ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 3 #นิยายวาย – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน พันสารท เล่มที่ 1 บทที่ 3 #นิยายวาย

4 of 4หน้าถัดไป

เยี่ยนอู๋ซือกล่าวอย่างเกียจคร้าน “เจ้าโล้น เจ้ากล่าวคำพูดเหล่านี้อย่างเสแสร้งหรือไม่ แต่ก่อนขณะเป็นราชครู คัมภีร์สุริยันเล่มนั้นที่วังแคว้นโจว เจ้าคงได้อ่านแล้วเป็นแน่ เจ้าร่ำเรียนจากนิกายเทียนไถ ในปีนั้นขณะทรยศสำนัก ฮุ่ยเหวินอาจารย์เจ้ายังไม่ตาย ด้วยความสำคัญที่เขามีต่อเจ้า คัมภีร์สุริยันเล่มนั้นที่นิกายเทียนไถ ไม่แน่ว่าเจ้าเองก็ได้อ่านแล้ว หากรวมกับเล่มนี้อีก เท่ากับทั้งห้าเล่มเจ้าจำได้แล้วสามเล่ม ได้เปรียบแล้วยังทำไขสือ ที่กล่าวมาคือคนอย่างเจ้ากระมัง”

มู่หรงชิ่นกลับเห็นด้วยกับคำพูดของเยี่ยนอู๋ซือ เอ่ยปากถากถาง “ไต้ซือพฤติการณ์สูงส่ง ในเมื่อไม่อยากฟัง จากไปก็ได้แล้ว ไยต้องขัดขวางผู้อื่น ที่ไม่อยากให้สาธยายยืดยาวอาจเพราะตนเองมิอาจครอบครองผู้เดียว ฉะนั้นจึงไม่พอใจ?”

หลวงจีนเสวี่ยถิงถอนหายใจ ในที่สุดก็ไม่กล่าวคำอีก

เยี่ยนอู๋ซือใช้เพียงสองนิ้วจี้จุดสำคัญด้านหลังของเสิ่นเฉียว กล่าวกับเขา “อ่าน”

ในสายตาคนนอกคล้ายเยี่ยนอู๋ซือกำลังคุกคามเขา มีเพียงเสิ่นเฉียวที่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคล้ายใช้วิชาลับบางอย่าง ทะลวงชีพจรที่อุดตันบางส่วนในตัว ในชั่วขณะพลังปราณอันอบอุ่นส่วนหนึ่งไหลเวียนทั่วร่างทันที การมองเห็นเบื้องหน้าค่อยๆ ชัดเจนไม่ต่างกับคนทั่วไปแล้ว

ผู้ใดก็ไม่มีทางคิดว่าชีวิตนี้ของเสิ่นเฉียวเป็นเยี่ยนอู๋ซือช่วยไว้ แต่ถึงแม้คนทั้งสองเคยมีความสัมพันธ์เช่นนี้ เสิ่นเฉียวเองก็ไม่คิดว่าเยี่ยนอู๋ซือจะให้ความสำคัญต่อตนเองเป็นอันขาด ในใจเขามีความคิดเลือนราง มีความรู้สึกหนาวเย็นต่อเยี่ยนอู๋ซือผู้นี้เพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง

เสิ่นเฉียวหยิบกระบอกไม้ไผ่กระบอกนั้นขึ้นมาตามคำสั่ง ค่อยๆ หมุนเปิด ดึงคัมภีร์ซี่ไม้ไผ่ที่ถูกม้วนออกมาจากด้านใน

แผ่นไม้ไผ่เหลาจนเบาอย่างยิ่ง หลังคลี่กางออกกลับมีความยาวประมาณสามฉื่อ กว่า

ตัวอักษรด้านในเล็กยิ่งนัก แต่ยามนี้สายตาของเสิ่นเฉียวได้รับการฟื้นฟูชั่วคราว อาศัยแสงจันทร์มองเห็นได้พอสังเขป

คนทั้งหมดสายตาร้อนผ่าว ล้วนมองเขาเอาไว้

หากสายตาเหล่านี้แปรเป็นสสารได้ ทั้งร่างเสิ่นเฉียวคงถูกเผาเป็นรูพรุนแล้ว

เขาหรี่ตาพิจารณาประโยค ค่อยๆ อ่านออกมาทีละคำทีละประโยค “ม้ามซ่อนจิต หลังกำเนิดคือจิตเพ้อพก ก่อนกำเนิดคือจารีตธรรม…”

คนที่สิ้นไร้กำลังภายในผู้หนึ่ง ระดับเสียงย่อมเบาเป็นธรรมดา แต่การฟังของคนส่วนใหญ่ ณ ที่นั้นเหนือมนุษย์ ยังคงฟังเข้าใจอย่างชัดเจน

เนื้อหาในคัมภีร์ซี่ไม้ไผ่มีไม่มาก ต่อให้ความเร็วในการอ่านของเสิ่นเฉียวช้าเพียงใด อย่างมากไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็อ่านจบแล้ว

เขาคืนคัมภีร์ซี่ไม้ไผ่ให้เยี่ยนอู๋ซืออย่างปากคอแห้งผาก เยี่ยนอู๋ซือเคลื่อนมือออกจากกลางหลังของเขา เสิ่นเฉียวรู้สึกเพียงความอบอุ่นส่วนนั้นมลายหายไปในบัดดล เบื้องหน้าก็ค่อยๆ คืนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง อีกทั้งบางทีเมื่อครู่อาจใช้สายตามากเกินไป สองตาเหมือนถูกไฟแผดเผา ความเจ็บปวดคล้ายตัวร้อน

เขาใช้มือป้องดวงตาเอาไว้อย่างเลี่ยงมิได้ มืออีกข้างหนึ่งอาศัยไม้เท้าไม้ไผ่ยันร่างเอาไว้ ก้มตัวเล็กน้อยพลางหอบหายใจ

เยี่ยนอู๋ซือมิได้สนใจเขา ยังคงหยิบคัมภีร์ซี่ไม้ไผ่มา สะบัดแขนชุดคลุม มิได้พูดพร่ำ เพียงสะบัดมือ คัมภีร์ซี่ไม้ไผ่ม้วนนั้นก็แปรเป็นผุยผงกระจายกลางอากาศทันที

คนทั้งหมดปากอ้าตาค้าง

มู่หรงซวิ่นเยาว์วัยเกรี้ยวกราด อดร้องตะโกนขึ้นมามิได้ “ชิ้นส่วนของคัมภีร์สุริยันคือสิ่งล้ำค่าเพียงใด เจ้ากลับทำลายทิ้ง!”

เยี่ยนอู๋ซือกล่าวอย่างเฉยชา “ไม่มีแล้วจึงเรียกว่าล้ำค่า เมื่อครู่เขาอ่านแล้ว จำได้มากจำได้น้อย นั่นเป็นเรื่องของเจ้า”

มู่หรงซวิ่นหอบหายใจถลึงตามองเขา กล่าวคำไม่ออกชั่วขณะ

เยี่ยนอู๋ซือตบมือ ปัดฝุ่นผงบนแขนเสื้อ แล้วหันกายผละไป ไม่มีความอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย

คนที่สกัดเขาได้บนโลกมีไม่มาก หลวงจีนเสวี่ยถิงมิได้ขยับ คนอื่นได้แต่มองเงาร่างของเขาหายวับไปในความมืดมิดตาปริบๆ

ไป๋หรงไม่สนใจว่าบนร่างยังมีบาดแผล ตามติดอยู่เบื้องหลังจากไป แต่มิใช่เพื่อไล่ตามเยี่ยนอู๋ซือ แต่เพื่อรีบหาสถานที่สักแห่ง เขียนเนื้อหาที่ตนเองจำได้เมื่อครู่เอาไว้

มู่หรงซวิ่นและทั่วป๋าเหลียงเจ๋อมองไปยังมู่หรงชิ่น เจ้าบ้านสกุลมู่หรงขบคิดครู่หนึ่ง ตัดสินใจได้แล้วจึงเอ่ย “ไป!”

คนทั้งสามไม่มองดูพวกอวิ๋นฝูอีอีกแม้แต่แวบเดียว พากันหันกายจากไป

หลวงจีนเสวี่ยถิงถอนหายใจเบาๆ กล่าวกับอวิ๋นฝูอี “คืนนี้รองประมุขอวิ๋นเสียขวัญแล้ว โปรดทักทายประมุขโต้วแทนอาตมาด้วย”

แม้กล่าวว่าเขามีส่วนในการสกัดอวิ๋นฝูอีเอาไว้ แต่ยามนี้ชิ้นส่วนคัมภีร์ถูกทำลายแล้ว อวิ๋นฝูอีไม่มีความสนใจที่จะตัดพ้อต่อว่าแม้แต่น้อย เพียงกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ไต้ซือเดินทางปลอดภัย”

รอหลวงจีนเสวี่ยถิงจากไป นางให้หูเหยียนหูอวี่พยุงหัวหน้าสาขาทั้งสองขึ้นมา ซ้ำยังกล่าวกับเสิ่นเฉียวและเฉินกง “ภัยพิบัติในคืนนี้ของพวกท่าน เป็นพรรคลิ่วเหอก่อขึ้นทั้งหมด เรื่องนี้ขออภัยอย่างยิ่ง ไม่ทราบต่อไปท่านทั้งสองคิดไปที่ใด หากสะดวก พวกเราสามารถแวะส่งพวกท่านได้”

หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้า เฉินกงต้องตอบรับด้วยความดีอกดีใจอย่างแน่นอน แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นคืนนี้ ทำให้เขาเปิดหูเปิดตาได้แล้วว่าอะไรเรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ความตื่นเต้นของเขาลดลงอย่างมาก แต่ก็ไม่อยากละทิ้งโอกาสเข้ายุทธภพนี้ไป ได้แต่ครุ่นคิดว่าจะตอบอย่างไรดี

เสิ่นเฉียวที่อยู่ด้านข้างกลับกล่าวก่อนเขาหนึ่งก้าว “ขอบคุณเจตนาของท่าน เดิมพวกเราวางแผนลงใต้พึ่งพาญาติ คิดไม่ถึงว่าจะพบเจอเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้ในใจกลัวยิ่งนัก คิดเพียงออกเดินทางเร็วขึ้น ถึงทางใต้ให้เร็วสักหน่อย พวกเรามิใช่ชาวยุทธภพ และไม่อยากพัวพันกับเรื่องยุทธภพ ขอแม่นางท่านนี้ให้อภัย”

อวิ๋นฝูอีขบคิดพลางกล่าว “เนื้อหาเหล่านั้นที่ท่านอ่านเมื่อครู่ ยังจำได้หรือไม่”

เสิ่นเฉียวส่ายหน้า “พวกเรายากจนข้นแค้นตั้งแต่เด็ก น้องชายไม่รู้หนังสือ ข้าเองก็รู้เพียงผิวเผิน ไม่เคยอ่านคัมภีร์อะไร กอปรกับดวงตาไม่ดี และไม่รู้ยอดฝีมือท่านนั้นใช้อิทธิฤทธิ์อะไร เมื่อครู่ใช้มือจี้กลางหลังข้า ทำให้ข้ามองเห็นตัวอักษรในคัมภีร์ซี่ไม้ไผ่ได้ รอข้าอ่านจบ พอมือของเขาออกไป ข้าก็มองเห็นอะไรไม่ชัดอีก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงจำได้หรือไม่”

อวิ๋นฝูอีเห็นดวงตาเขาไม่มีจุดรวมศูนย์ บริเวณตาขาวปรากฏสีฟ้าเล็กน้อย เป็นลักษณะของดวงตามีโรคจริง รู้แก่ใจว่าที่เขากล่าวไม่เท็จ รู้สึกเสียใจอยู่บ้างอย่างเลี่ยงมิได้ จึงกล่าวโดยมิได้ฝืน “ช่างเถอะ พวกเราต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืน ต้องไปก่อนก้าวหนึ่ง หากทั้งสองท่านมีเรื่องด่วนต้องการความช่วยเหลือ ไปที่สาขาย่อยพรรคลิ่วเหอ รายงานชื่อของข้าอวิ๋นฝูอี”

เสิ่นเฉียวกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง เฉินกงมองดูเขา กล่าวขอบคุณตามเช่นกัน

พวกอวิ๋นฝูอีหาได้อยู่ต่ออีกไม่ พวกเขาไม่สนใจกระทั่งหีบสองใบนั้น หูเหยียนหูอวี่พาหัวหน้าสาขาที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสอง เดินทางทั้งวันทั้งคืนรุดไปในเมือง วัดอันยิ่งใหญ่เปลี่ยวร้างกว่าเดิมในบัดดล

มองดูเงาร่างของพวกเขาเลือนหายไปในระยะสายตา เฉินกงตบเสิ่นเฉียวเบาๆ สุ้มเสียงยังคงเบายิ่งนัก คล้ายกลัวถูกคนได้ยิน “นางเพิ่งให้พวกเราไปด้วยกัน เหตุใดเจ้าไม่ตอบรับ ไปด้วยกันกับพวกเขา มิใช่ปลอดภัยกว่าหรือ”

ดวงตาของเสิ่นเฉียวเจ็บปวดไม่สิ้นสุด แต่เขาได้ยินก็แย้มยิ้มแล้ว “เช่นนั้นตอนที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ เหตุใดเจ้าไม่ห้ามข้า เสนอว่าจะติดตามไปด้วยกันกับพวกเขาโดยตรง”

เฉินกงลังเลเล็กน้อย กล่าวว่า “เทียบกับพวกเขา ย่อมเป็นเจ้าน่าเชื่อถือกว่า”

เสิ่นเฉียวถอนหายใจกล่าว “รองประมุขอวิ๋นท่านนั้นเชิญพวกเราร่วมเดินทาง คงเพียงกลัวเนื้อหาที่ตนเองฟังไม่ครบถ้วน หวังว่าพวกเราจะช่วยกันเขียนชิ้นส่วนคัมภีร์ออกมาเท่านั้น หลังเรื่องนี้ผ่านไปในคืนนี้ ไม่นานโลกภายนอกต้องรู้ข่าวแน่นอน คิดสารพัดวิธีเพื่อให้ได้สำเนาของชิ้นส่วนคัมภีร์ พวกเราร่วมเดินทางกับเขา ถึงเวลามีอันตรายอะไรเข้าจริง พวกเราก็จะถูกโยนออกมาเป็นคนแรก”

เฉินกงกระจ่างโดยพลัน อดมิได้ที่จะด่า “มิน่า ข้าว่าแล้วเหตุใดจู่ๆ สตรีผู้นั้นถึงใจดีเพียงนี้ ที่แท้มีอุบายเต็มทรวงอยู่ก่อน หากมิใช่เจ้าหยุดยั้งทันเวลา ข้าคงจะติดตามพวกเขาไปจริงๆ!”

เสิ่นเฉียวกล่าว “นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น ในเมื่อคัมภีร์สุริยันนั้นล้ำค่าเพียงนี้ พวกเขากลัวลืมเลือน ต้องหาสถานที่เขียนออกมาก่อน สำเนาของการเขียนเหล่านี้ต้องกลายเป็นสิ่งของที่ผู้คนหมายแย่งชิงอย่างแน่นอน พวกเรามิใช่ชาวยุทธภพ เดินทางร่วมกับพวกเขารังแต่จะติดร่างแหไปด้วย ไม่มีข้อดีแต่อย่างใด”

เฉินกงก้มหน้าหมดอาลัย “เจ้ากล่าวถูกต้อง แต่ก่อนข้าเคยเห็นความน่าเกรงขามของสาขาย่อยพรรคลิ่วเหอที่อำเภอฝู่หนิง จึงคิดอยากเข้าร่วมกับพวกเขา แต่หลังผ่านคืนนี้ ข้าไม่มีทางกอดความเพ้อฝันนี้อีกแล้ว ข้าไม่เป็นวรยุทธ์สักนิด เข้าไปคงได้แต่ทำงานบ้านตลอดชีวิตกระมัง!”

ยามนี้เหตุสุดวิสัยนั้นได้ผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยามแล้ว เสิ่นเฉียวจึงรู้สึกว่าความเจ็บปวดที่ดวงตาทุเลาเล็กน้อย เพียงแต่พอลืมตาขึ้นก็มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ซ้ำยังกลับสู่สถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดในตอนแรกอีกครั้ง

เขาขบคิด เมื่อครู่มือนั้นของเยี่ยนอู๋ซืออาจใช้วิธีอะไรยกระดับดวงตาที่ต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงขั้นหลายปีจึงหายเป็นปกติสู่สภาวะที่ดีที่สุดในชั่วขณะ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือแสงสว่างระยะสั้น บางทีอาจต้องใช้เวลานานยิ่งกว่าเพื่อฟื้นฟู

เสิ่นเฉียวแค่นยิ้มเล็กน้อยอย่างเลี่ยงมิได้

เขานับว่าเข้าใจความชืดช้าไร้น้ำใจของคนผู้นี้อย่างถ่องแท้แล้ว ตอนแรกฝ่ายตรงข้ามช่วยตนเอง เกรงว่าหาได้เกิดจากความใจดีอะไรไม่

แต่คืนนี้…เยี่ยนอู๋ซือปรากฏตัวอยู่ที่นี่ หรือว่าบังเอิญจริงๆ?

เฉินกงพลันดึงแขนเสื้อของเขา น้ำเสียงหวาดกลัวเล็กน้อยขณะกล่าว “เจ้าว่า เมื่อครู่หลวงจีนน้อยผู้นั้นถูกคนปลอมตัว เช่นนั้นเจ้าอาวาสกับหลวงจีนน้อยสองรูปนั้นในวัดแต่เดิมเล่า คงจะไม่…คงจะไม่ถูกปิดปากไปแล้วกระมัง”

เสิ่นเฉียวมิได้กล่าวคำ

บางทีความนิ่งเงียบของเขาอาจบ่งบอกความนัยบางอย่าง สีหน้าเฉินกงขาวซีด ไม่กล่าวคำแล้วเช่นกัน

เขาที่อวดอ้างตนเองว่าไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน เข้าใจถึงความสำคัญของความแข็งแกร่งและพละกำลังอย่างลึกซึ้งเป็นครั้งแรก

อยู่ในสังคมเช่นนี้ หากไม่มีพละกำลังที่สอดคล้องกัน อาจกลายเป็นเครื่องสังเวย ตายโดยไม่รู้ตัวได้ทุกเมื่อ

 

เจ้าอาวาสชรากับหลวงจีนน้อยทั้งสองของวัดตายหมดแล้วดังคาด

ซากศพอยู่ในห้องของเจ้าอาวาสชรานั่นเอง ฆาตกรมิได้ปกปิดอำพราง ให้พวกเขานอนระเนระนาดอยู่ตรงนั้น ขณะเฉินกงมองเห็น ขาก็อ่อนระทวย ไม่มีเรี่ยวแรงช่วยพวกเขารวบรวมซากศพ วิ่งกลับไปอย่างล้มลุกคลุกคลาน กระทั่งมองเห็นเสิ่นเฉียวจึงสงบลงเล็กน้อย

แม้เสิ่นเฉียวตาบอด แต่ถึงแม้เขานั่งอยู่เงียบๆ ก็ให้พลังจำนวนหนึ่งแก่ผู้คนสุดบรรยาย

เฉินกงถามเขาด้วยริมฝีปากสั่นระริก “ถูกสตรีที่ปลอมตัวเป็นหลวงจีนน้อยผู้นั้นฆ่าใช่หรือไม่ นางร้ายกาจเพียงนั้น แค่ทำให้พวกเขามิอาจขยับมิอาจกล่าวคำก็ได้แล้ว ไยยังต้องฆ่าคน”

“บางทีนี่อาจเป็นรูปแบบการกระทำการของนาง” เสิ่นเฉียวนิ่งเงียบครู่หนึ่ง “บางคนกระทำการไม่ต้องการเหตุผล พวกเขาอวดอ้างตนเองว่าเหนือกว่าชีวิตของคนอื่น ดีเลวทั้งหมดอาศัยความชอบตัดสิน”

เฉินกงมองดูพื้นดินอย่างเหม่อลอย รอยเลือดแห้งกรังบนซากศพเจ้าอาวาสชรายังแกว่งไปแกว่งมาเบื้องหน้าเขา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้สำหรับเขาแล้วล้มล้างสิ่งที่เห็นและได้ยินมาสิบกว่าปีในอดีตทั้งหมด เขายังตกอยู่ในอาการสั่นสะท้าน เนิ่นนานมิอาจได้สติกลับมา

ข้ามิอาจกลายเป็นคนที่ยอมให้คนอื่นเชือดเฉือนเข่นฆ่าอย่างเด็ดขาด ข้าต้องกลายเป็นคนที่เหนือกว่าคนอื่น เฉินกงอยากกล่าวเช่นนี้ พลางนึกถึงยอดฝีมือเหล่านั้นที่ได้เห็นในคืนนี้

เทียบระหว่างหลวงจีนเสวี่ยถิงที่สุขุมเยือกเย็น ไม่แปดเปื้อนทางโลก กับเยี่ยนอู๋ซือที่แปลกประหลาด กระทำการตามอำเภอใจ ย่อมเป็นเยี่ยนอู๋ซือที่ทำให้เขาเกิดความเลื่อมใสศรัทธามากกว่า

เสิ่นเฉียวไม่รู้สิ่งที่เขาคิดในใจ เพียงเห็นเขาตกใจขวัญเสีย จึงตบไหล่ของเขา กล่าวด้วยถ้อยคำอ่อนโยน “พบพานคือมีวาสนา เจ้าอาวาสชราให้พวกเรายืมวัดอาศัยก็นับว่ามีบุญคุณกับพวกเรา พรุ่งนี้เช้าสองเราฝังพวกเขาด้วยกันเถอะ”

เฉินกงถอนหายใจยาวๆ ก่อนกล่าว “ตกลง”

โปรดติดตามตอนต่อไป…

4 of 4หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com