บทนำ
เกิดเป็นคนธรรมดา แค่ได้เป็นสัตวแพทย์ที่มีปณิธานของตัวเองอยู่บ้าง มีอิสรเสรี ไม่ต้องแคร์สีหน้าผู้คน คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะถูกดึงเข้าไปในเรื่องสายลับระดับประเทศ แล้วยังถูกสายลับจากหลายประเทศห้อมล้อมไว้…สถานการณ์อย่างนี้เกินจริงไปไหม
โม่อีอยากแหงนหน้าถามพระเจ้าเหลือเกินว่าท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า!
แต่ปัญหาคือถึงตอนนี้จะแหงนหน้าก็มองไม่เห็นพระเจ้า เพราะพวกเขาทั้งหมดอยู่ในส่วนลับของยอดเขาลูกหนึ่งทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในถ้ำไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน มีแค่แสงสว่างจากดวงไฟไม่กี่ดวง พระเจ้าก็ถูกกันอยู่นอกถ้ำโดยสิ้นเชิง
‘คุณโม่ ถ้าคุณยอมมาประเทศ A แล้วมอบของสิ่งนั้นให้กับประเทศเรา ประเทศเราจะต้องให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติในราคาสูงลิบลิ่วครับ’ สายลับประเทศ A เอ่ยปากพูดก่อนอย่างมีมารยาทมาก
‘คุณหมอโม่ เกิดเป็นคนประเทศ C ควรอุทิศตนรับใช้ประเทศชาติของตนอย่างสุดความสามารถ ของสิ่งนั้นเป็นของประเทศ C ครับ’ สายลับประเทศ C กล่าวขึ้นอย่างเด็ดขาด
‘คุณโม่ ประเทศ I เคารพในการตัดสินใจของคุณ ถ้าคุณโม่ยอมช่วยเหลือ นำของสิ่งนั้นมายังประเทศ I พวกเรายินดีจะมอบอภิสิทธิ์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ ขอเพียงคุณโม่พูดมาประโยคเดียว ประเทศ I จะพยายามทำอย่างสุดความสามารถครับ’ สายลับประเทศ I กล่าวพลางยิ้มบางๆ อย่างเป็นสุภาพบุรุษ แฝงด้วยน้ำเสียงที่ฟังดู…โรแมนติกยิ่ง
‘คุณโม่งดงามตราตรึง เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ถ้าอยากไปเที่ยวที่ฮวาตู ต้องให้ผมเดินทางไปด้วย ผมยินดีเป็นอัศวินที่จงรักภักดีที่สุดครับ’ สายลับคนนี้มาปฏิบัติภารกิจหรือมาชวนคุยกันแน่
‘คุณโม่…’
‘คุณโม่…’
พอที! ลองนับดู คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีสายลับจากเกือบสิบประเทศ นอกจากเธอที่ตัวคนเดียวแล้ว คนอื่นจะมีเพื่อนอีกคนมาด้วยเป็นอย่างน้อย
เฮ้อ…ที่จริงจะพูดว่าเธอตัวคนเดียวก็ไม่ถูก ถ้าหากจะดึงใครเข้ามาเป็นเพื่อนให้ได้ ‘สัตว์ตัวใหญ่มหึมา’ ด้านหลังนางก็น่าจะนับเป็นเพื่อนได้อยู่
โม่อีเป็นเด็กกำพร้า ตอนยังเป็นทารกก็ถูกนำมาทิ้งไว้หน้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเสียแล้ว ก่อนจะพบว่าตัวเองฟังสัตว์ทั้งหลายเข้าใจมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอไม่ได้บอกใคร ในช่วงที่เธอยังตัวเล็กอ่อนแอและโดดเดี่ยว สัตว์ทั้งหลายก็คือเพื่อนสนิทและเพื่อนเล่นของเธอ ด้วยเหตุนี้เธอจึงใฝ่ฝันอยากเป็นสัตวแพทย์
ต่อมาเธอก็กลายเป็นสัตวแพทย์จริงๆ ขณะรักษาก็จะได้เปรียบกว่าคนอื่นมากเพราะสามารถฟังสัตว์ทั้งหลายเข้าใจ ทำให้เธอจึงนับว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้างเล็กน้อย และแน่นอนว่าก็จะต้องหาเงินได้มากกว่าสัตวแพทย์คนอื่นอยู่บ้างด้วย
ทว่าโม่อีไม่สนใจการใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ในวันหยุดเธอก็มักจะไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ดื่มด่ำชีวิตและชื่นชมทัศนียภาพที่แตกต่างกัน ใครจะรู้ว่าการท่องเที่ยวคนเดียวในครั้งนี้ เมื่อมาถึงด้านข้างภูเขา เธอดันบังเอิญได้ยินเสียงคล้ายขอความช่วยเหลือ จึงตามหาเสียงนั้นไปอย่างอยากรู้อยากเห็น ผลที่ตามมาคือเธอเข้าไปสู่ถ้ำแห่งหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ พอเข้าไปก็ได้กลิ่นเหม็นสาบชนิดหนึ่ง คล้ายกับเป็นที่ควบคุมสัตว์บางชนิดโดยเฉพาะ ยังมี…
งูเขียวยักษ์ขนาดมหึมา ลำตัวหนากว่าหนึ่งเมตร ความยาวสุดจะประมาณได้ มันยึดครองถ้ำที่มีความสูงกว่าตึกสามชั้นแห่งนี้ไว้
บนหัวงูเขียวยักษ์มีลวดลายที่ไม่เหมือนใคร ดูแล้วรู้สึกถึงกลิ่นอายโบราณอย่างมาก ถ้ามองผ่านๆ จากที่ไกลๆ จะเหมือนตัวอักษร ‘หวัง’ ลมหายใจของมันรวยริน บนลำตัวมีบาดแผลและร่องรอยถูกเฆี่ยนตีมากมาย แต่ลูกตาสีทองแวววาวที่มองมาที่เธอแฝงไปด้วยความเฉลียวฉลาด ราวกับไม่สนใจสักนิดว่าชีวิตตนเองใกล้จะถึงวาระสุดท้าย
เธอไม่มีเจตนาร้ายต่อมันแม้แต่น้อย ไม่ได้รู้สึกเป็นปฏิปักษ์เพราะเป็นสัตว์ต่างสายพันธุ์ เพียงแต่มองด้วยความห่วงใยและเท่าเทียม
จิตใจเธอสงบอ่อนโยน ทำให้งูเขียวยักษ์รู้สึกเป็นกันเองขึ้น
“เธอ…ไม่เป็นไรใช่ไหม” แม้โม่อีจะรักสัตว์ แต่ก็รู้สึกกลัวสัตว์ขนาดใหญ่อย่างนี้อยู่บ้าง เธอไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้มาก เพียงแต่ถามอย่างเป็นกังวล
“รีบไปเถอะ ที่นี่อันตรายมาก”
ใครจะคิดว่างูเขียวยักษ์จะเตือนเธอ
ความหวาดกลัวเล็กๆ ในใจแทบจะดับมอดไปในทันที โม่อีเดินไปข้างหน้าช้าๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันช่วยอะไรได้บ้างไหม”
“ไม่กลัวข้าหรือ”
“ไม่กลัว” โม่อีพูดพลางเดินไปด้านหน้ามัน ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือออกไปลูบเกล็ดเย็นยะเยือกอย่างเบามือ
เธอรู้สึกว่าลมหายใจของงูเขียวยักษ์ตัวนี้อ่อนแรงลงทุกที เพียงมันขยับตัว เลือดก็จะไหลออกมาไม่หยุด
งูเขียวยักษ์ไม่เอ่ยอะไรอีก กลับอ้าปากกว้างในทันใด ฟันแหลมคมกรีดแขนเธอเป็นรอยแผลผ่านแขนเสื้อยาว ต่อมามันก็สำรอกเอาไข่มุกเขียวกลมมนเม็ดหนึ่งออกมา พอไข่มุกเขียวสัมผัสเลือดก็ส่องแสงเจิดจ้าบาดตาและซึมหายเข้าไปในร่างกายของโม่อี…
‘เลือดเป็นตัวนำ จิตวิญญาณคล้อยตาม ยอมรับท่านเป็นนาย ข้ามีนามว่า…ทุน’
ขณะที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น โม่อีได้ยินแต่เสียงนี้ดังขึ้นในความคิด ความรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างหนึ่งจากส่วนลึกสุดของร่างกายแทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณ ทำให้เธอทรมานจนแทบจะล้มลงไปบนพื้น แต่ที่ทำให้เธอไม่สบายใจยิ่งกว่าคือเธอรู้สึกเหมือนว่างูเขียวยักษ์จะหายตัวไป
“ทุน!”
พอเธอลืมตามอง เดิมทีงูเขียวยักษ์ยังชูคออยู่ แต่ขณะนี้มันหมอบอยู่บนพื้น ไม่ไหวติงแล้ว
“ทุน!”
เธอยังตื่นตระหนกไม่หาย จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมาจากในถ้ำ หนึ่งในนั้นก็คือสายลับประเทศ C เขารู้จักเธอเพราะก่อนหน้านี้เคยเชิญไปรักษาสุนัขตำรวจ ดังนั้นทุกคนจึงรู้ว่าเธอเป็นสัตวแพทย์ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเธอยังสามารถสื่อสารกับงูได้ด้วย ขณะที่งุนงงอยู่นั้น เมื่อครู่ก็เห็นงูเขียวมอบของสิ่งหนึ่งให้เธอ
และนั่นคือภารกิจของพวกเขาในครั้งนี้!
“ทำไมพวกคุณถึงต้องการของสิ่งนี้คะ” โม่อียังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่รู้ว่าพวกเขาต้องการไข่มุกเขียวที่ทุนมอบให้เธอ
หรือเพราะว่ามี ‘สัญญา’ ต่อกัน เธอจึงรู้ได้เองว่าไข่มุกเขียวเม็ดนี้คล้ายแฝงพลังมหาศาลไว้ สามารถทำลายฟ้าดินได้
“คุณหมอโม่ เชิญกลับประเทศ C ไปกับพวกเราเถอะครับ” ไม่มีใครตอบคำถามเธอ สายลับประเทศ C จึงพูดต่อ
“แล้วถ้าดิฉันไม่ยอมล่ะคะ”
โม่อีเห็นแผนการและรังสีอำมหิตจากแววตาของสายลับแต่ละคนในขณะนี้ เธอมีลางสังหรณ์ว่าคงไม่รอดไปจากที่นี่แล้ว แต่เธอกลับไม่หวาดกลัว แค่ก้าวถอยหลังเล็กน้อย แผ่นหลังพิง ‘ทุน’ ไว้ เพียงเท่านี้ก็คล้ายกับได้รับการปลอบโยน ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป
“เกิดเป็นคนประเทศ C ควรเคารพในการตัดสินใจของประเทศ C เชิญคุณกลับไปกับพวกเราเถอะครับ” สายลับประเทศ C ฉวยโอกาสก่อนที่ทุกคนจะทันตัดสินใจวิ่งไปหาโม่อี วางแผนจะควบคุมตัวเธอไว้ในกำมือก่อนแล้วค่อยคิดหาวิธีออกไป
โม่อีหันไปโอบกอดงูเขียวยักษ์ด้วยมือทั้งสองข้าง
ยามนั้นเองงูเขียวยักษ์ที่เดิมทีทุกคนนึกว่าตายไปแล้วจู่ๆ ก็ชูคอขึ้น เปิดปากกว้าง และออกแรงคำรามทันใด
“ฝ่อ…”
เสียงดังกึกก้องวนเวียนอยู่ทุกส่วนในถ้ำ ทำให้ทุกคนปวดเศียรเวียนเกล้าและหูอื้อ ทรมานจนแทบยืนไม่อยู่ ขณะเดียวกันถ้ำก็ถล่มลงมา
ตูม!
ก้อนหินจากยอดเขากลิ้งตกลงมากระแทกร่างของสายลับทั้งหมด ถ้ำถูกฝังกลบ โม่อีที่กอดงูเขียวยักษ์อยู่ก็ถูกฝังอยู่ด้านในด้วย
ครั้งนี้คงต้องจบชีวิตที่นี่จริงๆ ซะแล้ว…
โม่อีไม่ดิ้นรน ไม่หนี แค่คิดก่อนหมดสติว่า
ที่จริงการที่ฉันได้อยู่กับ ‘ทุน’ ในช่วงเวลาสุดท้ายก็นับว่าไม่โดดเดี่ยวแล้ว แต่ชาตินี้ฉันยังเที่ยวเล่นไม่พอเลย ก็ต้องมาตายซะก่อน…ถ้าชาติหน้ามีจริง ฉันขอมีกำลังแข็งแกร่งมากกว่านี้บ้างได้ไหม เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระต่อไป…
บทที่หนึ่ง
ปฏิทินเทพยุทธ์ ปีหนึ่งหมื่นหนึ่งพันเก้าร้อยสามสิบสี่ ดินแดนเทพยุทธ์ ตระกูลนักยุทธ์ฉู่
ในช่วงต้นฤดูเหมันต์ ระหว่างช่วงยามเซิน และยามโหย่ว ซึ่งเป็นรอยต่อของกลางวันและกลางคืน ขณะที่ท้องฟ้าจะเริ่มมืด เป็นช่วงที่หนาวยะเยือกที่สุด สายลมอ่อนพัดโชยมาพักหนึ่งก็พอที่จะทำให้ผู้คนขดตัวด้วยความหนาวได้
ทว่าภายในเรือนหลิวอี้ที่นายหญิงแห่งสกุลฉู่อาศัย ขณะนี้ไม่มีใครห่วงความหนาวเย็น เห็นแต่เพียงสาวใช้และหมอตำแยวิ่งวุ่น ทุกคนสีหน้าตึงเครียด ต่างฟังคำสั่งจากสตรีสวมชุดเขียวที่ยืนอยู่หน้าห้อง ภายในห้องด้านหลังสตรีนางนี้กลับมีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
“โอ๊ย…โอ๊ย…”
“ฮูหยิน ท่านอดทนอีกหน่อยนะเจ้าคะ”
“เจ็บเหลือเกิน…ท่านพี่ ท่านพี่ล่ะ”
“เอ่อ…นายท่านยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ ฮูหยิน ยามนี้ท่านต้องออมแรงไว้เพื่อคลอดคุณชายน้อยอย่างราบรื่นนะเจ้าคะ”
“หุบปาก! เจ้าหลอกข้า ท่านพี่…ฉู่อวิ๋นเฟย เขา…รู้อยู่ว่าเขามา…มาถึง…โอ๊ย…”
“ฮูหยินเจ้าคะ!”
“เขา…อยู่กับนางตัวดีต้วนหลิงหลง ไม่ยอมมา…ใช่หรือไม่…”
“ฮูหยิน…”
“โอ๊ย…เจ็บเหลือเกิน…ข้าจะไม่คลอดแล้ว…”
“ฮูหยิน ท่านต้องอดทนไว้ ออกแรงอีกนิด คุณชายน้อยก็จะออกมาลืมตาดูโลก ถึงเวลานั้นนายท่านจะต้องมาเจ้าค่ะ…คุณชายน้อยเป็นลูกของนายท่าน นายท่านจะต้องมาเจ้าค่ะ”
“จริง จริงหรือ…”
“จริงยิ่งกว่าจริงเจ้าค่ะ ครั้นคุณชายน้อยเกิด นายท่านจะต้องมาดู ดังนั้นฮูหยินต้องนิ่งไว้ อดทนอีกสักพัก…”
“ใช่…ใช่ พอลูกเกิด เขา…เขา…อวิ๋นเฟย…โอ๊ย…”
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดอีกสักพัก อ่างที่มีน้ำปนเลือดถูกยกออกมาด้านนอกไม่ขาด หมอตำแยอยู่ด้านใน หมอโอสถสองสามคนรออยู่ด้านนอก สีหน้าระแวดระวัง เตรียมป้องกัน เผื่อมีอะไรไม่คาดฝันจะได้เข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที
ยังมีเด็กชายอายุราวแปดขวบคนหนึ่งและสามสี่ขวบอีกคนยืนอยู่ด้านนอก เด็กทั้งสองสีหน้าไร้ชีวิตชีวาและไม่ร่าเริงอย่างที่เด็กวัยนี้ควรจะเป็น คนโตสีหน้าเงียบขรึม คนเล็กยืนอยู่ข้างพี่ชายเงียบๆ มือซ้ายจับมือขวาของพี่ชายไว้
“น้าจิ้ง เกิดอะไรขึ้นหรือ” รอให้ทุกคนตระเตรียมของใช้จำเป็นให้เรียบร้อย ไม่ยุ่งวุ่นวายเท่าไรแล้ว เด็กคนโตจึงเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
แม้อายุเพียงแปดขวบ แต่เขาก็เข้าใจเรื่องบางอย่าง เช่น…สตรีจะคลอดลูกเมื่อตั้งครรภ์ครบสิบเดือน แต่ท่านแม่เพิ่งตั้งครรภ์ได้แปดเดือน ไยจึงคลอดในเวลานี้เล่า
สีหน้าทุกคนก็ดูจริงจังและตึงเครียดยิ่งนัก สาวใช้ของท่านแม่ทั้งสี่นางมีเพียงน้าจิ้งที่อยู่ด้านนอก น้าจิ้งเป็นคนสุขุมมาตลอด จัดการงานคล่องแคล่ว ได้รับความไว้วางใจจากท่านแม่มากที่สุด ยามนี้แม้แต่หมอโอสถนางยังตามมา นี่แสดงว่า…ท่านแม่อาจมีอันตรายถึงชีวิต?
“คุณชายใหญ่ เอ่อ…” อีจิ้งอึดอัดเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรพูดในยามนี้หรือไม่
“ท่านพ่อไม่อยู่หรือ” ครั้นเห็นสีหน้าอีจิ้ง กอปรกับเมื่อครู่เพิ่งได้ยินเสียงกรีดร้อง เด็กชายจึงคาดเดาได้บ้าง
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” อีจิ้งกำชับสาวใช้คนอื่นอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงจูงคุณชายใหญ่มาด้านข้าง กระซิบว่า “นายท่านอยู่…กับต้วนหลิงหลงทางโน้นเจ้าค่ะ”
เด็กชายเลิกคิ้วงามได้รูปพลางเอ่ยถามต่อ “เกิดอะไรขึ้น”
เขากับน้องชายเพิ่งออกมาจากห้องฝึกยุทธ์ หลังจากล้างหน้าหวีผมจึงมาเยี่ยมท่านแม่พร้อมกัน คาดไม่ถึงว่าจะเห็นภาพผู้คนในเรือนหลิวอี้วิ่งวุ่น โดยเฉพาะในห้องของท่านแม่ทางนี้อลหม่านยิ่งกว่า ยามนี้น้าจิ้งก็กล่าวเช่นนี้อีก เห็นชัดว่าท่านแม่จะต้องขัดแย้งกับท่านพ่ออีกแน่
“ต้วนอี๋เหนียง ตั้งครรภ์เจ้าค่ะ พอฮูหยินทราบก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ขณะที่เดินเล่นอยู่นอกสวนบังเอิญพบกัน พูดไม่กี่คำก็ไม่เข้าหู ฮูหยินก็ลงไม้ลงมือด้วยความโมโห ต้วนอี๋เหนียงก็โต้กลับ พวกเราอยากห้ามแต่ก็กลัวจะทำให้พวกนางทั้งสองบาดเจ็บ ผลสุดท้ายฮูหยินและต้วนอี๋เหนียงล้มลงทั้งคู่ แม้แต่คุณชายรองก็บาดเจ็บ ยิ่งกว่านั้นต้วนอี๋เหนียงก็เลือดออกในที่เกิดเหตุ นายท่านจึงตบหน้าฮูหยินฉาดหนึ่งด้วยโทสะ จากนั้นก็ไม่เหลียวแลฮูหยินแม้แต่น้อย สั่งบ่าวไพร่ให้ไปเชิญหมอโอสถ แล้วรีบอุ้มต้วนอี๋เหนียงกลับเรือนหลิงหลง ใครจะคิดว่าฮูหยินก็เจ็บท้อง…”
“ท่านพ่อไม่รู้ว่าท่านแม่จะคลอดหรือ”
“ข้าส่งคนไปเชิญนายท่านที่เรือนหลิงหลงแล้วเจ้าค่ะ แต่ต้วนอี๋เหนียงแท้ง นายท่านโกรธมาก พอได้ยินว่าฮูหยินจะคลอดก็ไม่ดูดำดูดี…” พอพูดถึงตรงนี้อีจิ้งก็รู้สึกเศร้าใจแทนนายหญิงของตนอย่างยิ่ง
ฮูหยินมีชาติกำเนิดสูงส่ง แล้วยังเป็นภรรยาหลวง นายท่านไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์แม้แต่น้อย ตบหน้าภรรยาเอกเพื่อภรรยารอง ทำเกินไปจริงๆ…
ครั้นฟังถึงตรงนี้เด็กชายก็เข้าใจโดยคร่าวๆ ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขามองประตูห้องที่ปิดแน่น ฟังเสียงโอดโอยจากด้านในที่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ…
“พี่ใหญ่…” น้องชายเป็นกังวลอยู่บ้าง แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เสียงกรีดร้องของท่านแม่เบาลงเรื่อยๆ ขนาดเขายังฟังออกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก” เขาปลอบโยนน้องชาย จากนั้นจึงเอ่ยกับน้าจิ้ง “ส่งคนไปแจ้งท่านพ่ออีกครั้ง ถ้าเกิดท่านแม่…” เขาส่ายหน้า ไม่พูดอะไรอีก
อีจิ้งหน้าซีด “…ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
อีจิ้งสั่งบ่าวรับใช้ให้ไปเรือนหลิงหลงอีกครั้ง กำชับว่าจะต้องเชิญนายท่านมาให้ได้ มิเช่นนั้น…หากฮูหยินเป็นอะไรขึ้นมา ผลสุดท้ายไม่ใช่เรื่องที่นายท่านจะรับไหวแน่นอน
ที่นี่ที่ไหน มืดจัง…
ใครกำลังบีบเธอ…นางอยู่ แล้วยังดันตัวนางไม่หยุดหย่อน
ร่างกาย…เหมือนหยดลงไปในกองทราย ถูกหินทรายบดขยี้ เจ็บแสบอยู่บ้าง…
ตอนนี้นางอยู่ที่ใด เกิดอะไรขึ้น
ท่องเที่ยว ถ้ำในภูเขา สายลับ…นางค่อยๆ นึกย้อนกลับ นางจำได้ว่า ‘ทุน’ คำรามอย่างโกรธเคืองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเหมือนถ้ำจะถล่ม นางอยู่กับ ‘ทุน’ ไม่ได้หนีออกไป และถูกฝังทั้งเป็น…
นางยังหวนรำลึกอย่างเลือนราง แล้วก็พลันได้ยินคนอื่นๆ พูดขึ้นว่า…
“ฮูหยิน จวนแล้วเจ้าค่ะ จะออกมาแล้ว ออกแรงอีก…”
“โอ๊ย…”
นางถูกบีบออกมา จากนั้นก็มีคนรับตัวนางไว้…รับตัวนางไว้?
“ฮูหยิน ยินดีด้วยเจ้าค่ะ เป็นคุณ…หนู คุณหนูคลอดออกมาแล้ว…” แต่ไยจึงไม่ร้องสักแอะเล่า
“อุแว้…” ใครตีนาง เดี๋ยวก่อน เสียง…เสียงของนาง เหตุใดเป็นเสียงอุแว้ล่ะ
นางร้องเพียงเสียงเดียวก็หยุด เม้มริมฝีปากแน่นไม่ยอมร้องอีก เพราะการร้องอุแว้ อุแว้ น่าอายจะตายไป! แต่เหตุใดเสียงนางถึงเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้
“คุณหนู?” จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงสตรีแหบพร่าและอ่อนแรง เอ่ยถามอย่างไม่ค่อยเชื่อ
“ฮูหยิน ยินดีด้วยเจ้าค่ะ คลอดคุณหนูออกมาได้อย่างราบรื่นแล้ว” หมอตำแยที่ทำคลอดล้างตัวทารกให้สะอาด ก่อนจะส่งให้สาวใช้นางหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเตียง ให้สาวใช้นางนั้นอุ้มทารกเข้าไปให้ฮูหยินชื่นชม
ทว่าฮูหยินกลับไม่ยอมมองแม้แต่น้อย
“นายท่านล่ะ” อวิ๋นเฟยไม่ได้มาหรือ
“นายท่าน ท่าน…” สาวใช้ที่อุ้มทารกมีสีหน้าเศร้าสลดเล็กน้อย
“ออกไป! อุ้มออกไป อุ้มออกไปเสีย ข้าไม่อยากเห็น!” จู่ๆ ฮูหยินก็โมโห ผลักทารกน้อยไม่หยุด
ลูกสาว? ลูกสาวหรือ…
นางอยากได้ลูกชายที่มีพรสวรรค์อย่างอั๋งเอ๋อร์เพื่อให้อวิ๋นเฟยกลับมาอยู่ข้างกายนาง ไม่ใช่เอาแต่อยู่กับสตรีนางนั้น!
“ฮูหยิน ฮูหยิน ท่านเพิ่งคลอด จะวู่วามไม่ได้…” สาวใช้และหมอตำแยที่อยู่ด้านข้างรีบพยุงนางไว้
“ออกไป! ออกไปเสีย อุ้มนางออกไป พ่อนางไม่เอา นางเกิดมาจะมีประโยชน์อะไร ฉู่อวิ๋นเฟย ท่านมันคนทรยศ!” นางกรีดร้องร่ำไห้อย่างปวดร้าว
“ฮูหยิน ท่านอย่าวู่วามเจ้าค่ะ จะไม่ดีต่อร่างกายนะเจ้าคะ” สาวใช้นางหนึ่งกำลังปลอบโยนนาง แล้วบอกกับสาวใช้ที่อุ้มทารกน้อยอีกว่า “หรูเอ๋อร์ เจ้าอุ้มคุณหนูไปดูแลยังห้องด้านข้างก่อน ระวังหน่อยล่ะ”
“ได้” หรูเอ๋อร์พยักหน้าและเดินออกไปทันที
พวกนางอยู่ข้างกายฮูหยินมาตั้งแต่เด็ก รู้จักนิสัยฮูหยินเป็นอย่างดี ยามนี้หากให้คุณหนูอยู่ที่นี่ต่อไปก็รังแต่จะทำให้ฮูหยินยิ่งรังเกียจมากขึ้น
คนที่อยู่ในห้องไม่รู้ว่ายามนี้มีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่นอกห้องไม่ไกล
“ฮูหยินคลอดแล้ว?” บุรุษผู้นั้นเอ่ยถามอีจิ้ง
“เจ้าค่ะ ฮูหยินคลอดคุณหนูนางหนึ่ง” น้ำเสียงของอีจิ้งเคารพนบนอบ แต่สีหน้ากลับเย็นชา
“แม่ลูกปลอดภัย?”
“เจ้าค่ะ โชคดีที่…” อีจิ้งกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าบุรุษผู้นั้นกลับร้องฮึเสียงหนึ่ง
“นางปลอดภัย แต่หลิงหลงกลับสูญเสียลูก ลูกของข้า…” บุรุษผู้นั้นหลับตาลง แล้วค่อยลืมตาขึ้น จ้องอีจิ้งไม่วางตา “ในเมื่อแม่ลูกปลอดภัย เรื่องนี้ก็ขอให้จบลงเพียงเท่านี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“…เข้าใจเจ้าค่ะ” อีจิ้งตอบรับพลางกัดฟันกรอด
“ดีมาก เจ้าจงจำไว้ ที่นี่คือสกุลฉู่” อย่านึกว่าเขาไม่รู้ไม่เห็นเรื่องพวกนาง เมื่อคิดถึงตรงนี้ ขณะที่เขาสะบัดแขนเสื้อจะจากไป กลับแลเห็นลูกชายสองคนจ้องเขาเขม็งอยู่ด้านข้าง
“อั๋งเอ๋อร์ ลูกเข้าไปดูท่านแม่และน้องแทนพ่อเถิด” พอพูดจบ เขาก็ไม่แม้แต่จะแลลูกชายคนเล็ก เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ยามนี้อีจิ้งจึงเงยหน้าขึ้น มองทิศทางที่บุรุษผู้นั้นจากไป สีหน้าคับแค้นใจยิ่ง แต่ก็กัดฟัน ไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น
นางเป็นสาวใช้ที่ติดตามมารับใช้เมื่อฮูหยินออกเรือน แล้วยังเป็นองครักษ์คอยปกป้องนาย มาจากสำนักเถาฮวากู่ เดิมทีอยากส่งข่าวกลับไปแจ้งหัวหน้าสำนักว่าฮูหยินถูกย่ำยีหัวใจ แต่ยามนี้…นายท่านรู้เรื่องทุกอย่าง ถ้ายังให้หัวหน้าสำนักมาอีก ต่อจากนี้ไปชีวิตของฮูหยินคงจะทุกข์ระทมยิ่งขึ้น
ทว่าขณะนี้เสียงภายในห้องเงียบลง สาวใช้ที่อยู่ด้านในก็ออกมา และปิดประตูลงอย่างเบามือ
“ซื่อเอ๋อร์ ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง” อีจิ้งรีบเอ่ยถาม
“นอนหลับได้ในที่สุด เฉียงเอ๋อร์อยู่เป็นเพื่อนข้างใน” ซื่อเอ๋อร์ตอบ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” อีจิ้งถอนใจโล่งอก
อีจิ้ง อีหรู อีซื่อ อีเฉียง ทั้งสี่คนเป็นสาวใช้คนสนิทของฉู่ฮูหยิน โม่อี้โหรว เป็นผู้ติดตามที่คอยคุ้มกันโม่อี้โหรวมาแต่เด็ก แล้วก็แต่งเข้ามายังสกุลฉู่ด้วยพร้อมกัน
“ฮูหยินเสียใจมากที่ไม่ได้คลอดออกมาเป็นคุณชายน้อย แต่เป็นคุณหนู…” อีซื่อถอนใจ
อันที่จริงการให้กำเนิดคุณหนูก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพียงแต่ฮูหยินคาดหวังว่าจะคลอดลูกชาย และทางที่ดีที่สุดให้เหมือนคุณชายใหญ่ที่มีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์
“ซื่อเอ๋อร์ ซื่อเอ๋อร์” จู่ๆ หรูเอ๋อร์ที่เดิมทีคอยดูแลคุณหนูที่เพิ่งเกิดอยู่ในห้องเล็กด้านข้างก็ตะโกนร้องเรียกอย่างตื่นตระหนก แต่ก็กลัวจะทำคุณหนูตื่น เพราะกว่านางจะนอนหลับได้ช่างยากเย็น ดังนั้นจึงตะโกนเรียกเสียงไม่ดังนัก
“หรูเอ๋อร์ มีอะไร” ซื่อเอ๋อร์รีบตอบรับ
“คุณหนู…คล้ายจะเป็นไข้”
“อะไรนะ!” อีจิ้งและอีซื่อตกใจพร้อมกัน
ทารกหญิงเพิ่งเกิด ไยจึงไข้ขึ้นเร็วเช่นนี้!
“ซื่อเอ๋อร์ เจ้ากับหรูเอ๋อร์ไปดูแลคุณหนูก่อน ข้าจะไปเชิญหมอโอสถกลับมา” อีจิ้งพูดจบก็เดินออกนอกเรือนไปทันที
หลังจากยืนยันว่าฮูหยินคลอดอย่างราบรื่น นางเพิ่งสั่งคนให้ไปส่งหมอโอสถออกจากเรือน ยามนี้ตามไปน่าจะทัน!
“คุณชาย คุณหนู นาง…” อีซื่อมองคุณชายน้อยสองคน อยากให้พวกเขากลับไปก่อน สถานการณ์ในวันนี้ช่างอลหม่านยิ่งนัก
“ข้ากับน้องฉีจะไปเยี่ยมน้องสาวด้วยกัน” เด็กชายอายุแปดขวบ…ฉู่เซวียนอั๋ง จูงมือน้องชาย ฉู่เซวียนฉี เดินไปยังห้องเล็กก่อน
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ อีหรูและอีซื่อจึงรีบเดินนำอยู่ด้านหน้า คอยระวังไม่ให้เกิดเสียงดังปลุกฮูหยินตื่น
นางยังคงงงงวย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ ตนเองจึงกลายเป็นเด็กทารก แล้วก็ถูกสตรีนางนั้นที่ควรจะเป็นแม่ขับไล่ ต่อมาก็รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว
ร้อนยิ่งนัก ทรมานเหลือเกิน…
ทารกน้อยหน้าแดงก่ำ สะบัดมือเท้าอยู่ตลอด บางครั้งครวญครางด้วยความทรมาน ร้องไห้กระซิกๆ ทำให้คนมองตระหนักได้ว่านางทรมานเพียงใด
แต่นางกลับไม่ร้องไห้งอแงแผดเสียงจ้า เพียงแต่ปัดสิ่งของที่อยู่ด้านข้าง ทำให้แม้แต่หมอโอสถยังตรวจอาการนางได้อย่างยากลำบาก
นางเป็นทารกน้อยที่เพิ่งเกิดมาได้ชั่วยามกว่า ตัวผอมและตัวเล็กกว่าเด็กทารกทั่วไปเพราะคลอดก่อนกำหนด บรรดาหมอโอสถระมัดระวังอย่างยิ่ง ไม่กล้าจับตัวนางแรง ทำให้การวินิจฉัยโรคเป็นไปอย่างยากลำบากยิ่งขึ้น
หลังพยายามกันอยู่นาน ฉู่เซวียนอั๋งที่ยืนมองอยู่ด้านข้างตลอดก็ค่อยๆ ปล่อยมือน้องชาย และเดินไปอุ้มน้องสาวขึ้นมา
น้องสาวช่างตัวเบาและตัวเล็กยิ่งนัก!
ฉู่เซวียนอั๋งประหลาดใจ ทว่ากลับไม่แสดงออกทางสีหน้า รู้สึกเพียงว่านางมีสภาพย่ำแย่กว่าน้องชายตอนเกิดมากนัก คล้ายมีน้ำหนักเพียงครึ่งเดียวของน้องชายเท่านั้น
“เด็กดี ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวนะ” เขาปลอบโยนด้วยเสียงเบาๆ และตบตัวนางอย่างทะนุถนอม
ถูกปลอบเหมือนเด็กทารกเลย…
นางคิดอย่างจนใจเล็กน้อย จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้นางเป็นทารกน้อยจริงๆ มิน่าล่ะทุกคนจึงปลอบนางด้วยน้ำเสียงเช่นนี้
แต่เสียงนี้ไพเราะยิ่งนัก รู้สึกเหมือนเป็นหนุ่มน้อยรูปโฉมหล่อเหลา ท่าทางที่เขาอุ้มนางดูระมัดระวังอย่างยิ่ง แต่ก็ชำนิชำนาญ ฝ่ามือที่ตบเบาๆ และน้ำเสียงนั้นมีผลต่อการปลอบโยน นางจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง เพียงแต่ร่างกายยังคงร้อนผ่าวและปวดเมื่อย
ฉู่เซวียนอั๋งที่ปลอบโยนนางเห็นทารกน้อยค่อยๆ ผ่อนคลายลง ไม่ดิ้นทุรนทุรายอีก แต่ยังคงตัวร้อนนัก แค่อุ้มเช่นนี้เขาก็รู้ว่านางมีไข้สูงมาก
“หมอโอสถ” ฉู่เซวียนอั๋งให้สัญญาณหมอโอสถรีบมาตรวจอาการ
ยามนี้หมอโอสถเพิ่งได้สติ ประหลาดใจในท่าทางการอุ้มและปลอบโยนทารกของคุณชายใหญ่สกุลฉู่ ขณะเดียวกันก็เริ่มตรวจอาการโดยเร็ว
หมอโอสถยิ่งมองยิ่งขมวดคิ้ว จากนั้นก็ถอนใจ
“คุณชายใหญ่ โปรดอภัยที่ข้าความรู้ตื้นเขิน ตรวจหาสาเหตุโรคของคุณหนูไม่พบจริงๆ ข้าทำได้เพียงคิดหาวิธีลดไข้ แต่…ไม่มั่นใจว่าจะได้ผล”
“เช่นนั้นก็ลดไข้ก่อน” แม้จะไม่คุ้นเคยกับการพยาบาลคนเจ็บ แต่เขาก็พอรู้ว่าถ้าให้น้องสาวเป็นไข้ต่อไปเช่นนี้เป็นอันตรายแน่นอน ฉู่เซวียนอั๋งตัดสินใจอย่างเด็ดขาด จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้อีจิ้งค่อยหาหมอโอสถคนอื่นที่เหนือชั้นกว่ามาตรวจนาง
“ได้” หมอโอสถเตรียมการทันที
“คุณชายใหญ่ ให้ข้าอุ้มคุณหนูน้อยเถิดเจ้าค่ะ” อีหรูเอ่ย
“ไม่เป็นไร” ฉู่เซวียนอั๋งอุ้มนางนั่งลง ทารกน้อยอยู่ในอ้อมกอด ยังคงไม่สบายตัวอย่างมาก แต่กลับไม่ร้องไห้งอแง ปัดโน่นปัดนี่ ในทางตรงกันข้ามมือหนึ่งจับสาบเสื้อของเขา หน้าแดงย่นไปหมด แลดูน่าเวทนายิ่งนัก ทว่าทำให้เขาปวดใจอย่างคาดไม่ถึง
เพราะ…นางคือน้องสาวหรือ
“พี่ใหญ่” เด็กชายตัวเล็กเดินเข้ามาใกล้ มองดูน้องสาว ลูบแก้มนุ่มๆ ของนางด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ความรู้สึกเย็นเยียบที่ข้างแก้มทำให้นางตกใจ…นางกำลังถูกกินเต้าหู้ รู้สึกจนใจจริงๆ แต่…นี่คือพี่ชายนางอีกคน? นางอยากลืมตาขึ้น พอลืมตาก็เพียงรู้สึกว่ามีแสงจากโคมไฟ มีเงาคนสั่นไหวไปมา แต่เห็นไม่ชัด
“อย่ากังวลไปเลย” เขาปลอบโยนน้องชาย จากนั้นเงยหน้าขึ้น “น้าซื่อ รบกวนช่วยเตรียมน้ำนมให้ก่อนสักเล็กน้อย แล้วพาน้องฉีไปกินข้าวเย็น ให้เขาเข้านอนเร็วหน่อย”
วุ่นวายตั้งแต่พลบค่ำจนถึงยามนี้ ทุกคนยังไม่ได้กินข้าวเย็น เวลาเช่นนี้แทบไม่มีใครห่วงเรื่องความหิว
“พี่ใหญ่ ข้าอยากอยู่กับน้อง”
“น้องฉี…”
“ข้าเป็นพี่ชาย จะต้องปกป้องน้อง”
พอได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของฉู่เซวียนอั๋งที่ราบเรียบก็คลายลงเล็กน้อยในที่สุด
“ได้ พวกเราอยู่เป็นเพื่อนน้องด้วยกัน แต่เจ้าต้องไปกินข้าวก่อน”
“พี่ก็ต้องกิน” แม้ฉู่เซวียนฉีมีอายุเพียงสี่ขวบ แต่ดื้อรั้นยิ่งนัก
“เจ้ากินก่อน อีกสักครู่พี่ค่อยกิน” เขาจะรอดูหมอโอสถช่วยลดไข้ให้น้องสาวก่อน
“ได้” ฉู่เซวียนฉีเดินไปยืนข้างอีซื่อเอง แม้น้ำเสียงจะเป็นเด็กไร้เดียงสาแต่เด็ดขาดนัก “น้าซื่อ ข้าจะกินข้าว พี่ใหญ่และน้องสาวก็จะกินด้วย”
“ได้เจ้าค่ะ” อีซื่อพยักหน้า นางเดินออกจากห้องทันที มุ่งไปยังห้องครัวเล็กทางด้านหลัง คืนนี้ไม่รู้ว่าจะต้องอดหลับอดนอนนานเท่าไร นางอุ่นอาหารมากขึ้นสักหน่อย หากมีเวลา ทุกคนก็ผลัดกันกินข้าวแล้วค่อยผลัดกันพักผ่อน
เพียงแต่ฮูหยิน…เฮ้อ…ไม่คิดเสียดีกว่า
เกิดเป็นสาวใช้ ก็แค่รับใช้นายให้ดีเป็นพอ
ผลสุดท้ายคืนนี้ไม่มีใครได้พักผ่อนเต็มที่ ส่วนหมอโอสถท่านนั้นก็พักอยู่ในคฤหาสน์สกุลฉู่เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ไม่อาจทิ้งไปได้ เพราะคุณหนูน้อยสกุลฉู่ที่เพิ่งเกิดเป็นไข้กลับไปกลับมาอยู่ตลอด ดื่มน้ำนมไปสามคำก็อาเจียนออกมาสักคำสองคำ ร่างกายอ่อนแอจนน่าเป็นห่วงยิ่ง
พอฉู่ฮูหยินที่กำลังอยู่ไฟรู้เข้าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟกว่าเดิม นางอยากได้ลูกที่มีพรสวรรค์สูงส่งด้านวรยุทธ์ ไม่ใช่เด็กป่วยกระเสาะกระแสะ ทันใดนั้นนางก็อยากให้อีหรูอุ้มเด็กคนนี้ไปไกลๆ หน่อย จะได้ไม่ร้องไห้งอแงรบกวนนาง
ฉู่อวิ๋นเฟยผู้เป็นพ่อพอทราบข่าวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขายังคงอยู่ดูแลสตรีอันเป็นที่รักในเรือนหลิงหลง ไม่เฉียดเข้าเรือนหลิวอี้สักก้าวตลอดทั้งเดือน เพียงกำชับอีจิ้งประโยคหนึ่ง ถ้าจะต้องเชิญหมอโอสถก็เชิญมา ไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไรก็ไม่ต้องรายงานเขา ส่วนเรื่องชื่อ…หากเด็กอายุถึงหนึ่งขวบก็ค่อยตั้งแล้วกัน
ฉู่อวิ๋นเฟยไม่ใช่ไม่ดีใจที่ตนเองมีลูกเพิ่มมาอีกคน แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่ลูกคนนี้เกิดมาก็ทำให้เขาสูญเสียลูกคนนั้นไป เขาจึงดีใจไม่ออก ยิ่งกว่านั้นพอลูกสาวคนนี้เกิดมาก็มีโรครุมเร้า หมอโอสถยังตรวจหาสาเหตุโรคไม่พบ ทำได้เพียงอ้างเหตุผลว่าเกิดก่อนกำหนด ร่างกายอ่อนแอ จึงป่วยกระเสาะกระแสะ
นางป่วยกระเสาะกระแสะก็หมายความว่าไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีตำแหน่งในสกุลฉู่ จึงไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจ
หากนางมีชีวิตรอด คุณค่าสูงสุดของนางก็คือแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับตระกูลที่ดี ในเมื่อจะช้าจะเร็วก็ต้องเป็นคนของตระกูลอื่น เขาก็ไม่มีความคิดที่จะไปดูดำดูดีลูกสาวคนนี้
พออีจิ้งรู้ข่าวก็ตระหนักว่านายท่านไม่สนใจไยดีเลยว่าคุณหนูน้อยจะเป็นหรือตาย ทำได้เพียงกลับเรือนหลิวอี้ด้วยความขุ่นข้องหมองใจ แล้วนายหญิงก็มีท่าทีเช่นนั้นอีก นางจึงได้แต่ถอนใจ
ทางด้านฉู่เซวียนอั๋ง หลังจากทราบท่าทีของบิดามารดากลับไม่แสดงสีหน้าตกใจแม้แต่น้อย ให้อีหรูอุ้มน้องสาวไปอยู่ที่เรือนของเขา ทุกวันหลังจากฝึกยุทธ์ก็จะมาดูแลน้องสาวพร้อมกับน้องชายและเหล่าหมอโอสถ ซึ่งไม่รู้ว่านางจะมีชีวิตรอดไปอีกนานเท่าใด…
จากการดูแลเอาใจใส่ของฉู่เซวียนอั๋ง ฉู่เซวียนฉี รวมทั้งบรรดาหมอโอสถ ในที่สุดลูกสาวคนเล็กของสกุลฉู่ก็มีอายุพ้นหนึ่งขวบ ฉู่อวิ๋นเฟยตั้งชื่อให้นางว่า…ฉู่อีเหริน
แม้ฉู่อีเหรินจะรอดมาได้ ทว่าความเจ็บป่วยไม่จางหายไปเลย ดังนั้นเด็กเล็กที่ควรมีงานเลี้ยงเฉลิมฉลองเมื่อครบเดือน ของขวัญครบร้อยวันหรือพิธีผูกดวงแรกขวบ จึงถูกตัดออกทั้งหมด ไม่มีการจัดงานเลี้ยงอะไรเป็นพิเศษ แล้วยิ่งไม่มีของขวัญ เสมือนคนไร้ตัวตนในสกุลฉู่
โชคดีที่ฉู่เซวียนอั๋งคอยยืนหยัดเพื่อนาง นางจึงพักอยู่ในเรือนของคุณชายใหญ่ต่อไปได้ อีกทั้งพ่อบ้านก็ทำตามข้อเรียกร้องของเขา จัดเตรียมสาวใช้สองคนที่คล่องแคล่วปราดเปรียวรับผิดชอบดูแลเรื่องอาหารสามมื้อและความเป็นอยู่ของคุณหนูน้อย
ฉู่อวิ๋นเฟยเรียกลูกชายคนโตมาพบเป็นการเฉพาะด้วยเรื่องนี้ เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง
“อั๋งเอ๋อร์ เจ้าจะให้ฉู่อีเหรินอยู่ที่เรือนของเจ้าต่อไปจริงๆ หรือ”
“ขอรับ”
“เจ้าเป็นลูกชายคนโตของข้า แล้วก็เป็นประมุขตระกูลฉู่ในอนาคต ไยจึงต้องเสียเวลามาดูแลทารกหญิงที่อ่อนแอ มิสู้เอาเวลาเหล่านั้นทุ่มเทฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเต็มที่” เขาคาดหวังเหลือเกินว่าจะมีลูกชายที่ได้เลื่อนขั้นเป็นยอดฝีมือเร็วที่สุดในแผ่นดิน
“ในเมื่อข้าคือประมุขตระกูลฉู่ในอนาคตและเป็นคุณชายใหญ่ แค่น้องสาวของตัวเองยังดูแลไม่ได้หรือ” ฉู่เซวียนอั๋งตอบกลับอย่างสงบนิ่ง
ฉู่อวิ๋นเฟยถูกยอกย้อนกลับไม่โกรธ “นั่นจะทำให้เจ้าเสียเวลา”
“ข้าไม่เคยเถลไถลในการฝึกยุทธ์”
ฉู่อวิ๋นเฟยพูดไม่ออก
ลูกชายคนโตมีความสามารถยอดเยี่ยม เขาเพิ่งเก้าขวบ เป็นยอดฝีมือตัวน้อยที่ฝึกเพลงกระบี่ของสกุลฉู่ที่สืบทอดกันมาได้ถึงขั้นดิน ระดับสี่ แล้วยังฝึก ‘เคล็ดวิชากระบี่เทียนฉู่’ ของสกุลฉู่ ได้ถึงกระบวนท่าที่สี่ ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าฉู่อวิ๋นเฟยตอนเก้าขวบที่ฝึกได้ถึงแค่ขั้นดิน ระดับสาม กระบวนท่าที่สามเสียอีก แน่นอนว่าฉู่อวิ๋นเฟยต้องคาดหวังในตัวลูกชายคนโตอย่างมาก ไม่อยากให้เรื่องใดมาหน่วงเหนี่ยวการฝึกยุทธ์ของเขา
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะจัดเตรียมเรือนให้ฉู่อีเหริน แล้วค่อยย้ายแม่นมสองคนที่มีประสบการณ์ให้มาดูแลนางด้วยกัน เช่นนี้เจ้าคงวางใจได้แล้วกระมัง” ฉู่อวิ๋นเฟยเอ่ยขึ้นหลังจากครุ่นคิด
อั๋งเอ๋อร์โตไวรู้จักคิด มีความคิดเป็นของตนเองสูง ฉู่อวิ๋นเฟยรู้ว่าไม่อาจบังคับเขาได้จึงเปลี่ยนวิถีทาง โดยสรุปก็คือคาดหวังที่จะให้เขาฝึกยุทธ์อย่างสุดจิตสุดใจ ไม่ไปสนใจเรื่องจิปาถะอื่นใด
“ไม่ต้อง ข้ากับน้องฉีจะดูแลฉู่อีเหรินเอง ท่านพ่อ ข้าไม่เปลี่ยนใจแน่นอน” ฉู่เซวียนอั๋งเงยหน้าตอบ แววตาเย็นชาทว่าหนักแน่น
“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเสียเวลาในการฝึกยุทธ์ด้วยเรื่องพรรค์นี้” ฉู่อวิ๋นเฟยใบหน้าง้ำงอ เขามองว่าลูกสาวคนนี้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างยอดฝีมือสกุลฉู่
“ท่านพ่อ ฉู่อีเหรินเป็นน้องสาวข้า”
ท่านพ่อไม่เป็นห่วงเป็นใย ท่านแม่ไม่รัก เกิดมาก็มีโรครุมเร้า สภาพอย่างฉู่อีเหรินน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าน้องฉีเสียอีก ตอนที่นางเพิ่งเกิดได้ไม่นาน ยามเขาอุ้มนาง เห็นนางค่อยๆ สงบลงในอ้อมกอดเขา แม้ยามเจ็บป่วยก็ไม่ร้องไห้งอแง เขาก็ตั้งใจมั่นแล้วว่าจะต้องดูแลน้องสาวคนนี้เอง
แม้นางจะเป็นลูกสาวของท่านพ่อ แต่หากไม่เลี้ยงไว้ข้างกาย สาวใช้เหล่านั้นที่ถูกส่งตัวไปก็ไม่แน่ว่าจะดูแลนางอย่างจริงจังและระมัดระวังเพียงพอ หมอโอสถเคยกล่าวว่าน้องสาวเกิดมาร่างกายอ่อนแอ จะต้องดูแลอย่างระมัดระวังมาก มิเช่นนั้น…
หมอโอสถยังพูดไม่ทันจบ ฉู่เซวียนอั๋งก็รู้แจ้งแก่ใจ
“เฉาหรงก็เป็นน้องสาวเจ้า” ฉู่อวิ๋นเฟยพูดถึงลูกสาวอีกคน หลิงหลงให้กำเนิดลูกสาวคนโต พรสวรรค์สูงส่ง อายุน้อยกว่าอั๋งเอ๋อร์ปีเดียว ฝึกวิชาพลังภายในของสกุลฉู่ได้ถึงขั้นดิน ระดับสอง
ฉู่เซวียนอั๋งสีหน้าเรียบเฉย ไม่ตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น
ในทางสายเลือด พวกเขาเป็นพี่น้องกันจริง แต่ในความเป็นจริง นอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดนั่นแล้ว กลับมีสายสัมพันธ์ตื้นเขินยิ่งนัก ฉู่เซวียนอั๋งไม่ค่อยได้ใกล้ชิดนาง แต่ก็ไม่ได้อาฆาตแค้นเพราะเป็นลูกคนละแม่ ภายใต้ข้อเสนอหลักของสกุลฉู่ที่จะต้องปรองดองไม่ขัดแย้งกันภายในหมู่เครือญาติ ครั้นพบหน้าเขาก็ทักทาย ไปมาหาสู่ก็รู้จักลำดับอาวุโส ฉู่เซวียนอั๋งเป็นพี่ชายคนโต ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายยอมน้องเสมอ
เรื่องเหล่านี้ฉู่อวิ๋นเฟยรู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นจึงยิ่งโปรดปรานลูกชายคนโต ในเมื่ออนาคตเขาจะต้องเป็นประมุขตระกูล จะต้องปกป้องคนในครอบครัว ไม่อาจละเลยผู้หนึ่งผู้ใดด้วยความชอบไม่ชอบส่วนตัวได้ เรื่องนี้ฉู่เซวียนอั๋งทำได้ดีมาตลอด เฉาหรงก็เคารพพี่ชายใหญ่ ทำให้ฉู่อวิ๋นเฟยพออกพอใจยิ่งนัก
“ฉู่อีเหรินเป็นน้องสาวข้า” ประโยคนี้พอที่จะแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของฉู่เซวียนอั๋ง ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่ละทิ้งการดูแลน้องสาว
“ก็ได้ๆ” เขาไม่อยากโกรธเคืองลูกชายด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ กอปรกับในเมื่อฉู่อีเหรินเป็นลูกสาวของโม่อี้โหรว เขาจะต้องไว้หน้าสำนักเถาฮวากู่บ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้นฉู่อวิ๋นเฟยจึงยอมให้ก้าวหนึ่ง แต่มีเรื่องหนึ่งจะต้องกล่าวให้ชัดเจนเสียก่อน “เจ้าจะดูแลฉู่อีเหรินก็ได้ แต่จะต้องไม่กระทบถึงการฝึกยุทธ์เด็ดขาด เจ้าคือลูกชายคนโตของข้า แบกรับความรับผิดชอบของสกุลฉู่ไว้ ต้องอาศัยความสามารถสูงส่งจึงจะมีคนให้ความเคารพนับหน้าถือตา สกุลฉู่จะได้ตั้งตระหง่านดุจดั่งขุนเขา”
“ลูกเข้าใจ” ฉู่เซวียนอั๋งพยักหน้า
ดังนั้นฉู่อีเหรินจึงพ้นเคราะห์กรรมที่จะต้องถูกทิ้งขว้างไว้ในเรือนอื่น แม้ต้องกินยาทุกวันและในเดือนหนึ่งนางต้องนอนพักอยู่บนเตียงร่วมยี่สิบวัน แต่ในที่สุดชีวิตน้อยๆ ชีวิตหนึ่งก็รอดมาได้
เวลาผ่านไปเช่นนี้ จนนางอายุสามปีในชั่วพริบตา
จากเริ่มแรกที่ฉู่อีเหรินงุนงง ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น จนถึงยามนี้ในที่สุดจึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
ที่แท้บนโลกนี้มีการเกิดใหม่ไปยังอีกโลกหนึ่งอยู่จริงๆ ด้วย แต่แค่นางไม่ได้เดินผ่านทางไปสู่อีกโลกหนึ่ง ไม่ได้เข้าสู่ทางน้ำพุเหลือง ไม่ได้พบบุคคลอย่างเช่นผีทั้งหลายที่มีชื่อเสียง ยมทูตดำยมทูตขาว ผู้พิพากษา พญายม เป็นต้น ไม่ได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งอะไรนั่น จู่ๆ ก็ถูกบีบเคล้นออกมาจากท้องสตรีนางหนึ่งพร้อมเสียงเอะอะโวยวาย สรุปแล้วนางมาถึงดินแดนที่ไม่เคยนึกฝัน
จากข้อมูลที่พี่ใหญ่และพี่เล็กเตรียมไว้ให้ ที่นี่เรียกว่า ‘ดินแดนเทพยุทธ์’ เชิดชูการฝึกยุทธ์ ยกย่องผู้เข้มแข็ง มีแนวคิดที่จะต้องเป็นผู้เลิศล้ำที่สุด
อำนาจอันเลื่องลือที่สุดในดินแดนเทพยุทธ์มาจากสามตระกูล สามสำนัก และสี่สมาคมใหญ่
สามตระกูล แบ่งเป็นตระกูลนักยุทธ์ฉู่ ตระกูลนักยุทธ์ต้วน และตระกูลนักยุทธ์เซียว
สามสำนัก แบ่งเป็นสำนักเถาฮวากู่ สำนักคุนหยาง และสำนักชิงหยวน
สี่สมาคมใหญ่ ประกอบด้วยสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษ สมาคมหมอโอสถ สมาคมช่างหลอม และสมาคมนักล่า
การนับวันเวลาก็คล้ายกับที่นางเคยชินอยู่แต่เดิม หนึ่งปีมีสิบสองเดือน เพียงแต่ละเดือนล้วนมีสามสิบวัน ไม่มีเดือนใดยาวหรือสั้นกว่า ทุกวันมีสิบสองชั่วยาม หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมงอย่างที่นางเคยชิน ซึ่งมีวิธีคิดเหมือนยุคโบราณ
คฤหาสน์ที่นางอาศัยอยู่เรียกว่า ‘ตระกูลนักยุทธ์ฉู่’ ฉู่อวิ๋นเฟยผู้เป็นบิดา ยามนี้มีตำแหน่งเป็นประมุขตระกูล แล้วนางยังมีท่านอาอีกสองคน
ท่านแม่ของนางมีนามว่า ‘โม่อี้โหรว’ เป็นลูกสาวของหัวหน้าสำนักเถาฮวากู่ การเชื่อมสัมพันธ์ของท่านพ่อท่านแม่เรียกได้ว่า ‘ถูกบีบบังคับ’ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวในความดีพร้อมคือท่านแม่ไม่ใช่สตรีในดวงใจท่านพ่อ
สตรีในดวงใจท่านพ่อคือภรรยารองที่แต่งเข้ามาหลังจากพี่ใหญ่เกิด มีนามว่า ‘ต้วนหลิงหลง’ ภูมิหลังองอาจห้าวหาญยิ่งนัก เป็นน้องสาวประมุขตระกูลต้วน
ส่วนสาเหตุที่ฉู่อวิ๋นเฟยไม่สู่ขอสตรีในดวงใจแต่แรก แต่กลับไปสู่ขอโม่อี้โหรว…
ได้ยินว่าเริ่มแรกระหว่างการทัศนาจรของฉู่อวิ๋นเฟยผู้หล่อเหลารูปงาม ฐานะสูงส่ง บังเอิญพบกับโม่อี้โหรวผู้มีประสบการณ์โชกโชน สองฝ่ายล้วนมีผู้ติดตาม ร่วมกันปฏิบัติภารกิจหนึ่งจนสำเร็จ หลังจากนั้นโม่อี้โหรวก็กลับหุบเขา แจ้งแก่มารดาว่านางจะไม่ยอมแต่งงานกับใครเด็ดขาดถ้าคนผู้นั้นไม่ใช่ฉู่อวิ๋นเฟย
หัวหน้าสำนักเถาฮวากู่ผู้รักลูกสาวดั่งดวงใจก็รีบติดต่อประมุขและผู้อาวุโสตระกูลฉู่ในเวลานั้นทันทีเพื่อกำหนดการแต่งงานครั้งนี้ ฉู่อวิ๋นเฟยที่มีสตรีในดวงใจอยู่ก่อนแล้วแต่กลับไม่ได้แจ้งทางตระกูล ก็เลยช้าไปก้าวหนึ่ง ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่อาจฝ่าฝืนการตัดสินใจของผู้อาวุโสในตระกูลได้ แล้วยังไม่อาจล่วงเกินสำนักเถาฮวากู่และบิดาของโม่อี้โหรว จึงต้องยอมแต่งงานกับโม่อี้โหรวอย่างขุ่นเคืองและเศร้าใจ
หลังจากแต่งงาน ความรักของฉู่อวิ๋นเฟยและต้วนหลิงหลงยังคงไม่ขาดสะบั้น ทั้งสองไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง ครั้นโม่อี้โหรวคลอดลูกชายคนแรก ฉู่อวิ๋นเฟยก็ได้รับตำแหน่งประมุขตระกูล จึงค่อยแสดงความปรารถนาไปสู่ขอต้วนหลิงหลงยังสกุลต้วน ระหว่างที่ตระเตรียมสินสอดอย่างพอเหมาะพองามนั้นยังรับรองด้วยว่าจะไม่ให้ต้วนหลิงหลงถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างแน่นอน กอปรกับต้วนหลิงหลงเองก็ยินยอมพร้อมใจ จึงยอมแต่งงานกับฉู่อวิ๋นเฟยแต่โดยดี
ในที่สุดทั้งสองคนก็แต่งงานกันจนกลายเป็นคู่รักหวานชื่น ให้กำเนิดลูกสาวและลูกชายอย่างละคน หลังจากนั้นเว้นไปห้าปีกว่าที่ต้วนหลิงหลงจะตั้งครรภ์ได้อีกครั้ง แต่กลับเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกับโม่อี้โหรวที่ตั้งครรภ์ได้แปดเดือน จึงแท้งลูกแล้วยังบาดเจ็บ ตั้งแต่นั้นมาก็ตั้งครรภ์ได้ยากขึ้น ฉู่อวิ๋นเฟยทั้งปวดใจทั้งโมโห ถ้าไม่ใช่เพราะโม่อี้โหรวก็คลอดก่อนกำหนดด้วยเหตุนี้ ร่างกายสูญเสียพลังไปมาก เรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายดายเช่นนี้
เพียงเพราะเหตุนี้ลูกสาวที่คลอดก่อนกำหนดจึงถูกทั้งสองฝ่ายทอดทิ้งไม่เหลียวแลในเวลาเดียวกัน เพราะครั้นเห็นทารกหญิงก็จะนึกถึงเรื่องราวทั้งหมด ทำให้อารมณ์เสีย อยากชวนคนทะเลาะ…
หลังจากฉู่อีเหรินทำความเข้าใจสถานการณ์ จึงเข้าใจด้วยตนเองว่านี่ก็คือ ‘ละครน้ำเน่า’ เรื่องหนึ่ง!
จากนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็กระทบถึงทารกน้อยไร้เดียงสา อ่อนแอ ผู้ไร้แรงต้านทานใดๆ…นั่นก็คือตัวนางเอง แล้วยังต้องป่วยกระเสาะกระแสะอยู่ตลอดเวลา ร่างกายอ่อนแอเพราะเกิดก่อนกำหนด ไม่ต้องพูดถึงการฝึกยุทธ์ แม้แต่วิ่งร้อยหมี่ ก็คงหมดแรงเป็นลมระหว่างทาง ร่างกายอ่อนแอยิ่งกว่าหลินไต้อวี้
เฮ้อ…
นอกจากความสัมพันธ์อันเน่าเฟะไม่ลงรอยกันของบิดามารดา ร่างกายของนางก็ไม่อาจฝึกยุทธ์ได้เลย และเพราะอยู่ในโลกที่บูชาผู้มีวรยุทธ์และผู้เลิศล้ำ นางจึงถูกลิขิตให้เป็นเด็กหญิงผู้แสนอาภัพ แม้นางจะเกิดจากภรรยาหลวง ครอบครัวท่านยายเรืองอำนาจยิ่งนัก แต่ท่านพ่อก็ไม่รัก ท่านแม่ก็ชิงชัง ถึงจะมีผู้สนับสนุนยิ่งใหญ่กว่านี้ ผลบุญคงไม่ตกมาถึงนาง
สิ่งที่นางพบเห็นหลังจากเกิดมาได้สามปี นอกจากห้องที่ตนเองอาศัยอยู่ก็คือเรือนของพี่ใหญ่ ถึงแม้จะเดินได้ แต่ก็ไม่เคยเดินออกไปด้านนอกเลย ยิ่งกว่านั้นที่ผ่านมานางไม่เคยพบหน้าท่านพ่อท่านแม่ หากมองโลกตามความเป็นจริงอีกสักนิด ไม่แน่ว่าขอทานอาจมีชีวิตดีกว่านาง
เพราะขอทานเดินทางได้ พบปะผู้คน รู้เรื่องรู้ราวมากกว่านางแน่นอน!
หากเริ่มแรกไม่ใช่พี่ใหญ่ยืนกรานจะดูแลนาง นางเชื่อเหลือเกินว่าชีวิตน้อยๆ นี้คงจะสูญหายไปจากแผ่นดินนี้นานแล้ว
“เฮ้อ…” คิดไปคิดมา ฉู่อีเหรินที่นั่งอยู่บนเตียงก็ถอนใจอีกครา ทว่าหลังจากถอนใจเสียงหนึ่ง นางก็คลี่ยิ้ม
ชาติที่แล้วนางเป็นเด็กกำพร้า ไร้ญาติพี่น้อง แต่ชาตินี้…แม้จะเกิดมาอย่างแปลกประหลาด แต่มีพี่ชายสองคนที่รักนางมาก คอยดูแลนาง ไม่คิดว่านางเป็นภาระแม้แต่น้อย ก็ยังนับว่าคุ้มค่าอยู่มากแล้ว ฮึๆๆ…
ฉู่อีเหรินกำลังดีใจอยู่คนเดียว ไม่เอะใจสักนิดเลยว่ามีหนุ่มน้อยรูปงามยืนอยู่หน้าประตูห้อง มองดวงหน้าเล็กๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างเงียบๆ จากสีหน้าที่เย็นชามาตลอดก็คลายลงโดยปริยาย มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปในห้อง
“ยิ้มอะไรอยู่”
“พี่ใหญ่กลับมาแล้ว!” ครั้นเห็นผู้มาเยือน ฉู่อีเหรินก็ร้องเรียกพลางยิ้มกว้าง
“อืม” ขณะพยักหน้า ฉู่เซวียนอั๋งก็เดินมาถึงข้างเตียง มองดวงหน้าเล็กๆ ซีดขาวของนาง ก่อนจะดึงข้อมือนางมาตรวจอาการ
หลังดูแลน้องสาวมาสามสี่ปี จากที่ฉู่เซวียนอั๋งไม่ประสีประสาเรื่องการแพทย์เลย จนกระทั่งยามนี้สามารถจับชีพจรได้แล้ว
“วันนี้อาการดีหรือไม่ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“ไม่มี” ฉู่อีเหรินยิ้มตาหยี “พี่ใหญ่ วันนี้ข้างนอกอากาศดีใช่หรือไม่ ข้าขอออกไปเดินเล่นได้หรือไม่เจ้าคะ”
ฉู่เซวียนอั๋งแน่ใจว่าชีพจรของนางสม่ำเสมอ สีหน้าและอุณหภูมิก็ปกติจึงพยักหน้า
“ได้”
“เช่นนั้นพาพี่เล็กออกไปข้างนอกด้วยกันได้หรือไม่”
“เจ้าอยากออกไปข้างนอก?” เดิมทีฉู่เซวียนอั๋งนึกว่าน้องสาวอยากออกไปเดินเล่นภายในเรือน ผู้ใดจะคิดว่านางกลับอยากออกไปข้างนอก จึงแปลกใจเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่นางบอกว่าอยากออกไปข้างนอก!
“อืม ข้าอยากไปร้านหนังสือ ไปเดินเล่นบนถนน” ฉู่อีเหรินเอ่ย
มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่านางอยากออกไปสำรวจโลกภายนอกใจแทบขาด เพียงแต่ร่างกายไม่เอาไหนคอยเป็นอุปสรรค ทำได้เพียงบำรุงรักษาตนเองอย่างว่านอนสอนง่าย แต่ช่วงหนึ่งเดือนมานี้นางสบายตัวขึ้น วันๆ เอาแต่นอนอยู่บนเตียง อุดอู้อยู่แต่ในเรือน นอกจากเดินเหินไม่กี่ก้าวก็อ่านหนังสือที่พี่ชายสองคนมอบให้เสียจนหมดทุกเล่ม ยามนี้อยากอ่านหนังสือเล่มใหม่ๆ ใจจะขาด ดังนั้นนางจึงอยากออกไปหาอาหารสมองมาเพิ่มเติม
“อ่านหนังสือหมดแล้ว?” ฉู่เซวียนอั๋งมองไปทางกำแพงด้านซ้ายแวบหนึ่ง
ชั้นหนังสือที่อยู่ติดกำแพงด้านหนึ่งมีหนังสือวางจนเต็มบนชั้นที่สาม อีกชั้นหนึ่งว่างเปล่า ข้างเตียงนางมีชั้นหนังสือเล็กๆ วางหนังสือได้ราวสิบเล่ม นางจะได้หยิบมาอ่านสะดวก หนังสือมากมายเช่นนี้นางอ่านหมดแล้ว?
“อืม” นางพยักหน้า
ฉู่เซวียนอั๋งตะลึงอีกครั้ง
ตอนเกือบสองขวบ อีเหรินน้อยไม่ต้องพักผ่อนทั้งวัน จึงเริ่มเรียนรู้ตัวอักษร เขียนตัวอักษร แล้วก็หัวไวยิ่งนัก หลังจากรู้หนังสือ ชีวิตนางแทบจะมีหนังสือเป็นสหาย ยามอาการดีขึ้นหน่อย มีแรง ก็จับพู่กันฝึกเขียนตัวอักษร กล่าวได้ว่านอกจากกินข้าว พักผ่อน และสนทนากับพวกเขาแล้ว นางล้วนกอดแต่หนังสือไม่ยอมวาง
สำหรับจุดนี้ฉู่เซวียนอั๋งรู้สึกโล่งอกเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้นางไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ ไม่อาจทำเรื่องอะไรที่รุนแรงได้ แต่อย่างน้อยนางอ่านหนังสือและเขียนตัวอักษรได้
แล้วที่ยิ่งต้องประหลาดใจก็คือฉู่อีเหรินมีความจำดีเยี่ยม วิชาพลังภายในและเคล็ดวิชากระบี่เทียนฉู่ของสกุลฉู่นั้น เขาสอนนางเพียงไม่กี่วันนางก็ท่องได้อย่างคล่องปรื๋อ นี่ทำให้ฉู่เซวียนอั๋งทั้งดีใจระคนเศร้าใจ น้องสาวของเขาเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดายที่ฝึกยุทธ์ไม่ได้
“พี่ใหญ่ ได้หรือไม่ พาข้าออกไปเดินเล่นหน่อย…” ฉู่อีเหรินออดอ้อน ดึงแขนพี่ใหญ่แกว่งไปมา
แม้ชาติก่อนนางมีอายุเกือบสามสิบปี แต่ยามนี้มีอายุเพียงสามขวบ การออดอ้อนพี่ใหญ่ที่มีอายุสิบเอ็ดขวบเป็นเรื่องธรรมดา ไม่นับว่าทำเกินเลย ไม่น่าอาย นางคอยเตือนตนเองเช่นนี้
“ได้” ฉู่เซวียนอั๋งเรียกสติกลับคืน ก่อนจะพยักหน้าด้วยสีหน้าอบอุ่น
“ขอบคุณพี่ใหญ่” ฉู่อีเหรินกอดเขาสักครู่ จากนั้นก็พูดอย่างติดอ่างเล็กน้อย “แต่ว่า…พี่ใหญ่ ถ้าไปครึ่งทางแล้วข้าเดินไม่ไหว พี่จะต้องแบกข้ากลับมานะ” แม้อยากออกไปเดินเล่น ทว่าฉู่อีเหรินเข้าใจสภาพร่างกายของตนเองดี
ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บก็ควรกราบขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากมีแรงเพียงใด…นั่นเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ
อันที่จริงฉู่อีเหรินเองมักจะสงสัยอยู่บ้างว่าร่างกายอ่อนแอจากการเกิดก่อนกำหนดจะต้องป่วยเช่นนี้หรือ หรือยังมีสาเหตุอื่นอีก
ที่น่าเสียดายก็คือนางไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านการแพทย์ของโลกนี้เลย แล้วก็ไม่มีเครื่องมือตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าอย่างในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ดังนั้นจึงไร้หนทางวินิจฉัย แต่ถ้ามีโอกาส นางจะต้องตั้งใจศึกษาวิชาแพทย์ นี่นับเป็นความสามารถพิเศษ ต่อไปในภายภาคหน้านางคงต้องพึ่งอาชีพนี้ในการดำรงชีวิตต่อไปในแผ่นดินนี้
“ได้” ฉู่เซวียนอั๋งพยักหน้าทันที
“ขอบคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ” ฉู่อีเหรินยิ้มอย่างดีใจ อย่าคิดว่าพี่ใหญ่มีอายุแค่สิบเอ็ดขวบ ในสายตานางเขาเป็นยอดฝีมือที่เดินบนชายคากำแพงราวเหาะเหินได้ มีฝีมือเพลงกระบี่เหนือชั้น ส่วนสูงเกินหนึ่งร้อยห้าสิบกงเฟิน ถ้าจะแบกนางซึ่งมีน้ำหนักไม่ถึงยี่สิบกงจิน ส่วนสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยกงเฟิน ไม่นับเป็นปัญหาแน่นอน
“ไม่เป็นไร” ฉู่เซวียนอั๋งลูบหัวนาง
ในเมื่อจะออกไปข้างนอก แน่นอนว่าไม่อาจปล่อยผมสยายได้ ฉู่เซวียนอั๋งจึงหยิบหวีมาสางและผูกผมที่ยาวเกือบถึงเอวของนางเป็นหางม้าสองข้าง จากนั้นจึงรัดด้วยแถบผ้าสีฟ้า แล้วค่อยกำชับว่า “เจ้ารอพี่เล็กอยู่ที่นี่ พี่ใหญ่จะไปจัดการอะไรสักหน่อย อีกสักครู่พวกเราก็จะออกไปข้างนอก”
“ได้” นางพยักหน้า มองส่งพี่ใหญ่เดินออกไปอย่างว่าง่าย หลังจากนั้นก็ปีนลงจากเตียง เปิดตู้เสื้อผ้า หาเสื้อกันลมสักตัว แล้วค่อยซ่อนกระเป๋าสตางค์ใบเล็กที่ใส่เงินค่าขนมในกระเป๋าเสื้อกันลม ตระเตรียมทุกอย่างจนเรียบร้อย
เรื่องเงินค่าขนมก็ต้องยกความดีให้กับข้อดีของตระกูลใหญ่ซึ่งมีกิจการใหญ่โต
แม้ผู้คนในตระกูลมั่งคั่งนี้จะไม่ค่อยสนใจไยดีนาง ทว่าเงินค่าขนมทุกเดือนที่มอบให้ลูกหลานกลับไม่เคยขาดสักอีแปะเดียว…แน่นอนว่าก็ต้องขอบคุณพี่ใหญ่ของนางด้วย
คุณชายใหญ่สกุลฉู่ไปรับเงินเดือนด้วยตนเอง ใครจะกล้าไม่ให้
ทุกครั้งที่รับเงินกลับมา พี่ใหญ่จะช่วยนางเก็บ ปกติเรื่องกินอยู่พี่ใหญ่จะจัดการให้อย่างดี นางไม่ต้องเป็นกังวลเลย ดังนั้นผ่านมาสามปีจึงไม่มีโอกาสให้ใช้เงิน เงินที่เก็บสะสมไว้ก็มีจำนวนไม่น้อย วันนี้ออกไปข้างนอกจะต้องซื้อของให้สะใจ
ฉู่อีเหรินกอดเสื้อกันลม นั่งรอพี่เล็กที่เก้าอี้นอกห้อง
แต่น่าแปลกจริงๆ เพราะช่วงเช้าจะเป็นเวลาฝึกยุทธ์ของพวกเขา เวลาเริ่มและเลิกฝึกของทั้งสองคนจะไล่เลี่ยกัน ปกติพี่ใหญ่และพี่เล็กจะมาด้วยกัน เหตุใดวันนี้พี่เล็กมาช้าเช่นนี้
ฉู่อีเหรินรอไปรอมา นั่งรออยู่บนเก้าอี้อย่างเบื่อหน่าย ขาทั้งสองข้างแกว่งไปมาในอากาศ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดเสียดสีแดกดันดังมาจากด้านนอก
“…ลูกหลานสกุลฉู่สามขวบก็รู้หนังสือ ห้าขวบก็ฝึกยุทธ์ ถึงจะมีพรสวรรค์ ถ้าเป็นคนธรรมดา ฝึกปีครึ่งก็ได้ถึงขั้นดิน ระดับสอง แต่เจ้า ฉู่เซวียนฉี ทั้งที่มีพี่ชายที่มีพรสวรรค์แท้ๆ ทว่าฝึกมาสองปีกว่ากลับยังไม่ผ่านขั้นดิน ระดับหนึ่ง ข้าว่าเจ้าเลิกฝึกเสียเถอะ อย่างไรเสียน้องสาวเจ้าก็ไร้ความสามารถในการฝึกยุทธ์ ป่วยตั้งแต่ต้นปียันท้ายปี แม้แต่ประตูห้องยังก้าวไม่พ้น เจ้าก็ไปอยู่เป็นเพื่อนนาง ไม่ต้องออกมา ต่อไปก็ให้พี่ใหญ่เลี้ยงเจ้าอีกคนแล้วกัน!”
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.