สิ่งที่นางต้องทำประการแรกสุดคือการฝึกฝนร่างกาย
ดูสีหน้าเช่นคนจะตายแหล่มิตายแหล่นี่ปะไร นางพบว่าเพิ่งจะเดินได้แค่ไม่กี่ก้าวตนเองก็เหนื่อยเสียแล้ว ดังนั้นจึงบ่นกับฉาเอ๋อร์เป็นเชิงติ
“เหตุใดร่างกายข้าถึงอ่อนแอลงถึงเพียงนี้ เดินได้แค่ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกขาหนักเสียแล้ว ฉาเอ๋อร์ เจ้าดูแลข้าที่เป็นนายของเจ้าเช่นใดกัน”
มู่เซียงหนิงไม่พอใจอย่างยิ่งยวด เพราะก่อนจะสูญเสียความทรงจำ ร่างกายของนางแข็งแรงมาก
“คุณหนู ก็ตอนนั้นท่านไม่ยอมกินข้าวกินปลา ตกกลางคืนก็เอาแต่ร้องไห้น้ำตานองหน้า ร่างกายจึงทรุดโทรมลงถึงเพียงนี้ บ่าวพยายามเกลี้ยกล่อมท่านก็ไม่ฟัง” ฉาเอ๋อร์พยายามอธิบาย
“เช่นนั้นเลยหรือ”
ฉาเอ๋อร์พยักหน้าแรงๆ เป็นคำตอบ
มู่เซียงหนิงฟังแล้วเหงื่อตก นี่นางยอมทำเพื่อบุรุษผู้หนึ่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ
นางรู้สึกขยะแขยงตนเองระหว่างความจำเสื่อมเหลือเกิน นางต้องถูกผีเข้าแน่ๆ หาไม่วันๆ จะเอาแต่ร้องไห้น้ำตานอง เจ็บปวดชอกช้ำเพียงเพราะบุรุษผู้หนึ่งไม่สนใจได้อย่างไร
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความผิดของสมองที่ผิดเพี้ยนไป นั่นไม่ใช่ตัวจริงของนางเลยแม้แต่นิด
ต่อให้ไม่คิดเพื่อตนเองก็ควรคิดเพื่อคนที่รักนางบ้าง ท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้ให้กำเนิดนางมาเพื่อให้นางย่ำยีตนเองเช่นนี้ แล้วยังจะท่านป้าใหญ่ของนางอีก หากท่านป้าใหญ่มาเห็นนางซูบผอมตรอมตรมเช่นนี้จะต้องด่าว่านางยกใหญ่ แน่นอนว่ายังมีอาจารย์และศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย…ฉะนั้นนางจะต้องบำรุงร่างกายให้กลับมาแข็งแรงดังเดิมให้ได้!
ดังนั้นมู่เซียงหนิงจึงเริ่มกิจวัตรกินอิ่มนอนหลับ แต่ละวันจะต้องนั่งเดินลมปราณหนึ่งชั่วยาม และฝึกหมัดมวยอีกหนึ่งชั่วยาม
ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในวัยดรุณ ปีนี้นางเพิ่งอายุได้สิบเจ็ดเท่านั้น นอกจากจะปรับอาหารการกินและเดินลมปราณแล้ว การดูแลจิตใจให้แจ่มใสเบิกบานคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ร่างกายคือฟ้าดิน จิตใจเป็นนาย เช่นเดียวกันการฝึกยุทธ์ที่วิถีจิตสำคัญเหนือวิถีพลัง จิตว้าวุ่นจะพลอยให้ร่างกายบาดเจ็บ ใจและกายผสานกันเป็นหนึ่ง ดังนั้นปวดใจก็เท่ากับปวดกายด้วยเช่นกัน โชคดีที่นางลืมเรื่องทุกข์ใจพวกนั้นไปหมดแล้ว แต่ละวันจึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หลังจากที่สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าของนางก็ดีขึ้นผิดหูผิดตา เรี่ยวแรงฟื้นฟูกลับมาไม่น้อย
นางกินจุ แต่ละมื้อกินข้าวเยอะ ร่างกายจึงบริบูรณ์ขึ้นภายในเวลาอันสั้น ฝึกหมัดมวยแต่ละทีฮึกเหิมคล่องแคล่ว เหงื่อไหลเป็นสายน้ำ เลือดลมไหลเวียนสะดวก
แน่นอนว่าเท่านี้ยังไม่พอ ปกตินางเป็นคนชอบหาความบันเทิงใส่ตัวอยู่แล้ว…
“ไป ไปล่าสัตว์กัน”
“คุณหนูจะล่าสัตว์หรือเจ้าคะ!” ฉาเอ๋อร์อุทานถาม
“เหตุใดต้องตกใจถึงเพียงนี้ด้วย เมื่อก่อนพวกเราก็ขึ้นเขาไปล่าสัตว์กันบ่อยๆ ไม่ใช่หรือ”
แม้จะเป็นธิดาเสนาบดี ทว่าตอนที่ยังไม่ได้ออกเรือน มู่เซียงหนิงมักพาฉาเอ๋อร์ออกไปล่าสัตว์แล้วจุดไฟย่างกินกันในป่าตรงชานเมืองบ่อยครั้ง ไม่เหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไปที่วันๆ เอาแต่เก็บตัวดีดพิณหรือปักผ้าอยู่ในห้อง
ความจริงแล้วนางฉลาดเฉลียว เรียนรู้เร็ว สิ่งใดที่ธิดาขุนนางควรเป็นควรรู้ นางไม่ตกหล่นเลยสักอย่าง ทั้งพิณ หมาก อักษร ภาพ หรือการศึกษาเล่าเรียนล้วนแต่ทำได้ดีทั้งสิ้น เพียงแต่นางชอบขี่ม้ายิงธนูและกระตือรือร้นจะฝึกยุทธ์ฝึกกระบี่มากกว่าเท่านั้น
ธิดาขุนนางคนอื่นอ่าน ‘จรรยาสตรี’* และโคลงกลอน แต่นางชอบอ่านพงศาวดารต่างแคว้น บันทึกป่าเขาลำเนาไพร และหนังสือทั่วไปอื่นๆ
คอกม้าของจวนแม่ทัพมีม้าดีๆ มากมาย ฮูหยินท่านแม่ทัพอยากขี่ม้านั้นง่ายนิดเดียว หลังจากเลือกม้าพันธุ์ดีสองตัวจากในคอก นางก็นำฉาเอ๋อร์ขี่ม้าออกจากจวนแม่ทัพมุ่งหน้าไปยังชายป่าฝั่งตะวันตก
ตอนที่มาถึงป่า มู่เซียงหนิงรู้สึกปลอดโปร่งเหมือนวิหคคืนถิ่น เวลานี้ยังเป็นฤดูหนาว สัตว์หลายชนิดกำลังจำศีล จะล่าสัตว์ไม่ใช่เรื่องง่ายจำต้องใช้ชั้นเชิงกันหน่อย