บทที่สาม
มู่เซียงหนิงเดินผ่านทุกคนในห้องอย่างไม่แยแส นางก้าวเข้ามาอยู่ข้างหลังฉู่ชิงหยาง โดยหยุดยืนห่างออกไปประมาณสามก้าว
“ท่านแม่ทัพ”
ฉู่ชิงหยางที่กำลังคุยกับกลุ่มลูกน้องชะงักไปโดยไม่รู้ตัว แล้วหันหน้ามาตามเสียงช้าๆ พอเห็นมู่เซียงหนิงก็มองนางอย่างประหลาดใจเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
“ท่านแม่ทัพ ข้ามีเรื่องอยากหารือด้วย ช่วยหาที่ให้คุยกันหน่อยเถิด”
นางแสดงเจตนารมณ์อย่างตรงไปตรงมา ซ้ำยังเรียกตนเองว่า ‘ข้า’ ไม่ใช่ ‘น้องหญิง’ เพราะเขากับนางยังไม่ได้ร่วมหอลงโรงกัน ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่าตนเป็นคนของเขา และตัวฉู่ชิงหยางเองก็สังเกตเห็นเช่นกันว่านางเปลี่ยนคำเรียกขาน
สิ่งที่เขาประหลาดใจมีอยู่สามอย่าง การที่นางบุกเข้ามาในห้องฝึกยุทธ์คืออย่างแรก วิธีพูดจาของนางเปลี่ยนไปคืออย่างที่สอง ห้องนี้เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ที่เปลือยท่อนบน ทว่านางกลับไม่หน้าแดง ไม่เคอะเขิน และเผชิญหน้ากับเขาซึ่งเปลือยท่อนบนเช่นกันได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา นี่คืออย่างที่สาม
ฉู่ชิงหยางมองดวงตาใสกระจ่างไร้ความหวาดหวั่นของนาง แล้วรู้สึกเหมือนตนเพิ่งรู้จักสตรีผู้นี้เป็นครั้งแรก
ทว่าเขาประหลาดใจแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น พอคิดได้ว่านางบุกรุกเข้ามาในนี้ประกอบกับพวกลูกน้องของเขาก็อยู่ด้วย อีกทั้งเขายังเข้มงวดใส่นางจนชินแล้ว ดังนั้นจึงทำหน้าบึ้งตึง
“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร”
ตอนที่ลูกน้องเข้ามารายงานว่านางขอพบ เขาสั่งไปอย่างชัดเจนว่าให้นางรออยู่ในห้องโถงด้านหน้า และให้สือซงคอยเฝ้าไว้ นึกไม่ถึงว่านางจะอาจหาญบุกเข้ามาในห้องฝึกยุทธ์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางจงใจท้าทายอำนาจของเขา
“ก็เดินเข้ามาน่ะสิ” นางตอบหน้าตาย
“ออกไป”
มู่เซียงหนิงขมวดคิ้ว นี่เขาคิดจะไล่นางอย่างนั้นหรือ ในเมื่อกล้าเข้ามาในนี้นางก็ไม่กลัวอะไรแล้ว
หากมู่เซียงหนิงที่สูญเสียความทรงจำถูกเขาไล่ตะเพิดเช่นนี้จะต้องวิ่งร้องไห้ออกไปทันที แต่มู่เซียงหนิงในปัจจุบันลืมความรักที่มีต่อสามีไปหมดแล้ว สำหรับนางฉู่ชิงหยางเป็นเพียงคนแปลกหน้า ซ้ำยังเป็นบุรุษโง่เง่าที่แสนอารมณ์ร้ายอีกด้วย
ดังนั้นนางจึงไม่มีความหวาดกลัว ความยำเกรงที่ภรรยามีต่อสามี ตลอดจนความรักให้ฉู่ชิงหยางที่อยู่ตรงหน้า แล้วเหตุใดนางจะต้องใส่ใจเขาด้วยเล่า
“นึกไม่ถึงเลยว่าที่แท้แม่ทัพฤทธิ์ขจรผู้ยิ่งใหญ่ก็เป็นคนขี้ขลาด”
พอนางพูดออกไปเช่นนั้น ผู้คนรอบตัวก็สูดหายใจเฮือกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันทันที
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฉู่ชิงหยางจะหน้าบึ้งกว่าเก่าเมื่อได้ยินคำพูดของนาง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!”
มู่เซียงหนิงไม่สะทกสะท้านตอบกลับไปเนิบๆ “ก็หรือไม่จริงเล่า หากท่านแม่ทัพไม่ใช่คนขี้ขลาด เหตุใดถึงต้องหนีข้าด้วย”
“ข้าไม่ได้หนีเจ้า!”
“ในเมื่อไม่ได้หนี เหตุใดข้ามาขอพบท่านแม่ทัพตั้งหลายครั้ง ท่านก็มีอันต้องออกไปข้างนอกหรือกำลังยุ่งอยู่ตลอด บางทีก็กำลังกินข้าว กำลังนอน กำลังอาบน้ำ กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ไม่มีเวลาให้ข้าพบ ถ้าไม่เรียกว่าหนีจะเรียกว่าอะไร”
“เจ้า!”
“ข้าพูดผิดตรงที่ใด ท่านแม่ทัพโปรดช่วยชี้แนะ ข้ากำลังรอฟังอย่างตั้งใจ” นางกะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อ
พวกลูกน้องที่อยู่ในที่นั้น บางคนเบือนหน้าไปแอบยิ้ม บางคนเหงื่อตกแทนนาง ขณะที่ส่วนใหญ่รอดูต่อไปอย่างสนุกสนาน
ฉู่ชิงหยางลอบกัดฟันเงียบๆ ดวงตาหรี่ลงส่องประกายวาววับอย่างน่ากลัว ดูไม่ออกเลยว่าหลังจากที่ความทรงจำฟื้นขึ้น ไม่เพียงนิสัยของนางที่เปลี่ยนไป ฝีปากยังกล้าขึ้นเป็นกอง
เขาไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยจึงกล่าวออกมาทันใด “เช่นนั้นก็ว่ามา เจ้ามีธุระอะไร!”
“ท่านแม่ทัพแน่ใจหรือว่าจะให้คุยกันตรงนี้” นางแกล้งกวาดตามองไปรอบตัว ก่อนจะหันกลับมามองเขา ตัวนางน่ะไม่ว่าอะไรหรอกหากคนมากมายจะได้ยิน แต่นางแค่อยากเตือนเขาไว้ด้วยความหวังดี
ฉู่ชิงหยางจ้องมองนางสักพักก็โยนผ้าเช็ดเหงื่อให้ลูกน้องคนหนึ่ง “ตามข้ามา!”