ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 3 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 3 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 3

 

ตอนนี้ต่อให้ดวงตาของเสิ่นเฉียวเห็นแสงได้ แต่ก็มิอาจเห็นสิ่งของชัดเจน มองดูนานเกินไปดวงตายังคงเจ็บปวด ฉะนั้นเวลาส่วนใหญ่เขาจึงถือโอกาสหลับตา หากไม่จำเป็นก็จะไม่ใช้งาน

ยามนี้เขามองเห็นรางๆ ว่าเงาร่างสี่สายเดินเข้ามา นั่งลงบนโต๊ะยาวอีกตัวหนึ่ง สองคนในนั้นสวมชุดกระโปรง คล้ายเป็นสตรี

เสิ่นเฉียวมีแผนการในใจ เขารู้ว่าการเดินทางครั้งนี้พรรคลิ่วเหอต้องคุ้มกันส่งสิ่งของค่อนข้างสำคัญอย่างแน่นอน ดังนั้นคนทั้งสี่จะไม่มากินข้าวพร้อมกัน ยังต้องเหลือสองคนไว้เฝ้ารักษาในห้อง ส่วนสตรีอีกสองคนคืออาคันตุกะหญิงที่ยืมห้องของหลวงจีนน้อย

เขาเองก็ไม่มากเรื่อง หลังกินข้าวต้มเสร็จก็ถือโอกาสไปหยิบไม้เท้าไม้ไผ่ด้านข้าง

ไม้เท้าไม้ไผ่เอนไปด้านข้าง ตกลงบนพื้นเสียงดัง

เสิ่นเฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย มือของเขายังมิได้แตะถูกไม้เท้าไม้ไผ่ มันย่อมมิอาจตกพื้นโดยไร้สาเหตุ

“เป็นข้าชนเข้าโดยไม่ระวัง คุณชายอย่าได้ว่ากล่าว” สตรีกล่าวเสียงนุ่มนวล ก้มตัวเก็บไม้เท้าไม้ไผ่ขึ้น ยื่นให้เสิ่นเฉียว

“ไม่เป็นไร” เสิ่นเฉียวรับไม้เท้าไม้ไผ่มา พยักหน้าไปทางอีกฝ่าย หมายจะลุกขึ้นเดินไปด้านนอก

ฝ่ายตรงข้ามกล่าวอีก “พบพานคือมีวาสนา มิทราบคุณชายมีชื่อแซ่สูงส่งใด”

“ข้าแซ่เสิ่น”

สตรีกล่าวขึ้นบ้าง “คุณชายเสิ่นจะเข้าเมืองหรือ”

เสิ่นเฉียวรับคำ “ถูกต้อง”

สตรีกล่าว “ในเมืองมีโรงเตี๊ยมกับจุดพักม้ามาก ไยคุณชายไม่รอหาที่พักแรมหลังเข้าเมือง แต่กลับเลือกอยู่ในวัดเล็กๆ ที่เก่าแก่ผุพังนี้”

นี่เห็นได้ชัดว่ากำลังหยั่งเชิงเสิ่นเฉียว หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นต้องถามกลับว่า ‘พวกท่านเองก็อยู่ที่นี่มิใช่หรือ มีสิทธิ์อะไรยุ่งกับผู้อื่น’ แต่เสิ่นเฉียวนิสัยดี ยังคงตอบว่า “เงินในตัวพวกเราไม่พอ เข้าเมืองพักแรมมีค่าใช้จ่ายมากกว่า ฉะนั้นรอเข้าเมืองพรุ่งนี้เช้า จะได้ไม่ต้องอยู่ค้างในเมือง”

สุ้มเสียงของเขาไพเราะยิ่ง บนร่างย่อมมีความรู้สึกดีที่ชวนให้เกิดความสนิทสนมในใจ แม้จะสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ แต่ก็ยากที่จะทำให้ผู้คนมองข้าม และยิ่งยากจะเห็นเขาเป็นคนประเภทเดียวกับเฉินกง

ดังนั้นคนที่บุคลิกขัดกันอย่างสิ้นเชิงอยู่ด้วยกัน เดินทางร่วมกัน จึงชวนให้เกิดความสงสัยในใจ เอ่ยปากหยั่งเชิงอย่างเลี่ยงมิได้

มิหนำซ้ำพวกเขายังเป็นคนทั่วไปที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์

คำตอบของเขาสมเหตุสมผล อวิ๋นฝูอีเองก็หาช่องโหว่มิได้ จึงกล่าวเสียงอ่อนโยน “เป็นข้าล่วงเกินแล้ว โปรดอย่าได้ว่ากล่าว ข้าแซ่อวิ๋น เรียกว่าอวิ๋นฝูอี”

เสิ่นเฉียวผงกศีรษะรับ “แม่นางอวิ๋นค่อยๆ ทาน ข้าขอตัวก่อน”

อวิ๋นฝูอีกล่าว “คุณชายค่อยๆ เดิน”

แล้วเสิ่นเฉียวก็ถือไม้เท้าไม้ไผ่ค่อยๆ คลำทางเดินไปยังปากประตู

มองดูเงาหลังของเขา อวิ๋นฝูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย มิได้กล่าวคำ

หูอวี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้น “รองประมุข สองคนนี้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เกรงว่ามิได้บังเอิญ เด็กน้อยคนนั้นช่างเถอะ แต่คนแซ่เสิ่นผู้นี้ดูเหมือนตาบอด แต่ตาบอดจะเดินเพ่นพ่านไปทั่วได้อย่างไร ไม่แน่ว่าอาจมาเพราะสิ่งของที่พวกเรานำมา”

หูเหยียนพี่ชายฝาแฝดของเขามองดูเขาแวบหนึ่ง “เจ้ามองออก รองประมุขจะมองไม่ออกหรือ”

อวิ๋นฝูอีกล่าว “เมื่อครู่ข้าได้หยั่งเชิงเขาแล้ว เขาไม่มีกำลังภายใน และไม่เคยได้ยินชื่อของข้า คงมิได้เสแสร้ง สรุปแล้วคืนนี้ระวังสักหน่อยแล้วกัน เดิมข้าคิดว่าในเมืองมากคนมากความ ไม่เข้าเมืองคงปลอดภัยกว่า บัดนี้ดูเหมือนวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว”

หูอวี่กล่าว “ในสัมภาระนี้ใส่สมบัติล้ำค่าอะไรไว้กันแน่ ตั้งแต่พวกเราเดินทางมา ก็มีคนมาปล้นสองกลุ่มแล้ว กลุ่มหลังพละกำลังแข็งแกร่งกว่ากลุ่มแรก จากที่นี่ถึงเจี้ยนคังยังต้องลงใต้เดินทางอีกระยะหนึ่ง กลัวแต่จะเกิดเหตุสุดวิสัยกลางทาง ถึงเวลาเสียสิ่งของเรื่องเล็ก เสียชื่อของพรรคลิ่วเหอเรื่องใหญ่”

พวกเขากลุ่มนี้ แม้จำนวนคนไม่มากแต่เรียกได้ว่าเป็นศิษย์เด่นล้ำของพรรคลิ่วเหอ ลองคิดดูว่าแม้กระทั่งอวิ๋นฝูอีรองประมุขผู้นี้ลงมือด้วยตัวเอง ไม่ว่าความสามารถจะเป็นอย่างไรก็คงไม่อ่อนด้อยสักเท่าไร

แต่ถึงแม้เป็นเช่นนี้ กลุ่มคนเหล่านี้ก็ยังคงมิกล้าชะล่าใจ

อวิ๋นฝูอีส่ายหน้ากล่าว “ประมุขสั่งการเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรต้องส่งถึงเจี้ยนคัง ก่อนหน้าประมุขฝากข้อความไว้ว่าเขาจะรุดหน้าไปรอรวมตัวกับพวกเราที่เมืองลั่วโจว ถึงเวลาค่อยลงใต้ด้วยกัน”

เมื่อได้ยินว่าประมุขอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนี้เอง หูเหยียนหูอวี่ (พูดจาเหลวไหล) ล้วนกระปรี้กระเปร่า ซ้ำยังพูดคุยว่าในหีบสองใบนั้นบรรจุอะไรกันแน่ ถึงควรค่าให้ในพรรคจริงจังเช่นนี้

คนพรรคลิ่วเหอกระจายตัวทั่วแผ่นดิน การค้าขายที่รับหลายปีนี้ไม่รู้มีทั้งหมดเท่าใด สิ่งของที่พวกเขาคุ้มกันนั้นเป็นสมบัติในราชวังก็เคยมี แต่ก็ไม่เคยเห็นเบื้องบนจะให้ความสำคัญเช่นนี้มาก่อน

รองประมุขลงมาคุ้มกันส่งด้วยตัวเอง ประมุขมารับด้วยตัวเอง นี่ยังคงเป็นครั้งแรก

หูเหยียนหูอวี่สังกัดสำนักหลงเหมิน และเป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากในยุทธภพ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังเยาว์ คนที่ปล้นสะดมทั้งสองกลุ่ม มิเพียงไม่ได้บั่นทอนความปรารถนาต่อสู้ของพวกเขา กลับทำให้พวกเขากระหายใคร่อยากยิ่งขึ้น

ไม่เหมือนกับพวกเขา อวิ๋นฝูอีกลับลอบกังวล “ไม่ว่าอย่างไร ก่อนพบประมุข พวกเราต้องเพิ่มความระมัดระวังจึงจะถูก”

 

ตกกลางคืน ชานเมืองเงียบกว่าในเมือง เงียบจนน่าสะพรึงอยู่บ้าง

วัดเล็กยามวิกาลไม่มีความบันเทิงอะไร กลุ่มคนจึงนอนหลับนานแล้ว

ผู้ที่นอนห้องเดียวกับพวกเสิ่นเฉียว นอกจากหูเหยียนหูอวี่สองพี่น้องแล้ว ยังมีหัวหน้าสาขาพรรคลิ่วเหออีกสองคน วรยุทธ์ล้วนเหนือกว่าหูเหยียนหูอวี่ การจัดวางคนเช่นนี้ในยุทธภพถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างมาก แม้เฉินกงไม่รู้เรื่องในยุทธภพ แต่เขาเองรู้ว่าคนกลุ่มนี้ร้ายกาจยิ่งนัก

เพื่อเข้าร่วมพรรคลิ่วเหอ เขาใช้ฝีมือกับแผนการมากมายคิดกระชับสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ น่าเศร้าที่ความร้อนรนปะทะความเย็นชา ผู้อื่นไม่แยแสเขา แต่กลับสนิทสนมกับเสิ่นเฉียวมากกว่าตนหลายส่วน

หลายครั้งเข้า เฉินกงเองก็ท้อแท้ เขานอนอยู่บนเตียง ประเดี๋ยวรู้สึกโมโห ประเดี๋ยวก็รู้สึกว่าตนเองจริงใจไม่พอ รอพรุ่งนี้ไปบอกผู้อื่นว่าตนเพียงต้องการเข้าพรรคลิ่วเหอเป็นคนปัดกวาดเช็ดถู ไม่แน่ว่าฝ่ายตรงข้ามอาจยอมรับ

ในหัวสมองคิดฟุ้งซ่าน คนย่อมนอนไม่หลับ พลิกตัวหลายครั้งเฉินกงจึงพลันสังเกตว่ากลุ่มคนพรรคลิ่วเหอที่ด้านข้างมีความเคลื่อนไหว

การเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งเบาและรวดเร็วมาก สวมเสื้อใส่รองเท้า พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว เฉินกงประหลาดใจ อยากลุกขึ้นไปลองดู ด้านข้างกลับพลันมีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจับเขาเอาไว้

เฉินกงตกใจจนสะดุ้ง ตอบสนองทันที ผู้ที่จับเขาไว้ก็คือเสิ่นเฉียว

“อย่าออกไป อยู่ที่นี่” เสิ่นเฉียวกล่าวเสียงแผ่วเบา

เฉินกงกล่าว “ข้าจะแง้มประตูดูสักหน่อย ไม่เป็นไรหรอก”

เพิ่งขาดคำ ด้านนอกก็ถ่ายทอดเสียงตะโกนกับเสียงต่อสู้มา

เฉินกงทั้งเคร่งเครียดและตื่นเต้นทันที รู้สึกว่ายุทธภพในทัศนะตนเองใกล้ขึ้นอีกก้าวแล้ว

ใครจะไปรู้ว่ามือเพิ่งเปิดประตูออก เขาก็รู้สึกปลายนิ้วชา ประตูทั้งบานเปิดโครมออก กระแสลมพัดมาจากด้านนอกเสมือนลมมรสุม

เฉินกงหลบไม่ทัน ร้องอุทานหนึ่งเสียง คนเซไปด้านหลัง บั้นเอวชนขอบเตียง เปลี่ยนเป็นแผดร้องทันที

แต่นี่มิใช่จุดสิ้นสุด ต่อมาลำคอของเขาก็ถูกคนผู้หนึ่งบีบเอาไว้แนบแน่น!

ฝ่ายตรงข้ามยกแขนขึ้นเบาๆ เฉินกงก็ ‘ลอย’ ตามมาอย่างควบคุมมิได้ ภาพที่เห็นผ่านตาก็เปลี่ยนแปลง จากในห้องเปลี่ยนเป็นนอกห้อง

เฉินกงเบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนก แต่เขาตะโกนไม่ออกเลย รอจนยืนนิ่งด้วยความยากลำบากจึงได้ยินว่ามีคนหัวเราะพลางกล่าว “เจ้าสาม เจ้าโง่หรือ เด็กน้อยผู้นี้แค่มองก็รู้ว่าไม่เป็นวรยุทธ์ มิใช่คนของพรรคลิ่วเหอ เจ้าจับไปจะมีประโยชน์อะไร”

“อะไรนะ เขามิใช่คนพรรคลิ่วเหอ?! มารดามัน มิน่าเหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าลงมือได้อย่างง่ายดายเพียงนี้ ที่แท้จับเศษสวะ!”

อีกฝ่ายด่าทอเสียงดัง พลางออกแรงที่มือ เฉินกงเจ็บจนน้ำตาไหลออกมา

จบแล้ว ข้าจะถูกฆ่าแล้ว!

เขาตระหนักได้ถึงจุดนี้ เสียใจอย่างยิ่งที่เมื่อครู่มิฟังคำพูดของเสิ่นเฉียว ไม่หลบอยู่ในห้องแต่โดยดี กลับจะมาดูความสนุก

ยุทธภพยังคงห่างจากเขายิ่งนัก เป็นตายกลับใกล้กับเขายิ่งนัก

ในชั่วขณะสั้นๆ ลำคอของเฉินกงก็ถ่ายทอดความเจ็บปวดมา นั่นคือเค้าลางที่คอหอยกำลังจะถูกบีบแหลก

ทว่าครู่หนึ่งให้หลัง คนผู้นั้นที่คิดจะฆ่าเขาพลันร้องเอ๊ะ กลับชักมือเคลื่อนตัวออกไป ความเจ็บของเฉินกงคลายลงทันใด ทั้งร่างอ่อนระทวยคุกเข่าอยู่บนพื้นไอไม่หยุด

ขณะมู่หรงซวิ่นคิดจะสังหารเฉินกง ล่วงรู้อยู่แล้วว่าในห้องยังมีอีกคนหนึ่ง แต่เขาไม่เคยเห็นความสำคัญของคนต่ำต้อยสองคนนี้ กลับคิดไม่ถึงว่าขณะตนเองลงมือ คนผู้นั้นกลับยังกล้าลงมือลอบโจมตี

ไม้เท้าไม้ไผ่เบาหวิวไม่มีกำลังภายในแฝงไว้แม้แต่น้อย เดิมมู่หรงซวิ่นคิดว่าสามารถจับตัวได้โดยง่าย ใครจะไปรู้ว่าขณะมือเพิ่งแตะถูกขอบไม้เท้าไม้ไผ่ ไม้เท้านั้นกลับไถลออกอย่างพิสดาร ทั้งยังเคาะถูกจุดสำคัญด้านหลังของเขา

มู่หรงซวิ่นมิอาจไม่ปล่อยเฉินกงออก เขารีบเคลื่อนตัวหลบไปยังด้านข้าง

“เจ้าคือใคร!” เขาหรี่ตาสังเกตฝ่ายตรงข้าม

“พวกเราหาใช่กลุ่มคนพรรคลิ่วเหอไม่ และมิใช่ชาวยุทธ์ เพียงพักแรมอยู่ที่นี่พอดี ไม่เกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นที่นี่ ขอให้ท่านโปรดเข้าใจ ปล่อยพวกเราไป” เสิ่นเฉียวกล่าว

ยามค่ำคืนแสงไฟไม่เพียงพอ เสิ่นเฉียวมองไม่เห็นมู่หรงซวิ่น ได้แต่ชี้ขาดทิศทางคร่าวๆ ของเขา ประสานมือไปตรงนั้น

มู่หรงซวิ่นกลับมองออกในแวบเดียว “เจ้าตาบอด!”

 

ยามค่ำคืนที่ลมก่อตัว เมฆถาโถมในวัดเล็กๆ อย่างวัดชูอวิ๋น

แม้อวิ๋นฝูอีคาดการณ์ไว้ก่อน แต่สถานการณ์ในคืนนี้ยังเหนือความคาดหมายของนางไปมาก

นางม้วนแขนเสื้อขึ้น ฟาดฝ่ามือออก คนกลับลอยไปด้านหลัง ท่วงท่าสง่างาม เปี่ยมด้วยกลิ่นอายเซียน คนรอบข้างดูไปเหมือนเต้นรำขึ้นมาอย่างปราดเปรียว คิดไม่ถึงอย่างแน่นอนว่าพลังที่สะสมอยู่ที่ฝ่ามือนี้มากเพียงใด

แขนเสื้อทั้งสองของอีกฝ่ายหนึ่งชูขึ้นแล้วกวาดออก สลายการโจมตีของอวิ๋นฝูอีได้อย่างง่ายดาย อวิ๋นฝูอีกลับมองเห็นชัดเจนว่าในแขนเสื้อทั้งสองนั้นมีมีดปีกจักจั่นที่บางเหมือนใบหลิ่วไถลออกมา ประกายมีดแวบผ่านแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที แต่กระแสลมฝ่ามืออันเร็วแรงของนางก็อันตรธานหายไปเช่นเดียวกัน

คู่ต่อสู้ผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก อวิ๋นฝูอีตระหนักได้

“สูงส่งงดงามไม่ทิ้งร่องรอย สมเป็นอันดับสองของพรรคลิ่วเหอ คนนอกล้วนกล่าวว่าอวิ๋นฝูอีเป็นสตรี น่ากลัวจะเป็นหุ่นเชิด คนที่กล่าวคำพูดนี้คงไม่มีโอกาสได้รับคำชี้แนะด้านความสามารถจากรองประมุขอวิ๋น!”

กระแสลมไร้สุ้มเสียงพัดไปยังอวิ๋นฝูอีพร้อมกับคำพูดประโยคนี้ อวิ๋นฝูอีสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่มีความเยือกเย็นเหมือนขณะต่อสู้กับมู่หรงชิ่นอีก ฝ่ามือทั้งสองฉวัดเฉวียนวาดเป็นรูปร่างคล้ายดอกบัว พลังปราณก่อขึ้นในชั่วขณะ ผลักออกอย่างธรรมดาสามัญ

กระแสลมสองกลุ่มปะทะกัน อวิ๋นฝูอีจึงพบว่าพลังปราณของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงมิอาจคาด ลักษณะเหมือนปลายเข็ม ไม่มีสิ่งใดแทงไม่เข้า ครั้นเล็งเห็นช่องโหว่ก็เสียบเข็มเข้าไป พอฝ่ามือของนางแตะสัมผัสก็รู้สึกถึงไอเย็นหลายหอบซึมจากผิวหนังเข้าสู่เลือดเนื้อ ตรงเข้าสู่ไขกระดูก

คิดจะชักมือก็ไม่ทันแล้ว เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามมิได้ให้โอกาสนางตอบโต้ใดๆ ระลอกหนึ่งยังไม่สงบ อีกระลอกก็มาอีกแล้ว เหมือนกระแสน้ำของแม่น้ำฤดูใบไม้ผลิซ้อนกันเป็นชั้นๆ ซัดมา อวิ๋นฝูอีลอบตกเป็นรอง ไหนเลยยังต้องฝืนต้าน แม้ยอมสละช่องโหว่หน้าลำตัวก็ต้องถอยหลัง

ขณะเซถอยลงไปกองกับพื้น หน้าอกนางปวดตื้อบ้างแล้ว ลำคอได้รสหวานคาว นางมิได้บ้วนออกมาแต่กลับกลืนลงไป แล้วกล่าวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านคือผู้ใด”

ฝ่ายตรงข้ามเห็นอวิ๋นฝูอีสีหน้าเหมือนปกติก็ส่งเสียงเอ๊ะอย่างเลี่ยงมิได้ แสดงความประหลาดใจและความชื่นชมเล็กน้อยออกมา “ทอดมองในแคว้นฉี มีน้อยคนแล้วที่รับฝ่ามือนี้ของข้าได้ เจ้ากลับมีความสามารถอยู่บ้าง”

“ท่านคือผู้ใด” อวิ๋นฝูอีถามอีกครั้ง

ฝ่ายตรงข้ามเอามือไพล่หลังอย่างเย่อหยิ่ง ยิ้มพลางกล่าว “ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในแคว้นฉี จะส่งสิ่งของแคว้นฉีออกชายแดนแคว้น เรื่องนี้ราชสำนักมิอาจก้าวก่ายหรือ เรื่องในวันนี้ หากพรรคลิ่วเหอยอมทิ้งของไว้ ข้าก็จะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจอีก พร้อมคุ้มครองพวกเจ้าออกจากแคว้นฉีอย่างปลอดภัย!”

ได้ยินเขากล่าวถึงราชสำนักฉี อวิ๋นฝูอีสะท้านใจ ไม่นานก็ตอบสนอง “เจ้าคือคนของราชสำนักฉี? เจ้าคือมู่หรงชิ่น?”

หลังราชวงศ์เยียนล่มสลาย สกุลมู่หรงร่อนเรพเนจรหลายยุคสมัย มู่หรงชิ่นเจ้าบ้านมู่หรงคนปัจจุบัน แม้อวดอ้างตนเองเป็นอนุชนราชนิกุลมู่หรง แต่กลับตกเป็นทาสราชวงศ์ฉีแล้ว รับใช้ฮ่องเต้ฉี เพียงเพราะมีชื่อเสียงยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉี อยู่ภายนอกต่อหน้าเขามีคนรอบข้างเคารพยกย่องมากมายเพื่อที่จะประจบเขา

หากเปลี่ยนเป็นยามปกติ ต่อให้มู่หรงชิ่นมา อวิ๋นฝูอีก็ไม่กล้าที่จะสู้กับเขา แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมาเพื่อสิ่งที่ตนคุ้มกันมา หมายมั่นปั้นมือจะชิงไปให้จงได้ เช่นนี้ก็สื่อความหมายว่า…

“หลิวชิงหยากับซั่งกวนซิงเฉินเล่า!” นางสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ที่ถามคือหัวหน้าสาขาอีกสองคนที่เดินทางมาด้วยกัน

หูเหยียนได้ยินก็ตกใจ “หัวหน้าสาขาหลิวกับหัวหน้าสาขาซั่งกวนล้วนคุ้มกันสิ่งของอยู่ในห้อง คงไม่ถึงขั้น…”

อวิ๋นฝูอีกล่าวเสียงหนักๆ “คิดไม่ถึง เจ้าบ้านมู่หรงเป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉี จะลอบโจมตีกลับต้องพาลูกน้องมาด้วย หากถ่ายทอดออกไปไม่พ้นทำให้ผู้คนขบขัน!”

มู่หรงชิ่นหัวเราะเยาะ “รองประมุขอวิ๋นออกศึกด้วยตัวเอง ข้าจะกล้ายกตนข่มท่านได้อย่างไร อีกทั้งคืนนี้ที่นี่มิได้มีเพียงพวกเรา…สารเลวจากที่ใดซุกซ่อนในที่ลับ ยังไม่ปรากฏตัวอีก!”

คำพูดนี้พอออกไป โดยรอบเงียบกริบ ไม่มีผู้ใดตอบเขา

อวิ๋นฝูอีขมวดคิ้ว นึกถึงเจ้าอาวาสวัดกับหลวงจีนน้อยสองรูปนั้นที่จนถึงตอนนี้ยังมิได้ปรากฏตัว และไม่รู้ว่าพวกเขาตกใจจนสลบไปแล้ว หรือว่ามีเหตุสุดวิสัยอื่น

กลับเป็นมู่หรงซวิ่นกับทั่วป๋าเหลียงเจ๋อที่ถูกส่งไปสืบค้นด้านโน้น จับเสิ่นเฉียวกับเฉินกง และหัวหน้าสาขาสองคนนั้นของพรรคลิ่วเหอกลับมา

“เจ้าบ้าน ในหีบนั้นล้วนเป็นขยะ ไม่มีสิ่งของที่พวกเราต้องการ!” ทั่วป๋าเหลียงเจ๋อกล่าว พลางโยนเฉินกงลงบนพื้นแรงๆ

เฉินกงร้องครวญครางอยู่ตลอดทางที่ถูกพาตัวมา อีกฝ่ายไม่ชอบให้เขาส่งเสียงจึงจี้จุดใบ้ของเขา ยามนี้เฉินกงแม้กระทั่งส่งเสียงร้องก็ร้องไม่ออก สีหน้าทุกข์ทรมานบิดเบี้ยว

พวกเขากระทำต่อเสิ่นเฉียวดีกว่าเล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งที่เขาเผยออกมาก่อนหน้าทำให้มู่หรงซวิ่นยำเกรงอยู่บ้าง แต่ยังคงยึดตรึงไหล่ของเสิ่นเฉียวเอาไว้แนบแน่น

ยามปกติหลิวชิงหยาและซั่งกวนซิงเฉินก็นับเป็นหัวหน้าสาขาพรรคลิ่วเหอที่บารมีแผ่ไพศาล ขณะนี้ถูกจี้จุดสำคัญทั่วร่าง สภาพจนมุม หน้าตาทรุดโทรม ทว่ายังคงฝืนกัดฟันไม่ยอมส่งเสียงใด

มู่หรงชิ่นมองดูพวกเขาแวบหนึ่ง “หากรองประมุขอวิ๋นยังสนใจชีวิตลูกน้องทั้งหลายของตน ก็มอบสิ่งของมา”

อวิ๋นฝูอีถอนหายใจ “เจ้าบ้านมู่หรงแค่ต้องการสินค้าที่พวกเราคุ้มกันมาในการเดินทางครั้งนี้กระมัง หีบสองใบที่อยู่ในห้องพวกหัวหน้าสาขาหลิว เจ้าพาคนไปหยิบเถอะ ฝีมือสู้มิได้ ข้าย่อมไม่มีอะไรจะกล่าว”

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com