรายงานฮ่องเต้ว่าการค้าขายง่ายต่อการที่สายลับจะแฝงตัวเข้ามาในแคว้นโจว อาจเผยแพร่การวางกำลังป้องกันตามชายแดนของแคว้นเรา เสนอให้แคว้นฉีและพื้นที่อื่นปิดด่านการค้าด้วยเช่นกัน แม้เกาเหว่ยฮ่องเต้ฉีจะมิได้รับข้อเสนอของเซินปู้อี้ แต่กลับชื่นชมความจงรักภักดีของเขามากกว่าเดิม ออกราชโองการสดุดี
เซินปู้อี้ทุ่มเทกับงานราชการ ประจบยิ่งเช่นเดียวกันกับขุนนางชนชั้นสูงแคว้นฉี ฉะนั้นมักมีขุนนางใกล้ชิดฮ่องเต้กล่าวมธุรสวาจาให้เขา เขาจึงเลื่อนขึ้นจากนายอำเภอเล็กๆ สู่ผู้ว่าการเมืองในปัจจุบันได้โดยไม่เปลืองแรง
เมื่อพิจารณาได้ว่าหลังเข้าเมืองมีค่าใช้จ่ายมาก เสิ่นเฉียวกับเฉินกงจึงวางแผนอาศัยวัดนอกเมืองพักแรม พรุ่งนี้ค่อยเข้าเมืองเติมเสบียง ตอนบ่ายก็ออกจากเมืองเดินทางได้อีก
วัดนี้มีชื่อว่าวัดชูอวิ๋น แม้จะบอกว่าเป็นวัด แต่ความจริงมิได้ดีไปกว่าวัดร้างในอำเภอฝู่หนิงที่พวกเขาอยู่ก่อนหน้าเท่าใดนัก ในวัดมีหลวงจีนสามรูป หลวงจีนชราที่เป็นเจ้าอาวาสหนึ่งรูป กับหลวงจีนน้อยที่ถูกรับเลี้ยงไว้สองรูป
ในวัดเรียบง่าย มีห้องเพียงสองห้องเท่านั้น ห้องหนึ่งให้เจ้าอาวาสชราจำวัด อีกห้องหนึ่งให้หลวงจีนน้อยทั้งสองอยู่ นอกจากนี้ล้วนเป็นที่นอนรวม
เฉินกงคือผู้ที่เคยชินกับการใช้ชีวิตลำบาก อยู่ในวัดร้างแห่งนั้นที่อำเภอฝู่หนิง อย่าว่าแต่ที่นอนรวมเลย กระทั่งผ้าห่มก็ไม่มี สำหรับพวกเขาตอนนี้นับว่าดีมากแล้ว เสิ่นเฉียวปรับตัวตามสถานการณ์ได้ อัธยาศัยดียิ่งนักย่อมไม่มีความเห็นอะไร
เมื่อเข้าห้องจึงพบว่าผู้ที่มาก่อนพวกเขายังมีอีกกลุ่มหนึ่ง ทั้งหมดสี่คนล้วนเป็นบุรุษเยาว์วัย ในห้องยังมีหีบใหญ่สองใบ
กับคนแปลกหน้าเฉินกงมักกอดความเป็นอริกับความระแวดระวังไว้เสมอ ไม่มีทางเอ่ยปากกระชับความสัมพันธ์กับผู้อื่น เสิ่นเฉียวดวงตาไม่ดี อยากทักทายก็เห็นไม่ชัดว่าผู้อื่นมีลักษณะอย่างไร สี่คนฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีเจตนากระชับความสัมพันธ์เช่นเดียวกัน สังเกตเฉินกงกับเสิ่นเฉียวอย่างไม่ทิ้งร่องรอย เห็นพวกเขาฝีเท้าเบาหวิว เสื้อผ้าเรียบง่าย จึงไม่สนใจอีก
ไม่นานนัก หลวงจีนน้อยทั้งสองก็หอบที่นอนเดินมา
เดิมที่นอนรวมนี้ก็ไม่ใหญ่นัก เมื่อเพิ่มมาอีกสองคนจึงเบียดเสียดกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เฉินกงไม่พอใจ อดส่งเสียงซุบซิบมิได้ “หกคนก็มากพอแล้ว เหตุใดมาอีกสองคน!”
หลวงจีนน้อยได้ยินแล้ว กล่าวเสียงแผ่วเบากับเขา “ประสก ประสกหลายคนทางโน้นมีสตรีเยาว์วัย ไม่สะดวกนอนห้องเดียวกับพวกเรา ฉะนั้นพวกอาตมาจึงยกห้องให้ สะดวกกับผู้อื่น สะดวกกับตัวเอง”
ในเมื่อเป็นสตรีก็ต้องอยู่ลำพัง เฉินกงไม่พอใจแต่ก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรอีก กระทั่งมองเห็นสี่คนนั้นพกดาบกระบี่ติดตัวจึงมิกล้าเอ่ยปากแล้ว เพียงแค่ชำเลืองมองพวกเขา พลันเหมือนพบอะไรเข้าจึงตื่นเต้นไม่คลาย ฉวยโอกาสขณะพวกเขาไปกินข้าว รีบดึงเสิ่นเฉียวไว้พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “เจ้ามองเห็นหรือไม่ หลายคนนั้นเป็นคนของพรรคลิ่วเหอ! ข้ามองเห็นสัญลักษณ์พรรคลิ่วเหอบนเสื้อผ้าและหีบของพวกเขา เหมือนกันกับที่อำเภอฝู่หนิง!”
เสิ่นเฉียวแย้มยิ้มพลางกล่าว “ดวงตาข้าใช่จะดี จะมองเห็นได้อย่างไร”
เฉินกงตื่นเต้นไม่ลดลงแม้แต่น้อย “เจ้าว่าหากข้าหาโอกาสพูดคุยกับพวกเขา พวกเขาอารมณ์ดี จะรับปากให้ข้าเข้าพรรคลิ่วเหอหรือไม่”
เสิ่นเฉียวรู้ว่าเฉินกงตั้งใจไปยังพรรคลิ่วเหอ ต่อให้เดินทางมากเพียงนี้ ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเจตนาเดิม
เขาค่อยๆ กล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าอย่าเอ่ยคำพูดนี้จะดีกว่า”
“เพราะเหตุใด” เฉินกงถาม
เสิ่นเฉียวกล่าว “เมื่อครู่ข้าเห็นว่าเจ้ามีความคิดกระชับสัมพันธ์กับพวกเขา แต่พวกเขามิได้สนใจเจ้า ตอนที่อยู่ในห้องพวกเขาเองก็ไม่เอ่ยสักคำ เห็นได้ว่าหากไม่ระวังให้มาก ก็อย่าพูดคุยกับพวกเขาจะดีกว่า ไม่ว่าจะอย่างใด เกรงว่าความปรารถนาของเจ้าจะสูญเปล่า”
เฉินกงอารมณ์เสียยิ่ง แต่ก็มิอาจไม่ยอมรับว่าคำพูดของเขาถูกต้อง “หึ ข้ารู้ว่าพวกเขาเหล่านี้ล้วนดูถูกคนชั้นต่ำอย่างข้า สักวันหนึ่งข้าเองก็จะเหยียบบนศีรษะคนทั้งหมด ให้พวกเขามาคุกเข่ากราบข้าให้จงได้!”
เสิ่นเฉียวรู้ว่าปมในใจของเขามาจากสิ่งที่ผ่านตั้งแต่เด็กจนโต ไม่สามารถพลิกกลับมาเพียงเพราะคำพูดของตนเองอย่างเด็ดขาด ฉะนั้นจึงมิได้ตักเตือนมากนัก
วัดชูอวิ๋นเรียบง่ายเช่นนี้ อาหารเจก็เรียบง่ายจนถึงที่สุด ข้าวต้มชามหนึ่ง กับข้าวหลายจาน แต่กับข้าวเป็นของดองที่ทำเองในวัด รสชาติก็ไม่เลว
เสิ่นเฉียวกินได้ช้า เฉินกงกลับเร็วยิ่งนัก เขามิอาจกระชับสัมพันธ์กับคนของพรรคลิ่วเหอ อารมณ์ไม่ดี คุ้ยเขี่ยไม่กี่คำเสร็จก็กลับเข้าห้อง
หลังเขาไปได้ไม่นาน สองคนที่อยู่ร่วมกับพวกเสิ่นเฉียวก็เข้ามากินข้าว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.