X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2

ทดลองอ่าน ยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2 บทที่ 5-บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 21

บทที่ 5

“นี่ช่าง…”

“หล่อยิ่งนัก!”

“มีความรับผิดชอบยิ่ง”

“บุรุษที่แสนดี!”

“ช่าง…น่าอิจฉาสตรีผู้นั้น”

คำพูดประโยคเดียวของไป่หลี่จิงหงเรียกเสียงชื่นชมจากสตรีนับไม่ถ้วนที่มองดูอยู่

“มาดห้าวหาญนี้ มาดวางอำนาจนี้มีไว้เพื่อปกป้องเพียงสาวน้อยนางนั้น สาวน้อยผู้นี้มีบุญวาสนาเหลือเกิน!”

ชวนให้คนอิจฉาริษยาชิงชัง หากเป็นข้าก็คงดี…เหล่าสตรีคิดเช่นนี้

คนบนเรือสองลำนี้ดูเหมือนจะเป็นแม่ลูกกันกระมัง อกตัญญูต่อมารดาของตนถึงเพียงนี้เพื่อสตรีนางเดียว ไม่ดีเอาเสียเลย…มีผู้พิทักษ์จริยธรรมแอบวิพากษ์วิจารณ์ในใจเช่นกัน

มีความคิดเห็นของตนเอง รู้การควร รู้การไม่ควร มีความกล้าหาญ มีความรับผิดชอบ เช่นนี้ถึงจะเป็นท่วงทีของคนหนุ่มอย่างพวกเรา…เหล่าบุรุษฝืนใจให้การยอมรับเขาแล้ว

“ประเดี๋ยวก่อน…”

“การแต่งกายของสองคนนี้…ดูคุ้นตาอยู่สักหน่อย”

ชุดสีม่วง อายุราวยี่สิบ ใช้ดาบสีม่วง

สาวน้อยอ่อนแอในชุดปีกสวรรค์ ดูบอบบางไร้พิษภัย ข้างกายมี…สัตว์ตัวน้อยสีขาวและสีเงินอยู่สองตัว?!

“ประมุขน้อยเกาะหุน?!”

“หลานสาวของปีศาจโม่…โม่อีเหริน?!”

ครั้นถ้อยคำสองประโยคนี้ถูกเปล่งออกมาก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหลไปทั่วในทันใด

เมื่อสามเดือนก่อน นามสองนามนี้ คนสองคนนี้ยังไม่เป็นที่รู้จัก ทว่านับตั้งแต่หัวหน้าสมาคมช่างหลอมถูกแม่นางน้อยผู้หนึ่งเอาชนะได้ในงานประลองผู้ครองสัตว์วิเศษและนักยุทธ์ เกียรติประวัติเป็นต้นว่าก่อนหน้านั้นมีแม่นางน้อยผู้หนึ่งบุกไปที่สมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษ มีเรื่องกับผู้อาวุโสของสมาคมช่างหลอม ไม่เห็นผู้ช่วยพิธีการหญิงของหอซือมิ่งอยู่ในสายตาก็ถูกรื้อออกมาแล้ว

และยังพลอยทำให้เรื่องที่ข้างกายนางมีชายหนุ่มเย็นชาผู้มีพลังแก่นแท้ลึกล้ำมิอาจหยั่งอยู่ผู้หนึ่งถูกโจษจันออกไปเช่นกัน

จากนั้นตระกูลนักยุทธ์ฉู่และต้วนก็ถูกคนบุกไปหาถึงที่ ศึกใหญ่ของสัตว์วิเศษปะทุขึ้น…จนกระทั่งจบลง ใช้เวลาไปเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน ดินแดนเทพยุทธ์รอดตายอย่างหวุดหวิด ได้รับความเสียหายหนัก ส่วนที่ดินแดนเทพยุทธ์สามารถมั่งคงปลอดภัยได้เช่นยามนี้ ความดีความชอบใหญ่ที่สุดถึงกับเป็นของคนสองคนนี้

คนหนึ่งคือชายหนุ่มที่เพิ่งถึงวัยผู้ใหญ่ อีกคนเป็นสาวน้อยที่เพิ่งอายุสิบห้า

ต่อจากนั้นฐานะของพวกเขาก็ถูกเปิดเผย

ชายหนุ่มมาจากเกาะหุนที่ลึกลับที่สุดในดินแดน และยังเป็นประมุขน้อยของเกาะหุน นามว่า ‘ไป่หลี่จิงหง’

ส่วนสาวน้อยนั้นเป็นหลานสาวของโม่ซั่งเฉินที่คนเรียกขานว่าปีศาจโม่ผู้เป็นยอดของยอดฝีมือที่ทุกคนในดินแดนไม่อยากมีเรื่องด้วยที่สุด นามว่า ‘โม่อีเหริน’

สองคนนี้ถึงกับมาเยือนเมืองอิ้งสุ่ย อีกทั้งบัดนี้ยังมีเรื่องกับผู้อื่นอีกแล้ว มิหนำซ้ำฝ่ายตรงข้ามก็…ดูเหมือนจะเป็นมารดาของไป่หลี่จิงหง!

ทว่าเกาะหุน…มีฮูหยินด้วยหรือ เป็นผู้ใดกัน

เนื่องจากเกาะหุนเก็บตัวเงียบเกินไป ดังนั้นทุกคนจึงล้วนไม่รู้

ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงดำเนินเจตจำนงอันอยากรู้อยากเห็นและอยากชมเรื่องสนุกต่อไป ต่างเบิกตากว้าง รอดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

ระหว่างที่ความเงียบปกคลุมเรือทั้งสองนี้เอง บนเรือลำหรูก็แสดงพลานุภาพกล้าแกร่งออกมาก่อน ชายฉกรรจ์วัยกลางคนที่ดูมีอายุราวสี่สิบปีผู้หนึ่งย่างสามขุมออกมายืนบนดาดฟ้าเรืออย่างเชื่องช้า และประสานสายตากับไป่หลี่จิงหง

พลานุภาพกล้าแกร่งปะทะกับพลังกดข่มอันเยียบเย็น กลิ่นอายสองขุมยันกันอยู่บนแม่น้ำอิ้งชวน ก่อให้เกิดคลื่นซัดกระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง

น้ำบนแม่น้ำอิ้งชวนสาดเข้าหาสองฝั่งตลิ่งในทันที น้ำซัดสาดรุนแรงราวกับแส้ฟาด ทำเอาบรรดาคนที่มุงดูอยู่ทั้งตกใจทั้งหวาดหวั่น พากันปีนขึ้นไปบนหอสูง ไม่กล้าหยุดอยู่ริมตลิ่งอีก

ในขณะที่เรือที่คนทั้งสองยืนประจันหน้ากันอยู่กลับเพียงกระเพื่อมขึ้นลงน้อยๆ ทีเดียว คล้ายว่าไม่ได้รับผลกระทบ หากแต่พลังที่ยันกันนั้นกลับโหมกระเพื่อมหนักขึ้น ไม่ถึงครู่เดียวก็เกิดเสียงดังโครม น้ำในแม่น้ำสาดกระจายไปทั่วทุกด้าน

บรรดาคนที่หลบไปอยู่บนหอสูงแล้วพากันเป่าปากออกมาทันควัน

เคราะห์ดีที่พวกเขาหลบมาก่อน มิเช่นนั้นหากถูกน้ำนี้ซัดใส่อีกรอบ…จะเจ็บมากเพียงไร!

ชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้นั้นหัวเราะร่าออกมาทันที

“ฮ่าๆๆ ไม่เสียแรงที่เป็นทายาทสายตรงของสกุลไป่หลี่เรา ความองอาจ พลังแก่นแท้ ความกล้าหาญ บุคลิกนิสัย แต่ละอย่างล้วนไม่แย่”

คำพูดนี้ฟังดูเหมือนว่าพอใจในตัวไป่หลี่จิงหงมาก ถัดจากนั้นเขาก็ยังหันหน้ากลับไปกล่าวกับทางประทุนเรือ…

“เยียนเอ๋อร์ บุตรชายของเจ้าไม่เลวเลย”

“นั่นเป็นเพราะท่านอาจ้งมีเมตตา” ท่านป้าเอ่ยตอบด้วยเสียงอ่อนหวาน

โม่อีเหรินได้ยินแล้วก็เบิกตาโต อดจะค่อนแคะในใจไม่ได้ว่าท่านป้าก็มีเวลาที่พูดจาอ่อนหวานละมุนละไม ฟังดูเป็นกุลสตรีถึงเพียงนี้กับเขาเหมือนกัน ช่าง…ขัดหู ระคายหูเกินไปแล้ว

“ทว่าต่อให้เป็นเด็กมีพรสวรรค์เพียงไร ก็ไม่อาจตามใจจนเหลิงได้ นิสัยของหงเอ๋อร์ยังต้องได้รับการขัดเกลาอีกมาก” มารดาของไป่หลี่จิงหงเปลี่ยนประเด็น เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจอย่างมากต่อท่าทีของไป่หลี่จิงหง

“คนหนุ่มมีความโอหังสักหน่อยก็ปกติยิ่ง” ชายฉกรรจ์ไม่ใส่ใจต่อจุดนี้ เกิดเป็นคนสกุลไป่หลี่ ย่อมมีสิทธิ์ที่จะโอหัง

“มีความโอหังนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากไม่ยอมอยู่ใต้คำสั่งของตระกูล กลับมิใช่เรื่องดีแล้วเจ้าค่ะ”

ชายฉกรรจ์ตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมองไป่หลี่จิงหงพลางกล่าวว่า “เจ้าเป็นบุตรชายของจิ้งหย่วน นับได้ว่าเป็นรุ่นหลานของข้า เกิดเป็นคนสกุลไป่หลี่ ที่นี่มิใช่ที่ที่เจ้าสมควรอยู่ ด้วยพลังแก่นแท้ของเจ้า สมควรจะกลับไปถิ่นตระกูล อนาคตเจ้าถึงจะเดินไปได้ไกลขึ้น คราวนี้ข้ากับมารดาเจ้าเจาะจงมาหาก็เพื่อจะพาเจ้ากลับไปถิ่นตระกูล ความหมายของการที่สามารถกลับถิ่นตระกูลได้นั้นหมายถึงอะไร เชื่อว่าไม่ต้องให้ข้าบอก เจ้าก็น่าจะรู้”

แม้ชายฉกรรจ์จะไม่ได้พูดละเอียดมาก แต่กลับชี้ประเด็นสำคัญออกมา

ถิ่นตระกูล เกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญ

ไป่หลี่จิงหงย่อมจะรู้ว่าดินแดนเทพยุทธ์หาใช่สถานที่ที่เหมาะที่สุดในการฝึกบำเพ็ญ ถ้าหากอยากเลื่อนขั้นขึ้นไปอีก เขาก็จำต้องไปจากดินแดนแห่งนี้ ทว่ายังมิใช่ตอนนี้ และก็มิใช่การไปกับพวกเขา

“พูดจบแล้ว?”

คำพูดของไป่หลี่จิงหงสั้นกระชับมากเสียจนชายฉกรรจ์ไม่เข้าใจ

“พูดจบแล้วก็พานางไปเสีย” ‘นาง’ ในที่นี้แน่นอนว่าหมายถึงซย่าอวี่ที่นอนอยู่บนพื้น

ชายฉกรรจ์เพิ่งเคยเจอเด็กที่ไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้เป็นครั้งแรก จึงเกิดอาการสะอึกไปในทันที

“เจ้าไม่อยากยกระดับพลังแก่นแท้ให้สูงขึ้นหรือไร” ชายฉกรรจ์เลื่อนสายตาไปมองสาวน้อยที่ถูกเขาปกป้องไว้ด้านหลังมาตลอด “หรือว่าเป็นเพราะนางหนูผู้นี้ เจ้าถึงได้ไม่ยอมจากไป”

ไป่หลี่จิงหงไม่ตอบ เรื่องของเขาไม่จำเป็นต้องพูดกับผู้อื่นให้มากความ

หากแต่ความเงียบของเขา ชายฉกรรจ์กลับคิดว่าเป็นการยอมรับ เขาจึงหันไปหาโม่อีเหริน

“สาวน้อย มา ก้าวออกมาให้ข้าดูที”

“ไม่ให้ดู” โม่อีเหรินยิ่งหลบมิดกว่าเดิม

ชายฉกรรจ์ถูกทำให้สะอึกไปอีกครั้ง

ด้านคนที่ชมความครึกครื้นอยู่ก็ล้วนสีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกพิกล น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนสาวน้อยกำลังกระเง้ากระงอดอยู่ยิ่งนัก!

ส่วนคำว่า ‘ไม่ให้ดู’ นี้ก็กระทบใจคนทั้งหลายอย่างแรง ทำให้นึกตำหนิชายฉกรรจ์อยู่ในใจว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ทำตัวไม่น่าเคารพ

ประหนึ่งว่าสังเกตเห็นสายตาคลางแคลงและวิพากษ์วิจารณ์ของคนทั้งหลาย ชายฉกรรจ์จึงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก รู้สึกราวกับลมจุกอยู่ในอก

เป็นครู่ใหญ่เขาถึงค่อยปรับน้ำเสียงแล้วเอ่ยปากอีกครั้ง

“บนดินแดนเทพยุทธ์นี้ลือกันว่าเจ้ามีพลังแก่นแท้ขนาดสามารถเอาชนะยอดฝีมือขั้นฟ้าระดับเก้าได้ ก็ไม่น่าขี้ขลาดถึงเพียงนี้กระมัง”

“ไม่มีใครกำหนดเสียหน่อยว่าข้าจำเป็นต้องใจกล้า” โม่อีเหรินยืนอยู่หลังไป่หลี่จิงหงพลางตอบกลับเสียงแผ่ว

ลำพังฟังจากเสียงจะต้องเชื่อว่าเป็นสาวน้อยที่ขี้ขลาดตาขาวผู้หนึ่งจริงๆ ทว่าอันที่จริงสีหน้าของนางกลับดูสบายๆ อย่างมาก ซ้ำยังแบ่งสมาธิไปหยอกล้อเล่นกับเซิ่นได้อีกด้วย

แม้จะหลบอยู่หลังไป่หลี่จิงหง ตาเนื้อมองไม่เห็นสภาพการณ์ แต่ญาณวิเศษของนางมิได้มีไว้ประดับเฉยๆ หากชายฉกรรจ์ผู้นี้คิดจะจู่โจมไป่หลี่จิงหงหรือนาง นางก็สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ

“หากเจ้ามีความกล้าแค่เพียงเท่านี้ ก็ไม่คู่ควรจะอยู่ข้างกายหงเอ๋อร์” ชายฉกรรจ์เอ่ยวาจาจริงจังราวกับชอบด้วยเหตุผล มิหนำซ้ำยังมีแววกระตุ้นยั่วยุอยู่หน่อยๆ

“จิงหง เขาบอกว่าข้าไม่คู่ควรจะอยู่ข้างกายท่าน” ไหนเลยจะรู้ว่าโม่อีเหรินจะไม่สนใจเขา และถึงกับฟ้องไป่หลี่จิงหงตรงๆ ต่อหน้าอีกฝ่ายทันที

“เรื่องของข้า เขาไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์” คำตอบของไป่หลี่จิงหงตรงไปตรงมาโดยแท้ ซ้ำยังช่วยโม่อีเหรินทวงดอกเบี้ยคืนมาเล็กน้อยด้วย

ชายฉกรรจ์บอกว่านางไม่คู่ควร ไป่หลี่จิงหงจึงบอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์

คราวนี้ชายฉกรรจ์ถูกทำให้ลมจุกอกยิ่งกว่าเดิม

“นับไปแล้วข้าก็ถือเป็นญาติผู้ใหญ่รุ่นปู่รุ่นตาของเจ้า จะไม่มีสิทธิ์ได้อย่างไร” ชายฉกรรจ์หวิดจะใช้เสียงคำรามแล้ว ชาตินี้มีชีวิตมาจนถึงบัดนี้ เขายังไม่เคยถูกทำให้โมโหหลายรอบเท่ากับวันนี้มาก่อนเลย มิหนำซ้ำยังถูกผู้น้อยสองคนใช้วาจาทำให้พูดไม่ออกอีกต่างหาก

“ข้าไม่รู้จักท่าน” ไป่หลี่จิงหงกล่าวอย่างผ่อนคลายสบายใจ

“…” ชายฉกรรจ์หมดคำพูดไปทันที

ในประทุนเรือด้านหลังไป่หลี่จิงหงดูเหมือนจะมีเสียงหัวเราะขลุกขลักสองสามเสียงดังออกมา

“ท่านอาจ้ง มิต้องพูดให้มากความเพียงนั้น พาตัวหงเอ๋อร์กลับไปก็พอแล้วเจ้าค่ะ” มารดาของไป่หลี่จิงหงที่อยู่ในประทุนเรือลำหรูมาโดยตลอดเห็นได้ชัดว่าหมดความอดทนแล้ว

“อืม” ชายฉกรรจ์เห็นด้วย “หงเอ๋อร์ มาให้ข้าดูทีว่าเจ้าอยู่ที่ดินแดนเทพยุทธ์มายี่สิบปี พลังแก่นแท้มีมากน้อยเพียงไรกันแน่”

พอกล่าวจบ ชายฉกรรจ์ก็ทะยานตัวขึ้นฟ้า ฟาดพลังฝ่ามือหลายสายมายังไป่หลี่จิงหง

ร่างไป่หลี่จิงหงเคลื่อนไหวในเสี้ยวพริบตา รับพลังฝ่ามือเหล่านั้นโดยไม่ตกหล่นแม้แต่สายเดียว

ยามนี้ร่างของคนทั้งสองล้วนลอยขึ้นไปกลางอากาศ ไป่หลี่จิงหงพลิกมือซัดพลังปราณอันรุนแรงออกไป ดูคล้ายเป็นแสงพุ่งวาบ

“หืม?” ชายฉกรรจ์ทั้งงุนงงทั้งประหลาดใจ เขาเบี่ยงตัวหลบพลังปราณสายนั้นทันที หากแต่มันพุ่งมาเร็วเกินไป ชายฉกรรจ์รอดจากการบาดเจ็บถึงชีวิตได้ แต่กลับหลบคลื่นกระทบจากพลังปราณได้ไม่ทั้งหมด พลังปราณกวาดผ่านแขนเสื้อข้างซ้ายของเขาไป ทิ้งร่องรอยขาดวิ่นราวกับถูกไฟเผาเอาไว้

แม้แขนจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่กลับรู้สึกได้ถึงความร้อนจากพลังปราณสายนั้น

“แปรพลังเป็นรูปร่าง?!” มิหนำซ้ำยังไม่ได้เป็นแค่รูปร่างธรรมดาอีกด้วย ชายฉกรรจ์เบิกตาโพลง

สิ่งที่เขาสวมอยู่บนตัวคือชุดเวทที่มีพลังป้องกันแก่กล้าอย่างที่สุด พลังปราณสายนั้นถึงกับสามารถเผามันจนเสียหายได้อย่างง่ายดาย นี่มิใช่พลังปราณธรรมดาแล้ว แต่เป็นการโจมตีที่มีพลังพิเศษธาตุไฟแฝงอยู่

นี่คือ…

เวลาเดียวกันขณะที่ไป่หลี่จิงหงประมือกับชายฉกรรจ์ ผละออกไปจากตำแหน่งที่ยืนแต่เดิม และโม่อีเหรินกำลังจับตามองการต่อสู้อยู่ มารดาของไป่หลี่จิงหงที่อยู่ในเรือลำหรูมาโดยตลอดก็พลันอาศัยจังหวะนี้ปรากฏตัว

นางว่องไวยิ่ง ยามนี้เองประกายแหลมคมสีเงินสายหนึ่งก็พุ่งวาบไปยังโม่อีเหริน

ไอสังหาร!

ทันทีที่โม่อีเหรินสัมผัสได้ เท้าข้างหนึ่งของนางก็ก้าวออกไป เงาร่างเปลี่ยนจากจับต้องได้กลายเป็นจับต้องไม่ได้ในพริบตา เพียงชั่วขณะที่ยังไม่ทันกะพริบตา นางก็ย้ายตำแหน่งไปแล้ว

ไป่หลี่เยียนหรือก็คือมารดาของไป่หลี่จิงหงสะบัดดาบออกมา กลับฟันถูกเพียงอากาศ แม้แต่คนก็หายตัวไปแล้ว นางตกใจอย่างมาก รีบหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็วและมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง

โม่อีเหรินกลับยืนอยู่บนรั้วกั้นบริเวณกราบเรือด้านขวาด้วยท่าทางใจเย็นไม่สะทกสะท้าน บนบ่ามีสัตว์ตัวน้อยสีเงินลักษณะเหมือนสุนัขนั่งอยู่ตัวหนึ่ง ในอ้อมแขนอุ้มสัตว์ตัวน้อยสีขาวลักษณะเหมือนแมวไว้อีกตัว ภาพนี้ไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนกำลังชมทิวทัศน์ ไม่เหมือนถูกลอบโจมตี และก็มองไม่ออกโดยสิ้นเชิงเช่นกันว่ามีอันตรายใดๆ

ไป่หลี่เยียนหรี่ตามองโม่อีเหริน คนทั้งหลายเองก็มองเห็นลักษณะท่าทางของไป่หลี่เยียนได้ชัดเจน

ที่โม่อีเหรินเรียกนางว่า ‘ท่านป้า’ นั้น หากดูจากแค่รูปลักษณ์ภายนอก อันที่จริงคำเรียกขานนี้ก็ออกจะดูแก่เกินไปหน่อยจริงๆ

ท่านป้าผู้นี้ดูมีอายุราวสามสิบ รูปร่างสูงโปร่งแช่มช้อย ชุดชาววังสีชมพูดอกท้อขับเน้นให้รูปโฉมอันงดงามของนางดูพิลาสล้ำยิ่งขึ้น

ครั้นดาบฟันเจออากาศ บนใบหน้านางก็มิได้มีโทสะและความผิดหวังใดๆ เพียงแต่พอสายตาสอดส่ายหาโม่อีเหรินพบ นางก็หมุนตัวกลับอย่างสง่างาม พลิกมือจับดาบโค้งพาดเอียง สะดวกต่อการจู่โจม และสะดวกต่อการป้องกันเช่นกัน

ทว่าทางโม่อีเหรินกลับดูท่าทางไม่ได้สนใจเลยว่าไป่หลี่เยียนจะจู่โจมหรือไม่ ความสนใจกว่าค่อนล้วนอยู่ที่ไป่หลี่จิงหง

ไป่หลี่จิงหงใช่ว่ามิได้สังเกตเห็นมารดาลอบโจมตีโม่อีเหริน ทว่าหลังจากกระบวนท่าแรก ชายฉกรรจ์ก็พลันเลือกใช้การโจมตีแบบฉับไว ออกกระบวนท่ามาไม่หยุด

ไป่หลี่จิงหงถูกขวางไว้กลางอากาศ เผชิญหน้าชายฉกรรจ์ที่มีระดับขั้นยุทธ์สูงกว่าเขา ทว่าเขายังคงโต้ตอบอย่างสุขุมเยือกเย็น ชายฉกรรจ์มีพลังฝ่ามือมหาศาล แต่พลังแก่นแท้ของไป่หลี่จิงหงก็มั่งคงแข็งแรงดุจเดียวกัน

ชายฉกรรจ์ผู้นี้เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดนอกเหนือจากบิดาที่ไป่หลี่จิงหงเคยเจอนับตั้งแต่ได้เริ่มฝึกบำเพ็ญ หากแต่นี่มิได้ทำให้ไป่หลี่จิงหงหวั่นกลัว มีแต่ทำให้กลิ่นอายของเขายิ่งเยียบเย็น ทำให้ความอยากต่อสู้ของเขายิ่งเพิ่มสูง

ประมือกันมือเปล่าไม่อาจตัดสินสูงต่ำได้ ชายฉกรรจ์จึงชูมือขึ้น ดาบใหญ่ที่พกติดตัวกลายมาอยู่ในมือ กระแสลมดาบมโหฬาร ก่อให้เกิดเสียงลมคำรามบ้าคลั่งเป็นระลอก

ไป่หลี่จิงหงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย นึกคิดในใจว่าดาบหุนสีม่วงก็หมุนวน ไม่จับดาบ แต่ใช้ความคิดขับเคลื่อน ดาบหุนสีม่วงพิทักษ์อยู่รอบตัวเขา พร้อมกับทำการยับยั้งกระแสลมจากดาบใหญ่

คมดาบปะทะกันจนเกิดประกายเล็กๆ ออกมากลางอากาศ กระแสลมที่เกิดจากดาบใหญ่ถูกดาบหุนสีม่วงยืมแรงมาสลายพลังของตัวมันเองออกไปรอบๆ ได้พอดิบพอดี

พริบตาเดียวก็ผลัดกันรุกรับได้สามสิบกว่ากระบวนท่า ดูคล้ายเสมอกัน แต่อันที่จริงไป่หลี่จิงหงตกเป็นฝ่ายตั้งรับและคลายกระบวนท่าของอีกฝ่ายโดยตลอด ยังไม่ได้เป็นฝ่ายโจมตี

โม่อีเหรินมองออกว่าไป่หลี่จิงหงมิใช่จะไม่โจมตี แต่ยังไม่มีโอกาสให้โต้กลับ

รูปร่างที่สูงใหญ่บึกบึนของชายฉกรรจ์ผู้นี้มิได้ดูดีเพียงอย่างเดียว แต่ยังใช้งานได้จริงด้วย หากจะกล่าวถึงระดับขั้นยุทธ์ ชายฉกรรจ์ผู้นี้น่ากลัวว่าจะมีระดับขั้นสูงกว่าไป่หลี่จิงหงอย่างแน่นอน

ถ้าหากคนในดินแดนนั้นล้วนมีพลังแก่นแท้เยี่ยงนี้…สู้กันขึ้นมาไป่หลี่จิงหงก็ลำบากยิ่ง

โม่อีเหรินเพิ่งจะกำลังคิด คมดาบสายหนึ่งก็มาถึงข้างกายอีกครั้ง

โม่อีเหรินหมุนตัว เงาร่างหายวับในทันใด ก่อนจะไปปรากฏอยู่อีกปลายด้านของเสากระโดงเรือ การโจมตีของไป่หลี่เยียนมาอีกแล้ว โม่อีเหรินหมุนตัวอีกครั้ง คนก็หายไปอีกครั้ง

ดาบของไป่หลี่เยียนฟันมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ เงาร่างโม่อีเหรินก็วาบหลบเร็วขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ประเดี๋ยวผลุบประเดี๋ยวโผล่ หมุนไปแล้วก็หมุนมา ถึงขนาดยังปรากฏสภาพเคลื่อนย้ายในพริบตาด้วย

โม่อีเหรินที่อยู่ระหว่างเคลื่อนที่งันไปเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาปล่อยญาณวิเศษออกไปทันที

ถึงเพลงดาบของไป่หลี่เยียนจะถี่กระชั้น แต่โม่อีเหรินกลับสามารถหาช่องว่างพบและหลบหลีกคมดาบได้ก่อนก้าวหนึ่งทุกครั้งไป

โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เงาร่างของโม่อีเหรินได้แปรเปลี่ยนในพริบตา ระหว่างเคลื่อนที่คล้ายว่าปรากฏการแบ่งภาค แต่ครั้นดาบฟันมา กลับพบว่านั่นเป็นเพียงเงาที่หลงเหลืออยู่ของโม่อีเหริน พอดาบฟันมาก็หายวับไป

ไป่หลี่จิงหงกับชายฉกรรจ์ที่กำลังสู้กันอยู่เพียงแบ่งสมาธิมาสังเกตการณ์เล็กน้อย ยังคงไม่พบอะไรแปลกประหลาด แต่คนในเรือกลับยิ่งมองดูยิ่งจดจ่อ อาการหน้านิ่วคิ้วขมวดน้อยๆ ของโม่ซั่งเฉินพลันคลายลงอย่างไร้สุ้มเสียง

ด้านไป่หลี่เยียนที่ฟันถูกแค่อากาศไม่ได้คิดอะไรโดยสิ้นเชิง เพียงแต่มีโทสะขึ้นมาแล้ว นางไม่เชื่อหรอกว่าจะฟันไม่ถูกตลอดไป

“ดาบโค้งจงหมุน!”

คราวนี้ท่านป้าไม่ไล่ตามแล้ว แต่ถ่ายเทปราณเข้าดาบโค้ง ดาบโค้งที่หมุนวนลอยตรงมาหาโม่อีเหรินทันที

“เขี้ยวเงิน!” โม่อีเหรินเปล่งเสียง

ฟุ่บ! ดาบวายุพุ่งไปหาดาบโค้ง

เคร้ง! ดาบโค้งถูกซัดจนเบนทิศทาง

ในมือไป่หลี่เยียนไม่รู้มีดาบโค้งเล่มที่สองโผล่มาตั้งแต่เมื่อไร นางจับดาบทะยานตัวเหาะมาแทบจะทันทีที่ดาบโค้งถูกซัดจนตกลง คนยังมาไม่ถึง ประกายดาบก็มาถึงก่อน มันกรีดมายังโม่อีเหริน!

โม่อีเหรินพลันหัวเราะก่อนก้าวเท้าหนึ่งออกไป เงาร่างหายไปอีกครั้ง

ไป่หลี่เยียนตะลึงงันอีกครั้ง

วิชาประหลาดพรรค์นี้อีกแล้ว!

ชั่วพริบตาถัดมา…

“ท่านป้า อย่าขยับนะเจ้าคะ”

เสียงของโม่อีเหรินดังขึ้นริมหู ไป่หลี่เยียนทำท่าจะหันไป ตรงลำคอกลับรู้สึกได้ถึงประกายดาบเย็นเยียบ อากัปกิริยาจึงชะงักค้างทันที

“เจ้ากล้าลงมือกับข้า?”

“เหตุใดจะไม่กล้าเล่า”

“ข้าเป็นแม่ของหงเอ๋อร์”

“แล้วอย่างไร”

ท่านป้าสะอึก “เจ้าไม่อยากแต่งงานกับหงเอ๋อร์?” ถ้าอยากแต่ง ก็มิใช่ควรคิดหาทางเอาใจว่าที่แม่สามีอย่างนางหรือไร

แน่นอนว่านางไม่ได้อยากได้รับการเอาใจ ในสายตาของนาง ไม่ว่าตำแหน่งฐานะ ไม่ว่าลักษณะนิสัย หรือวิชาความรู้ โม่อีเหรินไม่คู่ควรกับหงเอ๋อร์ของนางโดยสิ้นเชิง ทว่านางอยากได้รับการเอาใจหรือไม่นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง โม่อีเหรินสมควรเอาใจนางอยู่แล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“ตอนนี้ไม่อยาก” โม่อีเหรินตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“ไม่อยาก?” ไป่หลี่เยียนขมวดคิ้ว ตามข่าวที่นางได้รับมา โม่อีเหรินกับหงเอ๋อร์ตามติดกันเป็นเงาเสมอ ความรู้สึกระหว่างคนทั้งสองสมควรจะลึกซึ้งยิ่ง โม่อีเหรินจะไม่อยากแต่งงานกับหงเอ๋อร์ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้

“ท่านป้า ท่านดูเหมือนจะลืมไปเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอะไร”

“ชีวิตของท่านอยู่ในกำมือข้า”

“เฮอะ เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ”

“อืม…” โม่อีเหรินคิดเล็กน้อย “โดยทั่วไปข้าไม่ค่อยชอบฆ่าคน”

“ว่าแล้วว่าเจ้าไม่กล้าแตะต้องข้า” ไป่หลี่เยียนลำพองตนยิ่งนัก

“ทว่าถ้ามีใครต้องการฆ่าข้า ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่ฆ่าอีกฝ่าย” โม่อีเหรินเสริมอีกประโยค

“ฮึ” ไป่หลี่เยียนยิ้มเย็น ไม่เชื่อว่านางจะกล้าลงมือ

“หากแต่การจะจัดการท่านก็ไม่เห็นจำเป็นต้องฆ่าท่าน สู้…ทำให้ท่านไปอยู่เป็นเพื่อนคนของท่านจะดีกว่า” โม่อีเหรินพูดจบก็ลดดาบโค้งที่พาดคอไป่หลี่เยียนลง

ไป่หลี่เยียนหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง รู้อยู่แล้วว่านางไม่กล้าลงมือ จึงกำลังจะเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าลำพองใจ ทว่า…

โครม! ไป่หลี่เยียนล้มลงกับพื้น

โม่อีเหรินก้มหน้ามองปราดหนึ่ง ก่อนส่ายศีรษะด้วยความเสียดาย

“ทิศทางไม่ถูกต้อง ตำแหน่งก็เคลื่อนไปเล็กน้อย ช่างน่าเสียดายจริงๆ” เดิมทีอยากจะทำให้ท่านป้าไปนอนกองกับซย่าอวี่ด้วยท่าทางเดียวกัน ผลคือกลับหัวกลับหาง ตำแหน่งก็พลาดไปหนึ่งฉื่อคราวหน้าจะต้องปรับปรุง

“เจ้า…เจ้าทำอะไร” สีหน้าที่ดูสูงส่งเหนือผู้อื่นอยู่ตลอดของไป่หลี่เยียนเปลี่ยนไปในที่สุด ร่างกายนางไร้เรี่ยวแรง แต่กลับรู้สึกได้ว่าทั้งร่างแข็งทื่อ พลังชีวิตในตัวก็ไม่อาจโคจรได้เช่นกัน

“ไม่มีอะไรมาก แค่ทำให้ท่านได้พักสักหน่อยเท่านั้นเอง ท่านเอะอะเกินไป”

ไป่หลี่เยียนถึงกับพูดอะไรไม่ออก “…”

“…” คนทั้งหลายที่ด้านข้างเองต่างก็หมดคำพูดเช่นกัน บัดนี้ใช่เวลามารังเกียจว่าไป่หลี่เยียนเอะอะเกินไปหรือไร

ทว่าโม่อีเหรินไม่สนใจอีกฝ่ายแล้ว นางเงยหน้ามองดูการต่อสู้ที่กลางอากาศ

ชายฉกรรจ์เองก็มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเรือแล้วเช่นกัน ออกกระบวนท่าได้อีกสองสามกระบวนเขาก็เก็บพลัง ลอยตัวลงมาบนเรือ

ไป่หลี่จิงหงลอยตัวตามลงมาเช่นกัน เขาประจันหน้ากับชายฉกรรจ์ ปกป้องโม่อีเหรินไว้ด้านหลังตนเอง

“สาวน้อย เจ้าทำอะไรกับเยียนเอ๋อร์”

ชายฉกรรจ์ลงมายืนอยู่กึ่งกลางระหว่างหัวเรือและประทุนเรือ ส่วนโม่อีเหรินยืนอยู่ฝั่งหัวเรือ ที่ข้างตัวก็คือสตรีสองนางที่นอนอยู่บนพื้น ไป่หลี่จิงหงยืนอยู่ฝั่งเดียวกับโม่อีเหริน คั่นกลางระหว่างโม่อีเหรินกับสตรีทั้งสองบนพื้น

ตำแหน่งนี้ไม่ว่าชายฉกรรจ์จะโจมตี หรือสตรีสองนางบนพื้นจะลอบจู่โจม เป้าหมายแรกที่จะโดนก่อนล้วนเป็นไป่หลี่จิงหง

ชายฉกรรจ์มองดูการกระทำของไป่หลี่จิงหงโดยไม่กระโตกกระตาก

ดินแดนเทพยุทธ์เล่าลือกันว่าไป่หลี่จิงหงประมุขน้อยเกาะหุนตกหลุมรักโม่อีเหริน ท้าทายสามสมาคมใหญ่และหอซือมิ่งเพื่อนาง ดูท่าเรื่องนี้คงเป็นความจริง

ชายฉกรรจ์พินิจมองโม่อีเหรินอีกครั้ง ลำพังดูเช่นนี้มองไม่ออกจริงๆ ว่านอกจากความมีชีวิตชีวาน่าพึงใจและความเฉลียวฉลาดน่ารักแล้ว นางยังมีจุดใดที่ทำให้คนสนใจได้อีก ทว่า…ชุดปีกสวรรค์บนตัวนางมิใช่ใครๆ ก็มีในครอบครองได้ ถึงจะเป็นที่ดินแดนแรกนภา ผู้ที่ทำชุดปีกสวรรค์เยี่ยงนี้ออกมาได้ก็มีไม่มากเช่นกัน

อีกทั้งสัตว์ตัวน้อยสองตัวที่อยู่บนบ่าและบนมือนางก็คล้ายว่าจะไม่ได้เป็นแค่สัตว์เลี้ยงเท่านั้น

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงไม่ใช่ตัวเลือกภรรยาในอุดมคติของหงเอ๋อร์อยู่ดี…

“ท่านอาของท่านป้า สายตาของท่านพิกลยิ่ง” โม่อีเหรินจ้องเขาพลางเอ่ย

“ท่านอาของท่านป้า?” ชายฉกรรจ์งันไป

“ท่านป้าท่านนี้เรียกท่านว่าท่านอานี่นา” โม่อีเหรินชี้ไป่หลี่เยียนที่อยู่บนพื้น “ท่านจึงเป็นท่านอาของท่านป้า”

“…” เรียกตรงเผงเกินไปแล้ว

“ท่านอาของท่านป้า สายตาที่ท่านมองข้าดูเหมือนว่าข้าเป็นสินค้ารอจำหน่ายเมื่อได้ราคาดี ท่านพึงต้องทราบไว้ว่าข้ามิใช่คนที่ท่านสามารถตัดสินราคาได้”

วาจาประโยคสุดท้ายมีความหยิ่งทะนงและความวางอำนาจรำไรของนางแย้มพรายออกมา แม้แต่ไป่หลี่จิงหงก็ยังประหลาดใจเล็กๆ

ชายฉกรรจ์ประหลาดใจเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่ได้ใส่ใจ “สาวน้อย อย่านึกว่าตนเองสามารถวางยาทำให้คนล้มได้ก็นับว่ามีฝีมือแล้ว เจ้าสามารถเอาชนะพวกนางได้ก็ด้วยอาศัยการลอบโจมตี หาใช่ฝีมือที่แท้จริงไม่”

“ไม่ว่าเป็นม้าพ่อพันธุ์หรือม้าแก่ วิ่งชนะก็นับเป็นม้าดี ท่านอาของท่านป้าคิดเห็นเช่นไร”

“การกระทำนอกรีตนอกรอย ไม่มีค่าพอให้พูดถึง มิใช่พฤติการณ์ของชายชาตรี” ชายฉกรรจ์ไม่เห็นด้วย

“ในสนามรบล้วนกล่าวกันว่าการศึกไม่หน่ายกลอุบาย ยิ่งกว่านั้นก็เป็นท่านป้าท่านนี้ลอบโจมตีก่อน ยังจะให้ข้ามีคุณธรรมจริยธรรมเมตตาธรรมกับคนที่ลอบโจมตีข้าอีกหรือไร” โม่อีเหรินไม่เห็นด้วยกับคำของชายฉกรรจ์ “อีกอย่างข้าก็เป็นสตรีตัวน้อย มิใช่ชายชาตรี เห็นแก่ที่ท่านแซ่ไป่หลี่เหมือนกัน ข้าจะไว้หน้าจิงหงสักครา ท่านพาพวกนางจากไปบัดเดี๋ยวนี้” โม่อีเหรินเอ่ยไล่คนอีกครา

ชายฉกรรจ์ถูกทำให้โมโหจนยิ้มออกมา

“เจ้าไล่ข้า?” ชายฉกรรจ์เดินไปที่ใดล้วนแต่ได้รับความเคารพเสมอมา ชั่วชีวิตไม่เคยถูกคนไล่ รอยยิ้มจึงบิดเบี้ยวเหลือกำลัง

“ใช่ ไล่ท่าน”

ชายฉกรรจ์แค่นเสียง “สาวน้อย เห็นแก่ที่หงเอ๋อร์ให้ความสำคัญกับเจ้า ข้าไม่อยากถือสาหาความเจ้าเกินไป เจ้าเองก็รู้จักบันยะบันยังสักหน่อย”

“คำกล่าวที่ว่าคนร้ายตะโกนขอความช่วยเหลือก็หมายถึงคนประเภทอย่างท่าน เป็นพวกท่านมาหาเรื่องพวกข้า รบกวนการเที่ยวเล่นของพวกข้า ซ้ำบัดนี้ยังหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ อีก ท่านนึกจริงๆ หรือว่าพวกข้ารังแกได้ง่าย” โม่อีเหรินก้าวออกจากการปกป้องของไป่หลี่จิงหง แววตาที่สุกใสเสมอมามีแววดุดันแฝงอยู่เป็นครั้งแรก

โม่อีเหรินโมโหแล้วจริงๆ

ไป่หลี่จิงหงไม่ได้ห้ามนาง เพียงแต่เปลี่ยนมาคุ้มกันหลังนางแทน เขาจะไม่ปล่อยให้ใครมีโอกาสลอบโจมตีนางอีก

“ช่างเป็นสาวน้อยเจ้าอารมณ์ยิ่งนัก ข้ายังไม่ทันโมโห เจ้ากลับชิงตัดหน้าข้าเสียแล้ว” ชายฉกรรจ์ยิ่งรู้สึกว่าน่าขันกว่าเดิมแล้ว

เป็นแค่สาวน้อยนางหนึ่งก็กล้ามาพูดจาขู่เข็ญต่อหน้าเขา คนหนุ่มสาวสมัยนี้ช่างอารมณ์ร้ายและความรู้น้อยโดยแท้ นั่งก้นบ่อมองท้องฟ้า ไม่รู้ว่าฟ้ากว้างใหญ่เพียงไร

“ท่านอาของท่านป้าท่านนี้ อย่ามาพูดเหมือนว่าท่านได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีเลย หากท่านได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี มีท่วงทีของผู้อาวุโสจริงๆ ท่านมีหรือจะเป็นฝ่ายมาหาเรื่องคนหนุ่มสาวอย่างพวกข้า ในความเป็นจริงท่านก็มิใช่อาศัยพลังแก่นแท้ที่ท่านมี คิดว่าสามารถเอาชนะจิงหงหรือถึงขนาดจับตัวเขากลับไปได้ง่ายๆ ถึงได้มาลงมือกับพวกข้าหรือไร”

ที่แท้โม่อีเหรินก็มองจุดประสงค์ของเขาออกอย่างปรุโปร่งแล้ว

“น่าเสียดายที่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่ท่านต้องการ จิงหงแข็งแกร่งกว่าที่ท่านคิดไว้ อีกทั้งสองคนนี้ก็ถูกข้าวางยาจนหมอบไปแล้ว ดังนั้นท่านถึงได้หยุดมือ”

“สาวน้อยพูดได้ถูกต้อง แต่แล้วอย่างไรเล่า” เป็นความจริง ชายฉกรรจ์ไม่ถือสาที่จะยอมรับ ใครใช้ให้เยียนเอ๋อร์กับซย่าอวี่ไม่เอาไหนถึงเพียงนี้เล่า

“ในเมื่อข้าพูดถูก เช่นนั้นท่านอาของท่านป้า ด้วยอายุของท่านที่ไม่รู้ว่ามากกว่าข้าตั้งกี่ปี ท่านก็ควรจะเข้าใจความจริงเรื่องหนึ่ง…” โม่อีเหรินมองเขายิ้มๆ พลางกล่าวช้าๆ “บัดนี้ผู้ใดมีพลังแก่นแท้ ผู้นั้นเป็นผู้ตัดสินใจ”

เขามีพลังแก่นแท้พอหรือ สายตาสงสัยมองตรงไปที่ชายฉกรรจ์อย่างไม่เกรงใจ

ถูกผู้น้อยกระทู้ถามเช่นนี้ ชายฉกรรจ์ก็มีสีหน้าเข้มขึ้น “สาวน้อย พูดอะไรออกมาจะต้องระวัง อย่าหาเรื่องใส่ตัว”

“ท่านอาของท่านป้า จะบิดพลิ้วต้องดูกาลเทศะด้วย ถ้ามิใช่เพราะสองคนนี้ยังต้องการให้ท่านพาตัวไป ท่านคิดว่าท่านจะยังสามารถยืนพูดมากกับข้าถึงเพียงนี้อยู่ตรงนี้ได้อย่างครบสามสิบสองอีกหรือ”

คนที่อาศัยความอายุมากกว่ามาข่มผู้อื่น มาเจอกับคนที่ทำอะไรไม่ตามแบบแผน คนอายุมากถูกทำให้โมโหแล้ว คนอายุน้อยกลับยังลอยชาย เฟิงเหยี่ยนที่กลั้นขำมาตลอดแสดงความเห็นใจเขาทันที

“พรืด…”

อีเหรินน้อยน่ารักเหลือเกิน! มิหนำซ้ำยังเฉลียวฉลาดเสียชวนให้คนเอ็นดู ไม่ว่าผู้ใดคิดจะรังแกอีเหรินน้อย ใช้อารมณ์กับอีเหรินน้อย ล้วนสมควรถูกทำให้โมโหจนเส้นเลือดในสมองแตก!

“สาวน้อย เจ้านึกจริงๆ หรือว่าการวางยาจะใช้ได้ผลกับทุกคน”

“ท่านอาของท่านป้า ท่านคงไม่คิดว่าข้าวางยาเป็นอย่างเดียวหรอกกระมัง”

“หรือว่าเจ้ายังมีความสามารถอื่นอีก” ชายฉกรรจ์นิ่งงันไป เดิมเขาคิดเช่นนี้จริงๆ

โม่อีเหรินแค่นเสียงออกจมูก “ท่านไม่ได้เป็นอะไรกับข้า เหตุใดข้าต้องบอกท่านด้วย”

ชายฉกรรจ์ถูกทำให้โมโหอีกครั้งแล้ว “สาวน้อย คนแก่อย่างข้าไม่อยากถือสาหาความกับเจ้า มิเช่นนั้นจะถูกคนหาว่าข้ารังแกเด็กเอาได้ เจ้าเองก็อย่ากำเริบเสิบสานเกินไปนัก”

“อ้อ ไม่อยากรังแกเด็ก หรือว่าที่เมื่อครู่ท่านสู้กับจิงหงเป็นครึ่งค่อนวันมิใช่การรังแกเด็ก”

“ข้า…นั่นข้ากำลังทดสอบพลังแก่นแท้ของหงเอ๋อร์ต่างหาก!”

“เป็นเพราะจิงหงไม่ฟังคำของท่าน ท่านถึงได้ลงมือ เตรียมจะจับตัวเขากลับไปมากกว่ากระมัง บัดนี้ท่านทำมาพูดเสียน่าฟังก็เพื่ออำพราง ท่านอำพรางก็แสดงว่าท่านร้อนตัว กล้าทำไม่กล้ารับ พฤติกรรมพรรค์นี้ก็คือพฤติกรรมที่ชายชาตรีพึงมีหรือ”

“…” ชายฉกรรจ์ถูกตอกกลับจนเบื้อใบ้ไร้คำพูด

“ในเมื่อท่านเองก็ทำพฤติกรรมอย่างที่ชายชาตรีพึงมีออกมาไม่ได้ เช่นนั้นท่านยังมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าการที่ข้าวางยาเป็นการกระทำนอกรีตนอกรอย อย่างน้อยข้าก็กล้าทำกล้ายอมรับ เปิดเผยเป็นธรรมกว่าท่านมาก”

แปะๆๆๆๆ

เสียงปรบมือดังขึ้นโดยรอบ การกล้าทำกล้ายอมรับ มีค่าควรแก่การให้กำลังใจ

ใบหน้าคร้ามของชายฉกรรจ์แดงขึ้นมาในทันที…ยามนี้ถูกทำให้โมโหจนแดงก่ำแล้ว

“ข้าไม่เปลืองน้ำลายกับเจ้า…”

“เป็นท่านไม่มีเหตุผล เถียงข้าไม่ได้มากกว่ากระมัง!” โม่อีเหรินพูดขัดเขา

ชายฉกรรจ์อดทน บอกตนเองว่าอย่าไปสนใจนาง ต้องทำเรื่องที่ควรทำให้เสร็จ

“หงเอ๋อร์ เจ้าไม่ยอมตามข้ากลับไปตระกูลจริงๆ หรือ เพื่อสาวน้อยผู้นี้ เจ้าต้องการจะขัดเจตนาของมารดาเจ้า ปล่อยมารดาเจ้าไปโดยไม่สนใจหรือไร”

“ถึงเวลาที่ควรไป ข้าย่อมจะกลับไปเอง พาพวกนางกลับไปเถอะ อย่ามารบกวนข้าอีก” ไป่หลี่จิงหงกล่าวเรียบๆ

“เจ้า…ประเสริฐนัก เจ้าต้องการสิ้นเปลืองพรสวรรค์ของเจ้า ข้ายุ่งไม่ได้ แต่อย่างไรก็ต้องมีคนที่ทำได้ เจ้ารอบิดาเจ้ามาเองแล้วกัน!” ชายฉกรรจ์ลั่นวาจาออกมา ก่อนเดินมาข้างหน้า กำลังทำท่าจะแบกคนสองคนบนพื้นขึ้นมา…

ทันใดนั้นก็มีคำพูดลอยออกมาจากในประทุนเรือ “อีเหริน ข้าเคยสอนให้เจ้าใช้บุญคุณตอบแทนความแค้นหรือ”

“ไม่เคยเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินตัวแข็ง กล่าวตอบอย่างสงบเสงี่ยม

“ข้าเคยสอนเจ้าหรือว่าพอถูกลอบโจมตี ขอเพียงไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็ให้ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือ”

“ไม่เคยเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นข้าสอนเจ้าว่าอย่างไร”

“หากคนผู้หนึ่งไม่ทำร้ายข้า ข้าก็จะไม่ทำร้ายคนผู้นั้นก่อนเป็นแน่ แต่หากคนผู้หนึ่งทำร้ายข้าก่อน เมื่อนั้นข้าก็จะต้องเอาคืนหลายเท่า” โม่อีเหรินพูดจบก็ลอบแลบลิ้นในใจ นางรู้ว่าท่านตาหมายความว่าอะไรแล้ว

ชายฉกรรจ์ยังไม่ทันมีการตอบสนอง ก็พลันมีไอกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกมาจากในประทุนเรือ เร็วจนคนไม่ทันกะพริบตา ชายฉกรรจ์ตอบสนองไม่ทันโดยสิ้นเชิง ได้ยินเพียงเสียงหนึ่ง…

“อ๊าก…” ไป่หลี่เยียนร้องโหยหวน สีหน้าซีดขาว บนข้อมือขวามีเลือดสดๆ ไหลทะลัก

“เยียนเอ๋อร์!” ชายฉกรรจ์รีบห้ามเลือดให้นาง

“หนึ่งวางยา สองตอบแทนด้วยเลือด เข้าใจแล้วหรือไม่” เท่าทวีก็คืออย่างน้อยหนึ่งเท่า ถูกลอบโจมตีหนึ่งครั้ง อย่างน้อยต้องคืนกลับไปสองครั้ง ห้ามน้อยกว่านี้

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินเหงื่อตก พอท่านตาคิดบัญชีขึ้นมาก็เก็บเรียบทุกเม็ดจริงๆ นางมีฝีมือไม่พออย่างที่คิดไว้ ยังจำต้องเรียนรู้ให้ดีอีกมาก

“ฝีมือใคร?!” ชายฉกรรจ์ถามเสียงพิโรธ

คนในประทุนเรือกลับไม่สนใจเขา มีเพียงพลังปราณขนาดมหึมายิ่งกว่าลอดออกมาจากในประทุนเรือ

ชายฉกรรจ์หน้าเปลี่ยนสี แบกไป่หลี่เยียนและซย่าอวี่ขึ้นแล้วกระโดดออกจากดาดฟ้าเรือก่อนพลังปราณจะมาถึง ล่าถอยไปอยู่บนเรือที่หรูหรางดงามลำนั้น

โม่อีเหรินจับไป่หลี่จิงหงไว้ ก่อนใช้บาทาเงามายาเคลื่อนที่หลบในพริบตา ขณะกลับมาอีกครั้งพลังปราณก็ผ่านไปแล้ว หากแต่พลังปราณสายนี้กลับซัดออกนอกดาดฟ้าเรือไปปะทะกับแม่น้ำอิ้งชวน

เรือหรูลำนั้นลอยถอยหลังไปหนึ่งจั้ง* อย่างหลุดการควบคุมในทันทีเนื่องจากได้รับแรงสะเทือน ส่วนชายฉกรรจ์ที่แบกคนไว้สองคนและคำนวณระยะห่างที่จะตกลงบนเรือไว้เรียบร้อยแล้วกลับหน้าเปลี่ยนสี

ระยะห่างหนึ่งจั้ง แม้จะใกล้มากสำหรับเขา หากแต่ภายใต้สภาพการณ์เยี่ยงนี้กลับไกลยิ่งนัก!

เพื่อที่จะไม่ตกลงน้ำ ชายฉกรรจ์จึงฝืนฮึดรวบรวมแรงกลางอากาศแล้วทะยานตัวขึ้นอีก จนนับว่าตะกายขึ้นเรือมาได้ในที่สุด เขาวางคนทั้งสองลง แต่เนื่องจากเมื่อครู่สูดหายใจรุนแรง ลมปราณในกายชายฉกรรจ์จึงเดือดพล่าน หวิดจะทำให้ตนเองบาดเจ็บภายใน ต้องฝืนกำลังปรับลมหายใจให้ราบรื่น ถึงนับว่าไม่ได้กระอักเลือดออกมา

ผลคือมีคำพูดอีกประโยคดังออกมาจากในประทุนเรือ…

“แค่กระบวนท่าเดียวยังต้านไม่อยู่ เจ้ามีสิทธิ์ถามว่าข้าเป็นใครด้วยหรือ”

“พรูด…” ชายฉกรรจ์กระอักเลือดออกมาในที่สุด

“ท่านอาจ้ง…” ไป่หลี่เยียนตกใจจนสะดุ้ง แม้นางจะยังขยับร่างกายไม่ได้ แต่กลับพูดได้แล้ว สติก็แจ่มชัดแล้วเช่นกัน

พลังวัตรของท่านอาจ้งอีกก้าวเดียวก็จะบรรลุขั้นสูงสุดแล้ว ถึงกับมาเจออุปสรรคขัดขวางในดินแดนเทพยุทธ์ที่มีไอวิเศษน้อยนิดนี้ ซ้ำยังกระอักเลือดด้วย…

หรือว่าที่นี่มีคนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าท่านอาจ้ง

ไม่…นางเบิกตาโพลง นี่เป็นไปไม่ได้

ชายฉกรรจ์ยกมือเช็ดเลือดตรงมุมปากก่อนลุกขึ้นยืน สายตาวาววับเพ่งมองประทุนเรือประหนึ่งว่าต้องการมองให้ทะลุ

“คิดไม่ถึงว่าในดินแดนเทพยุทธ์จะยังสามารถมีคนที่ฝึกบำเพ็ญได้ถึงระดับนี้ด้วย ข้ายอมรับว่าท่านมีพลังแก่นแท้ หากแต่ท่านก็ควรจะดีใจที่บัดนี้ท่านอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์” หากมิใช่พอมาถึงที่นี่ พลังยุทธ์ถูกกดเอาไว้ ชายฉกรรจ์คิดว่าตนเองไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน

“ผู้แพ้คนหนึ่ง ให้การยอมรับโดยไม่เต็มใจ มีค่าด้วยหรือไร” เสียงนี้เยียบเย็นโดยตลอด แม้แต่ตอนที่ลงมือ กลิ่นอายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักกระผีก

มีเพียงโม่อีเหรินที่เข้าใจท่านตาดีถึงรู้ว่าท่านตาไม่เห็นท่านอาของท่านป้าผู้นี้อยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง

หรือพูดอีกอย่างคือถึงจะสำแดงฝีมือ ในสายตาของท่านตาก็มีเพียงคำว่า ‘ยุทธ์’ คำเดียว คู่ต่อสู้ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย

“ท่าน!” ชายฉกรรจ์ถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก “ท่านเป็นใครกันแน่ ต้องการสอดมือยุ่งเรื่องของสกุลไป่หลี่ของพวกข้าหรือ”

ทว่าท่านตาไม่คิดจะเสวนาเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้

“ออกเรือ” ท่านตาออกคำสั่ง เรือก็ออกตัว

โม่อีเหรินจับจูงไป่หลี่จิงหงหมุนตัวทำท่าจะเดินเข้าประทุนเรือ

“หงเอ๋อร์ มารดาเจ้าได้รับบาดเจ็บ เจ้าจะไม่สนใจจริงหรือ” ชายฉกรรจ์เอ่ยถามขึ้น

ไป่หลี่จิงหงหยุดฝีเท้า พลิกมือโยนขวดยาขวดหนึ่งไปทางด้านหลัง

ชายฉกรรจ์รับไว้

“นี่คือยาแก้ อีกอย่าง อย่ามาหวังอะไรจากข้า”

พูดจบไป่หลี่จิงหงกับโม่อีเหรินก็เดินเข้าประทุนเรือ ลำเรือแล่นออกไปเร็วยิ่ง

ชายฉกรรจ์เปิดขวดยาออกทันที หลังดมดูจนแน่ใจว่าไม่มีอันตรายก็ป้อนให้ไป่หลี่เยียนและซย่าอวี่กินลงไป เพียงไม่นานคนทั้งสองก็สามารถขยับเขยื้อนได้แล้ว ชายฉกรรจ์จึงสั่งให้คนออกเรือไล่ตามไปทันที

ทว่าเรือกลับแน่นิ่ง

“เกิดอะไรขึ้น” ชายฉกรรจ์เอ่ยถามคนบังคับเรือเสียงเข้ม

ไป่หลี่เยียนกำลังจับเสากระโดงเรือประคองตัวจ้องมองเรือลำด้านหน้า ได้ยินคำของท่านอาจ้งถึงได้เก็บสายตากลับมา แต่กลับเหลือบเห็นด้านใต้เรือ…

“ท่านอาจ้ง ท่านดูสิเจ้าคะ!”

บนผิวแม่น้ำอิ้งชวนมีระลอกคลื่นเกิดขึ้นตามการพัดของลม แต่ครั้นระลอกคลื่นซัดมาถึงระยะสามฉื่อก่อนถึงเรือ กลับถูกสะท้อนกลับไปประหนึ่งเจอสันทำนบ ส่วนน้ำที่ใต้เรือกลับไม่มีการกระเพื่อมแม้แต่น้อย

ชายฉกรรจ์ก้มลงมอง ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนสีไป

“นี่คือ…รวมพลังปราณเป็นปราการ!” แม้จะไม่ได้ทำให้น้ำในแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง แต่ก็น่าตกใจกว่าน้ำในแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งเสียอีก

บนผิวแม่น้ำหลงเหลือพลังปราณอยู่สายหนึ่ง ขอเพียงพลังปราณไม่สลายไป ไม่เพียงเรือไม่อาจเคลื่อนที่ น้ำในแม่น้ำที่ถูกพลังปราณโอบหุ้มไว้ก็จะนิ่งสนิทราวกับบ่อน้ำนิ่งก็มิปาน

พลังวัตรพรรค์นี้ แม้แต่ตัวของชายฉกรรจ์เองก็ยังไม่กล้าพูดว่าทำได้ หากแต่ดินแดนที่ถูกเขาเห็นเป็นดินแดนระดับต่ำแห่งนี้ถึงกับมีคนทำได้แล้ว

“ท่านอาจ้ง…”

“พวกเรากลับกันก่อน”

“แต่ว่าหงเอ๋อร์…” ไป่หลี่เยียนไม่เต็มใจนัก

“เยียนเอ๋อร์ พลังแก่นแท้ของหงเอ๋อร์สูงส่งกว่าที่เจ้าคาดคิดไว้ กอปรกับมีคนอื่นอยู่ด้วย แค่เจ้ากับข้าไม่อาจพาหงเอ๋อร์กลับไปได้” ยิ่งกว่านั้นยังมียอดฝีมือที่ลึกล้ำไม่อาจหยั่งอยู่อีกคน

คนผู้นี้ยามนี้พวกเขารับมือไม่ไหว ต่อให้สามารถไล่ตามไปได้ก็มีแต่จะถูกซัดจนหมอบสถานเดียว

“เช่นนั้นควรทำอย่างไรเจ้าคะ”

“กลับไปก่อนค่อยว่ากันเถอะ” บางทีเขาอาจจะต้องไปคุยกับไป่หลี่จิ้งหย่วนสักหน่อย

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องพาตัวไป่หลี่จิงหงไปให้ได้

 

บทที่ 6

หลังเข้ามาในประทุนเรือแล้ว โม่อีเหรินก็มายืนอยู่เบื้องหน้าท่านตาอย่างสงบเสงี่ยม

โม่ซั่งเฉินดื่มชาพลางมองหลานสาวของตนเองปราดหนึ่ง “นั่งเถอะ”

“ขอบคุณท่านตาเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินจูงไป่หลี่จิงหงไปนั่งลงไม่ไกล จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านตา วันหน้าข้าจะจำให้ได้ จะไม่คิดบัญชีขาดไปอีกเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

“อืม” โม่ซั่งเฉินพยักหน้า เขาพอใจอย่างมากต่อความกระตือรือร้นในการเรียนของหลานสาวที่ ‘เรียนรู้’ ได้เร็วเสมอมา

ทว่าไป่หลี่จิงหงนั้น…

“สาเหตุที่พวกเขามาคืออะไร เจ้ารู้หรือไม่”

“พวกเขาต้องการพาข้าไปดินแดนแรกนภา”

ก่อนหน้านี้เฮยเหยารายงานเขาแล้ว และความหมายของบิดาเขาก็คือให้เขาตัดสินใจเอาเอง

หากเขาคิดจะไป ไป่หลี่จิ้งหย่วนก็ไม่ได้ขัดขวาง

แต่ถ้าหากไม่ไป ไป่หลี่จิ้งหย่วนก็จะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนบังคับเขา

“เจ้าจะไปหรือไม่” โม่ซั่งเฉินเอ่ยถามอีก

“ไป แต่มิใช่ตอนนี้ขอรับ” ไป่หลี่จิงหงตอบ

“เจ้าไม่ไป พวกเขาก็จะยังมาอีก”

“มาอีกก็จะมีผลลัพธ์เช่นวันนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งเท่านั้นเองขอรับ” ไป่หลี่จิงหงมิได้เก็บสองคนนั้นมาใส่ใจนัก ผู้ที่เขาเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าคือ “อีเหริน เมื่อครู่เจ้าโมโหแล้ว”

วาจานี้ทำให้ความสนใจของทุกคนย้ายไปที่โม่อีเหริน

“หา?” โม่อีเหรินงงงันไปเล็กน้อย

เมื่อครู่? อืม…ถูกต้อง นางพยักหน้า ข้าโมโหจริงๆ

“เขายั่วโทสะเจ้า?”

“สายตาของเขายั่วโทสะข้า” บัดนี้นึกขึ้นมา โม่อีเหรินก็ยังคงโมโหอยู่หน่อยๆ

สายตา? ทุกคนฉงนสนเท่ห์

“ข้าไม่สนใจว่าเขาเป็นใคร และก็ไม่สนใจเช่นกันว่าเขามีฐานะอะไร อย่างไรเขาก็ไม่มีสิทธิ์ใช้สายตาทำนองว่าชาติกำเนิดของข้าต่ำต้อย ไม่คู่ควรกับสกุลไป่หลี่ของพวกเขา เห็นว่าข้าเป็นคางคกอยากกินเนื้อหงส์ มาตัดสินข้า” โม่อีเหรินพูดจบรวดเดียว ซ้ำยังเน้นอีกว่า “จิงหง ข้าไม่ได้อาจเอื้อมตะกายเกาะท่านเสียหน่อย”

“อืม เจ้าไม่ได้ทำ” ไป่หลี่จิงหงพยักหน้า

“ข้าไม่ใส่ใจที่เขาถือดี คิดว่าพวกเขาสูงส่งเหนือใครเสียเต็มประดา แต่การดูถูกชาติกำเนิดของข้าคือการลบหลู่ไปถึงท่านตา หากยังมีครั้งหน้า ข้าจะไม่เกรงใจต่อเขาอีก” โม่อีเหรินกล่าวชัดแจ้งยิ่ง

อันที่จริงด้วยความสัมพันธ์ของนางกับไป่หลี่จิงหงในยามนี้ นางไม่สมควรจะไร้มารยาทต่อมารดาของไป่หลี่จิงหงปานนั้น หากแต่ต่อให้นางรักใครสักคน ก็ไม่มีทางโอบรับทุกอย่างเกี่ยวกับคนผู้นั้นได้โดยไม่มีขีดจำกัด

คนเราอยู่ด้วยกันบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน หากมีใครไม่เกรงใจต่อนาง เช่นนั้นนางก็ไม่ถือสาที่จะทำตัวไร้มารยาทคืนกลับไป นี่คือนิสัยใจคอของนาง และก็เป็นความเอาแต่ใจที่มีมาแต่เกิดเช่นกัน

ด้วยเห็นแก่หน้าของไป่หลี่จิงหง วันนี้นางจึงไม่ได้ลงมือเสียเท่าไร ทว่าการยอมอ่อนข้อให้พรรค์นี้จะมีเพียงครั้งเดียว ไป่หลี่จิงหงจำต้องเข้าใจ นางจะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาดูถูกคนในครอบครัวที่นางให้ความสำคัญเป็นอันขาด

ใครเลยจะรู้ว่าพอไป่หลี่จิงหงได้ฟังกลับเพียงแค่พยักหน้า “คราวหน้าไม่ต้องเกรงใจ”

เอ๊ะ? จิงหงไม่ดิ้นรน ไม่คัดค้านเลยสักนิดหรือ จะอย่างไรท่านป้าผู้นั้นก็เป็น…

พอเห็นสีหน้าประหลาดใจของโม่อีเหริน บนใบหน้าที่หล่อเหลาแต่กลับดูราวกับเป็นภูเขาน้ำแข็งของไป่หลี่จิงหงถึงกับปรากฏรอยยิ้มบางอย่างยิ่งออกมา

“ญาติของข้ามีแค่ท่านพ่อ สตรีของข้า ใครก็ห้ามรังแก” ‘ใคร’ นี้รวมไปถึงทุกๆ คน

“แค่ก”

“แค่กๆ”

“แค่กๆๆๆๆ”

โม่ซั่งเฉิน เฟิงเหยี่ยน และสองพี่น้องสกุลฉู่สำลักไอออกมาพร้อมกัน แปดตาถลึงมองเขา

สตรีของข้า? เขาพูดได้คล่องปากโดยแท้!

ญาติผู้ใหญ่และพี่ชายอย่างพวกเขายังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ พูดถ้อยคำเกี้ยวพาราสีพรรค์นี้ออกมา หากพวกเขาได้รับการอบรมมาแย่หน่อย คงจะเหวี่ยงหมัดชกคนลอยออกไปแล้ว

“บุรุษของข้าก็มิใช่ผู้ที่ใครๆ ก็สามารถรังแกได้เช่นกัน” โม่อีเหรินตบบ่าเขาพลางเอ่ย

“แค่ก”

“แค่กๆ”

“แค่กๆๆๆๆ”

บุรุษทั้งสี่ยามนี้ไอออกมาจริงๆ แล้ว

อะไรนะ บุ…บุรุษของข้า?!

พวกเขาไม่ได้ฟังผิดกระมัง

โม่ซั่งเฉินยังนับว่าแน่วนิ่งพอ ทั้งสองครั้งล้วนไอออกมาแค่ทีเดียว ส่วนสามคนที่เหลือไอจนปอดใกล้จะหลุดออกมาแล้ว ใบหน้าทั้งสามแดงก่ำ

ใคร เป็นใคร! ใครเป็นคนสอนสิ่งไม่ดีให้อีเหรินกันแน่

สาวน้อยผู้หนึ่งพูดคำว่า ‘บุรุษของข้า’ ออกมาได้อย่างไรกัน!

ซ้ำยังเป็นอีเหรินน้อยผู้น่ารักไร้เดียงสา เฉลียวฉลาดเอาใจใส่ อ่อนโยนใจดี งามสง่าไร้ราคีผู้นี้อีกด้วย!

โม่อีเหรินหันหน้ามายิ้มซุกซนให้คนทั้งสี่ ก่อนจะหันไปหาไป่หลี่จิงหง

“จิงหง พวกเขาต้องการพาท่านไปดินแดนแรกนภา น่าจะมีสาเหตุกระมัง”

ไป่หลี่จิงหงเงียบไปชั่วครู่ “บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับสกุลไป่หลี่ที่ดินแดนแรกนภา”

มีต้นกำเนิดเดียวกัน

สกุลไป่หลี่แห่งเกาะหุนสืบทอดต่อกันมานานแล้ว ตามบันทึกสายเลือดในสาแหรกตระกูล พวกเขามาจากสายตรงของตระกูลไม่ผิดแน่

เพียงแต่เวลาที่ผันผ่านมาหลายพันปีและการอยู่คนละแห่งกับดินแดนแรกนภา สายเลือดทางพวกเขาจึงกลายเป็นเหมือนสายที่ระหกระเหินอยู่ข้างนอก

ดินแดนแรกนภากว้างใหญ่ไพศาลกว่าดินแดนเทพยุทธ์มาก ระดับขั้นการฝึกบำเพ็ญก็สูงกว่าในดินแดนเทพยุทธ์ ตามหลักแล้วสกุลไป่หลี่แห่งดินแดนแรกนภาไม่น่าจะพยายามตามหาสายเลือดที่ตกหล่นไปจึงจะถูก

โดยเฉพาะยังเป็นในดินแดนที่อยู่คนละระดับกันด้วย

ทว่าปีที่เขาอายุห้าขวบ มารดาก็คิดจะพาตัวเขาไปแล้ว เวลานั้นเขาเคยได้ยินนางพูดกับบิดาแว่วๆ ว่ามีเพียงกลับไปดินแดนแรกนภา เขาถึงจะมีอนาคตยิ่งใหญ่เกรียงไกรยิ่งกว่า ถึงขนาดสามารถกลายเป็นผู้นำสกุลไป่หลี่ได้เลย…

ตอนนั้นเนื่องจากพลังแก่นแท้ของบิดาเหนือกว่ามารดา มารดาไม่สามารถพาตัวเขาไปได้อย่างที่ต้องการ โทสะและความขุ่นเคืองของมารดาก่อนนางจะจากไป เขายังจำได้ชัดเจน

หลังจากนั้นผ่านมาสิบห้าปี จนบัดนี้มารดามาปรากฏตัวอีกครั้ง ไม่เพียงมาย้ำเรื่องเดิม ยังพาผู้ช่วยมาด้วย นี่เห็นได้ว่านางไม่เคยถอดใจ

แม้ว่าวันนี้จะทำไม่สำเร็จ แต่พวกนางจะต้องไม่รามือแน่นอน ส่วนบิดาก็กลับไม่ส่งข่าวอะไรมาเพิ่ม…

“คงมิใช่ละครตกยุคประเภทวางแผนชิงตำแหน่งประมุขตระกูลหรอกกระมัง” โม่อีเหรินพึมพำกับตนเอง

ท่านตาได้ยินแล้วก็วางถ้วยชาในมือลง ก่อนมองหลานสาวปราดหนึ่ง

ละครตกยุค? การอุปมานี้ไปเรียนมาจากที่ใด

โม่อีเหรินรู้สึกได้ว่าท่านตามองนาง จึงแสร้งทำท่าบริสุทธิ์ไร้ความผิดเหมือนบอกท่านตาว่านางเพียงแต่เดาเท่านั้น

“เฉิน คนของดินแดนแรกนภาน่าจะไม่มากันเยอะกระมัง” เฟิงเหยี่ยนขมวดคิ้ว

ดินแดนเทพยุทธ์เพิ่งจะผ่านการก่อจลาจลจากหอซือมิ่ง เรื่องต่อจากนั้นจนบัดนี้ก็ยังจัดการได้ไม่เสร็จสิ้น หากมีวิกฤตมาเยือนอีกครั้ง ผู้เดือดร้อนก็ล้วนจะเป็นคนที่ไม่มีความสามารถตอบโต้เหล่านั้น

“ต่อให้คนมาเยอะ ดินแดนเทพยุทธ์ก็มิได้ทำด้วยกระดาษ” ไยต้องเป็นกังวล

นี่นับเป็นการปลอบใจกระมัง เฟิงเหยี่ยนหน้าดำทะมึน เฉินช่างไม่มีความเห็นอกเห็นใจหรือไมตรีจิต

เฮ้อ…แต่ว่าถ้าปลอบใจคนเป็น นั่นก็ไม่ใช่โม่ซั่งเฉินแล้ว!

เฟิงเหยี่ยนทำได้เพียงปลอบใจตนเองว่าเคราะห์ดีที่เฉินเพียงแต่พูดจาเย็นชาไปสักหน่อย แต่ยามมีเรื่องจริงๆ เขาก็ไม่มีทางไม่สนใจ

ก็เหมือนเรื่องที่แดนถิ่นอำนวยพร แม้คำสอนของบรรพบุรุษจะบอกว่าห้ามสอดมือยุ่ง แต่เขาก็ยังคงไปที่นั่นเพื่อตน

เฉินเป็นสหายที่ดีผู้หนึ่งอย่างแน่นอน! เฟิงเหยี่ยนกำหมัดคิด

โม่ซั่งเฉินเหลือบตามองเฟิงเหยี่ยนที่สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กำลังเป็นบ้าอะไร

“ท่านตา ระดับขั้นฝึกบำเพ็ญของดินแดนแรกนภาแบ่งอย่างไรขอรับ” ฉู่เซวียนอั๋งถาม

แม้น้องสาวจะปกป้องเข้าข้างไป่หลี่จิงหงเกินไป ทำให้พวกเขาที่เป็นพี่ชายรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่สักหน่อยจริงๆ ทว่าน้องสาวก็คือน้องสาว ยังคงต้องให้การค้ำจุน หากศัตรูในอนาคตของน้องสาวมีระดับขั้นสูงถึงเพียงนั้น เช่นนั้นพวกเขาก็จำต้องพยายามผลักดันตนเองให้ก้าวหน้าขึ้น

แม้ว่าเมื่อครู่จะไม่ได้สำแดงฝีมือและไม่ได้ออกหน้า แต่พี่น้องสกุลฉู่ยังคงได้รับการกระตุ้นเข้าแล้ว

ถึงจะไม่ได้เผชิญหน้า แต่ระดับขั้นยุทธ์ของชายฉกรรจ์ผู้นั้นกับ ‘ท่านป้า’ ผู้นั้นล้วนสูงกว่าพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด ทว่าโม่อีเหรินอยู่ต่อหน้าคนทั้งสองกลับไม่ขลาดกลัวเลยสักนิด

ผู้เป็นพี่ชาย ต่อให้สู้น้องสาวไม่ได้ ก็ไม่อาจแย่กว่ามากเกินไปได้ สองพี่น้องต่างตระหนักในข้อนี้ดี จึงจำต้องพยายามยกระดับพลังแก่นแท้อย่างสุดชีวิต!

หากแต่ก่อนหน้านั้นพวกเขาต้องหาความรู้เพิ่มเติมเสียก่อน

“ดินแดนเทพยุทธ์ ขั้นดิน ขั้นฟ้า ขั้นราชันยุทธ์ ผู้ครองสัตว์วิเศษ ผู้บัญชาสัตว์วิเศษ ราชาสัตว์วิเศษ รอพวกเจ้าฝึกบำเพ็ญถึงขั้นสูงสุดแล้วค่อยมาถามคำถามนี้”

“ขอรับท่านตา” สองพี่น้องกล่าวตอบอย่างนอบน้อมพร้อมกัน

เฟิงเหยี่ยนถอนหายใจคำรบใหญ่ “เฉิน ท่านเข้มงวดยิ่งนัก”

โม่ซั่งเฉินไม่ใส่ใจเขา “การฝึกบำเพ็ญเป็นดั่งการพายเรือทวนน้ำ ไม่คืบหน้าก็ถอยหลัง การฝึกฝนทุกเวลาเป็นสิ่งจำเป็น”

เฟิงเหยี่ยนหมดคำพูด

ก็จริง เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าตัวเฉินเองก็เป็นพวกคลั่งการฝึกบำเพ็ญ ตอนนั้นอายุเพิ่งจะสามสี่สิบปีก็แทบจะเป็นผู้ไร้เทียมทานบนดินแดนเทพยุทธ์แล้ว หากมิใช่ต่อมาถูกคนวางอุบาย ก็คงจะไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไขออกมา

หลังจากนั้นเขาก็ยิ่งมุมานะศึกษาค้นคว้าเรื่องการหลอมโอสถและหลอมประดิษฐ์

สิ่งที่คิดไม่ถึงคือมันทำให้เฉินกลายเป็นปรมาจารย์ผู้ชำนาญทั้งยุทธ์ ทั้งโอสถ ทั้งหลอมประดิษฐ์ในคนเดียว นับแต่นั้นก็ยิ่งไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับเขาแล้ว

เฉินมีชื่อเสียงกระเดื่องในดินแดนเทพยุทธ์ ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง ผลคือเฉินกลับรู้สึกเบื่อหน่าย จึงแล่นออกไปโพ้นทะเล และยังบังเอิญได้พบเกาะโม่เสวียน…

พอคิดถึงตรงนี้ เฟิงเหยี่ยนก็อดจะริษยานิดๆ ไม่ได้

ไฉนเฉินถึงมีสติปัญญาสูงเพียงนี้

ไฉนเฉินถึงโชคดีเพียงนี้

หากเปลี่ยนเป็นเขาออกทะเล ไม่กล่าวถึงว่าสภาพอากาศบนทะเลและสัตว์ทะเลที่จำศีลอยู่นั้นอันตรายมากเพียงไร ลำพังแค่ไม่หลงทางก็ต้องร้องขอให้บรรพบุรุษช่วยคุ้มครองแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องหาเกาะเจอเลย

เปรียบเทียบคนเช่นนี้ทำให้เจ็บใจโดยแท้

“ท่านตา พวกเรากลับเกาะโม่เสวียนกันเถิดเจ้าค่ะ” โม่อีเหรินเอ่ย ดวงตาสุกใสแวววาว

“ไม่เที่ยวต่อแล้วหรือ” โม่ซั่งเฉินยิ้ม

“เอาไว้วันหลัง กลับไปกักตัวก่อน เมื่อครู่นี้ข้าดูเหมือนจะตระหนักรู้อะไรนิดหน่อยเจ้าค่ะ” บางทีบาทาเงามายาของนางอาจจะยังสามารถพัฒนาสูงขึ้นได้อีกขั้น

“ดี” โม่ซั่งเฉินพยักหน้าอย่างพอใจยิ่ง

โม่อีเหรินมองไปยังไป่หลี่จิงหง “จิงหงจะไปด้วยกันหรือไม่”

“ข้าจะไปส่งเจ้า จากนั้นข้าจะกลับเกาะหุน”

ตั้งแต่ออกมาจากเกาะหุน เขาก็ยังไม่ได้กลับไปเลย หยาดน้ำตาเทพยุทธ์ที่อยู่ในตัวบิดาน่าจะสลายไปแล้ว แต่หากต้องการฟื้นพลังยุทธ์กลับมาดังเดิม เกรงว่ายังต้องฝึกบำเพ็ญอีกพักหนึ่ง อีกทั้งคนสกุลไป่หลี่จากดินแดนแรกนภาเดินทางมากี่คน เขาก็จำต้องรู้ให้แน่ชัด

“อ้อ…” โม่อีเหรินผิดหวังอยู่เล็กน้อย แต่ครั้นนึกถึงท่านป้าผู้นั้นก็พอจะเดาได้ว่าไป่หลี่จิงหงกลับไปด้วยเหตุใด “จะมีปัญหายุ่งยากหรือไม่”

“มี” การปรากฏตัวของนางแสดงถึงปัญหายุ่งยากเสมอมา

“เช่นนั้น…ท่านต้องการอะไร”

“ยาลูกกลอนเสริมพลัง ผงแข็งทื่อ”

“ข้าจะหลอมให้ท่านมากหน่อย นอกจากนี้ท่านต้องพกยันต์ส่งตัวไว้ให้ดี ในเวลาจำเป็นก็ถ่ายพลังวิเศษเข้าไปพร้อมกับแปะยันต์ไปที่ตัวของผู้อื่น สามารถทำให้ผู้อื่นไปวิ่งออกกำลังได้เช่นกัน” โม่อีเหรินถ่ายทอดวิธีใช้ใหม่

“…” ที่แท้ยันต์ส่งตัวยังใช้เช่นนี้ได้ด้วย

เพียงแต่ยันต์ส่งตัวแบบไม่กำหนดทิศทางนี้ พอแปะไปบนตัวของผู้อื่น ส่งตัวผู้อื่นออกไปไกลเป็นร้อยๆ ลี้ ไม่แน่ว่าอาจจะไปตกลงสถานที่อย่างหนองน้ำหรือข้างหน้าผาพอดี…สภาพน่าอนาถกว่าเฟิงเหยี่ยนที่ไปติดบนต้นไม้ หลังจากนั้นคนผู้นั้นก็ต้องแยกแยะทิศทาง หาทางกลับมาอย่างลำบากลำบน…เหมือนกับแกล้งคนชัดๆ

“ได้” ไป่หลี่จิงหงพยักหน้าอย่างสุขุมเยือกเย็นยิ่ง

“ท่านเอาเจ้านี่ไป” โม่อีเหรินหยิบป้ายหยกสื่อสารอันหนึ่งออกมา “นี่เป็นของที่ข้าเพิ่งทำ สามารถส่งสารได้ไกลกว่าก้อนหินสื่อสารเดิม ท่านต้องติดต่อกับข้าเป็นประจำ”

“ได้”

“ท่านต้องรีบมาเร็วๆ ข้าจะรอท่านอยู่ที่เกาะโม่เสวียน”

“ได้”

“แล้วก็ต้องฝึกบำเพ็ญให้ดี ต้องระวังจะถูกท่านป้าลอบโจมตี หรือแม้แต่วางยาสลบท่าน…”

โม่อีเหรินคิดพลางพูดพลาง บุรุษทั้งสี่ที่ด้านข้างสบตากันเงียบๆ

“…” จำเป็นต้องอาลัยอาวรณ์กันถึงเพียงนี้ด้วยหรือ

บุรุษทั้งสี่ฟังจนหมดคำจะกล่าว ต่างอ่อนอกอ่อนใจกับโม่อีเหรินยิ่ง

เฮ้อ…นางโตเป็นสาวแล้ว!

ส่วนกับไป่หลี่จิงหง…ถลึงตามอง

เด็กหญิงเป็นสาวแล้วก็จะกลายเป็นคนของบ้านอื่นจริงๆ หากแต่จะโทษใครก็ต้องโทษบุตรชายบ้านอื่น!

เหตุใดบ้านอื่นต้องคลอดบุตรชายออกมาล่อลวงอีเหรินของพวกเขาด้วย

เจ้าไป่หลี่จิ้งหย่วนแห่งเกาะหุนนั่น จำเอาไว้เลย!

สามเดือนให้หลัง เกาะโม่เสวียน

ขอบฟ้าไกลโพ้นค่อยๆ ปรากฏแสงสว่าง ส่องให้ท้องฟ้าอันมืดมิดสว่างขึ้นทีละนิด

บนผิวทะเลสีคราม ไม่ถึงครู่เดียวก็พลอยถูกย้อมด้วยสีทองอมส้มสว่างสดใส

ขณะสุดปลายทะเลค่อยๆ ปรากฏแสงทรงกลมขึ้นดวงหนึ่ง ท้องฟ้าก็ค่อยๆ ถูกระบายด้วยแสงสว่าง

บนเกาะโม่เสวียนยังคงเงียบสงบเช่นเดิม เงียบสงบจนแม้จะอยู่ใจกลางเกาะก็ยังสามารถได้ยินเสียงซ่าๆ จากคลื่นกระทบฝั่ง

ระหว่างที่ท้องฟ้ากำลังจะสว่าง ก็มีเสียงแว่วๆ ดังมาจากใจกลางเกาะ

ในป่าทางด้านขวาของหุบเขาแห่งหนึ่งใกล้ใจกลางเกาะ เสียงขวับๆ ดังต่อเนื่องเสียงแล้วเสียงเล่า ระหว่างนั้นมีเสียงขาดหายไปบางช่วง แต่ยังดังราวกับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

ชายหนุ่มในชุดน้ำเงินผู้หนึ่งจับกระบี่ด้วยสองมือ ออกท่าทางฟันไปข้างหน้าซ้ำๆ ท่าเดียวโดยไม่หยุดหย่อน ทว่าบนใบหน้าของเขากลับไม่มีแววเหนื่อยหน่ายใดๆ และไม่มีแววขอไปทีใดๆ เช่นกัน สีหน้าท่าทีจริงจังตั้งใจ ทุกครั้งที่ออกกระบี่ ทุกการเคลื่อนไหว ล้วนแต่มุ่งสมาธิจดจ่อ มิได้ยั้งแรงแม้แต่น้อยนิด

ร่องรอยจากการกวัดแกว่งกระบี่ฟันกลางอากาศคล้ายว่ากำหนดไว้เรียบร้อยแต่เดิม เส้นโค้ง กำลัง ความเร็วที่กรีดออกมากลางอากาศในทุกครั้งแทบจะมองไม่เห็นความแตกต่างใดๆ

ชายหนุ่มเคลื่อนไหวซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งครบพันครั้งถึงได้หยุดลง

จากนั้นเขาก็เปลี่ยนท่า แล้วทำซ้ำอีกพันครั้ง…

เช้าตรู่ของทุกวันเขาล้วนฝึกเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา ไม่งดเว้นแม้แต่วันที่มีลมพายุฝนฟ้าคะนอง

 

ส่วนทางฝั่งซ้ายของหุบเขา ชายหนุ่มในชุดสีเหลืองผู้หนึ่งกำลังนั่งตัวตรงอยู่กลางป่า สัตว์วิเศษที่มีลักษณะเหมือนสุนัขหรือแมวซึ่งร่างกายมีขนาดราวมนุษย์วัยผู้ใหญ่ตัวหนึ่งก็หมอบอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ไม่ไกล

ขณะที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ดูดซับไอวิเศษ มือโคจรพลัง หายใจเข้าออก กลิ่นอายทรงพลังบนตัวเปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์และกล้าแกร่ง สัตว์วิเศษเองก็หายใจตามจังหวะนั้นไปด้วย

ตรงกลางระหว่างชายหนุ่มกับสัตว์วิเศษมีไอวิเศษก่อตัวหมุนเวียนอย่างอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความเข้มข้น

แม้การหมุนเวียนนี้จะมองไม่เห็นด้วยตา แต่ผู้มีสัมผัสเฉียบแหลมย่อมสามารถรู้สึกได้ว่าการไหลเวียนของไอวิเศษในป่าต่างไปจากเดิมเล็กน้อย

ไอวิเศษที่ถูกดูดซับมาโคจรหมุนวนภายในกายของชายหนุ่มและสัตว์วิเศษ ก่อนจะจมเข้าจุดตันเถียน* ส่วนที่ไม่อาจดูดซับได้ก็ลอดออกมานอกกาย ไปรวมกับไอวิเศษที่ดูดซับมา แล้วก่อตัววนเวียนอยู่ระหว่างคนกับสัตว์ หมุนวน บีบอัด ดูดซับเช่นนี้ไม่หยุด จนกระทั่งครบจำนวนรอบในที่สุด

ครั้นไอวิเศษภายในกายรวมตัวกันจนถึงจุดวิกฤตของความจุ เดิมทีชายหนุ่มคิดจะฝ่าทะลวงขึ้นไปในรวดเดียว แต่ก็รู้สึกได้ถึงความไม่พร้อมชนิดหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก เขาจึงได้หยุดความคิดและค่อยๆ เก็บกระบวนท่าลง

สัตว์วิเศษลืมตาขึ้นก่อน ขนของมันมีสีดำมันขลับทั่วทั้งตัว นัยน์ตาสีดำขลับทั้งสองข้างดูสดใสมีชีวิตชีวา มันดีดตัวที่เดิมทีหมอบอยู่ขึ้นมา จากนั้นกระโจนใส่ชายหนุ่ม

“เปลวอัคคี” ชายหนุ่มแย้มยิ้ม เอื้อมมือรับสัตว์ตัวน้อยที่แปลงร่างกลางอากาศ หดตัวจากขนาดเท่ามนุษย์ผู้ใหญ่จนเหลือเท่าลูกสุนัขไว้

“โฮ่ว!” สองตาดำขลับของสัตว์ตัวน้อยมีความเป็นห่วงเขียนอยู่เต็ม เมื่อครู่ขณะเก็บกระบวนท่า มันรู้สึกได้ชัดเจนว่าลมหายใจของเจ้านายไม่ค่อยสม่ำเสมอ

“ไม่เป็นไร เพียงแต่รู้สึกเหมือนว่าขาดอะไรไป จึงไม่อาจฝ่าทะลวงขึ้นไปได้” ชายหนุ่มลูบหลังมัน

“การฝ่าทะลวงเลื่อนขั้นไม่อาจใจเร็วได้ ถ้าไอวิเศษดูดซับเพียงพอแล้ว นั่นก็หมายความว่าสภาพจิตใจหรือโอกาสยังไม่ถึงพร้อม” เสียงพูดเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นทางด้านหลังชายหนุ่ม

“อาจารย์” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน

“ไม่ต้องร้อนใจไป ฝึกไปตามลำดับเหมือนทุกวัน บีบอัดไอวิเศษภายในกายของตนเองไปเรื่อยๆ และกลั่นเอาความบริสุทธิ์ออกมา เวลาที่เหลือก็อย่าละเลยทักษะวิเศษ ตำราหลอมประดิษฐ์ที่เฉินมอบให้เจ้า มีเวลาว่างเจ้าก็พยายามศึกษาดู” เฟิงเหยี่ยนกล่าว

ไม่ว่าจะศึกษาการหลอมประดิษฐ์หรือการหลอมโอสถ หากสามารถควบคุมเชื้อไฟได้ก็เป็นเรื่องดี

สัตว์วิเศษของฉีเอ๋อร์…เปลวอัคคีก็เป็นสัตว์วิเศษธาตุไฟอยู่แต่เดิม จึงเท่ากับว่าฉีเอ๋อร์มีเปลวเพลิงแห่งชีวิตด้วย หากยืมคำพูดของเฉินมาใช้ นั่นคือมีคุณสมบัติเช่นนี้ ไม่ศึกษาการหลอมประดิษฐ์ก็เป็นการเสียของ มิหนำซ้ำฉีเอ๋อร์ก็มีนิสัยค่อนข้างมีน้ำอดน้ำทน เหมาะกับการเรียนยิ่ง

ส่วนว่าเหตุใดถึงไม่เรียนการหลอมโอสถ ตามคำพูดของเฉิน นิสัยของฉู่เซวียนฉีเหมาะกับการหลอมประดิษฐ์มากกว่า

อ้างอิงจากอะไร สัญชาตญาณ?

คำคำนี้…เฟิงเหยี่ยนได้ยินแล้วก็หวิดจะพ่นข้าวออกมา

ทว่าความเป็นจริงในเวลาต่อมาได้พิสูจน์แล้วว่าหลังจากฉู่เซวียนฉีได้ลองสัมผัสกับการหลอมโอสถและการหลอมประดิษฐ์ เขาก็สนใจด้านการหลอมประดิษฐ์มากกว่าและเรียนรู้ได้ดีกว่าจริงๆ

ด้วยเหตุนี้เฟิงเหยี่ยนจึงจำต้องยอมรับว่า ‘สัญชาตญาณ’ ของเฉินนั้น…แม่นยำจริงๆ

พอคิดถึงตรงนี้เฟิงเหยี่ยนก็ร้องเรียกเปลวอัคคีออกมา ก่อนเริ่มประมือกับลูกศิษย์ของตนเองเพื่อพัฒนาทักษะวิเศษ นี่เป็นการฝึกฝนที่เฟิงเหยี่ยนต้องทำกับลูกศิษย์ทุกวันหลังจากมาถึงเกาะโม่เสวียน

การจะยกระดับพลังแก่นแท้ ไม่มีวิธีที่ดีไปกว่าการต่อสู้จริงแล้ว

 

ในเวลาเดียวกัน ริมทะเลทางด้านใต้ของเกาะโม่เสวียน

เมื่อแสงสว่างน้อยๆ ตรงขอบฟ้าสาดส่องมาถึงบนชายฝั่งเกาะ ก็ทำให้เห็นเงาน้อยใหญ่หลากหลายรูปร่างลักษณะแน่นขนัดอยู่ริมชายฝั่ง

สัตว์วิเศษนับไม่ถ้วนทั้งที่บินบนฟ้า ทั้งที่วิ่งบนดิน ทั้งที่ว่ายในน้ำ ตั้งแต่ใหญ่ขนาดหมียักษ์ นกยักษ์ วาฬ ไปจนถึงเล็กขนาดหนู นกกระจอก ปลาตัวน้อย ต่างมาล้อมวงชุมนุมกันอย่างพร้อมพรัก

บางตัวหมอบอยู่ริมชายฝั่ง บางตัวนอนอยู่บนหาดทราย และบางตัวก็ยืนอยู่บนต้นไม้ไม่ไกล

ล้อมหาดทรายแห่งนี้เอาไว้เป็นชั้นๆ จนไม่มีช่องว่าง

ตรงใจกลางวงล้อมของพวกมันมีสาวน้อยโฉมงามผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กับสัตว์วิเศษสองตัว

สาวน้อยนั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่ง สองฝั่งกายมีหมาป่ายักษ์สีเงินตัวหนึ่งกับเสือขาวขนาดราวครึ่งตัวคนอีกตัวหมอบอยู่ ท่าทางเหมือนกำลังพิทักษ์อารักขา ไม่อนุญาตให้คนหรือสัตว์หน้าไหนเข้ามาใกล้แม้แต่ก้าวเดียว ด้วยเหตุนี้บรรดาสัตว์ทั้งหมดจึงทำได้เพียงล้อมรอบพวกนางวนไปเป็นชั้นๆ

มองดูแวบแรก สัตว์เหล่านี้ดูคล้ายกำลังนอนหลับ แต่เมื่อมองดูดีๆ ก็จะพบว่าพวกมันแต่ละตัวอยู่ในท่าทางเหมือนนอนหลับ แต่ดวงตากลับล้วนเบิกโตยิ่ง!

แต่ละตัวกำลังสังเกตความเคลื่อนไหวของสาวน้อยด้วยสายตาแวววาว

ครั้นดวงตาของสาวน้อยลืมขึ้น สัตว์ทั้งหมดรวมถึงสองตัวที่เฝ้าอยู่ข้างกายนางต่างก็ดีดตัวขึ้นมา

ชั่วพริบตาถัดมาสาวน้อยก็หายตัวไป

“โฮก…”

“มอ…”

“จี๊ด…”

“จิ๊บ…”

“เวิง…”

ชายฝั่งทางใต้ของเกาะโม่เสวียนมีเสียงร้องของสัตว์ต่างๆ ดังขึ้นมาทันที ความสะเทือนเลื่อนลั่นสามารถเทียบได้กับแผ่นดินไหวหลายระลอก

ทุกครั้งในเวลาเช่นนี้ชายหนุ่มทั้งสองที่แยกกันฝึกบำเพ็ญอยู่ในป่าสองแห่งใจกลางเกาะจะล้วนเกือบฝึกลมหายใจพลาดไปชั่วขณะ

เรือนเล็กในหุบเขาจะพลันมีคำพูดดังออกมาสามสี่คำ

“แน่วนิ่งไม่พอ”

เสียงนี้ฟังดูไม่ดังและก็ไม่เข้มงวด ทว่ากลับคล้ายเคาะตีอยู่ในหูของเขา แต่ละคำล้วนสะท้านไปถึงจิตใจ

ชายหนุ่มทั้งสองเหงื่อตกในทันที อีกทั้งร้อนตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ

ก็ได้ พวกเขาแน่วนิ่งไม่พอจริงๆ เสียงเช่นนี้ได้ยินทุกวันมาตลอดสามเดือน แต่พวกเขาก็ยังคงถูกสั่นประสาทอยู่ทุกวัน สมควรทบทวนตนเองจริงๆ

ชายหนุ่มทั้งสองปรับสีหน้า ระงับจิตใจที่สั่นสะท้านลงทันที ที่แกว่งกระบี่ก็แกว่งกระบี่ ที่ออกกระบวนท่าก็ออกกระบวนท่า ทำการฝึกฝนของตนเองต่อไป

 

ทางด้านชายฝั่งทิศใต้ของเกาะโม่เสวียน เหล่าสัตว์ที่เมื่อครู่ยังล้อมวงกันอย่างเป็นระเบียบบัดนี้แต่ละตัวกระตุ้นตนเองให้กระฉับกระเฉง ทั้งบนท้องฟ้า ในน้ำ บนหาดทราย ต่างมองกันไปมา หูตาคอยระแวดระวัง

ทันใดนั้นที่กลางอากาศสูงจากพื้นดินห้าจั้งก็มี ‘รอยเท้า’ ปรากฏขึ้น

“เซี่ยว…” อินทรีดำตัวหนึ่งกางปีกโผบินไปหารอยเท้านั้น

กลางท้องฟ้าสูง เงาร่างของสาวน้อยที่ยังไม่ปรากฏให้เห็นเต็มที่นั้นกลับเลือนหายวับไปอีกครั้งในก้าวถัดมา

อินทรีดำโผมาไม่เจอคนก็รีบหยุดตนเองเป็นการด่วน เพราะหากบินต่อไปอีกก็จะชนฝูงนางแอ่นแล้ว

ชั่วพริบตาถัดมาบนหาดทรายก็มีรอยเท้าปรากฏวนเวียนอีกครั้ง

“มอ…”

“จี๊ด…”

“โฮก…”

ฝูงสัตว์วิเศษแสนทระนงองอาจบนดินแดนทั้งขนาดเล็กกลางใหญ่พากันพุ่งตัวไปพร้อมกัน!

“ฮ่าๆ” สาวน้อยหัวเราะเบาๆ พลางสะกิดปลายเท้าหนึ่งที ร่างที่ปรากฏให้เห็นครึ่งหนึ่งก็ลอยขึ้นสูงในทันใด

“จือ…”

“จิ๊บๆๆ…”

กระเรียนเพลิงฝูงหนึ่งพ่นไฟขึ้นฟ้า ฝูงนกกระจอกอีกฝูงโผบินขึ้นไป

สาวน้อยไม่ได้หายตัวไปอีก แต่กลับย่างก้าวออกไปก้าวหนึ่ง พริบตาเดียวก็ลงไปอยู่บนผิวทะเลห่างออกไปยี่สิบจั้ง

“เวิง…”

“มอ…”

วาฬ แมวน้ำ หมึกสาย และปลาน้อยใหญ่นานาชนิดที่เฝ้าเตรียมพร้อมอยู่ในทะเลพากันพุ่งตัวไป แล้วพ่นน้ำ พ่นน้ำแข็ง พ่นน้ำหมึกออกมาทันที

ทว่าร่างสาวน้อยกลับจมลงในน้ำทะเล ทำให้น้ำเอยน้ำแข็งเอยน้ำหมึกเอยเหล่านั้นโจมตีเจอแต่อากาศ

เหล่าฉลามและแมงกะพรุนที่ซุ่มอยู่ในน้ำจึงเข้ามาล้อมทันที

สาวน้อยกระตุกมุมปาก แค่นึกคิดก็เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว

ในทะเลอันมืดสลัว แม้ร่างของสาวน้อยจะไม่อาจเลือนหายไปได้โดยสมบูรณ์ แต่ท่ามกลางการเคลื่อนที่ที่ดูเหมือนช้า หลังจากบรรดาปลาน้อยใหญ่พุ่งไปเจอแต่ความว่างเปล่า ถึงได้รู้ว่านั่นเป็นเงาที่ค้างอยู่หลังจากตัวจริงเคลื่อนที่ไปแล้วเท่านั้น

สาวน้อยผลุบตัวหลบการโผกระโจนเข้าหาของเหล่าสัตว์น้ำ พร้อมกับดำจมลงเบื้องล่างด้วยความเร็วที่ดูเหมือนช้า แต่อันที่จริงรวดเร็วยิ่ง

ครั้นมาถึงก้นทะเลแสงก็ยิ่งมืดลง แต่นี่หาได้เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นของสาวน้อยไม่ ขณะเดียวกันเพื่อความปลอดภัย นางจึงใช้ญาณวิเศษตรึงไว้ในระยะหนึ่งร้อยลี้โดยรอบ

ก้นทะเลลึก แม้จะมีกระแสใต้น้ำที่ไม่อาจคาดคะเนและมีความดันน้ำมาก แต่สำหรับสาวน้อยแล้ว มีญาณวิเศษคอยสำรวจ มีพลังยุทธ์คอยเป็นฐาน ก้นทะเลก็มิได้นับว่าเป็นสถานที่อันตรายเสียเท่าไร

อยู่ก้นทะเลนางก็ยังเคลื่อนที่ได้เร็วยิ่ง แต่เนื่องจากน้ำ ทำให้ความเร็วยังคงช้ากว่ายามอยู่บนพื้นดินไปบ้าง ทว่ายามนี้นางกลับเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าที่ผ่านมาหลายเท่า

ทดลองมาถึงตรงนี้ นางก็นึกขึ้นได้ว่าในม้วนไผ่หยกที่อยู่ในแหวนพู่สวรรค์มีบันทึกเคล็ดวิชาเคลื่อนที่ในน้ำไว้สองสามวิธี นางจึงลองดูแล้วก็พบว่าเคล็ดวิชาหนึ่งในนั้นสามารถทำให้คนเดินใต้ท้องน้ำได้เหมือนกับบนพื้นดิน มีเคล็ดวิชานี้มาใช้ประกอบ ความเร็วในการเคลื่อนที่ในน้ำของนางก็เพิ่มสูงขึ้นอีกในชั่วพริบตา

ฝูงสัตว์วิเศษก้นทะเลที่วิ่งไล่ตามถูกนางสลัดทิ้งไปไกลลิบลับ

เมื่อฝึกบาทาเงามายาได้ถึงระดับสูง แล้วมาใช้ร่วมกับความผันผวนของพื้นที่ว่างที่นางเข้าใจ ไม่ต้องเพิ่มความเร็วฝีเท้า นางก็ยังสามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลกว่าเดิมอย่างน้อยสองสามเท่าแล้ว

เดิมทีนางนึกว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวในพริบตา ทว่าขณะเปิดผ่านคำแนะนำเคล็ดวิชาในม้วนไผ่หยก กลับค้นพบว่าลักษณะเช่นนี้ใช้คำว่า ‘ย่อระยะทาง’ มาบรรยายจะเหมาะสมกว่า

และการจะบรรลุระดับเคลื่อนที่ในพริบตาของแท้ให้ได้นั้นก็ไม่ยาก นั่นคือเคล็ดวิชาฮุ่นตุ้นของนางต้องเลื่อนขั้นเสียก่อน

เนื่องจากอยู่ก้นทะเล และมีเคล็ดวิชาเคลื่อนที่ในน้ำ นางจึงตระหนักรู้เคล็ดสำคัญในการเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ตนเองเคลื่อนไหวใต้น้ำได้เหมือนยามอยู่บนพื้นดิน ไม่มีอุปสรรคโดยสิ้นเชิง

หากกล่าวจากระดับการฝึกบำเพ็ญ ต่อให้คนในดินแดนเทพยุทธ์มีความเร็วมากเพียงไร ก็เป็นไปไม่ค่อยได้ที่จะสามารถย่อระยะทางได้ หากแต่บัดนี้แม้จะย่อได้ไกลที่สุดเพียงห้าสิบลี้ แต่ก็นับว่านางทำได้แล้ว

นี่เป็นเพราะอะไรกัน แล้วไหนจะเรื่องสาเหตุที่ดินแดนเทพยุทธ์ถูกจำกัดพลังยุทธ์ ปัญหาความเข้มข้นของไอวิเศษ ความขาดแคลนเคล็ดวิชาฝึกบำเพ็ญ…

สาวน้อยหรือก็คือโม่อีเหรินพลันรู้สึกว่าโลกประหลาดใบนี้มีปริศนามากมายจริงๆ

แม้จะรู้สึกว่าไม่เข้าใจ แต่นางก็มิได้วุ่นวายใจ ท่านตาเคยบอกว่าเรื่องมากมายเมื่อฝึกฝนตนเองจนได้ระดับแล้วหรือถึงเวลาแล้วย่อมจะรู้เอง ปริศนาลี้ลับมหัศจรรย์เหล่านี้ค่อยมาคิดตอนที่ได้รู้แล้วก็ได้ ตอนนี้ไม่ต้องรีบร้อนทรมานสมองของตนเอง

ไม่อาจไม่กล่าวว่าวิธีการอบรมสั่งสอนของโม่ซั่งเฉิน แรกได้ยินอาจจะดูไม่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้สอนจนได้หลานสาวจอมดันทุรังออกมา นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าเฉลิมฉลองแล้ว!

โม่อีเหรินคิดฟุ้งซ่านพลางเคลื่อนที่อย่างเรื่อยเปื่อยอยู่ที่ก้นทะเล จนกระทั่ง…

“ท่านแม่!” เสี่ยวทุนที่พันอยู่บนข้อมือนางพลันเอ่ยปากขึ้นมาแล้ว

“หืม?”

“ท่านแม่ ตรงนั้น ไปตรงนั้น!” เสี่ยวทุนเร่ง สัญชาตญาณตามธรรมชาติทำให้เสี่ยวทุนรู้สึกว่าตรงนั้น ‘มีสิ่งประหลาด’

“ได้” โม่อีเหรินยกมือลูบเสี่ยวทุนที่มีท่าทีเร่งร้อน ทางหนึ่งก็ย่างก้าวใหญ่หลายก้าวไปตามทิศทางที่เสี่ยวทุนบอกอย่างว่องไว จนมาถึงจุดที่ห่างจากที่เดิมร้อยจั้ง

ความลึกตรงนี้ลึกกว่าตำแหน่งเดิมที่โม่อีเหรินอยู่เมื่อครู่นี้อยู่บ้าง รอบข้างมีกระแสใต้น้ำเล็กๆ อยู่จำนวนหนึ่ง

กระแสใต้น้ำเหล่านี้ไม่นับว่าใหญ่ พลังทำลายล้างก็ไม่รุนแรง แต่กลับคล้ายว่ามีแรงดึงดูดที่อธิบายไม่ได้และความปั่นป่วนที่ไม่มีเสียงอยู่ด้วย

ความปั่นป่วนเหล่านี้แทรกผ่านน้ำทะเลมาส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดโดยตรง

หากสัตว์วิเศษที่อาศัยในทะเลตัวอื่นๆ มาตรงนี้ ประสาทสัมผัสต่างๆ จะได้รับผลกระทบจากกระแสใต้น้ำจนเกิดการสับสนได้ง่ายยิ่ง

โม่อีเหรินเองก็ได้รับผลกระทบอยู่บ้างอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ทว่านางก็จัดวางไอวิเศษไว้รอบตัวเป็นปราการขวางกั้นและพิทักษ์ป้องกันอยู่นอกชุดปีกสวรรค์ด้วยความชำนิชำนาญทันที นางเดินช้าๆ ไปตามทิศทางที่เสี่ยวทุนชี้ จากนั้นก็หยุดลง

ตรงด้านหน้าเท้ามีหอยกาบเรียงทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ สุดลูกหูลูกตา

“ฟ่อ…” เสี่ยวทุนส่งเสียงประหลาดออกมา

เป๊าะ!

เป๊าะๆ!

เป๊าะๆๆๆๆ…

เสียงหอยกาบอ้าฝา หลังจากเสียงแรก ก็มีตามมาอีกอย่างต่อเนื่องเป็นระลอก

เนื่องจากความเคลื่อนไหวที่หอยกาบอ้าฝาออก ก้นทะเลจึงเกิดระลอกคลื่นเล็กๆ เป็นวงกระจายออกมาไม่ขาดสาย ก้นทะเลอันมืดมัวก็พลอยสว่างขึ้นทีละนิดๆ ตามไปด้วย

โม่อีเหรินมองดูดีๆ สิ่งที่สว่างขึ้นมานั้นมิใช่แสงสว่าง มิใช่สิ่งประหลาด แต่เป็นบรรดาไข่มุกหลากสีสันกำลังส่องประกาย

“งดงามเหลือเกิน” สาวน้อยแย้มยิ้มพลางส่งเสียงชื่นชมอย่างอดไม่อยู่

ของที่มีไอวิเศษแฝงอยู่เหล่านี้ล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น บันทึกเรื่องประโยชน์ใช้สอยของไข่มุกและยาลูกกลอนที่สามารถใช้ไข่มุกทำขึ้นได้ลอยผ่านห้วงสมองของสาวน้อยในทันที ทำให้นางยิ้มตาหยีด้วยความเบิกบานใจ

เสี่ยวทุนส่งเสียงฟ่อๆ อีกสองที ไข่มุกแต่ละเม็ดก็ลอยมาหานางเองในทันใด

โม่อีเหรินยื่นมือออกไปก่อนจะนึกคิด ไข่มุกเป็นพันๆ เม็ดก็ถูกนางเก็บเข้าไปแช่ไว้ในน้ำพุวิเศษข้างในแหวนพู่สวรรค์ ด้านข้างน้ำพุวิเศษยังมีหินผิวอ่อนก้อนใหญ่อยู่ด้วยก้อนหนึ่ง เป็นของที่นางได้มาก่อนหน้านี้ แล้วยังไม่มีความคิดจะทำอะไรกับมันจึงวางไว้เยี่ยงนี้ก่อน

เหล่าหอยกาบเสียไข่มุกไปก็หม่นประกายลงทันควัน แม้แต่ไอวิเศษก็หายไปไม่น้อย

โม่อีเหรินขยับข้อมืออีกครั้ง ยาลูกกลอนเสริมพลังหลายขวดถูกเปิดออก ยาลูกกลอนหลายพันเม็ดพุ่งไปที่หอยกาบตัวละเม็ด ตัวใดได้รับยาลูกกลอนแล้วก็จะงับฝาลงด้วยความพอใจ ตัวหอยกาบขยับไหวส่งความขอบคุณมาให้ จากนั้นก็ต่างมุดลงไปในชั้นทรายก้นทะเล เพียงไม่นานก็ไม่เห็นตัวแล้ว

หลังหอยกาบตัวน้อยเหล่านี้หายไป โม่อีเหรินถึงได้พบว่าข้างใต้หอยกาบน้อยหลายพันตัวนั้นที่แท้ยังมีหอยกาบอยู่อีกตัว

มิหนำซ้ำยัง ‘ตัวใหญ่มากด้วย’

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 21

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: