บทนำ
ชายหนุ่มหน้าตาคมคายในชุดเจ้าบ่าวแบบทักซิโดลอบถอนหายใจยาวหลังจากต้องยืนถ่ายภาพไปนับร้อยรูป กระทั่งเมื่อยล้า ฝืนยิ้มอีกต่อไปไม่ไหว เขาจึงกระซิบบอกหญิงสาวสวยข้างกาย
“พักก่อนแป๊บนึงได้มั้ยครับ พี่อยากเข้าห้องน้ำ”
ผู้สวมชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์พยักหน้า เธอปล่อยแขนจากคนรักแต่ไม่ได้เดินไปด้วยกัน เลยไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าของเขาว่าอ่อนล้า ทั้งยังแสดงความกังวลถึงเรื่องบางเรื่องอย่างเห็นได้ชัด ส่วนชายหนุ่มพอผละออกมาได้ก็ก้าวเร็วจากชายหาดสู่ห้องน้ำภายในโรงแรม เขาผลักประตูด้วยความโล่งใจมากทีเดียวที่ได้อยู่ตามลำพังเสียทีแม้เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม ทว่าไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นความสบายใจของเขากลับต้องถูกทำลายลงอย่างราบคาบด้วยฝีมือของหญิงสาวอีกคน…คนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเจ้าสาวของเขามาตลอดชีวิต
ดุสิตาจ้องชายหนุ่มอย่างอาฆาต เธอตะโกนด่าทอหลังถูกถามว่ามาทำอะไรในห้องน้ำชาย
“ยังตีหน้าซื่ออีกงั้นเหรอ! แกหลอกฉัน หลอกให้เชื่อใจ ให้ฉันทำทุกอย่างเพื่อแก…ที่แท้แกมันก็แค่ไอ้ผู้ชายสารเลว คอยดูเถอะ ฉันจะทำลายแก ฉันจะทำทุกทางเลยล่ะ สาบานได้!!”
ชายหนุ่มผงะ แต่ยังพยายามเอ่ยอย่างใจเย็น
“หมายความว่าไง เรื่องอะไรนิ้งถึงต้องทำลายผมด้วย”
หญิงสาวไม่ได้ตอบด้วยคำพูด เธอแสดงความเคียดแค้นผ่านสายตา ชายหนุ่มรู้ทีเดียวว่าหากมีอาวุธ อีกฝ่ายคงไม่ลังเลเลยที่จะลงมือทำร้ายเขา
“คนอย่างแกฉันขอสาปแช่งให้ไม่มีทางสมหวัง และอย่างแรกที่ฉันจะทำวันนี้ ตอนนี้ คือทำลายงานแต่งงานของแกกับนังบัวให้พินาศ แกจะไม่มีวันได้แต่งงานกับนังบัว!”
“คิดเหรอว่าจะทำแบบนั้นได้ง่ายๆ…”
ชายหนุ่มโต้กลับด้วยความโกรธจัด เขาไม่มีวันยอมให้ใครมาล้มงานแต่งงานเด็ดขาด ดังนั้นพอดุสิตาทำท่าจะออกไปทำลายทุกสิ่งเหมือนอย่างที่ลั่นวาจา เขาจึงคว้าแขนรั้งหญิงสาวเอาไว้โดยเธอก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชากกัน กระทั่งแจกันตรงเคาน์เตอร์ห้องน้ำตกแตก เศษแจกันแหลมคมกรีดลงบนแขนของเขา เลือดที่หยดไหลได้เปลี่ยนให้ชุดเจ้าบ่าวสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงฉาน
“ช่วยด้วยครับ! ช่วยด้วย! มีคนทำร้ายผม”
ชายหนุ่มพุ่งออกจากประตูห้องน้ำเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ เขาล้มกลิ้งตรงล็อบบี้ ชี้นิ้วพร้อมตะโกนโหวกเหวกด้วยความหวาดกลัวระคนเจ็บปวดบอก รปภ. ว่าใครคือผู้ทำร้ายตน
ขณะตัวการทำลายชีวิตชายหนุ่มพรวดพราดออกมาจากห้องน้ำ ดุสิตาเลิ่กลั่กหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูกและไม่รู้จะหลบหนีไปทางไหน กระทั่ง รปภ. สองคนวิ่งตรงเข้ามา ฉับพลันนั้นเธอจึงตัดสินใจวิ่งไปทางด้านหลังโรงแรมหวังเอาตัวรอดจากสถานการณ์เลวร้ายไปให้ได้
ทุกอย่างวุ่นวาย คนเห็นเหตุการณ์ต่างกรีดร้องเสียขวัญ บ้างตื่นตระหนกวิ่งหนีเพราะคิดว่าเกิดเรื่องร้าย ฝ่ายหญิงสาวรีบใช้ประโยชน์จากความชุลมุนในการหลบหนี ซึ่งเธอทำได้สำเร็จ ดุสิตาสามารถหลบพ้นจากกลุ่ม รปภ. ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อราวกับมีเวทมนตร์พรางตาหายวับไปจากที่เกิดเหตุ
…แล้วหลังจากเหตุการณ์โกลาหลวันนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นดุสิตาอีก
บทที่ 1
สิบปีก่อน
ดวงหน้าหวานละมุนนั้นชวนมอง ยิ่งพอเจ้าตัวคลี่ยิ้มยิ่งทำให้บรรดานักศึกษาชายหลายคนที่แอบมองอยู่ถึงกับเคลิบเคลิ้มไปกับดวงตาไร้เดียงสาแสนสดใส บ้างเพ้อพึมพำกับเพื่อนว่าอยากเป็นพี่รหัสคนที่หญิงสาวกำลังพูดคุยและมอบของบางอย่างให้ ส่วนบางรายถึงขนาดเหลียวหลังมองตามตาละห้อยเมื่อร่างบอบบางก้าวผ่านไป
พ้นอาณาเขตซุ้มที่นั่งของพวกรุ่นพี่ซึ่งอยู่กระจัดกระจายตรงบริเวณด้านหลังตึกคณะบริหารธุรกิจ เฟรชชี่สาวผิวพรรณขาวผ่องไว้ผมยาวดำสลวยผู้อยู่ในชุดเสื้อนักศึกษาขนาดพอดีตัวกับกระโปรงพลีตยาวเกือบถึงข้อเท้าจึงเดินกลับมายังซุ้มที่นั่งของเพื่อนนักศึกษาปีหนึ่งเอกการตลาดที่ตั้งอยู่ด้านหน้าตึกเรียนสูงห้าชั้น เธอหยิบบางอย่างจากถุงกระดาษแจกแก่เพื่อนๆ ที่เรียนกลุ่มเดียวกัน กระทั่งก้าวถึงโต๊ะตัวสุดท้ายซึ่งอยู่ใต้ต้นคูน
“ขนมจ้ะ”
บงกชวางกล่องขนมสองกล่องลงบนโต๊ะไม้ตัวยาว หนึ่งในสี่คนที่นั่งอยู่ชะโงกหน้าเข้ามาดู
“อะไรน่ะบัว”
คนถามคือชายหนุ่มรูปร่างผอมสวมแว่นสายตา เพื่อนผู้หญิงหน้าสวยตัวใหญ่ไว้ผมยาวที่นั่งข้างกันจึงพูดขัดขึ้น
“บัวบอกอยู่ว่าขนม หูหนวกหรือไงไอ้เก้ง” พัชรีใส่คำนำหน้าให้ชื่อเล่นของอิทธิราวสนิทสนมมานานทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงเดือนเดียว
“รู้แล้วน่าอุ้มว่าเป็นขนมแต่แค่อยากรู้ว่าขนมอะไร” อิทธิบอก ฝ่ายคนยืนตรงหัวโต๊ะซึ่งเป็นคนนำขนมมาให้เพื่อนๆ จึงเปิดฝากล่องกระดาษออก
“บลูเบอรี่ชีสพายจ้ะเก้ง”
อิทธิมองบลูเบอรี่ชีสพายขนาดเท่าฝ่ามือในถาดฟอยล์ไม่ทันบอกว่าน่ากิน เพื่อนคนผมสั้น รูปร่างเพรียวซึ่งนั่งอยู่คนละฝั่งก็ชิงพูดก่อน
“น่ากินจังบัว” มินตรามองชีสของโปรดพลางกลืนน้ำลาย “ขอกินเลยได้มั้ย”
“ได้สิ เราเอามาให้กินนี่นา” บงกชหัวเราะขำ
ทั้งสามคนไม่รอช้าหลังเจ้าของขนมอนุญาตต่างพากันแย่งคว้าช้อนพลาสติกตักขนมเข้าปากและเพียงกลืนคำแรกอิทธิก็ถึงกับชูนิ้วโป้ง
“ดิลิเชียส!”
“อร่อยจังเลยบัว” มินตราเห็นด้วยกับอิทธิ “ซื้อจากร้านไหนน่ะ วันหลังเราจะไปซื้อมั่ง”
บงกชก้มหน้า ทัดผมยาวเข้ากับหูก่อนตอบเสียงเบาอย่างขัดเขิน
“ไม่ได้ซื้อหรอกมิ้นต์ เราเพิ่งลองหัดทำน่ะ”
“เพิ่งหัดทำ!” พัชรีตาโต “ตายๆ ชาติก่อนทำบุญด้วยอะไรคะคุณหนูบัว ทำไมถึงได้สวย รวย แล้วยังทำขนมเก่งอีก ถ้าไม่บอกว่าทำเองเราต้องนึกว่าซื้อมาจากร้านดังแน่ๆ”
เสียงพัชรีดังลั่น บงกชเขินจนแก้มแดงเรื่อเหมือนกลีบกุหลาบ หากไม่ทันที่นักชิมตัวโตจะยกยอต่อว่าบลูเบอรี่ชีสพายของเพื่อนอร่อยกว่าร้านขึ้นห้างบางร้านเสียอีก เสียงหนึ่งกลับแทรกขึ้นมาในระดับความดังพอๆ กับเสียงของพัชรี
“แหงล่ะ ใครจะบอกว่าซื้อ”
ทุกคนเงียบกริบหลังได้ยินเสียงของบุคคลที่ห้า ขณะผู้นั่งอยู่ตรงด้านริมสุดของโต๊ะไม้ตัวยาวยังพูดต่อ
“ว่าไงล่ะ ซื้อมาจากไหน”
เงียบอยู่อีกไม่กี่วินาที บงกชถึงเอ่ยตอบอย่างใจเย็น
“ไม่ได้ซื้อจ้ะนิ้ง เราทำเอง” บงกชสบตาดุสิตาซึ่งกำลังเบะปากใส่ตน
“เชื่อตายล่ะ” ดุสิตาพูด พอใจที่เห็นบงกชหน้าเสีย ขณะเพื่อนคนอื่นเห็นเช่นกัน
“หยุดหาเรื่องบัวได้แล้วนิ้ง”
พัชรีออกโรงปกป้องเพื่อนคนสวยผู้บอบบางราวกระต่ายขาวตัวน้อยเพราะดูท่าแล้วนางหมาป่าอย่างดุสิตาคงต้องเจอกับนางเสืออย่างตนถึงจะเรียกได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสี ดุสิตาชักสีหน้า
“หาเรื่องที่ไหน เรื่องจริงทั้งนั้นแหละ มีเหรอที่หัดทำขนมครั้งแรกก็อร่อยเหมือนร้านทำ ใครเชื่อก็โง่ตายชัก”
“อ้าว”
อิทธิกับมินตราร้องพร้อมกัน ทว่ามินตราไม่ทันขยับปากแย้ง พัชรีก็ตอบโต้ไวกว่า
“จ้า แม่คนฉลาด” พัชรีประชดแถมยังเบะปากแบบเดียวกับที่ดุสิตาเพิ่งทำใส่บงกช “แต่ถึงพวกเราจะโง่ พวกเราดูออกหรอกว่าที่เธอหาเรื่องเป็นเพราะอิจฉา”
“อิจฉาอะไร” ดุสิตาขมวดคิ้ว พัชรีกอดอก ตั้งใจเลิกคิ้วยียวน
“ไหนเพิ่งวางท่าว่าตัวเองฉลาด แต่ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงคิดไม่ออก อ่ะๆ เฉลยให้ก็ได้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาคิด” พัชรีจ้องดุสิตาเป๋ง “เธออิจฉาบัวล่ะสิที่มีพร้อมทุกอย่าง แถมตอนเลือกดาวกลุ่มบัวยังชนะเธออีก เธอเลยอิจฉาคอยหาเรื่องบัว”
พัชรีเท้าความถึงเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนเลือกดาวเดือนของกลุ่มเรียนเพื่อเป็นตัวแทนไปประกวดดาวเดือนคณะซึ่งดุสิตายกมือเสนอตัวเองแข่งขันกับบงกชก่อนจะลงท้ายด้วยการที่เจ้าตัวแพ้คะแนนไปอย่างเฉียดฉิว หากดุสิตากลับไม่ยอมรับผลโหวตง่ายๆ โดยให้เหตุผลว่าเพราะมีเพื่อนบางคนขาดเรียนจึงควรรอคะแนนจากเพื่อนเหล่านั้นก่อนซึ่งขัดกับมติของผู้ออกคะแนนนั่นก็คือเพื่อนๆ ในกลุ่มเรียนที่ไม่มีใครอยากเสียเวลากับเรื่องดังกล่าวอีก สุดท้ายตำแหน่งดาวกลุ่มจึงตกเป็นของบงกชเหมือนเดิม ดุสิตาเลยออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงต่อว่าทุกคนไม่ยุติธรรม
ดุสิตาลุกพรวดหลังโดนกล่าวหารุนแรง เธอตอบโต้ทันควัน
“ไม่จริง เราไม่ได้อิจฉา”
“เหรอออ” พัชรีลากเสียงยาว ก่อนหันไปถามอิทธิกับมินตรา “นิ้งบอกที่พูดหาเรื่องไม่ได้เป็นเพราะอิจฉาบัว เอ้า ใครเชื่อยกมือหน่อยดิ๊”
แน่นอนไม่มีใครยกมือสักคน อีกทั้งดุสิตายังได้ยินเสียงหัวเราะคิกดังจากโต๊ะข้างๆ ด้วย เธอหันขวับส่งสายตาดุไปยังเจ้าของเสียงขบขันซึ่งรีบก้มหน้าหลบ จากนั้นจึงหันกลับมาจ้องพัชรีที่ยังทำหน้ากวนแล้วคว้ากระเป๋าสะพายพรวดพราดออกจากโต๊ะที่นั่งด้วยความเจ็บใจ แต่พอถึงฟุตปาธหน้าตึกไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงนุ่มนิ่มกระหืดกระหอบร้องเรียก
“นิ้งจ๊ะ”
“อะไร!”
ดุสิตาหันขวับตะคอกลั่นจนไหล่เล็กบางของผู้ตามมาสะดุ้งเฮือก บงกชอึ้งนิดหนึ่งก่อนยื่นถุงขนมออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ พลางส่งยิ้มให้ด้วย…ทว่าเพียงแค่ยกริมฝีปากสูง จู่ๆ ดวงตาขุ่นของดุสิตากลับแปรเป็นวาวโรจน์น่ากลัว ทั้งเจ้าตัวยังเงื้อมือสูง แล้วในเสี้ยววินาทีก่อนมือข้างนั้นจะฟาดลงบนแก้มบงกชซึ่งกำลังหลับตาปี๋กลับมีอีกมือจากทางด้านหลังคว้าไวมายังข้อมือของดุสิตาเสียก่อน
มือใหญ่แข็งแรงดั่งคีมเหล็กคว้าข้อมือเล็กไว้ได้ทันท่ามกลางเสียงร้องตกใจของผู้เห็นเหตุการณ์ และยังดึงข้อมือดุสิตาลงอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งกระชากตัวเธอออกห่างจากบงกช
ร่างสูงเพรียวเซถลาตามกำลังแรงจนเกือบล้ม ดีว่าเจ้าของมือยังจับข้อมือไว้หญิงสาวจึงไม่หงายหลังก้นจ้ำเบ้าให้ขายขี้หน้า อย่างไรก็ตามแม้จะสามารถช่วยไม่ให้บงกชโดนตบได้อย่างเฉียดฉิวและช่วยดุสิตาไม่ให้ล้มหงายหลังได้แล้ว เขากลับยังไม่ยอมปล่อยข้อมือตัวการก่อเรื่องอยู่ดี
ดุสิตาจึงกระชากข้อมือคืนแต่อีกฝ่ายกลับบีบแน่นกว่าเดิม เธอจึงแผดเสียงโวยวาย
“ไอ้บ้า! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
หลุดด่าพระเอกขี่ม้าขาวจอมสอดพร้อมกับเงยหน้า ครั้นเพิ่งเห็นชัดว่าตัวเองกำลังด่าใครก็เกิดเย็นสันหลังวาบ
พี่ริ้ว
ดุสิตาตาเหลือกมองรุ่นพี่ปีสี่เจ้าของฉายา ‘ผ้าขี้ริ้ว’ ที่พวกเพื่อนปีหนึ่งลือกันว่าดุกว่าพี่ว้ากทั้งหมดรวมกันเสียอีก เธอก้มหลบนัยน์ตาดุดันสีเข้มหมดสิ้นฤทธิ์เดชทันใด
“มีเรื่องอะไร”
ภัทรยศส่งเสียงดุก่อนยอมปล่อยมือหญิงสาวที่ตนไม่เคยเห็นหน้า แต่จากท่าทางกลัวตนหัวหดทำให้เขาเดาไม่ยากว่าเจ้าตัวต้องเป็นรุ่นน้องในคณะบริหารธุรกิจ
ปีหนึ่ง
ได้คำตอบภายในเวลาไม่กี่วินาทีหลังสังเกตเสื้อนักศึกษากับกระโปรงสั้นเท่าเข่าตัวใหม่เอี่ยม รวมถึงกระเป๋าสะพายหนังสีน้ำตาลใบใหม่นั่นด้วย ภัทรยศมองเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดซึ่งค่อยๆ เงยหน้าแต่ยังไม่กล้าสบตาตน กระทั่งเห็นเครื่องหน้างดงามครบทุกชิ้นบนดวงหน้ารูปไข่ของผู้ไว้ทรงผมบ็อบสั้นเท่าคาง โดยเฉพาะดวงตาคมเฉี่ยวสวยแปลกสะดุดตาก็เกิดเอะใจว่าบางทีเฟรชชี่คนนี้อาจเป็นคนเดียวกับที่เพื่อนๆ ฮือฮาเล่ากันว่าแม้จะคนละแบบแต่ก็สวยสูสีพอๆ กับบงกช…ส่วนนิสัยใจคอนั้นกลับแตกต่างราวนางฟ้ากับนางมาร
เกิดอคติแวบหนึ่งในตอนนึกถึงข่าวลือซุบซิบเรื่องวันคัดเลือกเดือนและดาวกลุ่มของเด็กปีหนึ่งเอกการตลาดที่ภัทรยศได้ฟังจากยุทธนาอีกทีและยังรวมถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วย แต่เพื่อความแน่ใจว่าไม่ผิดตัวภัทรยศจึงเปลี่ยนคำถาม
“ชื่อเล่นชื่อจริงว่าอะไร”
“นิ้งค่ะ ชื่อจริงดุสิตา”
ดุสิตาตอบเสียงอ่อยทั้งที่ในใจอยากตะโกนไล่คนตัวโตให้เลิกสอดเลิกขวางทางตนจะได้ตบบงกชให้หายแค้นเสียที ฝ่ายภัทรยศพอได้คำตอบยืนยันว่าคนที่ยืนจังก้าตรงหน้าคือนางมารตัวจริงไม่ผิดฝาผิดตัวเป็นแน่แท้ เขาก็กอดอกวางมาดเหมือนยักษ์แยกเขี้ยว
“มีเรื่องอะไรถึงขนาดต้องตบตีกัน” ภัทรยศถามถึงสิ่งที่เห็นตั้งแต่ตอนบงกชโดนดุสิตาตะคอก ซึ่งหากเขาไม่เดินผ่านมาพอดีป่านนี้เฟรชชี่ขวัญใจรุ่นพี่คงโดนตบกลิ้ง
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“มีค่ะ”
บงกชกับดุสิตาตอบพร้อมกัน ภัทรยศที่ยืนขวางระหว่างกลางตรงฟุตปาธขมวดคิ้วเหนือดวงตาเรียวสีเข้ม เขาประหลาดใจอย่างมากเพราะคำตอบของบงกชควรสลับกับดุสิตา แต่เพียงครู่เดียวเขาถึงเข้าใจว่าเหตุใดบงกชจึงตอบว่าไม่มีอะไร ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเขาเลยจัดการปัญหาอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจดุสิตาที่ตั้งท่าอธิบายเหตุผล
“ถ้าไม่มีอะไรก็แยกย้าย”
สบดวงตากลมโตบนดวงหน้าหวานใส ภัทรยศเห็นชัดทีเดียวว่าบงกชโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับอีกคนที่หลังจากอ้าปากค้างก็ถลึงตาคมมองเขา แต่นักศึกษาหนุ่มไม่ปล่อยให้ใครมีคำถามหรือปล่อยให้ใครหาเรื่องใครอีก เขาใช้อำนาจรุ่นพี่ยุติปัญหา
“ไปได้แล้วบัว” เสียงภัทรยศอ่อนลง บงกชรับคำรีบหันหลังกลับซุ้มที่นั่ง จนเธออยู่ในระยะไกลเกินกว่าอีกคนจะตามไปทำร้ายได้อีก รุ่นพี่ตัวโตเลยค่อยหันไปทางคนที่จ้องหน้าตนเขม็ง
ดวงตาสวยแปลกตาคู่นั้นฉายชัดถึงความไม่พอใจแต่ภัทรยศไม่สนใจ เขาพูด
“อย่าให้เห็นว่าลงไม้ลงมือกันอีก”
เตือนแล้วจึงถือว่าหมดธุระ ภัทรยศก้าวไปทางเดียวกับบงกช ขณะดุสิตาเข้าใจว่าโดนข่มขู่ ดังนั้นจากที่แค่ฮึดฮัดเพราะทำอะไรบงกชต่อหน้ารุ่นพี่ไม่ได้เธอเลยไม่ยอมอีก หญิงสาวโมโหจนเลิกสนใจว่าใครเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องและใครคือคนที่คนในคณะต่างพากันกลัวหัวหด เธอก้าวเร็วๆ ตามร่างสูงใหญ่แบบนักกีฬาที่เข้าใจว่าเขาเดินหนีจนทันไปขวางหน้า
ดุสิตาจ้องนัยน์ตาเรียวดุบนใบหน้าคมสันอย่างไม่เกรงกลัวและจงใจใช้สายตาดูแคลนคนที่แต่งตัวสมกับสมญานามผ้าขี้ริ้ว เธอมองเจ้าของผิวขาวแบบผู้มีเชื้อสายจีนตั้งแต่ศีรษะ ภัทรยศไว้ผมยาวพอๆ กับเธอแต่เขารวบเป็นจุกหลวมทำให้ผมตกปรกรุ่ยร่ายดูน่ารำคาญตา จากนั้นเธอไล่สายตาลงยังเสื้อเชิ้ตนักศึกษาปลดกระดุมทุกเม็ดจนเห็นเสื้อยืดลายกราฟิกสีดำมอมเหมือนกับกางเกงยีนซีดขาด กระทั่งมองต่ำถึงรองเท้าผ้าใบยี่ห้อคอนเวิร์สสภาพขะมุกขะมอมเธอก็เบะปาก หมดความเคารพต่อผ้าขี้ริ้วเดินได้
“เห็นใครๆ กลัวพี่จุ้ย นิ้งก็คิดว่าเพราะพี่น่าเคารพเสียอีก ที่ไหนได้ไม่เห็นน่าเคารพตรงไหน”
เมื่อหมดความยำเกรงดุสิตาเลยกล้าแผลงฤทธิ์เดช ขณะภัทรยศทีแรกยังตั้งตัวไม่ติดกับปฏิกิริยาที่พลิกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือกระทั่งตั้งตัวได้เขาจึงเอ่ยเสียงเข้ม
“พูดจาให้รู้เสียมั่งว่าใครเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง”
“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วล่ะค่ะ แต่…” ริมฝีปากบางได้รูปสวยเหยียดออก “ในเมื่อพี่จุ้ยลำเอียงทำตัวไม่น่าเคารพ นิ้งก็ไม่จำเป็นต้องระวังคำพูดอีก”
“อยากเคารพหรือไม่เคารพก็ตามใจ แต่อย่ามากล่าวหากันเรื่องลำเอียง” ภัทรยศข่มอารมณ์ แต่อีกฝ่ายยังกวนอารมณ์ไม่เลิก
“กล่าวหาที่ไหน ตะกี้เห็นอยู่ว่าพี่จุ้ยเอียงกระเท่เร่”
“ยังไง”
ดุสิตาร้อง “เฮอะ” เสียงดัง “รู้หรือแกล้งไม่รู้ตัวกันแน่…ที่พี่ถามนิ้งกับยายบัวไงคะว่ามีเรื่องอะไรกันแล้วพอยายนั่นตอบไม่มี นิ้งตอบมี พี่กลับเลือกเชื่อยายบัวแถมยังขู่นิ้งเรื่องไม่ให้ลงไม้ลงมืออีก”
ภัทรยศกำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่ได้ขู่ แต่พูดไปเพื่อเตือนเพราะไม่อยากให้เรื่องถึงหูอาจารย์รวมถึงแม่ของบงกชต่างหากซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นคนตกที่นั่งลำบากย่อมเป็นดุสิตา ทว่าอีกฝ่ายกลับยังพูดเร็วราวกับรัวกระสุนปืนกลจนชายหนุ่มไม่มีจังหวะแทรก
“ทำไมคะ กลัวรุ่นน้องคนโปรดของพวกพี่เจ็บตัวหรือไงถึงได้หลับหูหลับตาเชื่อรีบบอกให้มันไปตรงอื่น แต่ทีกับนิ้งไม่เห็นพี่ถามสักคำว่ามันทำอะไรให้นิ้งถึงได้โกรธขนาดจะตบมัน”
ดุสิตาหยุดพูดโดยตั้งใจเว้นช่วงให้ถาม และภัทรยศก็ถามเพราะไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นคนลำเอียงอีก
“บัวทำอะไร”
“มันยิ้ม”
ภัทรยศเลิกคิ้วเข้มอย่างไม่แน่ใจว่าหูฟาดหรือเปล่า กระทั่งดุสิตาบอกให้แน่ใจอีกรอบ
“บัวแกล้งเอาขนมมาให้นิ้ง แล้วมันก็ยิ้ม”
“จะบ้าเหรอไง!”
รุ่นพี่ตะโกนใส่หน้ารุ่นน้องคนที่เขาเห็นว่าไม่ใช่แค่ร้ายกาจ แต่ยังบ้าบอและเพี้ยนที่สุด ขณะฝ่ายถูกหาว่าบ้าหน้าตึงสวนทันควัน
“นิ้งไม่ได้บ้า บัวมันยิ้มให้นิ้งจริงๆ มันยิ้มเหมือน…”
“ประสาท!”
ภัทรยศทนฟังต่อไปไม่ไหว เขาอยากจับหัวดุสิตาโขกกับต้นไม้เพื่อให้สมองเข้าที่เข้าทาง แต่ดูเหมือนคนสมองไม่เข้าที่ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ
“ทำไมพี่จุ้ยถึงไม่ฟังให้จบก่อน แล้วทำไมทีกับยายบัวพี่พูดจาเพราะ แต่กับนิ้งมาตะคอกได้ไง คนอะไรไม่ยุติธรรม ลำเอียงชัดๆ!”
“เออ พี่ลำเอียงครับ!”
พอทำเสียงดุหน้าดุ ตัวภัทรยศจึงไม่ต่างจากยักษ์ปักหลั่นที่กำลังแยกเขี้ยว ทว่าดุสิตากลับไม่ยอมหงอต่อยักษ์ใหญ่ง่ายๆ เธอขยับริมฝีปากหมายป่าวประกาศด้วยความแค้น ประจานให้คนที่เดินผ่านไปมาตรงด้านหน้าตึกคณะบริหารฯ รู้ว่าภัทรยศคือจอมลำเอียง คือผ้าขี้ริ้วดำปิ๊ดปี๋ คือรุ่นพี่ที่ไม่ควรให้ความเคารพ
แต่ไม่ทันมีเสียงใดลอดออกมา ภัทรยศกลับเป็นฝ่ายพูดรัวเร็วเหมือนยิงปืนกลบ้าง
“มีอย่างที่ไหนบัวยิ้มให้เลยจะตบ เหตุผลงี่เง่า ใครเชื่อก็โง่เต็มที แล้ววันหลังถ้าอยากได้ความยุติธรรมนักล่ะก็ โน่น ไปคณะนิติฯ ไป๊! แต่บอกไว้ก่อนถ้าหากยังขืนใช้เหตุผลนี้รับรองโดนถีบส่งออกมาแน่ ถ้าถูกถีบออกมาอย่าโวยวายอีกล่ะว่าเค้าลำเอียงไม่ยุติธรรม แล้วริจะตบใครน่ะอย่าใช้แต่แรง หัดใช้สมองคิดหาข้อแก้ตัวเข้าท่าไว้มั่ง หรือถ้าคิดไม่ออกยอมรับตรงๆ มาเลยว่าอิจฉายังค่อยฟังขึ้น”
“นิ้งไม่ได้อิจฉา!” ดุสิตาควันออกหูหลังถูกกล่าวหาด้วยข้อหาเดิมถึงสองครั้ง แต่นอกจากไม่เชื่อแล้วภัทรยศยังไม่ฟัง เขาชี้หน้ารุ่นน้องที่ยังเถียงคำไม่ตกฟาก
“พี่ไม่รู้หรอกว่าเราอิจฉาบัวอะไรนักหนา แต่จะบอกให้หูตาสว่างไว้ว่าที่บัวตอบไม่มีอะไรเป็นเพราะเค้าไม่อยากให้เรามีปัญหาต่างหาก คิดมั่งหรือเปล่าว่าถ้าเรื่องถึงหูอาจารย์ใครจะเป็นคนเดือดร้อนที่สุด บัวเค้าช่วยแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
“งั้นนิ้งจะบอกให้พี่จุ้ยหูตาสว่างไว้ด้วยว่ายายบัวมันไม่ได้ช่วยนิ้งหรอก มันแค่อยากสร้างภาพเป็นนางฟ้า แถมยังมีคนเชื่อเสียด้วย” มองเหยียดใส่ภัทรยศอย่างไม่เกรงใจแล้วดุสิตายังพูดเสียงดังให้พวกสอดรู้สอดเห็นที่อยู่รอบๆ ได้ยิน “สงสัยจังว่าทำไมคณะนี้ถึงมีแต่คนโง่ คนฉลาดหายไปไหนกันหมด”
เกิดความสะใจหลังได้พูดออกไป จากนั้นดวงหน้าคมหันกลับมาทางเดิม ดุสิตาเชิดหน้าสบดวงตาดุอย่างไม่สะทกสะท้าน ภัทรยศมองรุ่นน้องคนแรกและคนเดียวที่กล้าปีนเกลียวกับตนแล้วเอ่ยเสียงดังเท่ากัน
“ถ้าฉลาดแล้วเป็นแบบเรา ขอไม่มีหัวดีกว่า”
นัยน์ตาเข้มฉายแววสะใจหลังพูดแล้วมีคนปรบมือชอบใจ จากนั้นภัทรยศไม่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระอีก เขาก้าวผ่านดุสิตาซึ่งกำมือแน่น ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความอับอายและเจ็บใจที่ต้องพ่ายแพ้ต่อพวกคนโง่
เพราะไม่อยากอยู่ใกล้พวกคนโง่ ดุสิตาจึงมายังห้องสมุด
หญิงสาวกระแทกตัวลงบนเก้าอี้ของโต๊ะตัวใหญ่ข้างหน้าต่างที่มองเห็นสระน้ำ ดวงตาคมงามแปลกตาของผู้มีเชื้อสายมอญยังขุ่นมัวไม่ต่างจากตอนมีปากเสียงกับคนในคณะ เธอหันขวับไปยังโต๊ะตัวข้างๆ เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจ้องมอง ครั้นเห็นเป็นเพื่อนเรียนกลุ่มเดียวกันดุสิตาเลยจะทักทาย แต่ไม่ทันเรียกกลุ่มเพื่อนผู้หญิงกลับชวนกันย้ายไปนั่งตรงอื่น
เหมือนโดนหยิกแรงตรงหัวใจ ดุสิตาเจ็บใจที่ถูกปฏิบัติราวตนเป็นสิ่งน่ารังเกียจ แต่เพียงครู่เดียวเธอได้เลิกให้ความสนใจต่อความรู้สึกดังกล่าวพลางลุกขึ้นเพื่อเดินหาบางคนที่อาจทำให้รู้สึกดีขึ้น
ทิพย์วิมลคือคนที่ดุสิตามองหา เฟรชชี่สาวคณะอักษรศาสตร์เป็นคนเดียวในมหาวิทยาลัยที่ดุสิตาคุยด้วยแล้วสบายใจ เธอรู้จักทิพย์วิมลตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมคือสี่สัปดาห์ก่อนตอนมาค้นหานิยายของนักเขียนคนโปรดในห้องสมุดซึ่งทิพย์วิมลกำลังหาผลงานของนักเขียนคนนี้เช่นกัน เธอจึงพูดคุยเรื่องหนังสือกับทิพย์วิมลอย่างถูกคอจนพอพบกันบ่อยเข้าที่ห้องสมุด จากคนรู้จักต่างคณะเลยกลายเป็นเพื่อน
พอไม่พบทิพย์วิมล ดุสิตาจึงหยิบหนังสือสอนทำขนมและนิตยสารฉบับใหม่เดินกลับมาตรงที่นั่งสักครู่อย่างเซ็งๆ เธออ่านหนังสือและนิตยสารฆ่าเวลาระหว่างรอเรียนวิชาบัญชีในช่วงบ่าย แต่แล้วพอพลิกนิตยสารถึงกลางเล่มอารมณ์ที่เพิ่งเย็นลงกลับพลิกตวัดเป็นตรงข้ามอย่างฉับพลัน
ภายในอกดุสิตาร้อนรุ่มดั่งไฟ ความโกรธเกลียดครอบงำจนลืมตัวขยำหน้ากระดาษที่มีภาพผู้หญิงวัยสี่สิบสามปีในชุดสูทเรียบโก้ พอรู้สึกตัวเธอรีบชักมือออกและจะปิดนิตยสาร แต่เมื่อสายตาปะทะกับหัวเรื่อง ‘กฤษณา…นางฟ้าของผู้หญิง‘ ดุสิตากลับเปลี่ยนใจอ่านบทสัมภาษณ์ของศัตรูคู่อาฆาต
ถ้อยคำชื่นชมเยินยอโฆษกและเหรัญญิกของมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ผู้สัมภาษณ์ถ่ายทอดผ่านตัวอักษรล้วนทำให้ดุสิตาอยากอาเจียน ทั้งยังอยากโทรศัพท์ไปบอกสำนักพิมพ์แห่งนั้นเหลือเกินว่ากฤษณาไม่ใช่นางฟ้าแต่เป็นนางปีศาจต่างหาก แล้วที่เจ้าตัวเล่าถึงวีรกรรมเรื่องเคยร่วมบู๊กับประธานมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือพนักงานสาวที่โดนเจ้าของบริษัทใหญ่ล่วงละเมิดทางเพศเมื่อสี่ปีก่อน เรื่องจริงก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นขนาดนั้นเพราะดุสิตาเคยดูข่าวนี้ในโทรทัศน์ ไม่เห็นว่าจะมีการพังประตูบริษัทหรือมีการเกือบชกต่อยกับ รปภ. อย่างที่กฤษณาเล่าในนิตยสารเสียหน่อย
‘อีแม่ลูกสันดานกา’
จู่ๆ ประโยคนี้ได้ผุดขึ้นมา ดุสิตายิ้มสะใจกับคำพูดของแม่ที่นานทีปีหนถึงจะมีความคิดตรงกัน กระทั่งนาฬิกาข้อมือส่งเสียงเตือนให้รู้ว่าเป็นเวลาเที่ยงดุสิตาจึงปิดนิตยสารเพื่อเตรียมตัวไปกินข้าวและเตรียมตัวเรียนในตอนบ่าย รวมถึงเตรียมตัวเผชิญหน้ากับบงกชคนที่เป็นสาเหตุให้ตนถูกรุ่นพี่ผ้าขี้ริ้วหักหน้า…และยังเป็นคนเดียวกับลูกกา ลูกสาวของกฤษณา แม่ลูกที่เคยทำให้ชีวิตของดุสิตาพังย่อยยับ!
บทที่ 2
“ไอ้ริ้ว”
เจ้าของฉายาผ้าขี้ริ้วหันตามเสียงตะโกน ครั้นเห็นคนเรียกเขาจึงผละจากชายวัยกลางคนผิวคล้ำจัด ก้าวจากด้านหน้าตึกเรียนตึกใหม่ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่กำลังก่อสร้างมาหยุดยังใต้ร่มไม้ใหญ่
“มีอะไร” ภัทรยศถามยุทธนาที่มีบงกชมาด้วยกัน แต่เพื่อนกลับเอ่ยไปคนละเรื่อง
“คุยกับพ่อเหรอวะ” คนตัวสูงโปร่งหน้าตาเข้าทีหมายถึงผู้ดูเหมือนเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างซึ่งภัทรยศพูดคุยด้วยเมื่อครู่ ภัทรยศไม่ตอบเพราะเบื่อโดนเพื่อนรุ่นเดียวกันพูดจาทำนองนี้หลายครั้ง เขาถามอีกรอบ
“มีธุระอะไรก็รีบพูดมา”
เสียงห้วนสั้นทั้งยังติดจะดุอีกด้วยทำยุทธนาโวยวาย
“เฮ้ย พูดจาแบบนี้ต่อหน้าน้องบัวได้ไงวะ เดี๋ยวน้องตกใจพอดี” วางมาดข่มเพื่อนเสร็จ ยุทธนาค่อยปลอบเจ้าของดวงหน้าหวานละมุน “น้องบัวไม่ต้องกลัว ไอ้ริ้วมันชอบพูดจาแบบนี้แหละ” ยุทธนารีบบอกด้วยกลัวรุ่นน้องคนสวยจะตกใจ จากนั้นเขาส่งเสียงดุ “ไม่ใช่ธุระของกูหรอก เป็นธุระของน้องบัวต่างหาก”
พอคิ้วเข้มขมวดหากันหน้าภัทรยศจึงยิ่งดูดุกว่าเดิม บงกชเอ่ยเสียงค่อยอย่างเกรงและกลัวรุ่นพี่
“บัวทำขนมมาฝากพี่จุ้ยค่ะ”
เพราะไม่ได้สนิทสนมกับคนตัวโตท่าทางโหดบงกชเลยไม่กล้าเรียกฉายา เธอเรียกภัทรยศด้วยชื่อเล่นจริงเหมือนอย่างรุ่นน้องคนอื่น ภัทรยศขมวดคิ้วยุ่งกว่าเก่า
“เอามาฝากทำไม”
คำถามห้วนกับท่าทางห่ามห้าวที่แสดงต่อรุ่นน้องคนสวยทำยุทธนาเกือบเขกหัวเพื่อน จากนั้นเขาเป็นฝ่ายตอบแทน
“น้องบัวทำขนมมาขอบคุณเรื่องมึงช่วยไม่ให้น้องเค้าโดนนางมารดำตบเมื่ออาทิตย์ที่แล้วไง” ยุทธนาเท้าความถึงข่าวแซ่บที่ลือกันให้แซ่ด จนเมื่อกี้เขาและเพื่อนๆ ถึงกับต้องตะล่อมถามความจริงจากบงกชจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ฝ่ายภัทรยศพยักหน้าเข้าใจและไม่แปลกใจที่ใครๆ ต่างรู้เรื่องวิวาทระหว่างบงกช ดุสิตา รวมถึงตน เพราะมีคนเห็นเหตุการณ์หลายคน
“เรื่องเล็กน้อย วันหลังไม่ต้องเอาอะไรมาขอบคุณพี่หรอก” ภัทรยศบอกราวไม่เห็นว่าเรื่องดังกล่าวสำคัญถึงขนาดต้องมีของกำนัลตอบแทนให้ จนเห็นเพื่อนทำหน้าเหมือนอยากบีบคอเขาที่ทำให้บงกชหน้าจ๋อย ชายหนุ่มจึงค่อยถาม “ไหนล่ะขนม”
“เมื่อกี้บัวไปหาพี่จุ้ยที่ซุ้ม พอไม่เจอเลยฝากขนมไว้ที่พี่โป้ยที่นั่งซุ้มเดียวกับพี่แล้วค่ะ” บงกชเอ่ยถึงรุ่นพี่ผู้หญิงปีสี่ ภัทรยศขอบใจแล้วถาม
“แล้วบัวจะไปไหนกับไอ้เต้ย” ถามเพราะแปลกใจที่รุ่นน้องคนดังมาเดินอยู่กับเพื่อนตนอย่างไม่มีเหตุผล บงกชรีบปฏิเสธ
“เปล่าค่ะ พอดีบัวจะไปซื้อของหน้า ม. แล้วพี่เต้ยจะไปทางเดียวกันพอดี บัวกับพี่เต้ยเลยเดินมาด้วยกันค่ะ”
“มึงจะไปไหน” ภัทรยศตั้งใจเค้นเพื่อน ยุทธนาอึกอัก
“กูจะไปห้องสมุด”
“ห้องสมุด? หน้าอย่างมึงเนี่ยนะจะไปห้องสมุด กลายเป็นเด็กเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
“กูตั้งใจเรียนมานานแล้วเว้ย มึงไม่รู้เอง แล้วบรรณารักษ์ห้องสมุดเค้ารู้จักกูทุกคน”
แววตายุทธนามีทั้งขอร้องและขู่บังคับไม่ให้ภัทรยศพูดอะไรมากกว่านี้ ขณะอีกฝ่ายหัวเราะหึๆ รู้ทันเพื่อนที่ทำทีเป็นเด็กเรียนเพื่อสร้างภาพ แต่เพราะไม่อยากฉีกหน้ายุทธนาต่อหน้าเฟรชชี่คนสวยเขาจึงเลิกพูดอะไรที่จะทำลายภาพลักษณ์คนที่สาวๆ ทั้งในและต่างคณะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเท้เท่
หากอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ไม่พูดแต่ภัทรยศก็ไม่ลืมเอาคืนเรื่องยุทธนาแกล้งตนสักครู่ เขาจึงเข้าไปแทรกกลางระหว่างสองคนพลางโอบบ่าเพื่อน
“มึงไม่ต้องไปห้องสมุดหรอก ไปกับกูดีกว่า” คนพูดบีบบ่า ยุทธนาทำหน้าสงสัยว่าภัทรยศเข้ามาสอดทำไม แต่ไม่ทันเอ่ยอะไร ภัทรยศกลับหันไปทางรุ่นน้อง “บัวไปเถอะ พี่มีธุระต้องคุยกับไอ้เต้ย”
บงกชรีบทำตาม เธอส่งยิ้มให้สองรุ่นพี่ ขณะยุทธนามองตามหลังตาละห้อยแล้วค่อยทำตาขุ่นปัดแขนภัทรยศออกจากบ่า
“ไอ้ริ้ว ทำไมต้องเสือกมีธุระอะไรกับกูตอนนี้วะ”
“ใครว่ามี กูแค่อยากแกล้งต่างหาก เพราะมึงอยากแกล้งกูก่อนดีนัก” ภัทรยศยักคิ้วกวน ยุทธนาโวยวาย
“กูแกล้งมึงตอนไหน…อ๋อ เรื่องที่กูทักมึงกับพ่อต่อหน้าน้องบัวน่ะเหรอ แสบนักนะไอ้ริ้ว” ยุทธนาทำเหมือนจะเตะแก้แค้น แต่โดนอีกฝ่ายชี้หน้าพูดเสียงดังใส่
“ขืนทำอะไรกู กูจะตะโกนให้น้องบัวมาดูตัวจริงของเด็กเรียนอย่างมึง” ภัทรยศขู่ ยุทธนาชะงัก ต่างฝ่ายต่างมองอย่างเข่นเขี้ยวไม่กี่วินาทีก็หัวเราะ จากนั้นยุทธนาเป็นฝ่ายหันหลังเดินกลับสู่ซุ้มโต๊ะที่นั่งประจำโดยมีภัทรยศก้าวมาพร้อมกัน ทว่าพ้นเขตบริเวณคณะวิศวกรรมศาสตร์ไม่ทันไรจอมสร้างภาพกลับถอนใจยาว เอ่ยขึ้นอย่างเพ้อๆ
“น้องบัวสวยว่ะ”
ชำเลืองเห็นนัยน์ตาหวานเยิ้มภัทรยศก็ขบขัน ปล่อยให้เพื่อนละเมอตอนกลางวันแสกๆ
“กูอยากเป็นมึงว่ะไอ้ริ้ว ได้เป็นฮีโร่ช่วยน้องบัวจากนางมารดำ”
“นิ้งไม่เห็นดำเท่าไหร่ อีกอย่างแบบนั้นเค้าเรียกผิวสีน้ำผึ้ง” ภัทรยศแก้ให้ ยุทธนาหยุดเดิน มองตาขวางไม่พอใจที่เพื่อนเข้าข้างนางมารที่เกือบตบนางฟ้าของเขา
“ดำเว้ย ดำมาก โดยเฉพาะใจ อ้อ แล้วยังขาลายอีกต่างหาก”
“มึงไปเห็นตอนไหนว่านิ้งขาลาย”
คนช่างสงสัยซักพลางนึกถึงท่อนขาเรียวยาวที่ถ้าหากนุ่งกางเกงยีนฟิตๆ คงสวยไม่น้อย ฝ่ายคนแอบมองขารุ่นน้องเอะอะกลบเกลื่อนพร้อมกับเดินต่อ
“เค้าเห็นกันทั้งนั้นแหละ กูว่านะบ้านยายนิ้งต้องอยู่ในสลัมแน่ๆ ถึงได้ขาลาย ขี้อิจฉา ปากจัด อยู่แต่กับพวกคนที่ชอบทะเลาะลงไม้ลงมือกัน ถึงได้จะเอาวิธีนี้มาใช้กับน้องบัวของกู นี่ถ้ายายนั่นทำให้แก้มใสๆ ของน้องบัวเป็นรอยแม้แต่นิดเดียว กูไม่ยอมแน่”
ยุทธนากำหมัด ขณะภัทรยศอยากแย้งว่าอยู่ที่ไหนก็เป็นคนขี้อิจฉาใช้กำลังได้ทั้งนั้น แต่เพราะไม่อยากขัดคอ เลยปล่อยให้อีกฝ่ายเอ่ยต่อไปเรื่อยๆ
“ดีว่าพวกเพื่อนน้องบัวตาแหลม เลือกน้องบัวเป็นดาวกลุ่มไม่ใช่ยายนิ้งเลยยิ่งทำให้อะไรๆ ดูดี คิดดูสิไอ้ริ้ว เกิดวันนั้นยายนิ้งได้เป็นดาวขึ้นมาภาพลักษณ์ของคณะบริหารธุรกิจคงป่นปี้ ใครเห็นคงนึกว่าเป็นหลุมดำไม่ใช่ดาว”
เมื่อเพื่อนชักวิจารณ์เลยเถิด ภัทรยศจึงเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะไปกันใหญ่
“บัวเอาขนมอะไรมาให้กูวะ บลูเบอรี่ชีสพายแบบหนก่อนหรือไง” ภัทรยศเอ่ยถึงขนมที่บงกชทำแจกคนในคณะซึ่งเขาเองเคยกินไปสองคำ
“คุกกี้” ยุทธนาตอบแล้วประจบ “กูขอกินคุกกี้ของน้องนางฟ้าด้วยคนนะมึง”
“เออ”
อนุญาตเพราะรู้แน่ว่าถึงปฏิเสธคงโดนแย่งกินอยู่ดี จากนั้นภัทรยศต้องทนฟังยุทธนาพร่ำเพ้อถึงความสวย ความรวย ความเพียบพร้อมของบงกชไปตลอดทาง
ถึงด้านหลังตึกคณะ ยุทธนารีบพุ่งไปยังโต๊ะที่อยู่ติดกับแปลงดอกไม้เล็กๆ เขากวักมือตะโกนเร่งภัทรยศเหมือนเด็กตะกละ
“เร็วสิวะไอ้ริ้ว กูอยากกินขนมแล้ว”
เจ้าของขนมสั่นศีรษะ นึกอยากแกล้งเดินช้าๆ แต่หากทำเช่นนั้นยุทธนาคงยิ่งส่งเสียงดังให้ขายขี้หน้าทั้งรุ่นเดียวกันและรุ่นน้องปีสองกับปีสามซึ่งนั่งอยู่รอบๆ ภัทรยศเร่งฝีเท้ากว่าเดิมเล็กน้อยกระทั่งถึงซุ้มที่นั่งก็ปัดปอยผมข้างแก้มไปด้านหลังและลูบเหงื่อชื้นตรงหน้าผาก ขณะคนตะกละเอื้อมมือคว้าขวดโหลคุกกี้ ทว่าไม่ทันจับโดน มือเล็กๆ ของคนตัวเล็กไว้ผมทรงซอยสั้นกลับฟาดเผียะลงมา
“เจ้าของอนุญาตหรือยังเต้ย” ชโลธรพูดราวตัวเองเป็นแม่ยุทธนา ฟากเพื่อนนักศึกษาชายหล่อเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าซึ่งนั่งตรงกันข้ามยิ้มแล้วบอก
“ลองวิ่งมาขนาดนี้แปลว่าอนุญาตแล้วล่ะ ใช่มั้ยจุ้ย”
รุทธ์ถามเจ้าของทรงผมยุ่งที่หยุดยืนข้างชโลธร ภัทรยศพยักหน้า ยุทธนายักคิ้วกวนให้ผู้หญิงคนเดียวของโต๊ะ จากนั้นเขารีบนั่งลงข้างลูกชายคนเล็กของเจ้าสัวเจ้าของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตหลายแห่ง รอคอยชิมขนมของรุ่นน้องคนที่ตนหมายตา
ภัทรยศหยิบโหลพลาสติกที่บรรจุคุกกี้โรยหน้าด้วยถั่วอัลมอนด์ เขากำลังจะดึงโบลายสก็อตสีชมพูออก แต่พลันนั้นกลับสังเกตเห็นกล่องกระดาษสีน้ำตาลด้านหน้ารุทธ์เสียก่อน
“อะไรน่ะ”
“บลูเบอรี่ชีสพาย” รุทธ์บอก ภัทรยศพูดต่อ
“มีบลูเบอรี่ชีสพายด้วยรึ นึกว่ามีคุกกี้อย่างเดียวซะอีก”
พูดพลางวางโหลคุกกี้ลงเพื่อเปิดฝากล่องกระดาษ ภัทรยศเห็นบลูเบอรี่ชีสพายในถาดฟอยล์เหลืออยู่ประมาณเศษสามส่วนสี่ โดยเขาไม่ถือสาเรื่องชโลธรกับรุทธ์กินขนมก่อนโดยไม่ขออนุญาตเพราะรู้ว่ารสชาติของบลูเบอรี่ชีสพายฝีมือบงกชอร่อยจนยากอดใจไหว ภัทรยศหยิบช้อนพลาสติกอีกคันตักขนมกิน ทว่าพอสัมผัสถึงรสชาติเขาก็ทำหน้าแปลกๆ แต่กลับยังตักชิมอีกคำหนึ่ง
เสียงหัวเราะคิกของชโลธรทำให้ภัทรยศแน่ใจว่าไม่ใช่ขนมฝีมือบงกช เขานิ่วหน้าถาม
“ขนมใคร”
เพื่อนตัวเล็กจ้องตาเพื่อนตัวโต ตอบชัดถ้อยชัดคำ
“ของนิ้ง”
ภัทรยศหยุดกึกหลังได้ยินชื่อ ฝ่ายรุทธ์เห็นอย่างนั้นเข้าจึงเอ่ยถึงคนที่เดินมาแจกขนมหลังบงกชไปได้ไม่นาน
“น้องเขาบอกทำเอง ตั้งใจทำมาแจกเพื่อนๆ พี่ๆ”
“แน่ใจว่าตั้งใจ” ภัทรยศไม่เชื่อ เขาถามผู้นั่งข้างรุทธ์ “ลองสักคำมั้ยไอ้เต้ย”
ยุทธนาส่ายหน้าดิก มองชีสกับบลูเบอรี่เยิ้มๆ ราวคือยาพิษ
“รสชาติเป็นไงวะ” คนไม่อยากชิมถาม ภัทรยศคว่ำนิ้วโป้งลง
“ห่วย รสชาติเหมือนคนทำไม่มีลิ้น”
“แรงไปน่าจุ้ย” รุทธ์แย้งและกำลังจะเตือนให้ลดเสียงวิจารณ์ แต่เขากลับโดนยุทธนาเหยียบเท้าเสียก่อน ขณะภัทรยศยังคงพูดตามความจริง
“ถ้ามีลิ้นต้องเอะใจแล้วมั้งว่าขนมตัวเองไม่อร่อย บลูเบอรี่ชีสพายอะไรรสหวานเจี๊ยบ ไม่มีความเปรี้ยวสักนิด หรือช่วงนี้มะนาวแพงเลยไม่ใส่น้ำมะนาวลงไป เอ้า ก็ยังดีวะที่ไม่เอาน้ำส้มสายชูมาใส่แทน ไม่งั้นคงพิลึกน่าดู แต่จะว่าไปถึงไม่ใส่น้ำส้มสายชูก็อย่ากินเลย ทิ้งดีกว่าเพราะรสแปลกแบบนี้น่าจะทำผิดสูตร ขืนกินต่อมีหวังท้องเสีย…โป้ยมียาแก้ท้องเสียเปล่า เราขอเม็ดนึงกินป้องกันไว้ก่อน”
แม้รู้เพื่อนพูดประชด แต่ชโลธรยังทำท่าหยิบยาจากกระเป๋าให้จริงๆ ทว่าไม่ทันเปิดกระเป๋าเสียงจากทางด้านหลังก็ทำเธอสะดุ้ง
“แล้วพี่โป้ยมียาแก้ปากเสียมั้ยคะ จะได้ให้พี่จุ้ยกินไปพร้อมกันเลย”
ทั้งคู่หันขวับ ชโลธรหน้าเจื่อน ส่วนภัทรยศดูแปลกใจมากกว่าตกใจเมื่อเห็นเจ้าของบลูเบอรี่ชีสพายยืนอยู่ด้านหลัง ดุสิตาขยับตัวไปใกล้ จ้องเขาด้วยแววตาวาวโรจน์ มือกำหนังสือนิยายที่ลืมไว้ตรงโต๊ะข้างๆ แน่น
ฝ่ายภัทรยศไม่สะทกสะท้านต่อแววตาน่ากลัวแม้แต่น้อยทั้งยังขยับไปใกล้ดุสิตาเช่นกัน เขาจงใจใช้รูปร่างสูงหนาข่มขวัญ จ้องกลับด้วยสายตาดุดันชนิดต่อให้เป็นเพื่อนผู้ชายตัวสูสีกับเขาก็ต้องยอมถอย
แต่ดุสิตากลับไม่ยอมเขยื้อนหนีแม้แต่น้อย แถมใบหน้าคมงามยังแหงนเชิด ดวงตาสวยแปลกเต็มไปด้วยแววตาเหมือนนางเสือร้ายที่พร้อมสู้เขายิบตา
แล้วในชั่ววินาทีที่รู้ว่าการปะทะกันหนนี้ดุสิตาจะสู้ตาย มุมปากข้างหนึ่งของภัทรยศจึงยกสูง…เปล่า เขาไม่ได้ยิ้มเหยียด แต่ยิ้มเพราะสนุกที่กำลังจะได้ยั่วโมโห ปั่นหัวให้ดุสิตากลายเป็นตัวตลกในสายตาทุกคน เขาจะต้องสั่งสอนรุ่นน้องจอมแสบตรงหน้าให้จดจำเสียทีว่าอย่าได้บังอาจก่อปัญหาและอย่าได้ริปีนเกลียวกับรุ่นพี่อีก
“มีถึงสองเม็ดมั้ยโป้ย” ภัทรยศถามชโลธรที่ไม่อยากร่วมศึกระหว่างเด็กปีหนึ่งกับรุ่นพี่ปีสี่ ผิดกับยุทธนาที่อยากกระโดดร่วมวงด้วยเต็มที่เพราะเหม็นหน้าดุสิตาเป็นทุนเดิม
“เอาทำไมตั้งสองเม็ดวะไอ้ริ้ว จะกินเองเม็ดนึงแล้วให้น้องเค้ากินแก้ปากเสียเม็ดนึงหรือไง” ยุทธนาช่วยเปิดสังเวียน ภัทรยศตอบเสียงดัง
“ใครว่ากินเอง กูอยากให้น้องเค้ากินทั้งสองเม็ดต่างหากจะได้เลิกปีนเกลียวปากกล้ากับรุ่นพี่สักที”
“อ้อ พอรุ่นน้องพูดไม่ดีกับรุ่นพี่เรียกปีนเกลียว แล้วที่รุ่นพี่วิจารณ์รุ่นน้องเสียๆ หายๆ เรียกอะไรคะ”
“วิจารณ์เสียหายตรงไหน ของไม่อร่อยก็บอกไม่อร่อย ต้องให้บอกอร่อยหรือไง”
“ไม่จริง พี่รุทธ์ชิมแล้วยังบอกเลยว่าขนมของนิ้งอร่อย”
ดุสิตาค้านหัวชนฝา เธอกับภัทรยศมองไปยังบุคคลที่โดนกล่าวอ้างพร้อมกัน ครั้นรุทธ์อึกอัก ภัทรยศก็ทำหน้าทำตากวนชวนโมโห
“โถๆ แม่คุณ พี่รุทธ์เค้าเป็นผู้ดี เป็นคนสุภาพ พูดเพื่อรักษามารยาทหรอก ไม่รู้ตัวหรือไง”
“งั้นพี่จุ้ยเป็นคนเถื่อนงั้นสิ ถึงกินของนิ้งแล้วไม่อร่อย พวกลิ้นไม่ถึง ไม่มีรสนิยม”
รุ่นน้องคนเดียวในบริเวณนั้นเหยียดเยาะใส่ภัทรยศท่ามกลางพวกรุ่นพี่ทุกชั้นปีที่เริ่มซุบซิบแอบพนันกันว่างานนี้ใครจะแพ้ ใครจะชนะ
“งั้นคนแถวนี้คงไร้รสนิยมกันหมด เพราะไม่มีใครบอกอร่อยสักคน”
“ไม่จริง!” ดุสิตาไม่ยอมเชื่อง่ายๆ เพราะตอนมาแจกขนม รุ่นพี่บางคนยังชมฝีมือเธออยู่เลย ภัทรยศมองไปรอบๆ และเขาเห็นแต่ละคนออกอาการเดียวกันกับรุทธ์ ซึ่งดุสิตาเห็นเช่นกัน
“อุ๊บส์” ภัทรยศยกมือปิดปาก อุทานเป็นภาษาอังกฤษ “ท่าทางจะเป็นเรื่องจริงแล้วล่ะน้องจ๋า ยอมรับเถอะเนอะว่าขนมเรามันห่วย”
ภัทรยศยื่นหน้าพูดคำว่า ‘ห่วย‘ ใส่ดวงหน้าคมที่แดงจัดด้วยความอับอายหลังถูกด่าประจานราวขนมของตนคือของสกปรกน่ารังเกียจทั้งที่เธอตั้งใจทำมาให้ทุกคนกิน ตัวของหญิงสาวสั่นเทิ้ม ความคับแค้นอัดแน่นจนพุ่งระเบิดออกมา
“ไอ้พี่จุ้ยบ้า! ไอ้คนลำเอียง! เรื่องอะไรมาหาว่าขนมนิ้งห่วย ตัวพี่เองนั่นแหละที่ห่วย ไม่ใช่ขนมนิ้ง”
ประโยคนั้นทำเอาคนรอบๆ ครางฮือ ด้วยไม่นึกว่าเฟรชชี่ปีหนึ่งจะหาญกล้าด่าทอผู้ไม่ใช่แค่ตัวใหญ่ แต่ยังใหญ่คับมหาวิทยาลัย ขณะภัทรยศไม่ได้สนใจต่อคำด่าแม้แต่น้อยเพราะเอะใจบางอย่างมากกว่า
คิ้วเหนือดวงตาดุขมวดย่นแป๊บเดียวค่อยคลายออก ภัทรยศเหยียดริมฝีปาก
“เดี๋ยวลำเอียง เดี๋ยวไม่ยุติธรรม เป็นอะไรมากเปล่าน้อง อาทิตย์ก่อนพี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าอยากได้ความยุติธรรมให้ไปคณะนิติฯ หรือถ้ายังไม่เจอก็ไปโน่นเลย ศาลไคฟงของเปาบุ้นจิ้น”
ภัทรยศพูดกวน ดุสิตาสวนเร็ว
“นิ้งอยากไปหาเปาบุ้นจิ้นเหมือนกันแหละค่ะ จะได้ใช้เครื่องประหารหัวสุนัขประหารคนบางคน เสียดายแถวนี้ไม่มี ไม่งั้นคงได้ใช้แล้ว”
“ทำไมจะไม่มี ในปากเราก็มีอยู่ตัวนึงนั่นไง ไม่คายออกมาล่ะจะได้เอามาทำเครื่องประหาร”
“บ้า! เรื่องอะไรมาหาว่านิ้งปากหมา”
“อ้าว ตอนแรกนึกว่ามีตัวเดียว ที่ไหนได้มีตั้งหลายตัว ดีเลย จะได้ทำเครื่องประหารหลายๆ เครื่อง”
“ในปากพี่จุ้ยนั่นแหละที่มีหมา ไม่ใช่ปากนิ้ง”
กางเล็บข้างที่ไม่ได้ถือหนังสือ ดุสิตานึกในใจว่าหากภัทรยศพูดอะไรออกมาอีกคำเดียว อีกแค่คำเดียวเท่านั้นล่ะ เธอจะตะกุยหน้าเขาให้เละ แต่ลงท้ายเธอไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะมีร่างสูงยืนขึ้นและพูดขัดเสียก่อน
“พอเถอะจุ้ย คนมองหมดแล้ว อีกอย่างนายเป็นรุ่นพี่จะต่อปากต่อคำกับรุ่นน้องทำไม เสียชื่อเปล่าๆ”
รุทธ์เอ่ย ภัทรยศเหลือบมองเพื่อนแวบหนึ่ง ขณะยุทธนาทำมือทำไม้ส่งสัญญาณไม่ให้สนใจเพราะคนดูอย่างเขากำลังสนุก
“นั่นสิ พอเหอะจุ้ย” คราวนี้ชโลธรช่วยพูดอีกคน เธอลุกจากโต๊ะไปหาดุสิตาที่ยืนตัวสั่นเทิ้มแล้วกระแอมเบาๆ “นิ้งไปห้องน้ำเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ”
ชโลธรไม่รอคำตอบ เธอออกแรงดึงแขนรุ่นน้องจนทั้งคู่ห่างออกไปแล้วดุสิตาหันขวับมาฝากแววตาอาฆาต ภัทรยศก็ยักไหล่ท่ามกลางเสียงร้องเฮของพวกที่พนันฝ่ายเขา แต่พอนั่งลงเสียงหัวเราะชอบใจของยุทธนาที่กำลังชูนิ้วโป้งกลับทำให้ภัทรยศเริ่มรู้สึกแปลกจนต้องมองไปรอบๆ
กระทั่งพบว่าไม่ใช่เพียงยุทธนาที่หัวเราะแต่ยังมีอีกหลายคน ภัทรยศจึงชักไม่แน่ใจว่าที่ตั้งใจทำให้รุ่นน้องตัวแสบกลายเป็นตัวตลก สุดท้ายแล้วเขาเองกลับต้องกลายเป็นตัวตลกของเพื่อนและรุ่นน้องในคณะด้วยหรือเปล่า
ปกติในตอนเย็นภัทรยศมักมีนัดเล่นกีฬากับเพื่อนคณะเดียวกันและต่างคณะ แต่วันนี้หลังมีปากเสียงกับดุสิตาจนกลายเป็นเรื่องซุบซิบโจษจันภายในเวลาอันรวดเร็วเขาเลยยกเลิกนัดทั้งหมดเพราะไม่อยากตอบคำถามหรือฟังคำพูดกระเซ้าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวให้เสียอารมณ์
นักศึกษาหนุ่มลงจากรถเมล์ปรับอากาศ เดินเข้าซอยหนึ่งร้อยเมตรจึงถึงบ้านที่มีต้นบานบุรีเลื้อยอยู่ตลอดแนวรั้วยาว พอไขกุญแจผ่านประตูรั้วเข้าไปภัทรยศจึงเห็นรถยนต์จอดอยู่สองคัน เขาเดินผ่านพลางมองอย่างสังเกตพบว่าเป็นรถของคนไม่รู้จัก
ภัทรยศวางหน้าเฉยเมยหลังคนขับรถของรถยนต์คันหนึ่งมองมา เขาไม่พูดอะไรกับชายในชุดซาฟารีแล้วก้าวเข้าบ้านตึกสองชั้นที่สร้างมาตั้งแต่ก่อนตัวเองเกิดแต่สภาพทั้งภายในและภายนอกยังแข็งแรงสวยงามเพราะได้รับการดูแลอย่างดี
ภัทรยศผ่านหน้าห้องรับแขกได้ยินเสียงพ่อคุยกับแขกอย่างเป็นกันเองลอดออกมา เขาไม่แน่ใจว่าแม่ร่วมสนทนาอยู่ด้านในด้วยหรือไม่ กระทั่งไปถึงห้องครัวเพื่อหาน้ำดื่มจึงพบแม่นั่งหันหลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ตรงโต๊ะกินข้าวตัวเล็ก
สตรีผมสั้นผิวขาววัยสี่สิบหกปีในชุดเสื้อผ้าลำลองสีอ่อนตัดเย็บอย่างดีเหลียวมองเมื่อได้ยินเสียงเปิดตู้เย็น จากนั้นได้กรอกเสียงบอกปลายสายที่เป็นฝ่ายโทรมา
“เธอก็หยุดร้องไห้ก่อน ส่วนเรื่องนั้นน้าจะลองคุยกับเกียรติดู แต่น้าไม่รับปากนะว่าจะได้เรื่องหรือเปล่า”
ปลอบอีกเล็กน้อยแล้ววางสาย ณัฐมนถอนใจยาว หันร่างกายที่เริ่มออกท้วมเล็กน้อยมาทางบุตรชายคนเดียว
“ทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะจุ้ย” แม่ถามลูกที่กำลังยกขวดน้ำดื่มอั้กๆ เนื่องจากปกติลูกมักกลับบ้านตอนหนึ่งถึงสองทุ่ม ภัทรยศวางขวดลงบนโต๊ะกินข้าว ไหว้แม่ก่อนเป็นฝ่ายถามกลับ
“ใครมาบ้านครับแม่ แล้วเมื่อกี้แม่คุยโทรศัพท์กับใคร”
เสียงดุทำณัฐมนนึกถึงทรงเผ่าตอนหนุ่ม เธอค่อนในใจว่าพ่อกับลูกชายช่างเหมือนกันไม่มีผิดตรงที่ชอบคาดคั้นเวลาเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล
“เพื่อนเก่าเค้ามาเยี่ยมพ่อ” ณัฐมนตอบเพียงคำถามแรก เอ่ยถึงกลุ่มเพื่อนของสามีที่เมื่อกี้ตนต้อนรับอยู่ด้วย แต่เพราะมีโทรศัพท์ด่วนเข้ามาจึงต้องขอตัวออกจากห้องรับแขก ภัทรยศแสดงสีหน้าดูถูก
“มาเยี่ยมคนป่วย หรือมาประจบ? หรือมาของานเหมือนเพื่อนเก่าคนก่อนๆ ครับ?” ภัทรยศประชดจนโดนแม่ปรามด้วยสายตาให้เบาเสียงลง
“มาเพราะอะไรก็ช่างเถอะ ยังไงพวกเค้าก็มีน้ำใจมาเยี่ยมพ่อ”
“มาเพราะผลประโยชน์ทั้งนั้น แต่เอาเถอะ ยังไงพ่อชอบอยู่แล้วเวลามีใครเลียแข้งเลียขา”
“จุ้ย” คราวนี้ไม่ใช่แค่ปรามแต่ณัฐมนยังตำหนิเสียงเข้ม “อย่าพูดถึงพ่อแบบนี้ พ่อไม่เคยชอบให้ใครทำแบบนั้น แม่เองก็ไม่ชอบ แต่ทำยังไงได้ เขามาถึงบ้าน เราก็ต้องต้อนรับ” เสียงแม่อ่อนลงพลางบอกต่อมา “ไปสวัสดีเพื่อนพ่อสิ พวกเค้าพูดอยู่ว่าอยากเจอจุ้ย”
ริมฝีปากหยักหนายกสูงข้างหนึ่ง ภัทรยศรู้หรอกว่าเพื่อนพ่ออยากผูกไมตรีกับตนเหมือนคนอื่นๆ ที่เคยเจอมานับไม่ถ้วน อย่างเสี่ยรายหนึ่งที่เคยพบเขาตอนเรียนมัธยมปลาย เจ้าตัวถึงกับโอบบ่าวางท่าสนิทสนมราวเขาคือลูกหลานญาติสนิททั้งที่เพิ่งพบหน้าครั้งแรก ทว่าพอมาเจออีกหนตอนเขาเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง อีกฝ่ายกลับมองเหยียดปฏิเสธว่าไม่รู้จัก
ตอนแรกภัทรยศรู้สึกโกรธ แต่พอคิดได้ว่าเหตุการณ์นั้นให้ผลดีมากกว่าเนื่องจากทำให้เขาไม่ต้องคอยฟังคำพูดยกยอเลี่ยนหูกับการแสดงที่ดูฝืนเหลือทน เขาจึงจงใจเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อตัดความน่ารำคาญใจ โดยมีพ่อมองการกระทำของเขาด้วยความรำคาญตา
“เพื่อนพ่ออยากเจอ แต่พ่อคงอายไม่อยากให้ใครเจอจุ้ยหรอกแม่”
แม้หนนี้ไม่ได้ประชด แต่คนเป็นแม่ฟังแล้วกลับรู้สึกว่าลูกชายกำลังประชดพ่ออยู่ดี
“พ่อไม่เคยอายหรอก แต่จุ้ยรู้นี่นาว่าพ่อไม่ชอบเรื่องไว้ผมยาว มันดูไม่สุภาพ ไม่หล่อด้วย”
“ไม่หล่อ ไม่สุภาพก็ดีออกแม่ ไม่มีใครกล้ายุ่งกับจุ้ยด้วย”
ภัทรยศนึกขอบคุณเสี่ยคนที่ตนเพิ่งนึกถึงเมื่อสักครู่ซึ่งตอบรับคำทักทายของนักศึกษาที่เนื้อตัวเลอะเทอะจากการรับน้องด้วยสายตาดูถูกจนทำให้เขาค้นพบวิธีกรองคนบางประเภทออกจากชีวิต ณัฐมนสั่นศีรษะไม่เห็นด้วยกับคำพูดพลางมองเส้นผมรุ่ยร่ายข้างแก้มลูกชายที่หลุดจากจุกเล็กๆ ด้านหลัง
“ผมยาวแล้ว ตัดเสียทีเถอะ พ่อจะได้เลิกบ่นเสียที”
“บ่นเยอะๆ สิดี แม่จะได้ไม่เหงาไง จุ้ยจำได้นะว่าแม่เพิ่งพูดเรื่องพ่อมัวทำแต่งานจนไม่มีเวลาคุยกับแม่”
“เหงาไม่กลัว แม่กลัวพ่อเห็นผมจุ้ยแล้วโกรธจนความดันขึ้นมากกว่า” ณัฐมนเอ่ยถึงโรคประจำตัวของสามีที่เป็นเหตุให้ต้องหยุดพักตามคำสั่งหมอ “อ้อ ไม่ใช่แค่ตัดผม กางเกงยีนกับรองเท้าต้องซักด้วย…แม่รู้หรอกนะที่จุ้ยไม่ซักไม่ใช่เพราะเป็นคนสกปรก แต่เพราะอยากแกล้งให้พ่อขวางหูขวางตา”
แม่บ่นอย่างรู้จักนิสัยดื้อรั้น ฝ่ายลูกชายทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แถมยังเปลี่ยนเรื่อง
“เมื่อกี้แม่คุยกับใครอยู่ครับ”
ทั้งที่ลูกเฉไฉไม่ยอมตอบเรื่องผมเผ้าเสื้อผ้า แต่ณัฐมนคร้านจะบ่นเรื่องที่พูดมาหลายปี เธอจึงยอมเปลี่ยนเรื่อง
“เมียเกียรติโทรมาฟ้องเรื่องเกียรติติดผู้หญิงคนใหม่”
“เรื่องเดิม” ภัทรยศเหนื่อยหน่ายและโมโหเรื่องแม่ต้องคอยตามแก้ปัญหาเดิมๆ ของเกียรติชัย ลูกชายของป้าที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งแม้เจ้าตัวจะมีอายุมากกว่าเขาห้าปี แต่กลับทำตัวเหลวไหลไม่เป็นโล้เป็นพายและที่หนักคือเรื่องเจ้าชู้มีเมียเรี่ยราด
“แม่ไม่ต้องช่วยพูดหรอก พูดไปก็เท่านั้น ยังไงพี่เกียรติก็มีเมียใหม่อยู่ดี อีกอย่าง เมียคนนี้เป็นคนแย่งพี่เกียรติมาจากเมียคนเก่าไม่ใช่เหรอ” ภัทรยศเอ่ย เขาจดจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าภรรยาคนปัจจุบันของลูกพี่ลูกน้องชื่ออะไร
“ไม่ได้หรอก แม่รับปากแล้วว่าจะช่วยพูดกับเกียรติก็ต้องพูด แต่จุ้ยไม่ต้องห่วง แม่ออกตัวไปว่าไม่รู้จะทำให้เกียรติกลับบ้านได้หรือเปล่า” เสียงณัฐมนอ่อนล้า ภัทรยศนั่งลงข้างแม่ บีบมือให้กำลังใจเพราะรู้แม่ไม่ได้ห่วงแค่เรื่องเกียรติชัยกับเมีย…แต่ยังมีอีกเรื่อง
“แม่อยากเอาพู่แพรมาเลี้ยง” ณัฐมนเอ่ยเรื่องที่เคยบอกลูกกับสามีหลายครั้ง “สงสารเด็ก ต้องเปลี่ยนแม่เป็นว่าเล่น ยังดีที่เกียรติเป็นผู้ชาย ขืนเป็นผู้หญิงแล้วพู่แพรต้องเปลี่ยนพ่อบ่อยๆ แม่ไม่ยอมแน่”
แม้ไม่เคยเห็นด้วยที่หลานชายเปลี่ยนภรรยาบ่อย แต่ณัฐมนยังพยายามมองในแง่ดีเพราะคิดว่าอย่างไรเสียการที่พู่แพรอยู่กับแม่เลี้ยงย่อมดีกว่าอยู่กับพ่อเลี้ยง ขณะภัทรยศเข้าใจถึงความกังวลของแม่เพราะเดี๋ยวนี้มักมีข่าวพ่อเลี้ยงข่มขืนลูกเลี้ยง ทว่าอย่างไรในความคิดของเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับแม่ทั้งหมด เพราะไม่ว่าพู่แพรจะอยู่ในความดูแลของผู้หญิงหรือผู้ชายย่อมไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น ภัทรยศมองสีหน้าไม่สบายใจของแม่พลางนึกถึงหลานสาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักวัยสิบขวบซึ่งเขาเองไม่เคยรู้ว่าใครเป็นแม่ของเธอเพราะเกียรติชัยเล่าแค่ว่าวันหนึ่งผู้หญิงที่เคยนอนด้วยอุ้มพู่แพรมาให้แล้วบอกเป็นลูก ครั้นพอตรวจดีเอ็นเอว่าตรงกันเกียรติชัยก็รับมาเลี้ยงเพราะอีกฝ่ายไม่ต้องการพู่แพร
“ลองคุยกับพี่เกียรติอีกครั้งมั้ยครับ”
“แม่คิดอย่างนั้นอยู่ แต่คงไม่ยอมตามเคย…แม่ล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ตัวเองมัวติดผู้หญิงจนไม่มีเวลาอยู่กับลูกแท้ๆ”
“พี่เกียรติคงรักพู่แพรเหมือนกันครับ อีกอย่างถ้าให้พู่แพรมาอยู่กรุงเทพฯ พี่เกียรติคงเห็นว่าไกลเกินไป”
“ไม่เห็นไกล นั่งเครื่องบินแค่ชั่วโมงเดียวเอง” ณัฐมนนึกถึงจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือตอนบน “แต่ช่างเถอะ ถึงเกียรติไม่ยอมยกพู่แพรให้แม่เลี้ยงตอนนี้ แต่แม่วางแผนไว้แล้วว่าอีกหน่อยจะบอกให้เกียรติส่งลูกมาสอบโรงเรียนที่กรุงเทพฯ ถ้าสอบได้ เกียรติคงต้องยอมให้พู่แพรมาอยู่กับแม่”
ณัฐมนวางแผนการในอนาคตไว้เสร็จสรรพ จากนั้นยุติเรื่องราวของเกียรติชัยและลูกสาวไว้เท่านั้น ดวงตางามบนใบหน้าอ่อนกว่าวัยหลายปีมองของที่ลูกชายวางไว้บนโต๊ะ
“จุ้ยซื้อคุกกี้มาจากไหน น่ากินเชียว”
“ไม่ได้ซื้อครับ มีคนให้มา”
พอหลุดปากภัทรยศจึงรู้ว่าพลาดเต็มเปา เพราะแม่รีบขยับนั่งหลังตรงออกอาการตื่นเต้นขึ้นมาทีเดียว
“ใครให้ ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้ชาย น้องรหัสของจุ้ยครับ”
โกหกเนื่องจากไม่อยากให้แม่รู้เรื่องตนแสดงตัวเป็นฮีโร่ช่วยสาวมาจนสาวสวยคนนั้นมอบคุกกี้เป็นของขวัญตอบแทนน้ำใจซึ่งจะยิ่งทำให้ถูกซักไปกันใหญ่ ณัฐมนทำหน้าผิดหวังกับคำตอบแม้รู้สึกแปลกที่ผู้ชายให้คุกกี้แก่กันก็ตามที
“ลูกแม่ออกจะหล่อ ทำไมถึงไม่มีสาวคนไหนสนใจ”
ภัทรยศยิ้ม เขาไม่รู้แม่ทุกคนในโลกมักเห็นลูกตัวเองหน้าตาดีเหมือนอย่างแม่เขาหรือเปล่า
“หล่อของแม่ แต่สาวๆ คนอื่นเขาไม่เห็นว่าหล่อนี่ครับ”
“ลองตัดผมเผ้าให้เรียบร้อย รับรองสาวๆ ตามเป็นพรวน”
“ที่พูดมาทั้งหมด เพราะจะหลอกให้ลูกตัดผม?”
ณัฐมนหัวเราะเมื่อโดนรู้ทัน เธอจับเส้นผมลูก
“เชื่อแม่สิ ลองแค่จุ้ยเปลี่ยนทรงผม รับรองสาวๆ ที่ไม่เคยมองต้องมองเหลียวหลังแน่…จะว่าไป ยิ่งโตจุ้ยยิ่งเหมือนพ่อนะ โดยเฉพาะตอนทำหน้าดุเสียงดุ แม่เห็นแล้วคิดถึงตอนโดนพ่อดุสมัยยังทำงานเป็นเลขาฯ”
ณัฐมนหวนนึกถึงตอนพบสามีที่ทำงานในบริษัทเดียวกันซึ่งทรงเผ่ามีอายุมากกว่าถึงหนึ่งรอบ เธอเลยยิ่งกลัวเขาเหลือเกิน กระทั่งพบว่าที่ตนโดนดุบ่อยเป็นพิเศษเกิดจากความสนใจในตัวสาวน้อย ณัฐมนก็เกิดตกหลุมรักเจ้านายรูปหล่อจอมเฮี้ยบไปแล้วเช่นกัน
ภัทรยศปล่อยให้แม่ระลึกถึงความหลังโดยไม่ขัดอะไร แต่ณัฐมนกลับคิดว่าลูกไม่ชอบเรื่องถูกนำไปเปรียบเทียบกับพ่อซึ่งนับวันยิ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมา ขัดแย้งตั้งแต่เรื่องแต่งตัวจนถึงเรื่องเรียนที่ลูกชายขัดใจพ่อไม่ยอมเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์และยังมีเรื่องจุกจิกอื่นอีกโดยเธอต้องคอยรับหน้าที่เป็นตัวกลางประสานความสัมพันธ์ของคนที่หัวดื้อเหมือนกันไม่มีผิด
จากนั้นณัฐมนเลิกบอกว่าพ่อลูกเหมือนกันอย่างไร แล้วหยิบคุกกี้อัลมอนด์จากขวดโหลที่ลูกชายหมุนเปิดฝาให้และเพียงกัดชิมคำแรกก็ออกปากชม
“อร่อย น้องรหัสจุ้ยซื้อจากร้านไหนน่ะ” ณัฐมนหยิบโหลคุกกี้ขึ้นมาพลิกหาชื่อร้านแต่ไม่พบ ภัทรยศจำเป็นต้องโกหกอีกรอบ
“เอ่อ…เห็นว่าที่บ้านเค้าทำเองครับแม่”
“ฝีมือดี ขนาดทำเองยังอร่อยเหมือนร้านที่แม่เคยซื้อ…จริงสิ แม่ขอแบ่งคุกกี้ไปเสิร์ฟแขกได้มั้ย”
ลูกชายไม่ปฏิเสธเพราะคุกกี้มีเยอะเกินกว่าเขาคนเดียวจะกินหมด กระทั่งแม่นำคุกกี้แบ่งใส่จานนำไปให้แขก ภัทรยศจึงหยิบคุกกี้อัลมอนด์ชิ้นหนึ่งขึ้นมาพลางนึกถึงตอนยุทธนาเอะอะโวยวายด่าว่าเขางกหลังจากเขาเกิดเปลี่ยนใจไม่ยอมแบ่งขนมของบงกชให้ชิม
และพอกัดกินคำแรกภัทรยศเกิดความรู้สึกชื่นชมต่อฝีมือทำขนมของบงกช ทั้งคุกกี้ และบลูเบอรี่ชีสพาย
บลูเบอรี่ชีสพาย…
จู่ๆ ภัทรยศกลับนึกถึงบลูเบอรี่ชีสพายรสชาติไม่ได้เรื่องอีกถาด และไม่ใช่แค่นึกถึง ชายหนุ่มยังรับรู้ได้ถึงรสหวานประหลาดยังปลายลิ้น เขาวางคุกกี้ลงอย่างหมดอารมณ์กินต่อทั้งยังหน้าชาขึ้นมาอีกรอบเมื่อสัมผัสได้ถึงรสชาติความอับอายหลังต้องกลายเป็นตัวตลกให้คนในคณะหัวเราะเยาะขบขันอย่างที่เขาอยากให้ดุสิตาขายหน้า
พอเขาต้องตกอยู่ในฐานะเดียวกับหญิงสาวขึ้นมาจากสนุกจึงไม่สนุกและเขายังละอาย…ละอายในฐานะที่ตนเป็นรุ่นพี่ชั้นปีสูงสุดแต่กลับรังแกรุ่นน้องปีหนึ่ง ทั้งๆ ที่ถูกที่ควรคือวางเฉยไม่ต่อปากต่อคำ ซึ่งหากเขาเลือกนิ่งเฉยเสียตั้งแต่ทีแรกคงไม่ต้องหัวเสียทีหลังกับเสียงหัวเราะ เสียงล้อของยุทธนา รวมถึงจากคนอื่นๆ
แต่เอาเถอะ ถึงพลาดหนหนึ่งก็ไม่จำเป็นต้องมีหนที่สอง ภัทรยศคิดอย่างนั้นพลางสัญญากับตัวเองว่านับจากนี้เป็นต้นไปแม้ดุสิตาทำอะไรขวางหูขวางตามากแค่ไหนเขาจะไม่ยุ่งและจะอยู่ให้ไกลจากรุ่นน้องผู้มีดวงตาสวยแปลกมากที่สุด
บทที่ 3
ภัทรยศทำได้อย่างที่สัญญาไว้กับตัวเอง เขาไม่ข้องเกี่ยวกับดุสิตาอีกเลยตลอดหนึ่งเทอม ขณะอีกฝ่ายเลิกมอง เลิกพูด เลิกเฉียดกรายใกล้บริเวณที่เขาอยู่ ซึ่งชายหนุ่มไม่รู้เหตุผลของดุสิตาว่ามาจากอะไร แต่ที่แน่ๆ การเรียน การทำรายงาน รวมถึงการสอบล้วนมีส่วนสำคัญมากทีเดียวที่ทำให้เขากับเธอไม่มีเวลาสนใจกันอีก
อย่างไรก็ตามแม้ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กันแล้ว แต่ข่าวคราวของดุสิตากลับเข้าหูของภัทรยศเป็นระยะราวกับเรื่องราวของเธอคือสีสันของคณะ คือเครื่องปรุงรสเผ็ดจัดจ้านที่ถ้าหากขาดไปชีวิตประจำวันของทุกคนจะจืดชืดไร้รสชาติ
“รู้เรื่องรุทธ์ยัง”
อรอุมาพูดเมื่อนั่งลงยังโต๊ะเลกเชอร์ภายในห้องเรียนวิชาการจัดการกลยุทธ์การตลาด ความจริงเธอเอ่ยกับชโลธร แต่คนหูผึ่งกลับเป็นยุทธนาซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง
“ยัง” ยุทธนาชะโงกหน้าบอก ฝ่ายคนเริ่มเรื่องซึ่งเป็นสาวสวยรูปร่างดีเอี้ยวตัวมอง สายตาคู่นั้นแสดงความเบื่อหน่ายเพื่อนจอมสอดรู้สอดเห็น
“เรื่องงานวันเกิดอาทิตย์หน้าน่ะเหรอ รุทธ์ชวนแล้ว” ชโลธรเอ่ยถึงงานวันเกิดของรุทธ์ในเดือนพฤศจิกายน อรอุมาลดเสียง
“ไม่ใช่เรื่องนั้น”
“งั้นเรื่องอะไร” ชโลธรสงสัย อรอุมาขยับเก้าอี้เลกเชอร์ กวักมือเรียกให้ยุทธนาโน้มศีรษะมาใกล้ๆ
“เรื่องพักหลังมีคนเห็นรุทธ์กับนิ้งอยู่ด้วยกันบ่อยๆ…และสงสัยว่าจะคบกันแล้วด้วย”
ถึงเคยสัญญากับตัวเองว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของดุสิตา แต่พอได้ยินข่าวนี้ภัทรยศที่นั่งข้างยุทธนาถึงกับหยุดขยับปากกา เขาไม่ได้เงยหน้าแต่พอเดาออกว่าทั้งชโลธรกับยุทธนาต้องตาโต
“จริงดิ!” ยุทธนาเสียงดัง อรอุมาจุปากให้เงียบแล้วเล่าต่อ
“จริง เราเองยังเคยเห็นสองครั้งที่โรงอาหาร ตอนแรกนึกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องบังเอิญเจอกัน ท่าทางไม่ใช่ละ”
“มิน่า…” ชโลธรทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกบางอย่างออก “หนก่อนที่เต้ยเม้าท์เรื่องนิ้งกดปิดประตูลิฟต์ทั้งที่เต้ยกับน้องบัวบอกให้รอด้วย รุทธ์ถึงได้บอกว่านิ้งอาจจะกดปุ่มผิด และยังเรื่องของน้องบัวที่หายอีก รุทธ์ก็บอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“อะไรหายวะ” ยุทธนาไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะตกข่าวนี้
“กระเป๋าเครื่องสำอาง ในนั้นมีแต่ของยี่ห้อแพงๆ ทั้งนั้น” ชโลธรบอกสิ่งที่เคยแอบสังเกตตอนเข้าห้องน้ำพร้อมรุ่นน้องคนดัง “ได้ยินเค้าบอกกันว่านิ้งขโมยไป แต่ไม่รู้จริงหรือเปล่า”
“จริงแท้แน่นอน” อรอุมายืนยันด้วยคำบอกเล่าที่ได้ฟังจากพัชรีซึ่งเป็นเหลนรหัสของตน “เพราะอีกวันนิ้งทาลิปสติกสีเดียวกันเป๊ะกับลิปสติกแท่งใหม่ของน้องบัวที่หายไป แล้วพอถูกถาม นิ้งก็ร้อนตัวโวยวายว่าเป็นลิปสติกของตัวเองที่เพิ่งได้มา แหม อะไรจะบังเอิญมีลิปสติกแท่งใหม่พร้อมกัน อีกอย่างอย่างนิ้งน่ะเหรอจะมีปัญญาซื้อของแพงใช้”
ทุกคนเห็นด้วยเพราะประเมินจากการแต่งตัวของดุสิตาล้วนเห็นชัดว่าเป็นของโหลราคาถูกคนละเกรดกับข้าวของของบงกชจึงไม่มีทางเลยที่จะมีของดีราคาแพงใช้
“เรื่องยังไม่จบแค่นั้น” อรอุมาทำท่าโกรธแค้นราวสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของตัวเอง “ยายนิ้งยังร้ายกาจ หาว่าน้องบัวใส่ร้าย โธ่เอ๊ย อย่างน้องบัวจะใส่ร้ายใครได้ ด่าเป็นหรือเปล่ายังไม่รู้เลย อ้อ พอเพื่อนๆ โมโหเรื่องนิ้งต่อว่าน้องบัว น้องบัวยังช่วยแก้ตัวแทนนิ้งด้วยซ้ำว่าคงเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เพราะวันไปซื้อลิปสติกเจอกับนิ้งที่ห้างด้วย”
“โถ น้องบัว น้องนางฟ้าของพี่ ของตัวเองโดนขโมยยังช่วยแก้ตัวให้นางมารดำอีก” ยุทธนาทำหน้าสงสารบงกชจับใจ จากนั้นเปลี่ยนเป็นเสียงแข็ง “ยังงี้นางมารดำก็รอดตัวสิ”
“รอดหวุดหวิด” อรอุมาหัวเราะหึๆ “แต่พอรอดแล้วยังไม่วายค่อนขอดน้องบัวว่าสร้างภาพทำตัวเป็นแม่พระ”
“อ้าว” ชโลธรหน้าเหลอ “ว่าแต่รุทธ์ไม่รู้เรื่องนี้หรือไง ทำไมถึงยังคบนิ้งเป็นแฟนอีก ถึงหน้าตาสวยมาก แต่ขี้ขโมยแบบนี้ไม่น่าคบหรอก”
“เพราะรุทธ์โง่ไง ผู้หญิงสวยๆ ดีๆ เยอะแยะไม่เอา ดันไปเอาคนแบบยายนิ้ง”
อรอุมาเบะปาก ขณะชโลธรกับยุทธนาเพิ่งนึกออกว่าอรอุมาเคยเป็นฝ่ายรุกจีบรุทธ์ตอนปีหนึ่ง แต่โดนฝ่ายชายปฏิเสธ หากอย่างไรทั้งคู่เห็นด้วยกับเรื่องเพื่อนรูปหล่อพ่อรวยไม่ฉลาด ทั้งยังเป็นคนมองโลกในแง่ดีเกินไปจนกลายเป็นตามไม่ทันเล่ห์กลของดุสิตา
“ยังงี้วันเกิดรุทธ์ นิ้งต้องไปด้วยสิ” ชโลธรเปรย ยุทธนายักไหล่
“แหงอยู่แล้ว ไอ้รุทธ์คิดอะไรของมันวะ จู่ๆ จะพาขโมยเข้าคฤหาสน์ ดีล่ะ…” ยุทธนากระทุ้งศอกใส่คนที่ยังก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสือ “ฟังอยู่หรือเปล่าวะไอ้ริ้ว”
“ได้ยิน” ภัทรยศตอบ ขณะยุทธนายืดอกพูดเสียงเข้ม
“วันเกิดไอ้รุทธ์ กูกับมึงไปเล่นเกมจับหัวขโมยกัน”
หนนี้ภัทรยศเงยหน้า แสดงสีหน้าให้รู้ว่าไม่เอาด้วย
“ไม่เอา กูไม่ชอบเล่นเกม”
“มึงต้องเล่น” ยุทธนาบังคับ จากนั้นหรี่ตามองเพื่อนที่ทำหน้าบูดบึ้ง “กูรู้มึงไม่อยากยุ่งกับนิ้ง แต่งานนี้ไม่ยุ่งไม่ได้ว่ะ เพราะรุทธ์เป็นเพื่อนกลุ่มเรา เราต้องปกป้องเพื่อนให้พ้นจากมนตร์ดำของนางปีศาจ”
“กูว่ามึงอยากหาเรื่องนิ้งเพราะต้องการแก้แค้นแทนน้องบัวมากกว่า”
ไม่เพียงภัทรยศที่รู้ทัน ชโลธรกับอรอุมาก็ด้วย ยุทธนาหัวเราะแหะๆ แก้เก้อ
“เออน่า เพื่ออะไรก็ช่างเถอะ แต่ยังไงงานนี้มึงเลี่ยงไม่ได้” ยุทธนารู้ทันเรื่องที่เพื่อนหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับดุสิตามาตั้งแต่เทอมก่อนเช่นกัน แววตาเขาเต้นริกๆ ในตอนเอ่ยต่อมา “หนนี้กูขอหนักกว่าหนก่อน เอาให้นางมารน็อกหมดฤทธิ์เสียที…ถ้าไม่เห็นแก่กูก็เห็นแก่รุ่นน้องเราเถอะวะไอ้ริ้ว ไหนๆ พวกเราใกล้เรียนจบแล้ว ถ้าไม่ปราบกำราบยายนิ้งไว้มีหวังคณะเราได้เข้าสู่ยุคมืดแน่”
ยุทธนาขู่ ภัทรยศขยับปากจะบอกว่าตนไม่ใช่มือปราบมารเพราะฉะนั้นอย่าได้ลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่ไม่ทันปฏิเสธ อาจารย์ได้เข้ามาในห้องเรียนเสียก่อน เรื่องราวของดุสิตาจึงจบลงเพียงเท่านั้น
วันเกิดของรุทธ์ปีนี้เปลี่ยนสถานที่จัดงานจากร้านอาหารบุฟเฟ่ต์มาเป็นที่บ้าน สาเหตุมาจากรุทธ์ได้ยินเพื่อนคนหนึ่งเปรยเรื่องอยากกินอาหารซีฟู้ด เขาจึงเกิดความคิดอยากให้เพื่อนๆ ปิ้งย่างอาหารทะเลสดๆ ด้วยกัน เพื่อจะได้มีเวลาพูดคุยหยอกล้ออย่างเต็มที่เนื่องจากอีกไม่กี่เดือนทุกคนจะเรียนจบแล้ว
ภัทรยศมาถึงหน้าคฤหาสน์สีขาวหลังใหญ่ในตอนสี่โมงเย็น เขาสวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตแขนยาวสีเขียวเข้มตัดสลับด้วยสีดำกับกางเกงยีนตัวใหม่ ส่วนในมือไม่ได้ถือของขวัญมาด้วยเพราะชโลธรอาสาเป็นคนจัดการเรื่องของขวัญโดยรวบรวมเงินจากคนมาร่วมงานวันเกิด
แหงนมองประตูอัลลอยสูงตระหง่าน ภัทรยศกดกริ่งที่อยู่ใกล้กับประตูเล็กแล้วรอแม่บ้านเปิดให้ แต่แม่บ้านไม่ทันปรากฏตัวเขาก็ได้ยินเสียงรถจอดจากด้านหลัง
เป็นรถยนต์หรูสีดำที่ภัทรยศรู้ว่าใครนั่งอยู่ด้านหลังคนขับ เขาพยักหน้ารับไหว้รุ่นน้องที่เพิ่งลงจากรถและสั่งคนขับว่ากลับเมื่อไรจะโทรเรียก
“สวัสดีค่ะพี่จุ้ย”
หญิงสาวในชุดเดรสสั้นสีชมพูขับผิวขาวผ่องทักทายคนตัวโตหน้าดุในจังหวะที่หัวหน้าแม่บ้านรูปร่างท้วมเปิดประตูให้พอดี ทั้งคู่ก้าวสู่พื้นที่ร่มรื่นกว้างกว่าสองไร่ ทางด้านซ้ายก่อนถึงคฤหาสน์ภัทรยศเห็นแม่บ้านอีกสองคนกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมเตาปิ้งย่างอยู่ข้างสระว่ายน้ำ
“ยังไม่มีใครมาเหรอครับ”
“ยังไม่มีสักคนเลยค่ะ มีแค่คุณจุ้ยกับคุณ” หัวหน้าแม่บ้านหมายถึงบงกช “เด็กๆ ยังเตรียมของไม่เสร็จเลยค่ะ ยังไงเชิญรอด้านในห้องรับแขกก่อนนะคะ”
ภัทรยศตอบรับและกำลังจะถามถึงคนในครอบครัวเพื่อน แต่บงกชถามอย่างมีมารยาทแทนเขาเสียก่อน
“คุณพ่อคุณแม่พี่รุทธ์อยู่บ้านหรือเปล่าคะ พี่จุ้ยกับบัวจะได้ไปสวัสดี”
“คุณผู้ชายไม่อยู่ค่ะ ออกไปข้างนอกกับคุณรัตน์ คุณริน” หัวหน้าแม่บ้านเอ่ยถึงพี่สาวคนโตและพี่สาวคนรองของรุทธ์ “ส่วนคุณผู้หญิงอยู่ค่ะ เดี๋ยวป้าเรียนท่านให้นะคะ”
บอกพลางส่งยิ้มให้เพื่อนของลูกชายคนเล็กของเจ้าสัว จากนั้นแม่บ้านเดินนำสู่คฤหาสน์ที่ไม่ได้หรูหราเพียงภายนอก การตกแต่งภายในก็หรูหราในสไตล์ยุโรป กระทั่งถึงห้องรับแขกแม่บ้านได้เชื้อเชิญภัทรยศกับบงกชนั่งคอยตรงโซฟาแล้วขอตัวออกไป
ไม่นานสตรีวัยกลางห้าสิบที่ยังคงงามสง่าทั้งรูปร่างหน้าตาได้เดินเข้ามาภายในห้องรับแขก แขกผู้มาเยือนลุกพร้อมกันแล้วสวัสดีแม่ของรุทธ์
“ทำท่าเป็นงานเป็นการเชียวจุ้ย คนกันเองทั้งนั้น นั่งลงเถอะ” รัชนีกรซึ่งอยู่ในชุดกรุยกรายลายดอกไม้สดใสบอกพลางมองหญิงสาวหน้าตาสะสวย ผิวพรรณเนียนผ่องที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน “มีแฟนกับเค้าเสียทีนะเรา แม่นึกว่าจุ้ยจะเป็นพวกหวงความโสดแบบยายรัตน์เสียแล้ว”
รัชนีกรเอ่ยยิ้มๆ นึกเอ็นดูที่เห็นแก้มใสแดงเรื่อขึ้นมา ภัทรยศรีบแก้ไขความเข้าใจผิด
“ไม่ใช่ครับแม่ บงกช บัวเป็นรุ่นน้องผมกับรุทธ์ครับ เรียนอยู่ปีหนึ่ง เอกเดียวกัน”
“ตายละ งั้นแม่หน้าแตกงั้นสิ ขอโทษนะจ๊ะ” เจ้าของบ้านบอกผู้นั่งโซฟาตัวติดกัน บงกชทัดปอยผมยาวที่หลุดจากการรวบเข้ากับใบหู เธอพูด
“อย่าขอโทษเลยค่ะคุณแม่ คุณแม่ไม่ได้ทำอะไรผิด แค่เข้าใจผิดเล็กน้อยเองค่ะ อ้อ จริงสิคะ หนูทำขนมมาฝากด้วย”
เมื่ออีกฝ่ายแทนตัวเองว่าแม่บงกชจึงเรียกตาม เธอขยับตัวไปหยิบกล่องกระดาษใบใหญ่บนโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าภัทรยศ พอรัชนีกรเปิดกล่องออกเห็นคัพเค้กที่มีดอกไม้สีหวานดอกโตประดับอยู่ด้านบนก็เอ่ยปากชม
“น่ากิน ดีนะที่หนูบัวบอกก่อนว่าทำเอง ไม่งั้นแม่คงนึกว่าซื้อมา”
“หนูลองทำตามสูตรในเว็บไซต์สอนทำขนมน่ะค่ะ ส่วนลายดอกไม้หนูทำเลียนแบบร้าน…” บงกชเอ่ยชื่อร้านขนมเจ้าดัง
“มิน่า ถึงว่าทำไมขนมถึงดูคุ้นๆ” ผู้พูดหยิบคัพเค้กอันหนึ่งมาดูใกล้ๆ “เก่งจัง ทั้งสวย ทั้งทำขนมเก่ง พ่อแม่ปลื้มใจแย่…ว่าแต่พ่อแม่หนูบัวทำงานอะไร เปิดร้านอาหารหรือเปล่าถึงได้มีฝีมือทางนี้”
เหมือนถามไปอย่างนั้น แต่ความจริงรัชนีกรเริ่มให้ความสนใจตั้งแต่รู้ว่าเด็กสาวสวยตรงหน้าไม่ใช่แฟนภัทรยศ
“เปล่าหรอกค่ะ พ่อบัวรับราชการ ส่วนแม่ทำงานมูลนิธิค่ะ”
พร้อมกับวางขนมลงบนโต๊ะ รัชนีกรมองเพื่อนรุ่นน้องของลูกชายอย่างมีคำถาม แต่เพราะไม่อยากถามซอกแซกให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าตนกำลังให้ความสนใจเลยทำแค่พยักหน้ารับรู้ ขณะภัทรยศมองออกว่าแม่ของรุทธ์คิดอะไร เพราะเพื่อนแต่ละคนที่เคยมาคฤหาสน์หลังนี้ล้วนผ่านการถูกสอบประวัติมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งบางครั้งรัชนีกรเอ่ยถามตรงๆ และบางครั้งใช้วิธีมาเลียบเคียงถามกับเขาภายหลัง โดยเฉพาะพวกเพื่อนผู้หญิง รัชนีกรมักให้ความสนใจเป็นพิเศษ
“แม่บัวเป็นโฆษกมูลนิธิ…ครับ ออกทีวีบ่อยๆ แม่คงเคยเห็น”
เมื่อรู้อย่างไรคงถูกถามทีหลังภัทรยศจึงเฉลยเสียเลย ส่วนพ่อของบงกชนั้นชายหนุ่มไม่ได้กล่าวถึงเพราะไม่เคยรู้รายละเอียด รัชนีกรคิดตามนิดหนึ่งก่อนร้องอ๋อ
“คนนั้นน่ะเองที่ชื่อกฤษณา แม่เคยเจอในงานการกุศลสองสามครั้ง แต่ไม่เคยคุยกันหรอก” พอรู้บงกชเป็นลูกเต้าเหล่าใครรัชนีกรยิ่งสนใจ เธอพินิจดวงหน้าสวยหวานพลางแสดงความชื่นชม “กฤษณาเป็นคนเก่ง เท่อีกต่างหาก หนูบัวเก่งและสวยเหมือนแม่นี่เอง”
เป็นอีกครั้งที่บงกชหน้าแดง เธอก้มหน้าเอ่ยเบาอย่างถ่อมตัว
“บัวไม่เก่งหรอกค่ะ สู้แม่ไม่ได้ อ้อ สู้พ่อไม่ได้ด้วยค่ะ”
ครั้นได้จังหวะ รัชนีกรจึงถามถึงพ่อของบงกช ภัทรยศเลยได้รู้ว่าพ่อของหญิงสาวชื่อพศิน เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงหนึ่งซึ่งเขาจำได้ว่าเคยมีข่าวใหญ่เกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งกับกลุ่มนายทุนผู้มีอิทธิพลเพราะไม่ยอมรับสินบน
ยิ่งรู้ว่าพ่อของบงกชคือข้าราชการมือสะอาดรัชนีกรยิ่งรู้สึกถูกชะตา เธอพูดคุยกับบงกชอย่างถูกคอ ชมเปาะถึงพศินและกฤษณา โดยมีภัทรยศนั่งฟังเงียบๆ กระทั่งหญิงสาวเล่าถึงเหตุการณ์ล่าสุดซึ่งเห็นเองกับตาตอนแม่ลงจากรถไปกระชากคอผู้ชายที่กำลังทำร้ายผู้หญิง รัชนีกรก็ตื่นเต้นราวตัวเองเป็นไทยมุงอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย
“แม่หนูบัวเป็นคนดี เป็นคนเก่ง และยังกล้ามาก”
บงกชยังเอ่ยอย่างนอบน้อมและถ่อมตัว
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ…จริงสิ บัวเคยอ่านเรื่องที่คุณแม่เป็นต้นคิดให้ชาวบ้านเอาผักผลไม้ออร์แกนิกมาขายในรีสอร์ตที่เขาใหญ่ฟรีๆ จนช่วยเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้าน คุณแม่ไอเดียดี ใจดี และยังเก่งจังเลยค่ะ”
รัชนีกรยิ้มกว้าง ถูกอกถูกใจหญิงสาวที่ทั้งสวยสะอาด ฉลาด และยังมาจากครอบครัวที่ดี
ดีกว่า…
ดีกว่าใครรัชนีกรไม่อยากนึกถึง เพราะคิดทีไรต้องโมโหลูกชายทุกที แถมพอได้เจอบงกช เธอยิ่งโมโหและไม่เข้าใจว่าลูกตาบอดหรืออย่างไร
รัชนีกรยังยิ้มในหน้าทั้งที่ใจเริ่มเดือดปุดๆ แต่เพียงครู่เดียวก็ส่งยิ้มหวาน
“ชมกันตรงๆ แบบนี้แม่เขินแย่เลยหนูบัว…ว่าแต่แม่ถามตรงๆ บ้างสิว่าหนูบัวสวยน่ารักอย่างนี้มีแฟนหรือยังเอ่ย ถ้าไม่มีแม่ขอจองไว้ได้มั้ย”
จองไว้ให้ใครนั้นไม่ต้องบอกเพราะรัชนีกรมีลูกชายอยู่คนเดียว คนที่แทบไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดการสนทนาเลิกคิ้ว ตอนแรกภัทรยศไม่รู้แม่เพื่อนแค่หยอกเล่นหรือตั้งใจ จนมาแน่ใจตอนเห็นดวงตาของอดีตนางงามเป็นประกาย เขากระแอมเมื่อบงกชออกอาการอึกอักหน้าแดง
“เจ้าของวันเกิดอยู่ไหนหรือครับแม่” ภัทรยศเปลี่ยนเรื่องถามถึงคนที่ควรได้เจอตัวตั้งนานแล้ว และคำถามนั้นทำให้รอยยิ้มรัชนีกรหายวับในพริบตา
“รุทธ์ไปรับเพื่อน”
“เพื่อนคนไหนเหรอครับ” ภัทรยศสงสัยเพราะเมื่อวันศุกร์เขาไม่ได้ยินเพื่อนสักคนพูดว่าให้รุทธ์ขับรถไปรับ ทว่านอกจากไม่ตอบ รัชนีกรยังบ่น
“มาเองไม่ได้หรือไงไม่รู้ถึงต้องให้รุทธ์ขับรถไปรับ นี่ก็ไปรับกันตั้งแต่เที่ยงแล้วยังไม่กลับมาเสียที”
เจ้าของบ้านส่งเสียงขุ่น จากนั้นจึงขอตัวและบอกให้ภัทรยศกับบงกชทำตัวตามสบาย
แม้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่มีใครมาถึงสักที ภัทรยศจึงโทรศัพท์ตามยุทธนากับชโลธร ทั้งสองบอกว่ารถติดอยู่ตรงสามแยกก่อนถึงหน้าปากทางเข้าซอยบ้านรุทธ์ เมื่อเห็นว่าเพื่อนจวนมาถึงชายหนุ่มรุ่นพี่จึงชวนบงกชออกไปคอยคนอื่นตรงริมสระว่ายน้ำ
หลังออกมาด้านนอกคฤหาสน์บงกชค่อยหายใจหายคอโล่งขึ้นที่ไม่ต้องอยู่ตามลำพังกับรุ่นพี่หน้าดุในห้องรับแขก ซึ่งภัทรยศสังเกตเห็นอาการดังกล่าวเหมือนกัน ดังนั้นพอรุ่นน้องนั่งลงตรงเก้าอี้ที่แม่บ้านจัดเตรียมไว้ให้ เขาจึงตั้งใจนั่งลงยังเก้าอี้ตัวข้างๆ แทนที่จะเป็นคนละฝั่งซึ่งมีโต๊ะคั่นกลาง
แล้วพอบงกชทำเหมือนจะเขยิบเก้าอี้ออกห่าง ภัทรยศกลับส่งเสียงเข้ม
“จะหนีไปไหน พี่ไม่กัดเราหรอกน่า”
บงกชหน้าแหย เอ่ยเบาราวหนูกลัวราชสีห์
“ก็พี่จุ้ยตัวใหญ่ บัวกลัวพี่นั่งไม่สบายเลยจะขยับให้พี่มีที่กว้างขึ้น”
“แก้ตัว”
ภัทรยศส่งเสียงเข้มกว่าเดิมสิบเท่า ทั้งยังจ้องดวงตาโตสีน้ำตาลอ่อน ครั้นเห็นดวงหน้าหวานซีดเผือดเหมือนคนจะเป็นลม ริมฝีปากหนาเป็นเส้นตรงจึงแย้มออกจนเห็นไรฟันขาวสะอาด ขณะบงกชมองรอยยิ้มของยักษ์ใหญ่อย่างไม่ไว้ใจนัก
“พี่จุ้ยยิ้มทำไมคะ”
“ยิ้มขำเราน่ะสิ”
“ขำ?” คิ้วเหนือดวงตางามเลิกขึ้น “ทำไมพี่จุ้ยขำบัว หรือมีอะไรติดหน้าบัวอยู่”
จับหน้าจับตาไม่พอ บงกชยังเปิดกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบกระจก แต่ต้องชะงักเมื่อเจ้าของเสียงดุเอ่ยเสียก่อน
“มีคำว่าขี้ป๊อดติดอยู่ตรงหน้าผากไง”
บงกชชะงัก เธอทำตาขุ่นเสียงขุ่น
“พี่จุ้ยแกล้งบัว”
“น่าให้แกล้งมั้ยล่ะ ทำอย่างกับพี่เป็นยักษ์มาร ลองตะกี้ถ้าเราไม่ทำหน้าเหมือนคนจะเป็นลม พี่ไม่ยิ้มให้หรอก”
“ขอบคุณค่ะ”
เพราะไม่แน่ใจว่าโดนประชดหรือเปล่านัยน์ตาเข้มจึงจ้องไปยังดวงตากลมใส เมื่อไม่เห็นอะไรแอบแฝงในดวงตาแป๋วภัทรยศเลยสรุปว่าบงกชเอ่ยตามประสาซื่อ
“ถ้าไม่ใช่บัว พี่คงนึกว่าโดนขอบคุณประชด”
“เอ๋? บัวไม่ได้ประชดนะคะ บัวขอบคุณพี่จุ้ยจากใจจริงๆ ที่ใจดีไม่แกล้งบัว”
“ทำไมคราวนี้ฟังแล้วรู้สึกทะแม่งเหมือนบัวประชดชมพี่” ภัทรยศติดใจสงสัย แต่เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้คุยกับรุ่นน้องตามลำพังยาวๆ แบบนี้ เขาจึงไม่ล่วงรู้ความรู้สึกแท้จริง “ช่างเถอะ ไหนๆ บัวอุตส่าห์ชมว่าพี่ใจดี งั้นช่วยยิ้มเสียทีเถอะ คนอื่นเค้าจะได้ไม่หาว่าพี่เป็นยักษ์ใหญ่แกล้งน้องเล็ก บัวยิ่งเป็นขวัญใจมหาชนอยู่ ขืนยังไม่ยอมยิ้มมีหวังพี่โดนรุมแหง”
ยักษ์ใหญ่นึกถึงยุทธนาที่คงจัดการเขาเป็นคนแรกตามด้วยชโลธรที่ต้องจิกกัดเขาด้วยคำพูดโทษฐานแกล้งรุ่นน้องคนโปรด บงกชทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่ยิ้มหรอกค่ะ เพราะพี่จุ้ยแกล้งบัวก่อนจริงๆ”
“นั่นไง มีเอาคืนด้วย เจ้าคิดเจ้าแค้นไม่ใช่เล่นเหมือนกันแฮะ”
ภัทรยศพูดติดตลก แต่ดูเหมือนบงกชไม่ขบขันด้วย ทั้งแวบหนึ่งเขายังเห็นดวงตาของเธอฉายแสงวาบออกมาคล้ายไม่พอใจ ชายหนุ่มจึงจะขยับลุกไปนั่งเก้าอี้คนละฝั่งเพราะคิดว่าเจ้าตัวไม่ชอบให้มีผู้ชายนั่งใกล้ๆ แถมพูดจาหยอกแกล้งทั้งที่ไม่เคยสนิทสนม และในจังหวะที่ลุกยืนประตูคฤหาสน์ก็เปิดออกพอดี จากนั้นรถยนต์หรูสีเงินได้แล่นเข้ามาช้าๆ และไปจอดตรงบันไดหน้าคฤหาสน์
“…ไปรับนิ้งจริงๆ ด้วย”
หรี่ตามองร่างสูงเพรียวในชุดกระโปรงสีขาวที่ก้าวออกจากประตูฝั่งข้างคนขับ ภัทรยศพึมพำถึงสิ่งที่คาดเดาออกมาตรงเผง จากนั้นเขาโบกมือให้รุทธ์ที่หันมาพร้อมทำมือชี้ให้เขารู้ว่าจะเข้าไปด้านในบ้านก่อน กระทั่งรุทธ์และดุสิตาหายไปภายในคฤหาสน์ ภัทรยศจึงหันมาทางบงกชซึ่งเวลานี้ไม่ใช่เพียงไม่ยิ้มแย้ม เธอยังทำหน้าเคร่งเครียด
“เป็นอะไรไปบัว”
เป็นเพราะน้ำเสียงเป็นห่วง บงกชอึกอักไม่นานจึงยอมเปิดเผยความในใจ
“บัวกลัวนิ้งค่ะ”
“กลัวทำไม นิ้งไม่ใช่เจ้าของบ้านเสียหน่อย” โดยไม่ต้องอธิบายเพราะภัทรยศเข้าใจว่าเหตุใดบงกชถึงคิดเช่นนั้น เนื่องจากเรื่องดุสิตาไม่ชอบหน้าบงกชเป็นเรื่องที่คนในคณะต่างรู้ดี “อีกอย่างเจ้าภาพเป็นฝ่ายเชิญบัว นิ้งไม่กล้าว่าอะไรหรอก”
ภัทรยศปลอบคนที่ถ้าหากเทียบกับดุสิตาแล้วไม่ต่างจากกระต่ายกับงูพิษ ทว่าบงกชกลับยิ่งแสดงความอึดอัดมากกว่าเดิม เธอลังเลก่อนตัดสินใจพูดด้วยความวิตกกังวล
“พี่จุ้ยอย่าบอกใครนะคะ…ความจริงพี่รุทธ์ไม่ได้ตั้งใจเชิญบัวหรอกค่ะ แต่เพราะพี่เต้ยอยากให้บัวมางานวันเกิดด้วย พี่เค้าเลยทำทีชวนบัวต่อหน้าพี่รุทธ์ พี่รุทธ์เลยต้องเชิญบัวตามมารยาท…บัวเลยไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ทั้งที่บัวรู้ว่าถ้าหากมาบัวต้องเจอนิ้งแน่ๆ และนิ้งคงไม่ชอบใจจนยิ่งเกลียดที่เห็นบัวมางานวันเกิดแฟนเค้า”
เผยความในใจแล้ว บงกชค่อยถอนใจยาวพลางภาวนาว่าตนจะสามารถเอาตัวรอดจากงานวันเกิดของรุทธ์ไปได้ด้วยดี
บทที่ 4
อาจเพราะเป็นวันเกิดของคนรักและงานจัดขึ้นยังคฤหาสน์ของรุทธ์ เรื่องของดุสิตาที่บงกชกังวลจึงไม่เกิดขึ้น
เจ้าของดวงหน้าใสละมุนมองหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับตนซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงแขนกุดความยาวเท่าเข่า จากการตัดเย็บไม่ว่าใครย่อมดูออกว่าชุดที่ดุสิตาสวมอยู่มีราคาไม่กี่ร้อย ยิ่งหากนำมาเปรียบเทียบกับชุดกระโปรงแบบหวานสีชมพูของบงกชก็จะยิ่งมองเห็นถึงความแตกต่างของราคา หากอย่างไรชุดราคาถูกสีขาวแบบเรียบๆ นั้นกลับทำให้ผู้สวมใส่ดูดีอย่างน่าทึ่ง
บงกชจงใจออกมายืนห่างๆ จากเจ้าของงานวันเกิดและคนรักซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของพวกรุ่นพี่ปีสี่ตรงริมสระว่ายน้ำ ทุกครั้งที่สบตาเข้ากับดุสิตาเธอจะได้เห็นรอยยิ้มเยาะซึ่งเป็นรอยยิ้มแบบที่เจ้าตัวมอบแก่เธอโดยเฉพาะ บงกชรู้เพราะพอดุสิตายิ้มให้รุทธ์หรือรุ่นพี่คนอื่นรอยยิ้มจะกลายเป็นอีกแบบ คือยิ้มทั้งปากยิ้มทั้งดวงตา
ขยับตัวอย่างอึดอัดหลังดุสิตายิ้มเย้ยให้อีก บงกชหันไปทางอื่นแล้วต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามีบางคนในกลุ่มกำลังจ้องมองตนอยู่
ภัทรยศชูแก้วเครื่องดื่ม บงกชไม่รู้เขาชูทำไม เพื่อชวนดื่ม? เพื่อให้กำลังใจ? หากอย่างไรเธอแค่ตอบรับเขาด้วยรอยยิ้มเนือย จากนั้นตัวเขาหันกลับไปสนทนาต่อในจังหวะเดียวกับคนที่นั่งอยู่กับบงกชตรงใต้ต้นลีลาวดีพูดขึ้นมา
“ไปตรงนั้นกันมั้ยน้องบัว” ตรงนั้นของยุทธนาคือตรงที่เพื่อนๆ คณะเดียวกันและต่างคณะยืนรวมกันอยู่ราวสิบกว่าคน บงกชสั่นศีรษะ
“พี่เต้ยไปคุยกับเพื่อนๆ เถอะค่ะ ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนบัวหรอก บัวอยู่คนเดียวได้”
“โธ่ พี่จะทิ้งน้องบัวได้ไง” ยุทธนารู้สึกผิดกับเรื่องที่เป็นคนวางแผนให้บงกชได้มาร่วมงานวันเกิดรุทธ์เพราะความต้องการอยากใกล้ชิด แต่ไปๆ มาๆ เขากลับทำให้หญิงสาวกลายเป็นส่วนเกินเลยต้องแสดงความรับผิดชอบ “พี่ว่าวันนี้นิ้งไม่กล้าแผลงฤทธิ์แกล้งบัวหรอก ป่ะ ไปกัน”
เอ่ยพร้อมกับดึงข้อมือรุ่นน้องให้ลุกขึ้น แต่อาการตกใจส่งผลให้คนที่ถือวิสาสะจับมือถือแขนต้องรีบปล่อยมือ
“ไม่ดีกว่าค่ะ บัวไม่อยากให้เสียบรรยากาศ” บงกชถอนใจ เอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ยุทธนาสงสาร “…บัวไม่น่ามาเลยนะคะ มาแล้วทำให้คนไม่สบายใจ ทั้งนิ้ง ทั้งพี่รุทธ์ แล้วยังพี่เต้ย”
“อย่าน้อยใจสิ น้องบัวไม่เคยทำให้ใครไม่สบายใจสักหน่อย กับพี่ยิ่งไม่เคย…เอางี้ น้องบัวนั่งคอยตรงนี้ก่อน เดี๋ยวพี่ไปเอากุ้งมาเพิ่ม”
ยุทธนาตรงดิ่งไปยังเตาที่แม่บ้านสองคนกำลังปิ้งย่างอาหารทะเล เขาหยิบจานใบใหม่พลางคิดว่าจะกระซิบบอกชโลธรให้มาชวนบงกชไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ไม่ใช่ปลีกตัวอยู่คนเดียวด้วยความกลัวดุสิตา และระหว่างคีบกุ้งแม่น้ำตัวโตใส่จานผู้ที่สามารถช่วยยุทธนาได้มากกว่าชโลธรก็ปรากฏตัว
“อิ่มมั้ยเต้ย ถ้าไม่อิ่ม แม่จะได้ให้คนออกไปซื้อของเพิ่ม” รัชนีกรพูด ยุทธนารีบบอก
“อิ่มครับแม่ อิ่มมากและอร่อยมาก”
เจ้าของบ้านยิ้มใจดี ก่อนริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีสดจะเปลี่ยนกลายเป็นเส้นตรงเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังของดุสิตาที่อยู่ห่างออกไปราวห้าเมตร รัชนีกรมองหญิงสาวที่ติดแจอยู่กับลูกชายตั้งแต่มาถึงคฤหาสน์ เห็นกิริยาแนบชิดสนิทสนมยิ่งไม่ถูกใจมากกว่าเดิม ทั้งยังพาลโกรธลูกชายที่ตาไม่มีแววเอาเสียเลย
พลันนั้นรัชนีกรหันไปทางต้นลีลาวดีเห็นหญิงสาวสวยกิริยามารยาทเรียบร้อยอ่อนหวานนั่งอยู่ตามลำพังก็ถาม
“ทำไมเต้ยกับบัวถึงต้องแยกไปนั่งตรงนั้น” รัชนีกรเอ่ยถึงสิ่งที่ตนสังเกตเห็นมากว่าสิบนาทีจากด้านบนคฤหาสน์ ยุทธนาอึกอักคิดหาคำตอบ
“น้องบัวเขินพวกรุ่นพี่น่ะครับ ไม่สนิทกันเท่าไหร่ด้วยเลยไปนั่งตรงนั้น ผมเห็นน้องบัวอยู่คนเดียวเลยไปนั่งเป็นเพื่อน”
“อ้อ” รัชนีกรพยักหน้า ดูออกว่ายุทธนาสนใจรุ่นน้อง แต่จากการแอบสังเกตเห็นตอนบงกชทำท่าหวงเนื้อหวงตัวตอนโดนจับข้อมือก็ดูออกเช่นกันว่าเจ้าตัวไม่มีความสนใจรุ่นพี่ แต่สิ่งที่บงกชแสดงออกนั้นทำให้รัชนีกรถูกใจ ไม่ขวางหูขวางตาเหมือนอย่างดุสิตาที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ลูกชายเธอจับหน้าจับตัวได้ตามสบายและยังเป็นฝ่ายเกาะแขนแน่นไม่ปล่อยอีกต่างหาก
“เขินไม่เข้าท่า แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะสนิทกัน” ทำทีเป็นตำหนิเพราะไม่อยากให้เพื่อนลูกล่วงรู้ความคิด จากนั้นรัชนีกรสั่งแม่บ้านคนหนึ่งให้ไปตามลูกชาย จนรุทธ์มาถึงเธอจึงพูดต่อหน้ายุทธนา
“ทำไมปล่อยแขกนั่งคนเดียวล่ะรุทธ์” แม่หันไปทางบงกช รุทธ์มองตามแล้วตอบทื่อๆ
“ไม่ได้ปล่อยครับแม่ น้องเค้าอยากไปนั่งตรงนั้นเอง” รุทธ์นึกถึงตอนกลับถึงบ้านแล้วเพื่อนๆ เริ่มทยอยเดินทางมาถึงซึ่งตอนแรกบงกชยังรวมกลุ่มอยู่กับคนอื่น แต่แล้วสักพักเธอกลับหายไป หายไปตั้งแต่เมื่อไรเขาเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
“เต้ยบอกแม่ว่าบัวเขิน ไม่กล้าคุยกับรุ่นพี่”
เจ้าของวันเกิดขมวดคิ้ว มองเพื่อนที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้และยังเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการบีบบังคับทางอ้อมให้เขาชวนบงกชมางานวันเกิดทั้งที่รู้อยู่ว่าดุสิตาต้องไม่ชอบใจ แต่เพราะไม่อยากประจานว่ายุทธนาโกหกเรื่องเขิน รวมถึงไม่อยากให้แม่รู้ถึงสาเหตุแท้จริงที่เกี่ยวข้องกับคนรักตน รุทธ์เลยเฉยเสีย
“งั้นนายช่วยบอกให้น้องบัวมานั่งด้วยกันสิ”
“บอกแล้ว แต่น้องไม่กล้า” ยุทธนาพูด
“ถ้าไม่กล้า งั้นนายอยู่เป็นเพื่อนน้องแล้วกัน และเดี๋ยวเราจะให้แม่บ้านคอยเอาของไปเสิร์ฟให้” รุทธ์สรุปเสียงเรียบ แต่โดนแม่คัดค้าน
“พูดแบบนี้กับแขกได้ยังไงรุทธ์ น้องเขามาวันเกิดเรา เราก็ต้องต้อนรับสิ ไม่รู้ล่ะ รุทธ์ต้องเป็นคนไปชวนบัว ทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดี”
รัชนีกรสั่ง ฝ่ายลูกชายไม่อยากทำตาม แต่ลงท้ายต้องยอมเพราะไม่อยากเกิดปัญหากับแม่ รุทธ์หันไปมองดุสิตาแวบหนึ่งซึ่งเธอมองเขาอยู่พอดี ก่อนเดินไปหาบงกชพร้อมกับยุทธนาที่ยิ้มหน้าบาน
ครั้นรุทธ์ทำตามคำสั่งแม่ บงกชจึงค่อยคลายความกังวล ลุกเดินตามเจ้าของวันเกิดอย่างว่าง่าย กระทั่งจวนถึงสระว่ายน้ำเธอถึงเพิ่งนึกบางอย่างออกเลยหันมาส่งยิ้มหวานสดใสให้ผู้ชายอีกคนที่เดินถือจานกุ้งตามอยู่ด้านหลัง
“ขอบคุณนะคะพี่เต้ย ถ้าไม่มีพี่ บัวต้องแย่แน่ๆ พี่น่ารักที่สุดเลยค่ะ”
แล้วคำพูดเพียงเท่านั้นก็ทำเอายุทธนาตัวลอยราวกับกำลังเดินอยู่บนปุยเมฆ
พอบงกชและยุทธนากลับเข้ามาสมทบกับกลุ่มเพื่อน ทุกสายตาต่างมองไปทางดุสิตาพร้อมกันราวนัดหมายไว้ ทว่าเหมือนรู้ตัวล่วงหน้าอยู่แล้วว่าต้องถูกจับตามองดุสิตาเลยวางเฉย ไม่ยิ้มแย้มแต่ก็ไม่แสดงอาการจงเกลียดจงชังบงกชเหมือนอย่างตอนอยู่มหาวิทยาลัย
คนโล่งใจมากที่สุดคือรุทธ์เพราะเมื่อวานดุสิตาเพิ่งโกรธงอนเรื่องเขาชวนบงกชมางานวันเกิดหยกๆ แถมยังประกาศด้วยว่าถ้ามีบงกชก็ต้องไม่มีเธอ แต่แล้วระหว่างปวดหัวกับเรื่องนี้ จู่ๆ ตอนหัวค่ำหญิงสาวกลับโทรศัพท์บอกว่าได้เตรียมเสื้อผ้าใหม่สำหรับใส่มางานวันเกิดเขาแล้ว
รุทธ์จึงรีบเอาใจด้วยการขับรถไปรับคนรักที่หอพักและพาไปกินข้าวกลางวัน เขาสบายใจที่ดุสิตาเลิกงอนแต่ในขณะเดียวกันยังคงกังวล กระทั่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่หวั่น รุทธ์แทบอยากถอนหายใจดังๆ ออกมาด้วยความโล่งอก
ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เพื่อนๆ ต่างสนุกสนานและเอร็ดอร่อยกับอาหารทะเลที่เจ้าภาพจัดเตรียมไว้อย่างเหลือเฟือ กระทั่งหกโมงกว่าท้องฟ้าจึงเริ่มมืด อากาศเริ่มเย็น รุทธ์ชวนทุกคนเข้าไปในห้องรับแขก คุยเฮฮาเรื่องสัพเพเหระครู่หนึ่ง ชโลธรจึงถามขึ้นมา
“คราวหน้าไปต่างจังหวัดกันมั้ย เที่ยวทิ้งทวนก่อนเรียนจบไง”
ทุกคนเห็นด้วยและพากันเสนอว่าจะไปจังหวัดใด แต่เนื่องจากเพื่อนผู้หญิงส่วนใหญ่ติดปัญหาเรื่องพ่อแม่ไม่อนุญาตให้ไปเที่ยวไกลๆ ส่วนบางคนติดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย รุทธ์เลยบอก
“ไปเที่ยวรีสอร์ตพ่อเราที่เขาใหญ่มั้ยล่ะ ไม่ไกล แถมยังพักฟรี สนใจหรือเปล่า”
เพื่อนตอบรับด้วยเฮ ทั้งขอบคุณล่วงหน้าและล้อว่ารุทธ์เป็นเจ้าสัวน้อย หลังจากชนแก้วแล้วลูกชายเจ้าสัวได้บอกกับผู้นั่งไหล่ชิดกับตนบนโซฟายาว
“ไปด้วยกันนะนิ้ง”
แม้เอ่ยเสียงเบาแล้ว แต่เพื่อนผู้ชายคณะนิเทศศาสตร์ที่นั่งทางด้านซ้ายของรุทธ์กลับหูดีได้ยิน
“หวานเชียวไอ้รุทธ์ ที่ชวนนิ้งไปเนี่ยจะชวนไปเที่ยวควบถ่ายรูปพรีเว็ดดิ้งเลยหรือเปล่า กูจะได้เตรียมกล้องไปเผื่อ เออ…จะว่าไปวันนี้นิ้งแต่งชุดสีขาวสวยซะด้วย แถมยังดูมีราศีเจ้าสาวอีกต่างหาก…น้องนิ้งคร้าบ แต่งงานเมื่อไหร่อย่าลืมพี่นะครับ เกิดพี่ตกงานขึ้นมาให้พี่ไปเป็นคนเลี้ยงม้าที่รีสอร์ตก็ยังดี”
ดุสิตาหัวเราะคิก เขินอายท่ามกลางเสียงหยอกกระเซ้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกผู้ชาย เธอบอก
“แซวอะไรกันไม่รู้ นิ้งเขินนะคะ”
“นิ้งเขินแล้ว งั้นถามรุทธ์แล้วกัน มึงจะไปขอน้องเมื่อไหร่วะ หลังเรียนจบเลยเป็นไง” เพื่อนผู้ชายอีกคนพูด
“ได้ไงล่ะ เราเรียนจบแต่นิ้งยังไม่จบนี่นา อีกตั้งสามปี” รุทธ์มองดุสิตาตาเชื่อมจนเพื่อนบางคนแกล้งทำหน้าเลี่ยน ขณะคนเดิมเอ่ยต่อ
“งั้นก็อีกสามปี ดีเหมือนกัน พวกกูจะได้มีเวลาเก็บเงินใส่ซองงานแต่งมึง”
“พี่อ่ะ แซวอีกละ นิ้งบอกแล้วไงว่าเขิน” ดุสิตาทำหน้าตาน่าเอ็นดู “…แล้วอีกตั้งนานกว่านิ้งจะเรียนจบ ดีไม่ดี ป่านนั้นพี่รุทธ์อาจเปลี่ยนใจแล้วก็ได้” หญิงสาวย่นจมูกใส่คนรักที่ยิ้มกว้างพลางบอกเสียงดังฟังชัด
“ไม่เปลี่ยนหรอกน่า”
เท่านั้นเองเสียงโห่ฮิ้วก็ดังลั่น ใบหน้าดุสิตาแดงก่ำ เธออายจนไม่รู้จะวางมือไว้ที่ไหนเลยหยิกเข้าที่ต้นแขนรุทธ์แก้เขิน ขณะรุทธ์แสร้งร้องโอ๊ย ดุสิตาตกใจปล่อยมือ แต่พอเห็นคนขี้แกล้งหัวเราะเธอจึงหยิกอีกรอบ
ทุกคนต่างมองภาพหยอกเอินของคู่รักด้วยความอิจฉา กระทั่งเสียงโห่ฮิ้วเงียบลง บงกชซึ่งยืนอยู่ใกล้กับภาพวาดมหาสมุทรก็พูดขึ้นมา
“ที่รีสอร์ตพี่รุทธ์มีม้าด้วยเหรอคะ”
“ครับ” รุทธ์ตอบสั้น
“ดีจัง บัวชอบขี่ม้าค่ะ”
บงกชส่งยิ้มเข้าใจว่าเมื่อรุทธ์ประกาศชวนทุกคนย่อมหมายรวมถึงตนด้วย แต่ไม่ทันชวนคุยถึงเรื่องขี่ม้า สายตาน่ากลัวของดุสิตาได้ทำให้บงกชหน้าเจื่อนรู้ตัวว่าตนคือแขกคนเดียวที่จะไม่ได้รับเชิญ หญิงสาวเม้มริมฝีปากพูดอะไรไม่ออกกระทั่งเจ้าของบ้านเข้ามาในห้องรับแขก
“คุยอะไรกันอยู่ เสียงดังถึงข้างบนเชียว” รัชนีกรเอ่ย เธอลงมาจากชั้นบนเพราะมีนัดหมายกับเพื่อนของลูกและอยากลงมาตรวจตราด้วยว่ามีใครแอบดื่มเหล้าหรือเปล่า “ว่าไงจ๊ะหนูบัว คุยอะไรกัน”
ดวงตากลมใสแสดงความแปลกใจที่รัชนีกรเจาะจงถามตน เธอแอบมองดุสิตากับรุทธ์แวบหนึ่ง
“พี่รุทธ์ชวนทุกคนไปเที่ยวรีสอร์ตของคุณแม่ที่เขาใหญ่ค่ะ ได้ยินว่ามีม้าด้วย”
“ใช่ อยากไปเมื่อไหร่บอกกับรุทธ์มาแล้วกัน แม่จะได้ให้เลขาฯ แจ้งทางรีสอร์ต จริงสิ ขี่ม้าเป็นกันหรือเปล่า” รัชนีกรถามเพื่อนลูกซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคยขี่ม้า จากนั้นเจาะจงเอ่ยกับบงกชอีกครั้ง “หนูบัวขี่ม้าเป็นด้วยเหรอ”
“เป็นนิดหน่อยค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวให้รุทธ์ช่วยหัด”
ดวงตารัชนีกรมองลูกชายอย่างไม่แลถึงคนด้านข้าง ยุทธนานั้นถึงกับหลุดหัวเราะเมื่อเห็นดุสิตาหน้าจ๋อยจนโดนชโลธรกระทุ้งศอกเตือน ขณะรุทธ์บุ้ยหน้าไปทางเพื่อนตัวโต
“ให้จุ้ยหัดให้สิครับ รายนั้นขี่ม้าเก่งกว่าผมอีก”
คนตัวโตผู้กำลังอ้าปากเพื่องับคัพเค้กของบงกชหน้าเหลอ ด้วยไม่รู้ว่าตนกลายเป็นคนขี่ม้าเก่งตั้งแต่เมื่อไร แต่ที่แน่ๆ เขารู้ว่ารุทธ์กำลังเอาตัวเองเป็นกันชนและเขาดันต้องช่วยเพื่อนเสียด้วย
“ได้สิ เดี๋ยวเราหัดให้ทุกคนเอง ราคากันเอง ไม่แพง มีประกันหัวแตก ขาหัก ปากฉีกให้ด้วย สำหรับน้องบัว เห็นแก่หัวสวยๆ พี่แถมหมวกกันน็อกให้อีกต่างหาก”
บงกชหน้าเสีย เพื่อนคนอื่นเช่นกัน รัชนีกรสั่นศีรษะ
“พูดจาอะไรน่ากลัว มานี่มะหนูบัว มาใกล้ๆ แม่ อย่าไปยืนใกล้ตาจุ้ย”
รัชนีกรพูดพลางจูงข้อมือหญิงสาวออกจากห้องรับแขกโดยบอกว่าอยากขอสูตรคัพเค้ก จากนั้นทุกคนพูดคุยกันต่ออย่างไม่ทันสังเกตว่ามีเพื่อนหายไปอีกสามคน จนจู่ๆ เกิดไฟดับ คนที่หายไปทั้งหมดถึงกลับมาพร้อมเสียงเพลง
เสียงร้องเพลง Happy Birthday ดังขึ้นก่อนขนมเค้กจะเดินทางมาถึงในห้องรับแขกเสียอีก รุทธ์ออกอาการเขินที่ต้องมาเป่าเค้กราวตัวเองเป็นเด็กชายวัยสิบขวบไม่ใช่ชายหนุ่มวัยยี่สิบสองปี แต่แล้วความรู้สึกดังกล่าวอันตรธานลับหายทันทีที่เห็นว่าใครเป็นคนประคองขนมเค้กเข้ามา
แสงเทียนเล่มน้อยส่องให้เห็นผิวหน้าแดงเรื่อของบงกช รุทธ์ประหลาดใจ ก่อนเข้าใจเรื่องทั้งหมดเมื่อเห็นแม่เดินตามมาข้างหลังด้วย ลูกชายไม่พอใจที่แม่เจ้ากี้เจ้าการบังคับให้บงกชเป็นคนถือขนมเค้กแทนที่จะเป็นชโลธรหรือเพื่อนผู้หญิงคนอื่น แต่เพราะเป็นวันเกิดทั้งยังอยู่ต่อหน้าเพื่อนๆ เขาจึงจำต้องฝืนยิ้มให้หญิงสาวที่กำลังก้มหน้าและช้อนตาขึ้นหลังเสียงเพลงจบลง
“Happy Birthday ค่ะพี่รุทธ์”
หากเป็นเมื่อก่อนรุทธ์คิดว่าตนเองคงหวั่นไหวไปกับดวงหน้าหวานละมุน แต่เวลานี้เมื่อมีดุสิตาเป็นคนรัก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจึงเป็นความอึดอัด ชายหนุ่มเป่าเทียนแรงจนดับหมดทันที จากนั้นไฟสว่างพึ่บพร้อมกับคำอวยพรของรัชนีกรที่มอบให้ลูกชาย
“สุขสันต์วันเกิดลูกรัก ขอให้ลูกเจริญก้าวหน้าในทุกเรื่อง โดยเฉพาะความรัก แม่ขอให้ลูกมีความรักที่ดีจ้ะ”
รัชนีกรบอกพร้อมกับส่งยิ้มให้ลูกชายและบงกช
ดุสิตาต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียวที่จะไม่อาละวาดพังข้าวของภายในห้องรับแขก แต่กระนั้นเธอยังลืมตัวกำหมัดแน่น ส่งสายตาขุ่นมัวไปยังทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้า
แน่ล่ะว่าดุสิตาดูออกเรื่องรัชนีกรไม่ชอบขี้หน้าตน ซึ่งเธอดูออกตั้งแต่วันแรกที่พบรัชนีกรกับรุทธ์ในร้านอาหารที่ตนทำงานพิเศษ โดยเธอเองไม่เคยรู้สาเหตุจึงคาดเดาเหตุผลไว้ว่าอาจเป็นเพราะความจน ความดำ ไม่มีสง่าราศีอย่างพวกคุณหนูที่ทำให้รัชนีกรคิดว่าเธอไม่มีความเหมาะสมกับลูกชายแม้แต่น้อย ดังนั้นเธอเลยอุตส่าห์ตัดใจถอนเงินหลายร้อยเพื่อลงทุนซื้อชุดกระโปรงชุดนี้เพื่อให้ตัวเองดูดีมีราคาเหมาะกับคฤหาสน์หรูและผู้ชายหรูๆ อย่างรุทธ์
แต่ถึงขนาดลงทุนหลายร้อยกลับไม่พออยู่ดี อีกทั้งเธอยังโดนฉีกหน้าอีกต่างหาก แถมคนที่รัชนีกรใช้เป็นเครื่องมือยังเป็นคนที่ดุสิตาอาฆาตแค้นแช่งชักหักกระดูกให้ล่มจม
ส่งสายตาชิงชังให้บงกชอย่างเปิดเผยก่อนค่อยรู้สึกตัวเมื่อจู่ๆ ได้ยินเสียงกระแอม ดุสิตามองหาต้นเสียง ครั้นรู้ว่าเป็นเสียงของเจ้ายักษ์ตัวโตที่กำลังจ้องมองตนอยู่เธอก็สะบัดหน้าพรืด ก่อนเอ่ยอย่างหมดความอดทน
“นิ้งไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะพี่รุทธ์”
พูดพร้อมก้าวฉับๆ ออกจากห้องรับแขก รุทธ์หน้าเสียจะคว้าแขนดุสิตาก็ทำไม่ได้เพราะถือเค้กอยู่ เขาจึงรีบวางเค้กลงบนโต๊ะ แต่ไม่ทันก้าวตาม เขาได้โดนแม่ดุให้ช่วยตัดแบ่งเค้กก่อน ฝ่ายบงกชหน้าเสียไม่แพ้กัน เธอเอ่ยเบาให้เขาได้ยิน
“ขอโทษนะคะพี่รุทธ์ บัวไม่ได้ตั้งใจให้พี่กับนิ้งทะเลาะกัน”
“ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่ได้โกรธบัว บัวสบายใจได้”
หญิงสาวค่อยยิ้มออก รับเค้กจากชายหนุ่มด้วยความสบายใจพลางกินอย่างเอร็ดอร่อย
“เกมพลิกไปพลิกมา สนุกชะมัด” อรอุมาเอ่ยกับชโลธรและเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนที่ยืนอยู่บริเวณมุมด้านในของห้องรับแขก ขณะพวกที่เหลือคุยเฮฮาอยู่ตรงโซฟา
“เกมพลิก? ไม่เห็นมีใครเล่นเกมเสียหน่อย” ชโลธรขมวดคิ้ว มองพวกเพื่อนผู้ชายก็ไม่เห็นใครเล่นเกมสักคน อรอุมากลอกตาอย่างเบื่อหน่ายแล้วเฉลย
“เรื่องนิ้งกับน้องบัวไง ตอนแรกนึกว่างานนี้นิ้งชนะขาดลอยได้เจ้าชายมาครอง แต่ไปๆ มาๆ พระราชินีถึงขั้นลงมาจัดการเขี่ยนางมารเสียกระเด็น แถมยังหาเจ้าหญิงให้เจ้าชายเองอีกต่างหาก งานนี้ห้ามกะพริบตาเพราะเราคิดว่านางมารไม่มีทางยอมแพ้เจ้าหญิงง่ายๆ”
“พูดยังกับนิ้งกับบัวแข่งกันเรื่องรุทธ์” เพื่อนผู้หญิงรูปร่างอวบที่มีชื่อว่ากมลวรรณพูด
“แข่งแน่นอน” อรอุมามั่นใจ “เพราะแต่ไหนแต่ไรยายนิ้งแข่งกับบัวทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องประกวดดาว เรื่องทำขนม”
“ขนม? ตอนไหนเหรอ ทำไมเราไม่เห็นเคยรู้เรื่อง” ปัทมาซึ่งมีรูปร่างตรงกันข้ามกับกมลวรรณอย่างสิ้นเชิงเอ่ย ชโลธรบอก
“บลูเบอรี่ชีสพายน่ะ นิ้งเห็นบัวเอาขนมมาแจกเลยทำมาแจกมั่ง แต่ปรากฏว่า…”
“โดนจุ้ยด่าสาดเสียเทเสีย เสียดายตอนหลังจุ้ยวางมือเรื่องนิ้งไปเสียก่อน ไม่งั้นมันหยด” อรอุมาเหลือบมองแผ่นหลังคนตัวสูงใหญ่ที่สุดในรุ่นซึ่งวันนี้แต่งตัวดูดีเป็นพิเศษ
“สรุปคือนิ้งแข่งกับบัวมาตลอดและแพ้มาตลอด งานนี้เลยต้องวัดกันที่รุทธ์ แต่เราว่านะ…” กมลวรรณครุ่นคิด “รุทธ์ดูชอบนิ้งจะตาย คงไม่คบกับบัวหรอก”
“ไม่แน่หรอก” อรอุมาเข้าข้างบงกชเต็มตัว “เพราะงานนี้บอกแล้วไงว่าแม่ของรุทธ์ไม่เอาด้วย อย่างว่าเนอะ แค่มองด้วยสายตาก็รู้แล้วว่าใครดีกว่าใคร”
“แต่วันนี้นิ้งสวยออก สวยมากด้วย และถ้าไม่นับตอนโมโหตะกี้” ชโลธรหมายถึงตอนบงกชถือเค้กวันเกิดเข้ามาในห้อง “เราคิดว่านิ้งปรับปรุงตัวเองดีขึ้นตั้งเยอะ ไม่วีน ไม่จิกด่าน้องบัวด้วย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราว่านิ้งต้องเอาเค้กปาใส่หน้าบัวแน่ๆ”
“แหม นี่มันในคฤหาสน์ของรุทธ์นะจ๊ะ ถ้าริอยากเป็นคุณนายก็ต้องรู้จักสร้างภาพสิ ยิ่งต่อหน้าแม่ของรุทธ์ด้วย” อรอุมาเบะปาก “ว่าแต่ทำไมนิ้งถึงเกลียดบัวนัก อยากรู้จังแฮะ”
“เอ้กับเต้ยเคยบอกเพราะนิ้งอิจฉาเรื่องบัวสวยกว่ารวยกว่าไม่ใช่เหรอ” ชโลธรเอ่ยถึงสิ่งที่เพื่อนสองคนเคยบอก
“เมื่อก่อนเราเคยคิดอย่างนั้น แต่ดูเหมือนมันไม่ใช่แค่เรื่องนี้ เพราะน้องบัวหลุดปากพูดกับเราครั้งนึงว่าเคยเจอนิ้งตอนเด็กๆ”
ทุกคนตาโตกับข้อมูลใหม่ล่าสุดจากอรอุมา กมลวรรณเร่งยิกๆ
“อะไร ยังไง เล่าซิ!”
“รู้แค่นี้แหละ เพราะพอรู้ตัวน้องบัวก็ปิดปากสนิท” คนเปิดประเด็นใหม่ยักไหล่ ทว่าคนพูดน้อยที่สุดกลับมีข้อมูลบางอย่างที่ทำเอาทุกคนตาโตยิ่งกว่าเดิม
“เรารู้จักน้องปีหนึ่งคณะครุศาสตร์คนนึง” ปัทมาเริ่มอย่างลังเล จากนั้นลดเสียงลง “คนนี้เคยอยู่แถวบ้านนิ้ง เค้าบอกสมัยเด็กๆ ชื่อเสียงนิ้งไม่ดีเท่าไหร่ เพราะว่า…” คนเล่ากลืนน้ำลายท่ามกลางสายตากระหายใคร่รู้ “นิ้งเคยขโมยของแล้วโดนจับได้…และคนจับได้คือบัว”
“หา!”
ที่เหลือทั้งสามคนร้องดังลั่น ปัทมารีบจุปากให้ทุกคนเงียบพร้อมกับพูด
“เราไม่รู้ข้อเท็จจริงนะ แค่ฟังเค้าเล่ามาอีกที พวกเธอฟังหูไว้หูแล้วกัน”
แม้บอกให้ฟังหูไว้หู แต่ดูเหมือนคนฟังต่างฟันธงในใจแล้วว่าเป็นเรื่องจริงเพราะก่อนหน้าดุสิตาเพิ่งมีคดีขโมยลิปสติกของบงกช ซึ่งถึงจับไม่ได้คาหนังคาเขา หากข้อหาเดียวกับในอดีตช่วยยืนยันแล้วว่าทุกสิ่งล้วนมีมูลความจริง และไม่ทันอรอุมาจะต่อว่าถึงพฤติกรรมเหลวแหลกของดุสิตาซึ่งเป็นเหตุให้เจ้าตัวอาฆาตบงกช ภัทรยศก็โน้มใบหน้าลงมาในกลุ่มสาวๆ
“นินทาใครกันอยู่”
“ไม่มีย่ะ” อรอุมาร้อนตัว
“แน่ใจ? ตะกี้เพิ่งได้ยินเธอพูดชื่อเราอยู่แหม็บๆ” ภัทรยศพูด
“ทีเรื่องยังงี้ล่ะหูดี เราไม่ได้พูดถึงจุ้ยสักหน่อย เพราะเราไม่ใช่คนขี้นินทา” คนขี้นินทาออกตัว ภัทรยศเบ้ปาก
“ถ้าเอ้ไม่ใช่คนขี้นินทา งั้นโลกนี้ก็ไม่มีใครขี้เหม็นแล้วล่ะ” ภัทรยศพูดหน้าตาเฉย ครั้นอรอุมาขยับปากจะด่า เขาก็ทำตาดุจนอีกฝ่ายหงอ
“มีอะไรเหรอจุ้ย ทำไมถึงเดินมาหาพวกเรา” ชโลธรเปลี่ยนเรื่อง ตอนแรกเธอเห็นภัทรยศยังรวมกลุ่มคุยหัวเราะกับคนอื่นๆ
“เราจะกลับแล้ว เลยจะถามว่าไอ้เต้ยอยากกลับพร้อมกันมั้ย แต่ไม่รู้มันหายหัวไปไหน โทรไปก็ไม่รับ พวกเธอเห็นเต้ยหรือเปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยถึงเพื่อนที่มีบ้านอยู่ทางเดียวกัน อรอุมาหัวเราะแปร่ง
“มันคงกลับบ้านไปตั้งแต่ตอนเห็นน้องบัวถือเค้กมาให้รุทธ์แล้วล่ะ พูดไปยิ่งน่าสงสาร อุตส่าห์เป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงมาตั้งนาน กลับมาแห้วคาบ้านคู่แข่งเสียอย่างนั้น แต่ไอ้เต้ยมันไม่เจียมตัวด้วยแหละ” คนขี้นินทาทำท่าจะนินทายุทธนาอีกยืดยาวถ้าภัทรยศไม่แทรกขึ้นมาก่อน
“แล้วรุทธ์ไปไหน”
“เห็นแม่เรียกรุทธ์กับบัวขึ้นไปชั้นบนน่ะ ได้ยินว่าอยากให้รุทธ์กับบัวช่วยค้นรูปรีสอร์ตมาให้พวกเราดู”
ปัทมาบอก ภัทรยศขมวดคิ้วเพราะรูปพวกนั้นหาดูในเว็บไซต์ได้ แต่ที่รัชนีกรต้องการให้ดูรูปตอนนี้คงมาจากสาเหตุอื่นมากกว่า เหมือนอย่างตอนให้บงกชเป็นคนถือขนมเค้กแทนที่จะเป็นดุสิตาซึ่งพอเขาเห็นสายตาของคนรักเพื่อนก็รู้ว่าเธอเจ็บแค้นแค่ไหนเลยต้องแสร้งกระแอมเตือนด้วยความเห็นใจ
ภัทรยศมองนาฬิกาข้อมือ ครั้นเห็นเป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าเขาจึงฝากบอกรุทธ์ผ่านกลุ่มเพื่อนผู้หญิงว่าตนขอกลับบ้านก่อน
ชายหนุ่มไม่ได้กลับบ้านทันทีเพราะแวะเข้าห้องน้ำก่อน เขาออกจากตัวคฤหาสน์หลังเสร็จธุระ เดินผ่านแม่บ้านที่กำลังเก็บกวาดข้าวของตรงสระว่ายน้ำ ภัทรยศเอ่ยขอบคุณหัวหน้าแม่บ้านที่หิ้วถุงขยะผ่านมาทางตนพอดี อีกฝ่ายพูดคุยกับเขาถึงเรื่องอาหารก่อนหันไปทางสระว่ายน้ำที่ค่อนข้างมืด
“คุณจุ้ยเห็นคุณรุทธ์มั้ยคะ”
“ได้ยินว่าอยู่ข้างบนกับแม่นะครับ”
“…ยังไม่ลงกันมาอีกเหรอ” แม่บ้านสูงวัยพึมพำ ครั้นภัทรยศทำหน้าสงสัยจึงพูดต่อ “คุณนิ้ง แฟนคุณรุทธ์น่ะค่ะ เธอถามหาคุณรุทธ์หลายรอบแล้ว”
ภัทรยศมองตามสายตาแม่บ้านที่มองไปตรงสระว่ายน้ำอีกครั้ง คราวนี้เขาถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าดุสิตานั่งแกว่งเท้าในสระอยู่ตามลำพัง ความมืดและแผ่นหลังบางลู่ค้อมทำให้เขารู้สึกว่าเจ้าตัวดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า หมดสภาพเย่อหยิ่งจองหองจนเขาเองเกิดความเห็นใจ ทั้งที่ว่ากันตามตรงเขาควรสะใจมากกว่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวในวันนี้…แต่เพราะอะไรไม่รู้เหมือนกันที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอย่างนั้น
“อุ๊ย คุณรุทธ์ลงมาพอดีเลย”
เหลียวไปด้านหลังตามเสียงแม่บ้าน ภัทรยศเห็นเพื่อนเดินลงบันไดคฤหาสน์ก้าวมาทางตน แล้วพอแม่บ้านห่างออกไป รุทธ์จึงถาม
“เห็นนิ้งมั้ยจุ้ย”
“นั่นไง นั่งเป็นผีเฝ้าสระอยู่”
รุทธ์หรี่ตามองตาม นอกจากไม่ถือสาปากเพื่อน เขายังหัวเราะ
“ถ้าเจอผีสวยขนาดนี้ ก็ยอมให้หลอกว่ะ”
ภัทรยศกลอกตา เลี่ยนกับคำพูดหวานหูชวนอาเจียนที่ได้ยินมาตั้งแต่เย็นถึงค่ำ
“เออ ขอให้ถูกหลอกจริงๆ เข้าสักวัน”
เจ้าของวันเกิดที่กำลังจะเดินไปหาคนรักชะงักเท้า บอกอย่างไม่พอใจนัก
“อย่าพูดถึงนิ้งแบบนี้ นิ้งไม่ใช่คนแบบนั้น เธอไม่หลอกใคร มีอะไรก็แสดงออกมาตรงๆ”
คำพูดจากคนที่นานทีปีหนจะออกอาการโกรธทำภัทรยศอึ้ง เขาค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
“ขอโทษว่ะ ไม่ได้ตั้งใจว่าแฟนนาย…แต่ถามจริงเถอะ ชอบผู้หญิงตรงๆ แบบนิ้งเหรอ คือไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่นี่มันตรงเกินไปมั้ยวะ”
ภัทรยศไม่อยากพูดว่าบางครั้งความตรงของดุสิตาช่างเฉียดใกล้กับความไม่มีมารยาท ขณะรุทธ์แม้แปลกใจที่โดนถามเรื่องส่วนตัว แต่ก็ยอมตอบ
“ตรงสิดี ไม่มีลับลมคมใน รู้มั้ยเราจีบนิ้งแค่สัปดาห์เดียวเอง นิ้งบอกว่าไม่เห็นต้องเล่นตัวเยอะ มีคนหล่อรวยอย่างเรามาชอบไม่ตกลงคบก็โง่เต็มที” รุทธ์หัวเราะ สายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู “เราไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อน น่ารักดี”
“น่ารักเนี่ยนะ?” คิ้วภัทรยศเลิกสูงเพราะคิดว่าคำว่าน่ารักไม่ได้เข้ากับดุสิตาเลยสักนิด แต่ดูเหมือนรุทธ์จะเห็นต่าง
“น่ารัก และขยันมาก นายรู้เปล่า นิ้งขอทุนเรียนเอง ทำงานเอง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเธอหามาจากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง เจ๋งดี ผิดกับเราลิบลับ”
ภัทรยศนิ่งฟัง พอมองเห็นความแตกต่างที่ดูเหมือนบางทีก็ลงตัวเข้ากันอย่างน่าประหลาด ขณะรุทธ์ยังเอ่ยต่อ
“แล้วพอเราจะซื้อของให้ก็ไม่เอา จนเราต้องยัดเยียดให้ อย่างลิปสติกแท่งที่ทำให้นิ้งมีปัญหาเหมือนกัน” ผู้พูดเล่าถึงข่าวลือที่เชื่อว่าคนในคณะต่างรู้เรื่องหมดแล้ว “เราเป็นคนซื้อให้เอง นิ้งไม่ได้ขโมยจากบัว แต่แปลกนะ ทั้งที่บัวบอกนิ้งไม่ได้ขโมย แต่ทำไมคนถึงไม่เชื่อไม่รู้”
พอได้ฟังข้อเท็จจริงจากปากเพื่อน ภัทรยศจึงแนะนำ
“นายต้องพูดเอง ให้บัวพูดไม่ได้หรอก เพราะคนอื่นเค้ามองว่าบัวไม่กล้าเอาเรื่องนิ้ง”
“เราเคยบอกนิ้งอย่างนายแล้ว แต่นิ้งห้ามไม่ให้พูดน่ะ เธอบอกใครโง่ก็ปล่อยให้เชื่อไป”
ภัทรยศสะอึก เพราะจะว่าไปเขาเองนับเป็นคนโง่คนหนึ่งเหมือนกัน หากไม่ทันยืนยันตามคำแนะนำเดิม รุทธ์ก็โบกไม้โบกมือให้ดุสิตาที่หันมาทางหน้าคฤหาสน์ จากนั้นรุทธ์ขอตัวไปหาคนรัก ส่วนเขาขอตัวกลับบ้านเช่นกัน
ถึงป้ายรถเมล์แล้วก็จริง แต่บางอย่างยังคงรบกวนจิตใจภัทรยศ เขานึกถึงเรื่องราวของดุสิตาผ่านคำบอกเล่าของเพื่อน ของรุทธ์ และจากที่ตนเคยปะทะคารมด้วย รวมถึงในวันนี้อีกที่หญิงสาวดูเปลี่ยนไป จากเคยขึ้นชื่อว่าเป็นคนเกรี้ยวกราดก้าวร้าว กลายเป็นคนยิ้มแย้มเป็นมิตร ซึ่งแม้ในวันวานกับวันนี้ตัวเธอจะไม่ได้แตกต่างชนิดพลิกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ภัทรยศประหลาดใจมากทีเดียว โดยเฉพาะตอนเธอเอ่ยทักทายเขาก่อนราวไม่เคยมีเรื่องบาดหมางและยังเรื่องเธอสามารถอยู่ร่วมกับบงกชได้โดยไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนอีก
ภัทรยศชื่นชมสิ่งที่ดุสิตาเป็นในวันนี้ทั้งที่เขาเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือตัวตนแท้จริงหรือเปล่า…รุทธ์บอกเขาว่าเธอเป็นคนตรง แต่เขาได้ยินเพื่อนบางคนแอบนินทาว่าเธอสร้างภาพ
อะไรคือภาพจริง อะไรคือภาพลวง ภัทรยศไม่อาจให้คำตอบได้ เฉกเช่นที่เขาเองไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของดุสิตาซึ่งเขาเดาว่าบางทีอาจเป็นเพราะความรักของเธอที่มีต่อรุทธ์
หรือไม่ก็เพราะมีคนรักอย่างรุทธ์
ภาพหญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวกับคฤหาสน์หลังโตปรากฏแจ่มชัดในหัว ภัทรยศคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะแจ่มใสของเธอด้วย กระทั่งมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเร่งเครื่องแรงจนเกิดเสียงดังลั่นถนน ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์จึงสะดุ้งค่อยรู้สึกตัวว่าชักให้ความสนใจต่อรุ่นน้องที่เคยเหม็นหน้ามากเกินไปแล้ว
รถเมล์สีครีมแดงสายที่รอมากว่าสิบห้านาทีจอดเทียบยังป้าย ชายหนุ่มขึ้นแล้วเลือกนั่งเบาะที่นั่งเดี่ยวเยื้องกับประตูรถ เขามองออกนอกหน้าต่างในจังหวะที่รถเมล์กำลังเคลื่อนตัวออกช้าๆ แต่พอคนขับเหยียบเบรกกะทันหัน เขาจึงหันไปทางประตู
นัยน์ตาสีเข้มแสดงความประหลาดใจหลังพบว่าใครคือคนที่วิ่งหอบขึ้นมา กระทั่งเจ้าตัวเงยหน้าสบตากับภัทรยศ ดวงตาคมสวยแปลกตาก็มีทั้งแววประหลาดใจและตกใจ แต่เพียงครู่เดียวดุสิตาได้เมินหน้าไปทางอื่น เธอเดินไปนั่งตรงเบาะคู่ติดริมหน้าต่าง
ภัทรยศฉุนกึกเมื่อดุสิตาทำราวไม่รู้จักเขาผิดจากตอนอยู่ในงานวันเกิด ทั้งรู้คำตอบแน่ชัดแล้วว่าหญิงสาวสร้างภาพเก่งอย่างเพื่อนบอกจริงๆ ทว่าเพียงครู่เดียวภัทรยศได้ปล่อยความรู้สึกดังกล่าวผ่านไป เขามองแสงไฟดวงเล็กดวงน้อยยามค่ำคืน สัมผัสถึงสายลมเย็นที่กระทบหน้าหลังรถประจำทางแล่นเร็วขึ้นในช่วงที่ผ่านห้างสรรพสินค้าได้สักพัก
“อย่ามายุ่งกับฉัน!”
เสียงดังทำทุกคนเหลียวไปทางด้านหลังรถเมล์ รวมถึงภัทรยศด้วย เขาเห็นชายใบหน้าแดงก่ำแต่งตัวสกปรกซึ่งไม่รู้ว่าขึ้นรถมาตั้งแต่เมื่อไรกำลังตอแยดุสิตา
กระเป๋ารถเมล์ที่เป็นหญิงรูปร่างเล็กเดินไปหาคนขับรถเพื่อให้ช่วยจัดการคนเมา ขณะดุสิตายืนขึ้น ตะคอกบอกให้ชายที่ตั้งใจนั่งข้างตนหลีกทางไป แต่เมื่อเจ้าตัวทำหน้าทะเล้น ยิ้มกริ่มอย่างน่ารังเกียจ ทั้งยังคว้าหมับยังข้อมือบาง หญิงสาวก็ร้องกรี๊ดพร้อมร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่ตัวเองเพิ่งเมินใส่หยกๆ
“พี่จุ้ย! ช่วยนิ้งด้วย”
ความจริงภัทรยศอยากแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินก่อนแล้วค่อยช่วยเหลือทีหลัง ทว่าพอหญิงสาวเบะปาก ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แถมยังเรียกชื่อเขาเสียงดังลั่นอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงก้าวจากที่นั่งมาหยุดข้างชายขี้เมาใช้ร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์ข่มจนร่างผอมเกร็งดูเล็กกระจ้อยร่อย จากนั้นใช้สายตาและเสียงดุดันเหี้ยมเกรียมข่มขู่
“ลุกไป”
ฝ่ายที่ยอมปล่อยมือดุสิตาตั้งแต่ภัทรยศย่างสามขุมมาหาส่งเสียงอ้อแอ้ฟังไม่ได้ศัพท์ ตอนแรกชายคนนั้นไม่ยอมลุกง่ายๆ แต่พอมีผู้ชายวัยฉกรรจ์ทำท่าจะเดินมาอีกคนจึงต้องยอม
“ลงไป”
ภัทรยศสั่งเสียงเฉียบอีกทั้งชี้นิ้วไปทางประตู ชายขี้เมาฮึดฮัด กระทั่งผู้ที่กำลังไล่ตนกำหมัดและกระเป๋ารถเมล์ยังช่วยตะโกนไล่ ลงท้ายชายคนนั้นจึงเดินโงนเงนยอมลงจากรถประจำทางและตะโกนด่าภัทรยศด้วยคำหยาบลั่นถนน
พ้นจากป้ายรถเมล์ที่คนเมาลงไปภัทรยศค่อยนั่งลงข้างรุ่นน้อง เขานึกหมั่นไส้คนอวดดีจองหองที่ไม่ยอมเอ่ยขอบคุณสักคำ ทว่าพอเห็นใบหน้าซีด มือไม้เล็กบอบบางบนตักสั่นด้วยความกลัว จากหมั่นไส้เลยกลายเป็นสงสาร ชายหนุ่มคิดหาวิธีทำให้คนตัวสั่นเป็นลูกนกหายตกใจกลัวครู่หนึ่ง
“ยังไม่เที่ยงคืนเสียหน่อย แต่ทำไมรถฟักทองไม่มีแล้ว หรือรถฟักทองเสีย ซินเดอเรลล่าเลยต้องนั่งรถเมล์กลับบ้านเอง”
ดุสิตาหันขวับ นัยน์ตาคมขุ่นมัว ผิดกับแววตาภัทรยศที่เต้นริกๆ ชอบใจกับแผนการยั่วโมโหที่สำเร็จด้วยดี
“พี่จุ้ยอย่ามายุ่ง”
“เอ๊า เดี๋ยวไม่ให้ยุ่ง เดี๋ยวให้ยุ่ง ตกลงเอาไง” ภัทรยศแกล้งทำเป็นหัวเสียบ้าง “ถ้าไม่อยากให้ยุ่งจะได้ไปนั่งตรงอื่น แต่บอกไว้ก่อนถ้าเกิดเจอคนลวนลามอีกอย่ามาขอความช่วยเหลือแล้วกัน”
ภัทรยศตั้งท่าลุก ดุสิตาเม้มริมฝีปากแน่น เธอออกคำสั่ง
“พี่จุ้ยห้ามลุก ห้ามไปไหน ห้ามทิ้งนิ้งด้วย”
ฝ่ายคนตัวโตทำตามคำสั่งโดยดีพลางถามคนเอาแต่ใจ
“นั่งรถเมล์เป็นด้วยเหรอเรา นึกว่านั่งได้แต่รถแพงๆ เสียอีก” ถามเพื่อชวนคุยให้หายกลัวมากกว่าต้องการคำตอบแท้จริง ดุสิตาค้อนภัทรยศ
“เป็นอยู่แล้วค่ะ…ว่าแต่พี่จุ้ยนั่นแหละ นั่งรถเมล์เป็นด้วยเหรอ”
ภัทรยศนิ่ง สบดวงตาคมที่หรี่มองมาอย่างจับผิดแล้วยักไหล่
“นั่งประจำ” ชายหนุ่มมองคนที่ทำหน้าทำตาเหมือนไม่เชื่อคำพูดตนแม้แต่น้อยแล้วตั้งคำถามที่ต้องการคำตอบบ้าง “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเราถึงมานั่งรถเมล์”
ดุสิตาไม่ยอมตอบ เธอหันหน้าออกนอกหน้าต่าง โดยไม่รู้ตัวว่าสีหน้าบูดบึ้งเผยทุกอย่างออกมาเกือบหมด
“ทะเลาะกับรุทธ์งั้นสิ ทะเลาะเรื่องอะไร”
ใบหน้าบึ้งตึงหันกลับมาทางเดิม เธออยากบอกว่าอย่ามายุ่งเรื่องของตนก็ไม่กล้าด้วยกลัวว่าหากพูดไป หนนี้คงโดนภัทรยศทิ้งเข้าจริงๆ หญิงสาวมองหน้ารุ่นพี่ที่ไม่เคยชอบหน้า ทว่านัยน์ตาเขากลับมีบางอย่างที่ทำให้ตัดสินใจบอกเล่าตามตรง
“ใช่ค่ะ นิ้งทะเลาะกับพี่รุทธ์” เริ่มได้นิดเดียว ความอัดอั้นตันใจตลอดหลายชั่วโมงจึงพรั่งพรูออกมา “ความจริงยังไม่ทันทะเลาะหรอกค่ะ เราคุยกันอยู่ดีๆ ตรงสระว่ายน้ำ แต่พอแม่เรียกพี่รุทธ์ไปดูรูปรีสอร์ตกับเพื่อนๆ และยายบัวข้างในบ้าน นิ้งขี้เกียจดูด้วยเลยกลับบ้าน”
ปากบอกขี้เกียจ แต่ความจริงดุสิตารู้ว่าหากต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่รัชนีกรคอยเอาใจบงกชโดยบงกชเองยังทำตัวไร้เดียงสาออเซาะฉอเลาะ เธอคงหมดความอดทนกลายร่างเป็นอย่างแม่ของตัวเองและลุกขึ้นมาด่ากราดจนแม้แต่รุทธ์คงขวัญหนีดีฝ่อบอกเลิกเธอทันที
ฝ่ายภัทรยศเข้าใจถึงความอึดอัดของดุสิตาที่โดนรัชนีกรกันทุกกระบวนท่าให้ออกห่างจากลูกชาย ซึ่งยกแรกนี้แม่ของเพื่อนทำสำเร็จเสียด้วย
“รุทธ์รู้หรือเปล่าว่านิ้งออกมาแล้ว”
“จะรู้ได้ไง นิ้งไม่ได้บอกใคร” ดุสิตาตอบกวน ภัทรยศถอนใจยาว เขาบอกให้หญิงสาวโทรหาคนรักที่คงเป็นห่วงตามหา แต่เธอตอบกวนกว่าเดิม
“โทรศัพท์นิ้งแบตฯ หมด”
ภัทรยศหยิบโทรศัพท์ตัวเองยื่นให้ รุ่นน้องหัวดื้อยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาที่ไม่อยากเอาตัวเองไปยุ่งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของใครจึงทำแค่พิมพ์ข้อความบอกเพื่อน แต่รุทธ์คงไม่ได้อ่านเพราะไม่ได้โทรกลับมา
“งอนมากๆ ระวังเถอะ เกิดผู้ชายไม่ง้อขึ้นมาจะจ๋อย”
“ไม่ง้อก็ไม่ง้อ ไม่จ๋อยด้วย”
นอกจากไม่สนคำเตือน ดุสิตายังเชิดหน้าวางท่าหยิ่งยโส ภัทรยศขยับตัวเพื่อจ้องดูแววตาใกล้ๆ
“แน่ใจว่าไม่จ๋อย เพราะถ้าไม่โง่ขั้นสุดก็น่าจะรู้ว่าผู้ชายอย่างรุทธ์หาไม่ได้ง่ายๆ ดีไม่ดี สำหรับเราน่ะ ชาตินี้คงมีคนแบบรุทธ์ผ่านเข้ามาแค่คนเดียวด้วยซ้ำ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสว่างวาบด้วยความไม่พอใจเมื่อโดนดูถูก แต่อย่างไรแล้วดุสิตาไม่ชอบใจเรื่องรุ่นพี่หน้ายักษ์ตัวยักษ์รู้ทันตนเกินไปมากกว่า
“ถูกค่ะ นิ้งไม่ได้โง่ แต่ก็ไม่ใช่ของตายเหมือนกัน เพราะงั้นนิ้งเลยต้องทำให้พี่รุทธ์รู้เสียมั่งว่าความอดทนของนิ้งมีจำกัด”
“แต่พอนิ้งหนีกลับบ้าน อาจมีบางคนชอบใจ” ภัทรยศหมายถึงรัชนีกร แต่ดุสิตาเข้าใจเป็นอีกคน
“ปล่อยให้มันชอบใจไปเถอะ เดี๋ยวพอพี่รุทธ์ง้อนิ้ง มันก็จะรู้เองว่าที่ลงทุนหน้าด้านมางานวันเกิดไม่ได้ผลสักนิดเดียว”
ดุสิตาแสยะยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะ นึกในใจถึงเรื่องที่ตนตัดสินใจถูก เลิกโกรธงอนคนรักเรื่องชวนบงกชมางานวันเกิด ไม่งั้นคงไม่ได้เห็นแววตาของผู้พ่ายแพ้ ทั้งตอนนี้เธอยังวางแผนแก้เกมไว้แล้วว่าถึงวันจันทร์เมื่อไรจะแสร้งให้รุทธ์งอนง้อตนต่อหน้าทุกคน ขณะภัทรยศพอดุสิตาเอ่ยถึงรุ่นน้องคนดังเขาก็เกิดคันปากจนถามขึ้นมา
“ถามจริงเถอะ ทำไมถึงจงเกลียดจงชังบัวนัก เคยมีเรื่องกันมาก่อนหรือไง” ผู้พูดคาดเดาส่งๆ อีกฝ่ายนิ่งเหมือนลังเลว่าจะตอบดีหรือไม่ แต่พอนึกถึงสิ่งที่คนรักเคยเล่าถึงภัทรยศว่าเป็นคนไม่มีลับลมคมในและไม่เคยแทงใครข้างหลัง ดุสิตาจึงพยักหน้า
“ถูกต้อง”
คนที่บังเอิญตอบถูกเผงตาโต เขาเผลอหลุดปากส่งเสียงดัง
“จริงดิ? เคยทะเลาะกันเรื่องอะไร”
“ไหนๆ พี่จุ้ยก็เดาเก่ง ไม่ลองเดาอีกทีล่ะคะ”
ภัทรยศกลอกตาครุ่นคิด ลองนึกว่าผู้หญิงสวยสองคนจะทะเลาะกันเรื่องอะไรได้บ้าง แล้วบอกอย่างไม่แน่ใจนัก
“เรื่องผู้ชาย?”
“ถูกครึ่งนึงค่ะ”
“แล้วอีกครึ่ง”
“ไม่บอก”
รุ่นน้องทำท่าทางอย่างที่รุ่นพี่อยากเขกหัวแรงๆ สักทีหนึ่ง ทว่าภัทรยศยังมีมารยาทพอ เขาจึงไม่ซักไซ้ซอกแซกซึ่งทำให้ดุสิตาพอใจ
“ไม่อยากตอบกวนหรอกนะคะ แต่เล่าไปก็ไม่มีใครเชื่อนิ้ง ดีไม่ดีจะมาหาว่านิ้งใส่ร้ายเพื่อนรัก น้องรักของพวกเค้าอีก”
ดุสิตาอดไม่ได้ที่จะประชดพลางหวนนึกถึงสิ่งที่เรียนรู้มาตลอดหกปี ที่ตอนแรกๆ ตนเคยเพียรพยายามบอกเล่าความจริงแต่กลับมีแค่แม่กับอาภาเท่านั้นที่เชื่อ ส่วนที่เหลือต่างหาว่าเธอกุเรื่องใส่ร้ายป้ายสีกฤษณากับบงกชเพื่อเอาตัวรอด เธอจึงคร้านจะเล่าให้ใครฟังถึงเรื่องราวหนหลังที่ทิ้งบาดแผลขนาดใหญ่ไว้ภายในใจ
“เที่ยวพูดจาแขวะเก่งแบบนี้ ใครได้ยินเข้าเขาถึงไม่เชื่อ”
“งั้นต้องพูดยังไงคะ แบบนี้หรือเปล่า…Happy Birthday ค่ะพี่รุทธ์…บัวชอบขี่ม้าค่ะ”
ไม่เพียงเลียนเสียงหวานนุ่มนิ่ม ดุสิตายังเลียนแบบท่าช้อนตา ทัดผมเข้ากับหูของบงกชด้วย ส่วนภัทรยศนั้นคิดว่าถ้าหากไม่ใช่เพราะรุทธ์เพิ่งเล่าเรื่องลิปสติกให้ฟัง เขาคงฟันธงไปแล้วว่าดุสิตาคือนางมารร้ายเหมือนอย่างยุทธนาตั้งฉายาให้
“เพิ่งว่าอยู่แหม็บๆ ก็เอาอีกละ ถ้าอยากให้คนเชื่อเรื่องที่เราเล่าก็หัดทำตัวให้ดูน่าเชื่อถือสิ”
“ฟังพี่จุ้ยพูดแล้ว นิ้งสงสัยจังค่ะว่าความน่าเชื่อถือคือความจริง หรือความจริงคือสิ่งน่าเชื่อถือ”
ดุสิตาย้อนหน้าตาย ภัทรยศชักปวดหัวกับคนช่างเล่นคำที่ทำเอาเขาเจอทางตันไปไม่ถูกเลยทีเดียว แล้วแวบหนึ่งนั้นชายหนุ่มเกิดคิดถึงคำพูดของพ่อที่พร่ำบ่นให้ตนแต่งตัวดูดีเพื่อจะได้ดูมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งหากเขาเชื่อพ่อสักนิด…ป่านนี้บางทีหญิงสาวอาจยอมฟังคำพูดของเขาบ้าง
“ความน่าเชื่อถือมันจำเป็น” ภัทรยศยืนยันความคิดตน จากนั้นลองแนะนำ “ถ้านิ้งอยากให้คนเชื่อเรื่องเล่าของนิ้ง นิ้งควร…”
“ทำลายความน่าเชื่อถือของยายบัว”
“เฮ้ย! นั่นมันวิธีการของพวกตัวร้าย”
“นิ้งเป็นตัวร้ายในสายตาทุกคนอยู่แล้ว”
“เลิกประชดแล้วฟัง” ภัทรยศส่งเสียงเข้ม อีกฝ่ายที่กำลังขยับปากแย้งว่าไม่ได้ประชดยอมปิดปากเงียบ “จะชนะต้องมีวิธีการที่ดีด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยถึงสิ่งที่พ่อกับแม่สอนให้จำขึ้นใจ “ที่ผ่านมานิ้งไม่เคยชนะบัวเพราะมัวใช้วิธีผิดๆ คิดว่าต้องแข่งขันกับบัวในทุกเรื่อง ซึ่งความจริงคนที่นิ้งควรแข่งขันด้วยมากที่สุดคือตัวเองต่างหาก”
“พูดจาเหมือนพวกตาแก่” คนที่เพิ่งปิดปากได้แป๊บเดียวค่อนแคะ
“ลองฟังคนแก่แนะนำสักหน่อยเป็นไง” ภัทรยศนึกอยากหยิกปลายจมูกของคนฝีปากกล้า “แข่งกับตัวเอง ทำตัวเองให้ดีขึ้น อ้อ รวมถึงนิสัยด้วยล่ะ เลิกวีน เลิกจิกกัด หัดอดทนให้ได้มากกว่าวันนี้ แล้วพอกลายเป็นคนเก่ง เป็นคนใจเย็นมีเหตุผล ความน่าเชื่อถือก็ตามมาเอง ทีนี้พอเราพูดอะไรคนก็จะฟังและเชื่อถือ”
“สรุปความน่าเชื่อถือคือความจริง แหม ถ้าเกิดทำได้อย่างพี่จุ้ยบอก อีกหน่อยนิ้งโกหกอะไรก็ได้งั้นสิ เพราะยังไงคนก็เชื่ออยู่แล้ว”
“นิ้งไม่ทำแบบนั้นหรอก เพราะถ้านิ้งคิดว่าที่ตัวเองถูกเล่นงานเป็นเพราะคนเชื่อถืออีกฝ่ายมากกว่า นิ้งก็คงไม่ใช้ความน่าเชื่อถือเป็นเครื่องมือทำลายใคร”
ภัทรยศบอกโดยมีดุสิตาฟังตาแป๋ว จากนั้นเธอหรี่ตาพร้อมกับเหยียดริมฝีปาก
“อย่ามาหลอกให้เชื่อเลย นิ้งรู้นะที่พี่จุ้ยบอกให้นิ้งแข่งกับตัวเอง เพราะอยากให้นิ้งเลิกยุ่งกับรุ่นน้องคนโปรด”
“แล้วแต่จะคิด”
รุ่นพี่แสดงอาการเหนื่อยใจ ทั้งยังรู้สึกเสียเวลา ภัทรยศมองออกนอกหน้าต่างรถประจำทางที่แล่นผ่านป่าหญ้าย่านชานเมืองใกล้กับมหาวิทยาลัย โดยไม่รู้ว่าที่คิดว่าเสียเวลานั้น ความจริงไม่ใช่ เพราะดุสิตากำลังครุ่นคิดบางอย่าง กระทั่งรถจอดตรงป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย เธอก็นึกบางอย่างออก
“บ้านพี่จุ้ยอยู่ไหนคะ”
“เลยมาไกลแล้ว”
ดุสิตาหน้าเหลอ ถามด้วยความแปลกใจ
“แล้วทำไมพี่ไม่ลง อีกสามป้ายจะสุดสายแล้วนะ” หญิงสาวเอ่ยถึงอู่รถเมล์ใกล้หอพักตนเอง ภัทรยศบอกเสียงเรียบ
“พี่มาส่งเราน่ะสิ แต่งตัวสวยอย่างนี้ เดี๋ยวโดนใครฉุดขึ้นมาจะทำไง อีกอย่างพี่ส่งข้อความบอกรุทธ์แล้วว่าไม่ต้องห่วงเพราะจะไปส่งนิ้งให้”
ฝ่ายรุ่นน้องนิ่งเงียบ มองใบหน้าดุที่พอมองดีๆ ก็ไม่ค่อยดุเท่าไร แถมพอแต่งตัวเข้าทีก็ดูดีอย่างที่สาวๆ ในคณะหลายคนเคยชม จากนั้นได้เอ่ยลอยๆ กับคนที่มัดผมเรียบแปล้
“พี่จุ้ยก็แต่งตัวหล่อเหมือนกัน ระวังเถอะ ขากลับจะโดนใครฉุดเข้า”
“ดีสิ พี่จะได้มีสามีสักที” ภัทรยศเอ่ยหน้าตายพลางเหลือบมองคนที่มองตนราวเป็นคนเพี้ยน ก่อนต่างฝ่ายจะหันไปทางหน้าต่างและต่างสัมผัสได้ถึงสายลมฤดูหนาวอันอบอุ่น
บทที่ 5
แทบทุกคนตรงบริเวณด้านหลังตึกคณะบริหารธุรกิจล้วนแสดงความประหลาดใจเมื่อมองไปยังซุ้มที่นั่งของรุ่นพี่ปีสี่ ยิ่งพอได้ยินเสียงหัวเราะของดุสิตากับภัทรยศดังขึ้นพร้อมกันแต่ละคนก็ทำหน้าตาราวเห็นต้นคูนออกดอกในฤดูหนาว มิหนำซ้ำยังออกดอกเป็นสีม่วงเสียด้วย
ชโลธรยังคงเล่าเรื่องโดนลวนลามบนรถเมล์เมื่อเช้าด้วยความโมโห ขณะอรอุมา ยุทธนา ภัทรยศ และดุสิตาขบขันชอบใจเรื่องที่เจ้าตัวประเคนหมัดใส่คนจิตทรามจนปากแตกวิ่งหนีลงจากรถแทบไม่ทัน
“เสียดายที่มันดันหนีไปได้ ไม่งั้นล่ะก็…” ชโลธรชูกำปั้นเล็กๆ ยุทธนาซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามคู่กับภัทรยศกระเซ้า
“ทำไม ถ้ามันไม่หนีไปก่อนจะยื่นก้นอีกข้างให้มันจับด้วยหรือไง”
“ไม่ตลก”
คนโดนลวนลามทำหน้าดุ ยุทธนาที่ตั้งใจแหย่ให้เพื่อนหายโกรธแค้นหุบปากฉับ ฝ่ายอรอุมาส่งเสียงขยะแขยง
“พวกโรคจิต น่ากลัวชะมัด แล้วหน้าตามันเป็นยังไง อายุประมาณเท่าไหร่”
คำตอบของชโลธรทำทุกคนแปลกใจ เพราะคนโรคจิตมีวัยราวสี่สิบปี หน้าตาสะอาดสะอ้าน แต่งตัวเรียบร้อยอย่างคนทำงานออฟฟิศ อรอุมาจึงยิ่งออกอาการหวาดกลัว
“ตายละ งั้นเหมือนคนปกติทั่วไปจนแยกไม่ออกเลยสิ…เสียดายที่โป้ยไม่ได้ถ่ายรูปมันจะได้เอาไปให้แม่น้องบัวจัดการ”
อรอุมาคิดถึงบงกชที่มีแม่เป็นถึงโฆษกมูลนิธิช่วยเหลือสตรี ชโลธรซึ่งนั่งตรงกลางระหว่างเพื่อนกับรุ่นน้องขยับปากจะบอกอย่างฉุนเฉียวว่าเหตุการณ์เกิดรวดเร็วอย่างนั้นใครจะทันมีเวลาคิด ทว่าไม่ทันเอ่ย จู่ๆ อรอุมากลับหรี่ตามองยุทธนาพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“พูดถึงน้องบัว…รู้มั้ยสัปดาห์ก่อนเราเห็นน้องบัวคุยกับผู้ชายคนนึงที่หน้าคณะอักษรฯ หน้าตาหล่อน่าดู”
“ใคร” ยุทธนาทำเสียงแข็ง
“จะไปรู้เหรอ แต่ให้เดาคงเป็นพวกเรียนปริญญาโท” คนเล่านึกถึงชายหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูงโปร่ง อายุประมาณสามสิบต้นๆ “ไม่น่าใช่อาจารย์ เพราะถ้าเป็น หน้าตาดีขนาดนั้นเราต้องเคยเห็น”
อรอุมามั่นใจ ยุทธนาดูสบายใจขึ้น จากนั้นเขาบอกข้อมูลที่เลียบเคียงสอบถามจากบงกชมาเรียบร้อยแล้ว
“เราเคยเห็นแล้ว หน้าตางั้นๆ ไม่เห็นหล่อเท่าไหร่…หมอนั่นเรียนปริญญาโทเหมือนอย่างเอ้บอกนั่นแหละ ไม่ได้เป็นอะไรกับน้องบัวด้วยแค่ทักทายกันเฉยๆ เพราะน้องบัวเคยรู้จักกับหมอนั่นตอนเค้าไปดูงานกิจกรรมที่มูลนิธิของแม่น้องบัวตั้งแต่เมื่อสามสี่ปีที่แล้วโน่น”
ยุทธนารายงานถึงชายหนุ่มหน้าตาเข้าทีที่น่าจะเป็นคนเดียวกับที่อรอุมาเอ่ยถึงซึ่งตนเคยเห็นบงกชพูดคุยด้วยตรงลานจอดรถ โดยรถยนต์หรูของอีกฝ่ายเคยทำให้ยุทธนากระวนกระวายไม่น้อยกระทั่งรู้ว่าชายคนนั้นเป็นแค่คนรู้จักของรุ่นน้องก้อนหินหนักอึ้งที่ทับอยู่บนอกก็กลายเป็นเพียงปุยนุ่น
ฝ่ายอรอุมาได้ยินดังนั้นดวงตาจึงแวววาว ยื่นหน้าถามด้วยความสนใจ
“ถามน้องบัวมาหรือเปล่าว่าพี่เค้าชื่ออะไร”
“ถาม แต่เราลืมชื่อไปแล้ว”
“ไอ้เต้ย ไอ้ความจำเสื่อม ทียังงี้ล่ะไม่รู้จักจำ”
“จำทำไมให้เปลืองพื้นที่สมอง” ยุทธนาตอบกวนถึงคนที่ไม่มีความจำเป็นต้องจดจำเนื่องจากไม่ใช่ศัตรูหัวใจ จากนั้นทำตาลอยหวานเยิ้ม “อีกอย่างสมองเรามีไว้จำไว้คิดเรื่องของน้องบัวคนเดียว”
เกิดเสียง ‘แหวะ’ ดังลั่นจากเพื่อน ยกเว้นภัทรยศคนเดียวที่ไม่ได้เอ่ยหรือแสดงสีหน้าใดนับตั้งแต่อรอุมาเล่าถึงบงกช ซึ่งจะว่าไปเขาเองแทบไม่ได้ฟังเรื่องของรุ่นน้องคนดังด้วยซ้ำเพราะมัวให้ความสนใจกับผู้ที่นั่งอยู่อีกข้างของชโลธร
ดวงตาเข้มจับจ้องดวงหน้าคม ภัทรยศไม่รู้ว่าดุสิตาสามารถปล่อยเรื่องราวของบงกชผ่านหูโดยไม่ชักสีหน้าได้อย่างไร เหมือนอย่างที่ไม่รู้ว่าเหตุใดในระยะหลังหญิงสาวถึงกลายเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ทำบึ้งตึงเย็นชากับรุ่นพี่และเพื่อนรุ่นเดียวกัน
อรอุมาเคยบอกว่าดุสิตาสร้างภาพ ภัทรยศไม่แน่ใจนักกับเหตุผลดังกล่าว เขาคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะความรักก็ได้ที่ทำให้หญิงสาวยอมปรับปรุงตัวเอง หากอย่างไรลงท้ายแล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นเพียงการสร้างภาพหรือเกิดมาจากความรัก หรือเพราะอื่นๆ ภัทรยศไม่อาจรู้ได้อยู่ดี
ชายหนุ่มรู้สึกตัวเมื่อดวงตาสวยคมแปลกตาเบนหันมาทางตน แววตานั้นแสดงความฉงนเหมือนอย่างเวลาเด็กหญิงตัวน้อยสงสัยการกระทำของผู้ใหญ่ ภัทรยศให้คำตอบด้วยการเลี่ยงหลบตาไปทางอื่นซึ่งนั่นทำให้เขาเห็นว่าชโลธรกำลังขมวดคิ้วใส่ตนและด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จู่ๆ ชโลธรจึงถาม
“รุทธ์ยังมาไม่ถึงอีกเหรอนิ้ง”
“ถึงแล้วค่ะ” ดุสิตาเอ่ยถึงข้อความที่รุทธ์เพิ่งส่งมาว่ากำลังจอดรถ เธอมองไปยังทางเดิน ส่งยิ้มเมื่อเห็นคนที่รุ่นพี่ถามหา
รุทธ์เดินเร็วมายังซุ้มที่นั่ง เขานั่งลงข้างภัทรยศ บ่นถึงเรื่องการจราจรจนโดนยุทธนาค่อนแคะว่าดีแค่ไหนที่มีรถขับไม่ต้องทนดมฝุ่นควันเหมือนคนอื่น
ฝ่ายถูกเหน็บแนมมองอย่างไม่เข้าใจแต่ไม่พูดว่าอะไร จากนั้นรุทธ์จึงถามดุสิตา
“โทรหาป้าภาหรือยัง”
“โทรนัดเรียบร้อยแล้วค่ะ ป้าภาบอกอยากได้นม ขนม ผ้าอ้อม”
แม้เป็นการคุยกันสองคนแต่คนอื่นที่เหลือต่างสงสัยจนอรอุมาชะโงกหน้าเข้ามาถาม
“ป้าภาไหนเหรอรุทธ์”
รุทธ์บอกให้ดุสิตาเป็นคนเล่า
“ป้าภาเป็นคนแถวบ้านนิ้งค่ะ แกรับเลี้ยงเด็กที่พ่อแม่ยากจนไม่มีเวลาดูลูก” ดุสิตาเกริ่นถึงอาภาผู้อาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกับตนและสนิทสนมกันดีราวเป็นญาติสนิท ชโลธรถาม
“เป็นมูลนิธิอะไรยังงี้เหรอ”
“เปล่าค่ะ ป้าภาไม่ได้เปิดมูลนิธิ แกแค่ช่วยรับเลี้ยงเด็กๆ เวลาที่พ่อแม่ต้องไปทำงาน แล้วพ่อแม่เด็กเค้าจะมีค่าใช้จ่ายให้ แต่ไม่มากหรอกค่ะเพราะแต่ละคนฐานะไม่ดี นิ้งเลยชวนพี่รุทธ์ไปช่วยบริจาคของ”
“น่าสนใจแฮะ” ชโลธรบอก รุทธ์ชวน
“ไปด้วยกันมั้ยล่ะ เรานัดกับนิ้งว่าจะไปวันรัฐธรรมนูญ”
คนชวนหมายถึงอีกสองวันข้างหน้า ทุกคนตอบตกลงพลางบอกว่าอยากชวนคนอื่นอีก รุทธ์ไม่ขัดข้องเพราะดุสิตาชวนเพื่อนต่างคณะคนหนึ่งไปด้วยเหมือนกัน จากนั้นรุทธ์นัดหมายเวลาและสถานที่นัดพบตรงร้านเบเกอรี่หน้ามหาวิทยาลัย
“เรื่องเงินใครอยากช่วยเท่าไหร่ก็ได้ ส่วนเรื่องไปซื้อของบริจาคเดี๋ยวเราจัดการเอง” รุทธ์เสนอตัวเพราะเป็นคนเดียวที่มีรถยนต์ส่วนตัวและขณะรวบรวมเงินพร้อมพูดคุยกับเพื่อนว่าจะซื้ออะไรเพิ่ม ก็มีเสียงใสๆ ทักทายขึ้นมา
“สวัสดีค่ะพี่ๆ เอ๋? กำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ”
บงกชซึ่งเดินมาจากโต๊ะของพี่รหัสก้าวมาหยุดยืนตรงหัวโต๊ะฝั่งอรอุมากับยุทธนา เธอมองธนบัตรในมือรุทธ์อย่างสงสัยทว่าไม่มีใครกล้าให้คำตอบ ยกเว้นยุทธนาที่รีบบอกเสียงดัง
“พวกพี่กำลังรวบรวมเงินบริจาคซื้อของให้เด็กครับน้องบัว”
“เหรอคะ” บงกชแสดงความสนใจ “บริจาคที่ไหนคะ ถ้ายังไม่มีที่บริจาค บัวถามจากแม่ให้ได้นะคะ”
“มีแล้วครับ พวกพี่บริจาคกับคนรู้จักน่ะ จริงสิ น้องบัวไปด้วยกันมั้ย ทำบุญด้วยกันชาตินี้ ชาติหน้าจะได้เจอกันอีกไง”
สิ้นเสียงยุทธนาดุสิตาก็ลุกพรวดจนทุกคนตกใจ หญิงสาวมองรุ่นพี่ขี้หลีจอมสาระแนด้วยความโกรธโมโห ทั้งกำลังจะอ้าปากตวาดว่าไม่ต้องการทำบุญร่วมชาติกับบงกช แต่ไม่ทันมีเสียงตนลอดออกมา ฉับพลันกลับมีเสียงกระแอมแทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว
เป็นเสียงกระแอมของภัทรยศ ดุสิตาจ้องคนตัวโตตาขุ่นด้วยคิดว่าเขากำลังปรามเธอเพื่อช่วยรุ่นน้องคนโปรด แต่เมื่อนัยน์ตาเรียวสีเข้มจ้องตอบกลับมาเธอกลับผิดคาดเนื่องจากแววตาคู่นั้นไม่ดุดันอย่างทุกที ทั้งในแววตายังมีบางอย่าง…บางอย่างที่ทำให้เธอฉุกคิดถึงเรื่องที่เขาเคยเอ่ยบนรถประจำทาง
แล้วจู่ๆ ดุสิตาก็นั่งลง จากนั้นเธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียวกว่าจะเอ่ยคำแรกออกมาได้
“สนใจไปด้วยกันมั้ยบัว”
คำพูดของดุสิตาทำเอาชโลธรกับอรอุมาอ้าปากค้าง รุทธ์กับยุทธนาทำราวเห็นโลกหมุนกลับหัว ผิดกับภัทรยศที่กำลังทึ่ง ส่วนบงกชนั้นเลิกคิ้ว ในดวงตากลมโตแสดงความตกใจมากกว่าประหลาดใจ เธอพยักหน้า
“สนใจจ้ะนิ้ง แล้วจะไปทำบุญที่ไหนเหรอ”
“แถวบ้านเรา” ความกระด้างในน้ำเสียงลดลง ดุสิตาจ้องลึกเพื้อค้นหาความรู้สึกบนดวงหน้าใสสะอาด “…บ้านป้าภา ว่าไง ยังสนใจอยากไปอยู่มั้ย”
บงกชยิ้มในหน้าทั้งที่หวั่นใจ เธอบอกหลังตัดสินใจได้ว่าไม่ควรวางใจคนที่เกลียดตนเข้าไส้ง่ายๆ
“ไว้โอกาสหน้าแล้วกันจ้ะนิ้ง ครั้งนี้เดี๋ยวเราช่วยทำบุญ” บงกชหยิบกระเป๋าสตางค์จากกระเป๋าสะพายแล้วยื่นธนบัตรหนึ่งพันบาทให้รุทธ์
“ใจบุญจังน้องบัว ให้ตั้งพัน” ยุทธนาชื่นชมแม้เสียดายว่าบงกชไม่ได้ไปด้วย ทว่ารุทธ์กลับบอกอีกอย่าง
“ไม่ต้องให้มากขนาดนี้ก็ได้ครับ”
“ไม่มากหรอกค่ะพี่รุทธ์ เดี๋ยวนี้ของแพงจะตาย อีกอย่างถือว่าช่วยเป็นค่าน้ำมันรถก็ได้ค่ะ รับไว้เถอะนะคะ พี่รุทธ์อย่าปฏิเสธเหมือนคราวก่อนเลยบัวเกรงใจ”
คำว่า ‘คราวก่อน’ สะดุดหูก็จริง แต่อาการตกใจเหมือนคนเผลอหลุดปากทำทุกคนสะดุดใจยิ่งกว่า บงกชที่ยกมือปิดปากหน้าเสีย
“อุ๊ย บัวขอตัวก่อนนะคะ”
บงกชสบตารุทธ์แทนคำขอโทษแล้วรีบหันหลังเดิน ขณะดุสิตาหันขวับหาคนรัก
“คราวก่อนอะไรพี่รุทธ์”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า” รุทธ์อึกอัก ไม่กล้าบอกความจริงเรื่องเคยไปส่งบงกชถึงบ้านตอนวันเกิดตามคำสั่งของแม่ หลังจากคนขับรถของรุ่นน้องบอกว่ารถเสียและวันนั้นบงกชแสดงน้ำใจมอบค่าน้ำมันให้ซึ่งเขาไม่รับ แต่ขอค่าตอบแทนเป็นอย่าให้ดุสิตารู้เรื่องดังกล่าวแทน บงกชได้รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะเพราะไม่อยากให้เขามีเรื่องผิดใจกับดุสิตาโดยมีเธอเป็นต้นเหตุ ทว่าเจ้าตัวกลับหลุดปากออกมาจนได้
“พี่รุทธ์”
เมื่อรุทธ์ไม่พูด ดุสิตาจึงยิ่งคาดคั้นด้วยเสียงและสายตาต่อหน้ารุ่นพี่ที่ต่างเลิ่กลั่ก จนแน่ใจว่าคนรักไม่ยอมพูดหญิงสาวก็ยืนขึ้นและเอ่ยด้วยความโมโห
“ถ้าพี่ไม่ยอมพูด นิ้งก็จะไปถามมันแทน!”
ดุสิตาหมดความอดทน เลิกใจเย็นเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล เธอพรวดพราดจากโต๊ะก้าวเร็วดั่งพายุไปยังคนที่กำลังจะพ้นจากด้านหลังตึกคณะ ขณะภัทรยศกระชากแขนรุทธ์ที่ทำอะไรไม่ถูกให้ลุกพร้อมตน
“ยังนั่งบื้อทำไมรุทธ์! รีบห้ามนิ้งสิ เดี๋ยวได้เกิดเรื่องอีกหรอก”
(ติดตามต่อได้ในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.