everY
ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 3 #นิยายวาย
ในขณะที่หลวงจีนน้อยกำลังลงมือ เขาไม่มีแรงโต้ตอบเลย
พลังปราณยิ่งใหญ่ทรงอำนาจ มาพร้อมกับรังสีสังหารท่วมฟ้า ระหว่างคนทั้งสองยังคงห่างกันห้าหกก้าว เสิ่นเฉียวก็รู้สึกแล้วว่าหายใจไม่ออก กระดูกหน้าอกเจ็บปวดเป็นพักๆ เบื้องหน้ามืดสนิท ไม่อาจรับรู้ได้กระทั่งพื้นที่ยืนอยู่ ทั่วร่างอ่อนระทวย มีเพียงวงนั้นที่หน้าอกเหมือนถูกไฟลน อึดอัดจนต้องบ้วนโลหิตคำใหญ่ออกมาจึงโล่งสบาย
หลวงจีนน้อยเองก็มิได้เห็นเสิ่นเฉียวอยู่ในสายตาเลย สำหรับนางแล้ว คนผู้นี้ยุ่งเรื่องชาวบ้านแต่กลับไม่คำนึงถึงตัวเองก่อน สมควรตายโดยแท้จริง
ต่อหน้าคนผู้หนึ่งแม้หน้าตาน่ามองเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์
เสิ่นเฉียวในสายตานางคือของตาย
ทว่าในขณะที่ปลายนิ้วของนางแตะถูกลำคอของฝ่ายตรงข้ามพอดี ก็กลับเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นอีกแล้ว
ครั้งนี้มิได้มาจากเสิ่นเฉียว
พลันมีมือข้างหนึ่งงอกออกมาจากอากาศท่ามกลางความมืดมิด จับไปยังข้อมือของหลวงจีนน้อย
ความเร็วไม่เร็ว ธรรมดาไม่ผิดแผก ไม่มีลูกไม้แต่อย่างใด
มือข้างนี้เรียวยาวขาวผ่อง เกลี้ยงเกลาไร้ร่องรอย มองออกว่าเป็นมือข้างหนึ่งของบุรุษ อีกทั้งต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความมั่งคั่งทรงเกียรติแรมปี อยู่ในตำแหน่งสูงส่งเป็นแน่
หลวงจีนน้อยมิเพียงไม่มีความคิดชื่นชม แต่กลับหวาดผวาอย่างยิ่ง
เนื่องเพราะนางไม่รู้เลยว่ามือข้างนี้โผล่ออกมาจากที่ใด ได้แต่ยอมให้อีกฝ่ายจับกระดูกข้อมือเอาไว้ ไม่มีแรงตอบโต้แม้แต่น้อย!
“โอ๊ย!” กระดูกข้อมือถ่ายทอดความเจ็บปวดวูบหนึ่งมา นางอดร้องอุทานขึ้นมิได้
บุรุษคนใดได้ยินสุ้มเสียงนี้ ต่อให้ไม่เกิดความเอ็นดู อย่างน้อยท่าทางก็ต้องชะงักเล็กน้อย น่าเสียดายนางมีใบหน้าของหลวงจีนน้อยอันซื่อตรง ผลลัพธ์ไม่ค่อยเหมือนที่คิดไว้ ซ้ำยังพบเจอกับผู้ที่ใจแข็งเหมือนหิน ในขณะที่กระดูกข้อมือถูกบีบละเอียด คนเองก็ลอยขึ้นตาม แต่มิใช่นางเป็นฝ่ายหนีไปเอง กลับถูกเหวี่ยงออกไป
เรือนร่างอรชรกระแทกกับเสาโดยตรง แม้กระทั่งเสาก็คล้ายสั่นสะเทือน หลวงจีนน้อยจนมุมกลิ้งตกลงมา กระอักเลือดติดต่อกันหลายคำ
ข้อมือข้างหนึ่งของนางถูกบีบละเอียด มืออีกข้างหนึ่งก็ถูกคมบางปีกจักจั่นทะลุผ่านเมื่อครู่ โลหิตไหลเต็มสองมือ น่าเวทนาเท่าใดก็น่าเวทนาเท่านั้น
แต่นางคล้ายหาได้ใส่ใจสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ไม่ กลับจ้องคนที่ลงมือทำร้ายตนเอาไว้เขม็ง น้ำเสียงไม่ชัดเจนเพราะเลือดเต็มปาก “เจ้าคือใคร…”
คนชุดเขียวจึงกล่าวขึ้น “ไม่ต้องมองข้าเช่นนี้ ต่อให้ซางอิ่งสิงกับหยวนซิ่วซิ่วร่วมมือกัน ก็มิอาจปากกล้าบอกว่าต้องชนะข้าแน่ นับประสาอะไรกับเจ้า”
ไป๋หรงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยก่อนกล่าว “เรียนถามท่านมีชื่อแซ่สูงส่งอันใด”
อีกด้านหนึ่งก็มีคนไขข้อสงสัยของนางแล้ว “ไม่ทราบประมุขเยี่ยนปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด”
ประมุขเยี่ยน…เยี่ยนอู๋ซือ?!
ไป๋หรงเบิกตาเล็กน้อย ไม่อยากจะเชื่อ
เป็นศิษย์ที่มีตำแหน่งสูงสุดในนิกายเหอฮวน นางได้ยินชื่อของเยี่ยนอู๋ซือบ่อยครั้ง สามนิกายพรรคมารแม้ถือกำเนิดมาด้วยกัน แต่ไม่กลมเกลียวกันนานแล้ว โดยเฉพาะในช่วงสิบปีนี้ที่เยี่ยนอู๋ซือเก็บตัวอย่างไร้ร่องรอย นิกายเหอฮวนฉวยโอกาสซ้ำเติมไม่น้อย หาเรื่องนิกายฮ่วนเยวี่ย บัดนี้เยี่ยนอู๋ซือปรากฏตัวในยุทธภพอีกครั้ง แผลที่ตนเองได้รับ…ก็ไม่นับว่าไม่ยุติธรรม
เยี่ยนอู๋ซือแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “เจ้าโล้นยังมาได้ เหตุใดข้ามิอาจอยู่ที่นี่”
หลวงจีนที่มือถือชิ่งหยกเดินออกมาจากความมืดมิดอย่างเชื่องช้าพร้อมกับสุ้มเสียงของเขา แต่มิใช่ ‘เจ้าโล้น’ เหมือนที่เยี่ยนอู๋ซือกล่าว ฝ่ายตรงข้ามหน้าตาราวหยก ดูเหมือนอายุเพียงสามสิบกว่าปี จีวรขาวโพลนไร้ฝุ่น ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวคำ ทั่วร่างก็เขียนเต็มไปด้วยคำว่า ‘ภิกษุบรรลุธรรม’ แล้ว
การปรากฏตัวครั้งนี้ของเขา รุ่นเยาว์อย่างพวกมู่หรงซวิ่นกับทั่วป๋าเหลียงเจ๋อไม่ตอบสนอง แต่มู่หลงชิ่นกับอวิ๋นฝูอีกลับสีหน้าแปรเปลี่ยน
มู่หรงชิ่นตะโกน “คิดไม่ถึงเสวี่ยถิงไต้ซือเป็นราชครูแห่งแคว้นโจว ประมุขเยี่ยนปรมาจารย์แห่งยุค ทั้งสองท่านเป็นยอดฝีมือละทางโลก แต่กลับลับๆ ล่อๆ แอบซ่อนในที่ลับ แฝงเข้ามาชิงชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันในแคว้นฉีโดยพลการ คิดฉวยโอกาสเอาเปรียบ น่าขายหน้าหรือไม่”
หลวงจีนเสวี่ยถิงกล่าว “เจ้าบ้านมู่หรงไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเช่นนี้ หลังจิ้นกั๋วกงตาย ฝ่าบาทแคว้นโจวห้ามนับถือพุทธและเต๋า อาตมาจึงมิใช่ราชครูแห่งราชวงศ์โจวนานแล้ว ที่มาคืนนี้เพียงแค่รับการไหว้วานจากสหายเก่า หวังว่ารองประมุขอวิ๋นจะมอบสิ่งของให้อาตมา เพื่อนำกลับคืนเจ้าของเดิม นับว่าคืนความปรารถนาของเจ้าของเดิม”
ไป๋หรงบ้วนเลือดออกมาคำหนึ่ง หัวเราะเล็กน้อยก่อนกล่าว “ข้าไม่เคยเห็นหลวงจีนที่หนังหน้าหนาเพียงนี้มาก่อน เป็นตนเองเห็นสมบัติแล้วเกิดความปรารถนาชัดๆ กลับบอกว่าได้รับการไหว้วานจากสหายเก่าอะไร ใต้หล้าใครไม่รู้ว่าหลังเถาหงจิ่งตาย คัมภีร์สุริยันก็กลายเป็นสิ่งไร้เจ้าของ หรือว่าเถาหงจิ่งเข้าฝันขอให้เจ้ารวบรวมคัมภีร์สุริยันเผาไปให้เขา”
หลวงจีนเสวี่ยถิงไม่ยินดียินร้าย พนมมือทั้งสอง เหมือนไม่ได้ยินคำพูดของไป๋หรงเลย
มีคนเพิ่มมาสองคน มู่หรงชิ่นกับไป๋หรงมิกล้าลงมือกับอวิ๋นฝูอีอย่างง่ายดายอีก แต่อวิ๋นฝูอีกลับหาได้รู้สึกผ่อนคลายด้วยเหตุนี้ไม่ จิตใจกลับหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม
หลังจากฉีเฟิ่งเก๋อตาย วรยุทธ์ในใต้หล้าไม่มีใครเกินสิบอันดับ
แต่ในสิบคนนี้ หลวงจีนเสวี่ยถิงกับเยี่ยนอู๋ซือล้วนมีชื่อเสียง หลวงจีนเสวี่ยถิงสูงล้ำยากหยั่ง อีกทั้งอาจไต่เต้าสู่สามอันดับแรก เยี่ยนอู๋ซือสาบสูญหลายปี แต่ครั้นปรากฏตัวในยุทธภพอีกครั้ง ก็เอาชนะคุนเสียยอดฝีมือแห่งยุคคนใหม่แห่งทูเจวี๋ยที่เคยเอาชนะเจ้าสำนักเขาเสวียนตู
คนใดก็ตามในสองคนนี้ ล้วนมิใช่ผู้ที่อวิ๋นฝูอีจะรับมือได้ ใครจะไปรู้ว่ามาทีเดียวกลับมาทั้งสองคน
เมื่อนึกถึงการไหว้วานจากโต้วเยี่ยนซานผู้เป็นประมุข นางก็รู้สึกขมฝาดทั้งปาก
มิใช่นางไม่คิดพยายามสุดความสามารถ แต่สถานการณ์ในคืนนี้เหนือความคาดหมายโดยแท้จริง
แม้ระหว่างคนเหล่านี้จะไม่สมัครสมาน แต่พวกเขาล้วนมีเป้าหมายร่วมกัน นั่นก็คือชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันในตัวนาง
คัมภีร์สุริยันที่เถาหงจิ่งเขียนมีทั้งหมดห้าเล่ม แบ่งเป็นใช้ห้าธาตุสอดคล้องกับอวัยวะภายใน ซ้ำยังแบ่งเป็นญาณสัมผัส ภูตพราย สัมภเวสี แก่นขุ่นมัว และจิตเพ้อพก ห้าส่วน ผสมผสานกับแนวคิดของหรู พุทธ และเต๋า ได้ชื่อว่าเป็นหนังสือประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน ตอนนี้มีสามเล่มที่ทราบที่อยู่แล้ว กระจายไปตามวังแคว้นโจว เขาเสวียนตู และนิกายเทียนไถ อีกสองเล่มไม่รู้ร่องรอย
อาศัยชิ้นส่วนคัมภีร์ในมือตนเอง เขาเสวียนตูกับนิกายเทียนไถกุมอำนาจของเต๋าและพุทธ ประดุจมหานิกายแห่งวิชายุทธ์ในใต้หล้า ฉีเฟิ่งเก๋อกลายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าเพราะโอกาส
แม้กล่าวว่าเสิ่นเฉียวศิษย์ของเขาไม่ค่อยพากเพียร ถูกคนโจมตีจนตกจากยอดเขา แต่นี่เป็นเพียงความไม่เชี่ยวชาญวิชาของเสิ่นเฉียวเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับคัมภีร์สุริยัน แม้ว่าได้ครอบครองเพียงเล่มเดียว แต่หากสำเร็จแก่นสาร แตกฉานความลี้ลับในนั้น ไม่แน่ว่าจะมิอาจมีความสามารถอันดับหนึ่งในใต้หล้าเหมือนฉีเฟิ่งเก๋อ
สามเล่มที่มีเบาะแสตอนนี้ถูกแต่ละสำนักเก็บซ่อนไว้อย่างดี คนอื่นคิดแย่งชิงมิใช่ง่ายดายเพียงนั้น อีกสองเล่มคือสิ่งไร้เจ้าของ ผู้มีความสามารถจึงได้มันไป ฉะนั้นขณะที่ข่าวคราวว่าชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันที่อวิ๋นฝูอีพกติดตัวเผยแพร่ออกไปเงียบๆ พวกเขาจึงล่อผู้ปล้นชิงมาชุดแล้วชุดเล่า
คนพรรคลิ่วเหอไม่รู้ความจริง ยังคิดว่าในหีบสองใบนั้นซ่อนสมบัติล้ำค่าอะไรไว้เสียอีก ขณะได้ยินว่าอวิ๋นฝูอีพกชิ้นส่วนคัมภีร์สุริยันติดตัว ทั้งหมดพลันตกตะลึง จวบจนบัดนี้ยังมิได้ตอบสนองขึ้นมา
ท่ามกลางความนิ่งเงียบที่หลายฝ่ายคุมเชิง ต่างยำเกรงซึ่งกันและกัน กลับไม่มีผู้ใดยอมลงมือก่อน
มู่หรงชิ่นมีความคิดปล้นชิง แต่เขาเองก็รู้ว่า ขอเพียงเมื่อตนเองลงมือ หลวงจีนเสวี่ยถิงกับเยี่ยนอู๋ซือต้องขัดขวางเป็นแน่
อวิ๋นฝูอีอยู่กึ่งกลางวังวน ลอบร้อนรน อับจนหนทาง
นางรู้แก่ใจว่าต่อให้คืนนี้ข้ามผ่านปัญหาไปได้ พรุ่งนี้ข่าวถ่ายทอดออกไป คนที่มาชิงสมบัติรังแต่จะมากขึ้น แม้กระทั่งคนของนิกายปี้สยาแห่งเขาไท่ซานและอารามศึกษาหลินชวนก็จะถูกล่อมา ถึงเวลาพรรคลิ่วเหอไหนเลยจะยังมีช่วงเวลาสงบสุขได้
นางตัดสินใจแสวงหาเป้าหมายรองลงมา เลือกคนผู้หนึ่งที่ดูแล้วไว้ใจได้ที่สุด “ผู้มีความสามารถจึงจะได้มันไป คำพูดนี้กล่าวได้ถูกต้อง พรรคลิ่วเหอความสามารถไม่พอ ฝืนซ่อนสมบัติ เป็นเคราะห์มิใช่โชค ข้ายอมมอบชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันเพื่อแสวงหาความสงบสุข เรียนถามไต้ซือ หากข้ามอบชิ้นส่วนคัมภีร์ให้ท่าน ท่านรับประกันความปลอดภัยของข้ากับลูกน้องทั้งหลายได้หรือไม่”
หลวงจีนเสวี่ยถิงท่องนามพระพุทธเจ้าก่อนกล่าว “รองประมุขอวิ๋นคำนึงถึงส่วนรวม อาตมาไหนเลยจะกล้าเพิกเฉย!”
อวิ๋นฝูอีชั่งใจหลายครั้ง สุดท้ายลอบกัดฟัน ล้วงกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ กระบอกหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ หูเหยียนหูอวี่ชะโงกหน้าดูอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ไป๋หรงเองก็อดยืดตัวตรงมิได้ ยากที่จะจินตนาการว่าในกระบอกไม้ไผ่ธรรมดาที่เล็กกว่าข้อมือสตรีกระบอกนี้กลับซ่อนชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันที่ผู้คนในใต้หล้าปรารถนาเอาไว้
สองมือไป๋หรงได้รับบาดเจ็บ ไร้แรงต่อสู้ ถือโอกาสพิงกับเฉลียงพลางชมดูความสนุก
มู่หรงชิ่นกลับแปรเป็นเงาสายหนึ่งแล้ว เป้าหมายคือกระบอกไม้ไผ่กระบอกนั้น
ไม่รอให้เขาเข้าใกล้อวิ๋นฝูอี กระแสลมฝ่ามือของหลวงจีนเสวี่ยถิงก็ลอยมาจากด้านหลังแล้ว เคียงคู่กับเสียงชิ่งหยกต่อเนื่องไม่ขาดสาย สุ้มเสียงซึมซาบสู่ใจคน ในโสตมู่หรงชิ่นกลับเหมือนความรู้สึกของอวิ๋นฝูอีเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน ฝีเท้าพลันเปลี่ยนเป็นหนักเกินพันชั่ง หน้าอกจุกแน่นใคร่อาเจียน
เขารู้แก่ใจว่าตนเองต้องได้รับผลกระทบจากชิ่งหยกเป็นแน่ ถือโอกาสปิดหูไม่ฟัง ท่าทางการลงมือมิได้หยุดลง ยังคงพุ่งไปยังกระบอกไม้ไผ่ในมือของอวิ๋นฝูอี
เยี่ยนอู๋ซือไม่รู้คิดอย่างไร สอดขาเข้ามาด้วยเช่นกัน เรือนร่างเคลื่อนไหวเล็กน้อย เงาไม่ทันขยับ คนก็บรรลุถึงด้านหลังมู่หรงชิ่นแล้ว
เขายื่นมือออก กลับมิได้ขัดขวางไม่ให้มู่หรงชิ่นชิงกระบอกไม้ไผ่ แต่สกัดหลวงจีนเสวี่ยถิงเอาไว้
พริบตา คนทั้งสองประมือกันไม่ต่ำกว่าหลายสิบกระบวนท่าแล้ว อย่าว่าแต่เฉินกงมองดูจนตาลายสับสน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แม้กระทั่งคลื่นลูกใหม่อย่างหูเหยียนหูอวี่ก็งงงวยไม่กระจ่าง
เฉินกงมองดูจนเวียนศีรษะ แต่ก็ไม่ละสายตา ขณะกำลังเคลิบเคลิ้ม เสิ่นเฉียวพลันจับไหล่ของเขาเอาไว้กล่าวเสียงแผ่วเบา “ลุกขึ้น ไป!”
ยามปกติเสิ่นเฉียวกล่าวคำพูดหนึ่งประโยค เฉินกงต้องโต้เถียงสามประโยค ครานี้ฟังคำสั่งโดยง่ายอย่างหาได้ยาก ไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น กัดฟันออกแรงลุกขึ้นมาหมายผละไป
แต่เพิ่งลุกขึ้นมา เฉินกงก็รู้สึกว่าด้านหลังถูกพลังชนิดหนึ่งยกขึ้น ทั้งร่างลอยขึ้นกลางอากาศ เขาอดมิได้ที่จะร้องตะโกนออกมา ตื่นตระหนกสุดขีด รอจนเยี่ยนอู๋ซือโยนเขาไว้บนหลังคา สองขาของเขาอ่อนระทวยคุกเข่าลง เกือบกลิ้งหลุนๆ ลงไป
นับตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นมา เฉินกงก็โชคร้ายถึงขีดสุดมาตลอด ในใจเขาบังเกิดความสิ้นหวัง มองไปยังด้านล่างอย่างสั่นเทา มองเห็นข้างกายเยี่ยนอู๋ซือมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
เสิ่นเฉียวเองก็ถูกจับให้ยืนขึ้นมา
ในมือเสิ่นเฉียวยังถือกระบอกไม้ไผ่อยู่…เป็นสิ่งที่เยี่ยนอู๋ซือฝืนยัดให้เขา…เขาจะโยนก็มิได้ถือไว้ก็มิได้ สีหน้างุนงงและจนปัญญา “พวกเราเป็นเพียงคนต่ำต้อยพักแรมอยู่ที่นี่ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องยุทธภพ จะยุติเรื่องราวต้องหาผู้เป็นหัวหน้า ประมุขเยี่ยนอย่าหยอกล้อพวกเราเช่นนี้ได้หรือไม่”
เยี่ยนอู๋ซือกระหยิ่มยิ้มย่องกล่าว “นี่เรียกว่าหยอกล้อได้อย่างไรเล่า นี่ข้ายกผลประโยชน์ให้พวกเจ้า ยามนี้สิ่งที่ผู้คนในใต้หล้าต้องการอยู่ในมือแล้ว หรือเจ้าไม่มีความยินดีสักนิด”
ใครก็คิดไม่ถึงว่าเยี่ยนอู๋ซือสอดมือเข้าไปยุ่งกับเหตุการณ์วุ่นวาย แต่กลับมอบกระบอกไม้ไผ่ให้คนต่ำต้อยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อยสองคนนี้ ทันใดคนทั้งหมดในที่นั้นต่างจ้องมองเสิ่นเฉียว สายตาร้อนผ่าวจนน่ากลัวว่าจะเผาเขาจนเป็นรู
หลวงจีนเสวี่ยถิงขมวดคิ้วยามกล่าว “ประมุขเยี่ยน ไยต้องดึงผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาพัวพัน”
เยี่ยนอู๋ซือโยนพู่หยกที่ผูกบนชุดคลุมเล่นอย่างใจลอย “พวกเจ้าอยากดูไหมว่าในนั้นเขียนอะไร สู้ต่อไปเช่นนี้ก็ไม่มีสิ้นสุด มิสู้ทุกคนมีส่วนจะดีกว่า หากให้ข้ามาอ่าน คนอื่นต้องไม่เชื่อแน่ หากให้พวกเจ้ามาอ่าน ข้าเองก็ไม่เชื่อ มิสู้มอบให้เขาอ่าน อ่านเท่าใด ฟังเท่าใด นั่นก็แล้วแต่บุญแต่กรรมของตัวเองแล้ว”
เยี่ยนอู๋ซือกระทำการไม่ถูกทำนองคลองธรรม ไม่ปฏิบัติตามกฎ คนมากมายได้ยินมานานแล้ว เมื่อได้ยินเขากล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา ไป๋หรงกลับลอบดีใจ
คืนนี้นิกายเหอฮวนมีนางมาเพียงคนเดียว มีพวกหลวงจีนเสวี่ยถิงกับเยี่ยนอู๋ซืออยู่ นางอย่าได้คิดครอบครองชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันเลย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงตอนนี้ที่ตนเองได้รับบาดเจ็บอีกด้วย
หากตามที่เยี่ยนอู๋ซือกล่าว ได้ยินเพียงเศษเสี้ยวคำพูด อย่าว่าแต่ตนเองได้รับประโยชน์เพียงใด อย่างน้อยกลับไปก็มีคำอธิบาย
เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงจ้องกระบอกไม้ไผ่ในมือของเสิ่นเฉียวเขม็ง ไม่ละสายตา
พวกมู่หรงชิ่นเองก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน มีเพียงหลวงจีนเสวี่ยถิงหาได้เห็นด้วยไม่ จึงกล่าวว่า “ประมุขเยี่ยน คนผู้นี้หาใช่คนในยุทธภพ วันนี้เขาอ่านเนื้อหาในชิ้นส่วนคัมภีร์ออกมา วันหน้าข่าวคราวถ่ายทอดออกไป คนรอบข้างอยากได้คัมภีร์สุริยันแต่ก็ไม่ได้มา ต้องมีพวกชั่วร้ายต่ำช้าเลือกลงมือต่อเขา ท่านไม่ฆ่าผู้อื่น แต่ผู้อื่นกลับตายเพราะท่าน!”