X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2

ทดลองอ่าน ยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2 เล่ม 3 บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 1

โม่อีเหรินมองท่าทีของไป่หลี่จิงหงอยู่ตลอด เขากัดฟัน นางก็กัดฟันตาม

จวบจนเส้นเลือดสีดำปรากฏขึ้น นางถึงได้โล่งใจ

หลังนางหยิบหินวิเศษออกมาวางเป็นค่ายกลวิเศษล้อมรอบไป่หลี่จิงหงเสร็จก็เดินมาหยุดเบื้องหน้าเขา และหยดไขเย็นพันปีเข้าในปากเขาหยดหนึ่ง

ไอวิเศษในแหวนพู่สวรรค์ที่เดิมทีหลั่งไหลมาอย่างช้าๆ เวลานี้กลับพุ่งเข้าหาไป่หลี่จิงหงอย่างรวดเร็ว เมื่อกอปรกับมีผลจากค่ายกลวิเศษ ไอวิเศษจึงยิ่งถาโถมเข้าในกายของเขามากขึ้นเป็นเท่าทวี

“ตั้งจิตมั่น ฝึกร่างกาย”

เสียงของโม่อีเหรินก้องดังในห้วงสมองของไป่หลี่จิงหง เขาเข้าสู่ภาวะฝึกบำเพ็ญทันที บีบอัด สะสม บีบอัด สะสมไอวิเศษที่เข้ามาในกายสลับไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน

เพียงไม่นานไป่หลี่จิงหงก็ปะทะกับสิ่งกางกั้นก่อนจะเลื่อนขั้น พลังทั่วร่างเพิ่มขึ้นพรวดพราดในทันใด

ไป่หลี่จิงหงเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่น

หากแต่ไอวิเศษที่หลั่งไหลมามิได้หยุดลงเพราะเหตุนี้ กลับยิ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เวลานี้ไขเย็นพันปีเองก็ตามไอวิเศษเข้าไปอยู่ในชีพจรแล้วเช่นกัน

ไขเย็นพันปีเกิดขึ้นมาโดยมีไอวิเศษหล่อเลี้ยง ยิ่งมีอายุผ่านพันปียิ่งบริสุทธิ์ เพื่อที่จะสกัดไขเย็นพันปี ไป่หลี่จิงหงจึงชะลอการดูดซับไอวิเศษจากภายนอกลงโดยไม่รู้ตัว

โม่อีเหรินถือโอกาสเอาหินวิเศษที่ไม่เหลือไอวิเศษแล้วออก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหินวิเศษชุดใหม่

การสกัดนี้ใช้เวลาไปสามวันสามคืนเต็มๆ กว่าไป่หลี่จิงหงจะเริ่มดูดซับไอวิเศษภายในแหวนพู่สวรรค์เป็นปริมาณมากอีกครั้ง

ไม่ถึงครู่เดียว เค้าลางการเลื่อนขั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง…

แล้วก็ผ่านไปอีกสามวันสามคืนกว่าไป่หลี่จิงหงจะลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า

ครั้นลืมตาขึ้นก็มองเห็นโม่อีเหรินที่เฝ้าอยู่เบื้องหน้าเขา อีกทั้งเสี่ยวทุนกับเขี้ยวเงินที่อยู่ด้านหลังนาง รวมไปถึงหินวิเศษที่แตกเป็นเสี่ยงอยู่บริเวณโดยรอบ

“ร่างกายเป็นอย่างไร ดีขึ้นแล้วหรือไม่” โม่อีเหรินถามทันควัน

“ดีขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว และยังเลื่อนขั้นติดต่อกันสองขั้นด้วย”

ภายในกายไม่มีความรู้สึกติดขัด ชีพจรที่เสียหายไม่เพียงฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์ แต่ยังขยายตัวขึ้นด้วย ตอนนี้ในร่างกายมีไอวิเศษอยู่เต็มเปี่ยม จะยกแขนหรือแกว่งขาก็คล้ายกับว่าอยู่ในการควบคุมทั้งสิ้น

เนื่องจากก่อนหน้านี้สภาพจิตใจรุดหน้า จึงทำให้พลังยุทธ์ที่มั่นคงแข็งแรงแล้วหลังจากไป่หลี่จิงหงเลื่อนขั้น เลื่อนขึ้นไปถึงปลายยอดของขั้นแบ่งจิต อีกแค่นิดเดียวก็สามารถเลื่อนขึ้นถึงขั้นถอดจิตได้

ส่วนญาณวิเศษของเขาที่พอเข้ามาในแหวนพู่สวรรค์ก็ถูกจำกัดไว้ บัดนี้ก็ได้ขยายระยะออกไปอีกเท่าตัวแล้ว

“ดีเหลือเกิน” โม่อีเหรินยิ้มออกมา ก่อนจะล้มเข้าสู่อ้อมกอดของไป่หลี่จิงหง

“อีเหริน” ไป่หลี่จิงหงหน้าถอดสี

“ท่านพ่อ ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านแม่เพียงแต่เหนื่อยแล้ว พักสักหน่อยก็ดีขึ้น” เสี่ยวทุนที่สื่อสนองกับโม่อีเหรินได้โดยตรงพูดขึ้นในทันใด

“ห้องของอีเหรินอยู่ทางนั้น” เขี้ยวเงินชี้เรือนไม้เรือนหนึ่งทันที

ไป่หลี่จิงหงอุ้มโม่อีเหรินขึ้นมา พานางไปไว้ในห้อง

เดิมทีไป่หลี่จิงหงอยากจะเฝ้าอยู่ข้างๆ แต่กลับได้ยินเขี้ยวเงินพูดว่า “ไปอาบน้ำที่ริมทะเลสาบได้”

“ต้องอาบให้ตัวหอมๆ” เสี่ยวทุนพูดสมทบ

ไป่หลี่จิงหงถึงได้ค้นพบว่าชุดดำบนร่างตนเองเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นเน่า

นั่นเป็นเลือดเสียและปราณเสียที่ถูกขับออกมานอกร่างกาย

ไป่หลี่จิงหงทำหน้าเย็นเยียบปานภูเขาน้ำแข็ง ก่อนจะหมุนตัวเดินไปริมทะเลสาบทันที

 

มุมชั้นหนึ่งของหอสุราฝูอวิ้นไหล หลิงเซ่าจวินที่ยึดครองโต๊ะสี่ที่นั่งตัวหนึ่งไว้ผู้เดียวกำลังดื่มชาวิเศษอย่างใจเย็น

บุคลิกสง่าผ่าเผยเฉกเช่นที่ผ่านมา ทำให้คนมองไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่าภายในใจเขากำลังมีเมฆดำปกคลุมหนาทึบ พร้อมที่จะมีฝนตกฟ้าผ่าลงมาได้ทุกเมื่อ

หลายวันมานี้เมืองโยวหูมีคนเพิ่มมากขึ้น คนจากกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ ก็ค่อยๆ มากันครบแล้ว ทุกวันล้วนจะเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ชาวเมืองโยวหูแทบจะไม่เข้าเมืองแล้ว เพียงรวมตัวกันอยู่ในเขตที่พักอาศัยของตนเอง มิเช่นนั้นเกิดถูกลูกหลงจากคนที่วิวาทกันขึ้นมาจะถือว่าโชคร้ายมากเพียงไร

หลายวันมานี้หอสุราฝูอวิ้นไหลทั้งหอก็นับว่ามีคนเข้าพักเต็มแล้ว นอกจากคนของภาคีผู้ฝึกตนก็ยังมีคนของเฟิ่งไหวซินกับหลงชิงเหยี่ย

อีกผู้หนึ่งจากภาคีผู้ฝึกตนที่ควรมาถึงก็มาถึงแล้ว…คือประมุขน้อยแห่งหอหลอมประดิษฐ์

เมื่อพิจารณาถึงการเข้าไปในแดนสมบัติรวมถึงข้อจำกัด คุณสมบัติ และความสามารถของคนในรายชื่อ การเข้าแดนสมบัติแรกนภาในครั้งนี้จึงให้หอโอสถ หอหลอมประดิษฐ์ และหอลงทัณฑ์เป็นทัพหลัก

หากแต่คนบางคนหลังจากส่งข่าวมาตอนดึกก็เริ่มเล่นซ่อนแอบ จนบัดนี้เข้าวันที่สิบแล้วก็ยังคงไม่เห็นเงา

หาคนก็หาไม่เจอ ส่งข่าวก็ไร้การตอบรับ ทำให้เมฆเหนือศีรษะหลิงเซ่าจวินมืดครึ้มขึ้นทุกวัน

เฟิ่งไหวซินกับหลงชิงเหยี่ยพอจะรู้นิสัยของเขา สองวันมานี้จึงหลีกลี้หนีหน้า ไม่กล้ามาหาเขาส่งเดช

ต่อให้ชาวิเศษอร่อยเพียงไรก็ไม่สำคัญเท่าชีวิต

ตามคำบอกของเฟิ่งไหวซิน ‘ชายหนุ่มรูปงามผู้มีกิริยาสง่าผ่าเผย ระยะนี้อารมณ์ไม่สู้ดี นิสัยใจคอโน้มเอียงไปทางมังกรพ่นไฟ อันตราย อันตรายมาก ต้องระวัง’

มีเพียงประมุขหอน้อยแห่งหอหลอมประดิษฐ์ซึ่งเพิ่งรุดมาถึงเมื่อเย็นวานมิได้รู้ต้นสายปลายเหตุ และมิได้รู้สึกถึงพยับเมฆหนาทึบโดยสิ้นเชิงหลังจากตื่นนอนก็ยังคงทะเล่อทะล่าเอาตัวไปอยู่เบื้องหน้าหลิงเซ่าจวิน

ประมุขหอน้อยแห่งหอหลอมประดิษฐ์ หลงชิงเหยา ได้ผสานเชื้อไฟอัศจรรย์ของฟ้าดินเข้าในร่างกาย ภายนอกดูมีลักษณะเป็นคนหนุ่มรูปงามที่เวลาถูกหยุดไว้ในช่วงเพิ่งเติบโตมาโดยตลอด ทว่าอายุจริงนั้นร่วมสามร้อยปีแล้ว เป็นช่างหลอมผู้สามารถหลอมอาวุธวิเศษซึ่งในดินแดนแรกนภามีอยู่น้อยยิ่งกว่าหมอโอสถขั้นเจ็ด

“เซ่าจวิน หลับสบายหรือไม่”

“ท่านเล่าหลับสบายหรือไม่ ไฉนจึงไม่นอนต่ออีกหน่อย” หลิงเซ่าจวินย้อนถาม ทำท่าบอกให้เขานั่งลง จากนั้นก็รินชาวิเศษถ้วยหนึ่งวางไว้ตรงหน้าเขา

อีกถ้วยรินให้องครักษ์ที่เดินมาช้ากว่าหลงชิงเหยาหนึ่งก้าว

“ข้าเพิ่งมาเมื่อคืน ยังไม่รู้สถานการณ์อะไร ไม่รู้เช่นกันว่าต้องร่วมมือกับพวกท่านอย่างไร จึงอยากมาถามท่านดูก่อน” หลงชิงเหยาพยายามทำตัวให้ตื่น

หลิงเซ่าจวินให้สะทกสะท้อนใจขึ้นมาในทันที นี่สิถึงจะเป็นท่าทีที่ชายหนุ่มผู้เก่งกล้าสามารถมีความรับผิดชอบพึงมี ไม่เหมือนคนบางคนที่จู่ๆ ก็หายตัวไปกลางดึก นั่นเป็นเพราะอะไรกัน

“คนของหอหลอมประดิษฐ์มากันครบแล้วหรือ” หลิงเซ่าจวินถาม

“อืม มาครบแล้ว” หลงชิงเหยาตอบแต่โดยดี

“คนที่หอยุทธ์ หอวาณิช หอวิเวกส่งมาก็มาถึงแล้วเช่นกัน ตอนนี้มีแค่…ประมุขหอน้อยแห่งหอลงทัณฑ์ยังไม่กลับมา นอกจากนี้ยังมีคนของสกุลไป่หลี่ที่ต้องจัดการอีก”

อันที่จริงคำว่า ‘ประมุขหอน้อยแห่งหอลงทัณฑ์’ นี้ หลิงเซ่าจวินอยากพูดว่า ‘ภูเขาน้ำแข็งจอมหายหัว’ มากกว่า

“จริงด้วย ไป่หลี่จิงหงไม่อยู่” หลงชิงเหยาเพิ่งจะนึกได้ว่ายังไม่ได้เห็นไป่หลี่จิงหงเลย

“…” ท่าทีตอบสนองนี้ยังสามารถเชื่องช้ากว่านี้ได้อีกหรือไม่

“ไป่หลี่จิงหงไปที่ใดแล้ว”

เขาไม่ถามยังดี พอถามขึ้นมาก็ทำเอาหลิงเซ่าจวินตาเขียว แม้สีหน้าท่าทางจะยังคงเป็นคุณชายผู้สง่างามก็ตามที

“พาคู่หมั้นของเขาหนีออกไปอยู่ในโลกส่วนตัวกันสองคนแล้ว”

“อ้อ…” ที่แท้ก็พาคู่หมั้น…ทันใดนั้นชาที่เพิ่งดื่มก็ถูกพ่นออกมา “คู่…คู่หมั้น?!”

ช้ามากจริงๆ

หลิงเซ่าจวินมองท่าทางตระหนกตกใจจนภาพลักษณ์คนหนุ่มรูปงามหายไปสิ้นของหลงชิงเหยาพลางพยักหน้าอย่างหมดคำจะกล่าว

“ถูกต้อง คู่หมั้น”

จากนั้นเขาก็มองดูมือข้างหนึ่งยื่นมาจากด้านหลังหลงชิงเหยา หยิบผ้าเช็ดหลังมือและเสื้อผ้าที่ถูกน้ำชาพ่นใส่จนเปียกให้เขาอย่างสุขุมเยือกเย็นยิ่ง

“อา…เอ่อ…” หลงชิงเหยาปากพะงาบเพราะพูดไม่ออก เขาจำได้ว่าไป่หลี่จิงหงยังนับว่าอ่อนเยาว์อยู่กระมัง

ในสายตาพวกเขาอีกฝ่ายก็มีอายุไม่ต่างจากทารก แต่ถึงกับมีคู่หมั้นแล้ว

เป็นไป่หลี่จิงหงรวดเร็วจนน่าตกใจ หรือเป็นพวกเขาช้าเกินไปกันแน่

ทว่าเรื่องนี้ชวนให้คนอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก

“คู่หมั้นของไป่หลี่จิงหงเป็นสตรีเช่นไร” หลงชิงเหยาอดจะเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้

ไป่หลี่จิงหงเป็นภูเขาน้ำแข็งเดินได้เชียวนะ…เหล่าประมุขหอน้อยต่างต้องเกิดข้อสงสัยเช่นเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าต้องเป็นสตรีเช่นไรถึงทำให้ภูเขาน้ำแข็งหวั่นไหวได้

“เป็น…” หลิงเซ่าจวินคิดชั่วครู่ “เด็กหญิง…ที่น่ารักงดงามมาก แต่ก็อันตรายมากเช่นกัน”

“เด็กหญิง?” หลงชิงเหยาทำหน้าฉงนสนเท่ห์

“นางน่าจะอายุน้อยยิ่งกว่าไป่หลี่จิงหง เพิ่งจะสิบกว่าเองกระมัง” หลิงเซ่าจวินเดา

“…” ผู้เยาว์! พรากผู้เยาว์!

ประเดี๋ยวก่อน ไป่หลี่จิงหงเองก็เป็น ‘ผู้เยาว์’ เหมือนกัน

ผู้เยาว์สองคนมาเจอกัน…หลงชิงเหยาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรแล้ว

สำหรับผู้ที่ฝึกบำเพ็ญมาตั้งแต่เล็ก ทั้งใจมุ่งมั่นอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ หายใจเข้าออกก็เป็นการฝึกบำเพ็ญอย่างพวกเขา คู่หมั้นคืออะไร นั่นเป็นเรื่องไกลตัวประหนึ่งอยู่ต่างมิติเลยทีเดียว

หลงชิงเหยาถูกเรื่องนี้ทำให้ตระหนกตกใจเข้าแล้ว จึงไร้ปัญญาจะตอบสนองใดๆ ได้

องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเขาเคยชินกับการตอบสนองอันเชื่องช้าของเขาเป็นอย่างมาก จึงนำอาหารเช้าที่เพิ่งส่งมามาวางลงตรงหน้าเขา ก่อนจะยัดตะเกียบใส่มือ ให้เขาลงมือกิน

“อู๋หยา เจ้าก็กินเถอะ” หลิงเซ่าจวินกล่าว

ชิงอู๋หยาพยักหน้าให้เขา ก่อนนั่งลงอีกข้างหนึ่ง แล้วเริ่มกินอย่างรวดเร็ว

ขณะที่กินเขาก็ยังไม่ลืมให้ความสนใจหลงชิงเหยา ช่วยคีบกับข้าวให้อีกฝ่ายเป็นระยะ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกินแค่ข้าวอย่างเดียวโดยลืมไปว่ายังมีกับข้าวและน้ำแกงอยู่ด้วย

มองดูสองคนตรงหน้านี้ คนหนึ่งเห็นได้ชัดว่าทำงานคล่องมือยิ่ง ส่วนอีกคนก็ได้รับการดูแลอย่างไม่มีสะดุด หลิงเซ่าจวินให้รู้สึกหมดคำพูดยิ่ง

ทันใดนั้นก็พลันรู้สึกว่าทุกคนล้วนมีอุปนิสัยเฉพาะตัวเด่นชัด แต่เขากลับไม่มีลักษณะพิเศษใดๆ

รู้สึกเหมือนสู้ไม่ได้อย่างไรชอบกล…

“เซ่าจวิน เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร” หลังกินข้าวเสร็จแล้ว หลงชิงเหยาก็ถามขึ้นอีก

ตามที่อาจารย์ส่งข่าวมาก่อนออกเดินทาง แดนสมบัติน่าจะปรากฏขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว

“จัดการปัญหาเรื่องตัวประกันก่อน”

“ตัวประกัน?”

“คือคนของตระกูลไป่หลี่” หลิงเซ่าจวินเล่าเรื่องในคืนนั้นให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ

หลงชิงเหยาร้องขึ้นอย่างแจ้งใจในฉับพลัน “อ้า ข้านึกขึ้นได้แล้ว อาจารย์บอกว่า…ไป่หลี่จิงหงเกิดโทสะขับไล่สตรี”

“…” นี่เป็นการนึกขึ้นได้อะไรกัน

“ท่านยังไม่ได้ส่งตัวพวกเขาคืนไปอีกหรือ” หลงชิงเหยาจำได้ว่านั่นน่าจะเป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อสิบวันก่อนแล้ว ไฉนคนจึงยังอยู่ที่นี่อีก

“เพราะว่า…” หลิงเซ่าจวินพลันมองไปยังทิศทางห้องพักที่ด้านหลัง

“กลับ-มา-ได้-เสีย-ที” เสียงกัดฟันกรอดดังขึ้นในประโยคนั้นของหลิงเซ่าจวิน

“ใครกลับมา” หลงชิงเหยาหน้าตางุนงง

ทว่ายามนี้หลิงเซ่าจวินหายตัวไปแล้ว

“เอ่อ…” หลงชิงเหยาได้แต่เลื่อนสายตาตั้งคำถามไปมององครักษ์ของตน

“ไป่หลี่จิงหง” ชิงอู๋หยาตอบ

คราวนี้หลงชิงเหยาถึงได้พลันแจ้งใจ “เช่นนั้นพวกเราก็ไปบ้าง”

เขาอยากไปดูผู้เยาว์สองคนนั้นแล้ว

หอสุราฝูอวิ้นไหลแบ่งออกเป็นสองอาคารหน้าหลัง ห้องพักรวมอยู่ในอาคารด้านหลัง เนื่องจากกินเนื้อที่ทั้งอาคาร ห้องพักแขกจึงแบ่งออกเป็นสามเขต

แบ่งเป็นซ้าย กลาง และขวาโดยมีบันไดคั่น

คนของภาคีผู้ฝึกตนพักอยู่ในเขตกลางที่มีจำนวนห้องพักมากที่สุด ห้องของไป่หลี่จิงหงและพวกหลิงเซ่าจวินอยู่บนชั้นห้าอันเป็นชั้นที่สูงที่สุด

หลิงเซ่าจวินเคลื่อนกายมาถึงหน้าประตูห้องของไป่หลี่จิงหง ครั้นยกมือเตรียมเคาะ…ประตูก็เปิดออกเอง

เพลิงโทสะที่กำลังตั้งเค้าอยู่ของหลิงเซ่าจวินถูกการตอบสนองอันเหนือความคาดหมายนี้ขัดจังหวะไปเล็กน้อย แต่เขายังคงก้าวเท้าเดินเข้าไป

ครั้นมองเห็นไป่หลี่จิงหง เขาก็หยุดฝีเท้าลงด้วยความตกตะลึง

“นี่ท่านหายดีแล้ว?!”

ตัวของหลิงเซ่าจวินเป็นหมอโอสถขั้นเจ็ด ทั้งยังเป็นผู้รับหน้าที่รักษาไป่หลี่จิงหง สามารถกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่เข้าใจสภาวะร่างกายของอีกฝ่ายดีที่สุด

ก่อนหน้านี้การหายใจของไป่หลี่จิงหงจะค่อนข้างตื้น ในสีหน้าที่ดูคล้ายเป็นปกติ อันที่จริงมีสีคล้ำน้อยๆ การก้าวเดินแม้จะมั่นคงหนักแน่น แต่กลับมีแรงไม่พอ ขณะเดียวกันก็อ่อนล้าได้ง่าย

หากแต่ตอนนี้อาการเหล่านี้ได้หายไปเป็นปลิดทิ้งแล้ว

ไม่เพียงเท่านี้ นัยน์ตาสีม่วงยังเปล่งประกายวับวาม สีหน้าไม่ได้อมโรคเหมือนที่ผ่านมา อีกทั้งท่าทางยังสุขุมหนักแน่นแต่กลับยิ่งดูบีบคั้นคนยิ่งกว่าเดิม…คล้ายกับว่าเปลี่ยนโฉมหน้ามาใหม่ทั้งหมดเลยทีเดียว

นี่มิใช่แค่หายดี แต่ยังมีสัญญาณของการที่พลังยุทธ์เพิ่มพูนขึ้นอย่างมากอีกด้วย

มิหนำซ้ำพลังยุทธ์ของไป่หลี่จิงหงก็มั่นคงแข็งแรง มิได้มีอาการเลื่อนลอยไม่แน่ไม่นอนเหมือนอย่างเวลาที่ฝืนเลื่อนขั้นแม้แต่น้อย

หลิงเซ่าจวินมีท่าทางกระตือรือร้นสุดขีดขึ้นมาในชั่วพริบตา “ไป่หลี่จิงหง เป็นผู้ใดรักษาท่าน”

อาการบาดเจ็บของไป่หลี่จิงหงนั้นยุ่งยากมากเพียงไร เขารู้ดี คนผู้นี้ทำให้เขาพิศวงสงสัยเหลือเกินแล้ว

ที่ยิ่งสงสัยคือคนผู้นั้นใช้วิธีการหรือยาอะไรมารักษาไป่หลี่จิงหงจนหายดีได้

ขณะหลงชิงเหยากับชิงอู๋หยาไล่ตามมาถึง ก็มองเห็นหลิงเซ่าจวินจับไป่หลี่จิงหงไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“เอ่อ…เซ่าจวิน จับผู้อื่นเยี่ยงนี้น่าจะเจ็บยิ่งนักกระมัง” หลงชิงเหยาเอ่ยเตือนเสียงเบา

“…” นี่คือประเด็นสำคัญหรือ

“พวกเรานั่งลงค่อยๆ คุยกันเถอะ” ดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าตนเองพูดอะไรผิดไป หลงชิงเหยาจึงเอ่ยแนะนำแก้เก้อ

“ไม่ได้ ต้องบอกมาก่อนว่าคนที่รักษาท่านคือใคร ตอนนี้อยู่ที่ใด แล้วจะนั่งก็ค่อยนั่ง” จากนั้นเขาจะไปหาคน หากแต่ไป่หลี่จิงหงเมินคำถามของเขาไปโดยสิ้นเชิง

“นั่ง”

คำนี้คำเดียวก็โค่นหลิงเซ่าจวินลงได้

“ไป่หลี่จิงหง ท่านพูดมากขึ้นสักสองสามคำไม่ได้เชียวหรือ”

ไป่หลี่จิงหงใช้สายตาตอบเขาว่า ‘ยุ่งยาก’

“อย่างน้อยก็บอกนามของผู้ที่ช่วยท่านไว้มา”

“นาง”

สายตาของบุรุษทั้งสามมองไป

นาง?

โม่อีเหรินนั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง บนบ่าขวามีสัตว์ตัวน้อยสีเงินเกาะอยู่ตัวหนึ่ง นางสวมชุดตัวนอกสีแดงใบเฟิง* แขนเสื้อสีขาวบานออกราวกับกลีบบุปผาตามการเคลื่อนไหวของมือนาง

โม่อีเหรินยุ่งมาก…กำลังกินลูกสนที่แกะเปลือกเรียบร้อยแล้วอยู่

“นาง?!” ผู้ที่ตกใจที่สุดคือหลิงเซ่าจวิน

แต่อันที่จริงก็ไม่สมควรตกใจถึงเพียงนั้น เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าโม่อีเหรินเป็นหมอโอสถ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่านางจะสามารถรักษาไป่หลี่จิงหงให้หายดีได้ภายในเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน

หลิงเซ่าจวินรู้สึกว่าตนเองถูกทำให้สะเทือนใจเข้าแล้ว…

“นาง?” หลงชิงเหยารู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวนางยิ่ง

นางก็คือผู้เยาว์ผู้นั้นนั่นเอง!

อายุน้อยมากจริงๆ นับว่าเป็นผู้เยาว์ของผู้เยาว์อีกทีได้เลยทีเดียว

มิหนำซ้ำยังน่ารักและงดงามมากเหมือนที่หลิงเซ่าจวินว่า

ส่วนที่บอกว่า ‘อันตรายมาก’ นั้น…ตรงที่ใดกัน

“ไป่หลี่จิงหง นางคือ?” หลงชิงเหยาตัดสินใจเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ยิ่ง

“คู่หมั้นข้า โม่อีเหริน” คำตอบของไป่หลี่จิงหงประหยัดถ้อยประหยัดคำเหมือนดังที่แล้วมา

หลงชิงเหยารู้สึกว่าปกติยิ่ง ทว่าหลิงเซ่าจวินที่เคยได้ยินเขากับโม่อีเหรินคุยกันกลับมีท่าทีเดียดฉันท์

ทว่าตอนนี้เขายังไม่มีเวลามาเดียดฉันท์อย่างจริงจังแล้ว

หลิงเซ่าจวินออกตัววิ่งปราดมาถึงข้างโม่อีเหรินทันที

“โม่อีเหริน ท่านรักษาไป่หลี่จิงหงได้อย่างไร”

“อืม…” โม่อีเหรินเคี้ยวลูกสนเม็ดหนึ่ง กลืนลงไปแล้วถึงพูดต่อ “ก็รักษาอย่างนี้”

“รักษาอย่างใด”

แม้คำตอบของโม่อีเหรินจะขอไปทียิ่ง แต่หลิงเซ่าจวินมีน้ำอดน้ำทน ยังคงถามต่อไป

“ใช้ยา”

“ยาอะไร”

“อืม…ยาลูกกลอนลี้มรณะฉบับปรับปรุง” ชื่ออย่างเป็นทางการยังไม่ได้ตั้ง

“ยาลูกกลอนลี้มรณะ?” ซ้ำยังเป็นฉบับปรับปรุง?! หลิงเซ่าจวินเบิกตามองนาง

เวลานี้เองไป่หลี่จิงหงกลับพลันพูดขึ้น “อีเหริน มานั่งตรงนี้”

“ได้” โม่อีเหรินกระโดดลงจากขอบหน้าต่าง วิ่งตึงตังไปนั่งลงข้างไป่หลี่จิงหงทันที

ไป่หลี่จิงหงหยิบลูกสนอีกถุงออกมาเริ่มแกะเปลือก แกะเสร็จก็วางลูกสนลงในจานเล็กเบื้องหน้าโม่อีเหริน

ส่วนโม่อีเหรินพอกินลูกสนในมือหมดก็หยิบชุดน้ำชาชุดหนึ่ง กระบอกไผ่หยกที่มีลายงูเขียวดูน่ารักยิ่งใบหนึ่ง และน้ำบริสุทธิ์หนึ่งกาออกมาชงชา

ใบชานี้ยังเป็นของที่คั่วด้วยความเสียใจในคืนนั้นอีกด้วย

ใบชานี้มาจากต้นชาที่โม่อีเหรินปลูกมาห้าปีแล้ว เนื่องจากสองปีมานี้เพิ่งจะทยอยแตกยอด มียอดอ่อนใบชางอกขึ้นมา ดังนั้นโม่อีเหรินถึงเพิ่งได้ลองชงชาไปแค่สองครั้ง

ปริมาณชาที่ชงสำเร็จมีน้อยเหลือเกิน แต่น้ำชาที่ชงออกมามีสีอ่อนใส กลิ่นหอมอ่อนๆ ทว่าคงอยู่เนิ่นนาน

โดยเฉพาะหลังจากเริ่มชง กลิ่นชาอ่อนๆ ทำให้คนได้กลิ่นแล้วสติปลอดโปร่ง จิตใจผ่อนคลายมาก

หลิงเซ่าจวิน หลงชิงเหยา และชิงอู๋หยามองไปที่ชากานั้นพร้อมกัน

“ชาใหม่?” ไป่หลี่จิงหงได้กลิ่นชาก็รู้ทันทีว่าไม่เหมือนกับเมื่อก่อน

“อืม ข้าปลูกมาห้าปีเพิ่งจะงอกออกมาเชียวนะ มิหนำซ้ำตอนคั่วชาก็ควบคุมกำลังไฟได้ยากยิ่ง ครั้งแรกที่ข้าทำนั้นล้มเหลวเกือบทั้งหมด” นั่นเป็นความล้มเหลวที่โม่อีเหรินแทบจะไม่เคยประสบเลย

ทว่าพอทำครั้งที่สอง นางก็มีความมั่นใจในการควบคุมไฟแล้ว ดังนั้นจึงผิดพลาดน้อยลงกว่าคราแรก

น่าเสียดายที่ชาวิเศษต้นนี้มีใบชางอกออกมาไม่มาก มิเช่นนั้นนางคงยังลองได้มากกว่านี้

การชงชาชนิดนี้น่าจะยังมีที่ว่างให้พัฒนาได้อีก ส่วนรสชาติน่ะหรือ…

ไป่หลี่จิงหงดื่มแล้วก็มุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย แต่แล้วก็คลายออกในทันที

“ไม่อร่อย?” โม่อีเหรินมองสีหน้าเขาโดยตลอด นั่นเป็นอากัปกิริยาที่เล็กยิ่ง ไม่สังเกตก็ไม่เห็นโดยสิ้นเชิง

ภูเขาน้ำแข็งมุ่นหัวคิ้วล่ะ…

“เข้าปากมีรสหวานน้อยๆ ลงคอกลับหวานปนเฝื่อน ไม่นับว่าอร่อย ทว่า…ใบชาดีมาก”

ขวับ! ขวับ! ขวับ! การตอบของไป่หลี่จิงหงเรียกให้สายตาสามคู่จ้องมองมาเป็นตาเดียวอีกครั้ง

นี่เป็นการตอบแบบเต็มประโยค มิใช่ย่อเสียเหลือไม่กี่คำจนไม่อาจย่อไปมากกว่านี้ได้

“นี่คือไป่หลี่จิงหง?” ไม่ผิดกระมัง

หลงชิงเหยาที่ยังไม่เคยเห็น ‘ไป่หลี่จิงหงพูดคุย’ ดึงแขนเสื้อหลิงเซ่าจวินก่อนถามอย่างอดไม่ได้

“ใช่แล้ว เขานั่นล่ะ” หลิงเซ่าจวินมีสีหน้าหนักอึ้งจนดูเหมือนเศร้าระทมเหลือแสน

ชิงอู๋หยามองเขาแปลกๆ จำเป็นต้องเศร้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“พวกเขาดีต่อท่านหรือไม่” โม่อีเหรินเอ่ยถามไป่หลี่จิงหง โดยมองข้ามท่าทีของสามคนนี้ไปโดยสิ้นเชิง

ความหมายก็คือถ้าไป่หลี่จิงหงบอกว่าดี ก็จะเชิญให้พวกเขาดื่มชา

ไป่หลี่จิงหงได้ยินก็เข้าใจในทันที

“ดี” คำตอบนี้กระชับยิ่ง ทว่าไป่หลี่จิงหงยังกล่าวแนะนำสองคนที่เหลือให้โม่อีเหรินรู้จัก “หลงชิงเหยา ชิงอู๋หยา”

เขาบอกแค่นาม โม่อีเหรินก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ใด

หลังโม่อีเหรินสลบอยู่ในแหวนพู่สวรรค์หนึ่งวันหนึ่งคืนถึงได้ตื่นขึ้นมา จากนั้นนางก็ทำอาหารวิเศษมื้อใหญ่ให้ทั้งสองคนสองสัตว์ได้กินจนอิ่มหนำ

หลังจากนั้นเนื่องจากโม่อีเหรินยังมีความเข้าใจต่อดินแดนแรกนภาน้อยเกินไป เดิมทีคิดจะไปอ่านตำราอ่านม้วนไผ่หยก แต่ไป่หลี่จิงหงคว้าตัวนางกลับไปกอดไว้พลางเล่าให้นางฟังด้วยตนเอง

เจ็ดกลุ่มอำนาจใหญ่แห่งดินแดนแรกนภา โม่อีเหรินรู้จักแล้ว ดังนั้นไป่หลี่จิงหงจึงเน้นเล่าเรื่องระดับขั้นการฝึกบำเพ็ญของดินแดนแห่งนี้ รวมถึงเรื่องที่ระดับขั้นของโอสถกับหมอโอสถและช่างหลอมก็แบ่งเป็นเก้าขั้นดุจเดียวกัน

ระดับขั้นของหมอโอสถกำหนดโดยอิงตามระดับขั้นของโอสถที่หลอมออกมาได้

แม้ว่าตัวของโอสถเองจะมีการแบ่งเป็นระดับต่ำ กลาง สูงเช่นกัน แต่ที่นี่กำหนดจากระดับความยากง่ายในการหลอม

โอสถที่ใช้กันประจำในดินแดนเทพยุทธ์อย่างพวกลูกกลอนเสี่ยวหยวน ยาลูกกลอนเสริมพลัง ยาไม่รู้หิวซึ่งโม่อีเหรินเคยหลอมในสมัยก่อนล้วนจัดอยู่ในขั้นหนึ่งถึงสาม

ส่วนหยาดน้ำตาเทพยุทธ์กับยาแก้พิษหยาดน้ำตาเทพยุทธ์จัดอยู่ในขั้นเจ็ด นี่เป็นเพราะหญ้าโลหิตหงส์อันเป็นส่วนประกอบทำการหลอมหาได้ยากเป็นพิเศษ มิหนำซ้ำยังต้องใช้เวลาในการหลอมนานมาก

บนดินแดนแรกนภา หมอโอสถขั้นเจ็ดสามารถนับได้ว่ายืนอยู่บนจุดสูงสุดของหมอโอสถแล้ว

สำหรับโม่อีเหริน ยาสองชนิดนี้ล้วนไม่ยากเกินความสามารถนาง อีกทั้งนางก็เคยหลอมสำเร็จมานานแล้ว มิหนำซ้ำนางยังสามารถปรับปรุงตำรับยาได้อีกด้วย ดังนั้นอย่างน้อยๆ โม่อีเหรินก็ถือได้ว่าเป็นหมอโอสถขั้นเจ็ดผู้หนึ่ง

ด้านช่างหลอมเองก็กำหนดระดับขั้นจากระดับอาวุธที่หลอมออกมาเช่นกัน

อาวุธแบ่งเป็นสามระดับขั้น ได้แก่ อาวุธล้ำค่า อาวุธเวท และอาวุธวิเศษ ส่วนคุณภาพก็แบ่งตามดีเลวได้อีกสี่ระดับ ได้แก่ คุณภาพต่ำ กลาง สูง และชั้นเลิศ

สามารถหลอมอาวุธล้ำค่าได้จะจัดเป็นช่างหลอมขั้นหนึ่ง อาวุธเวทจะจัดเป็นขั้นสองถึงห้า ส่วนอาวุธวิเศษจะจัดเป็นขั้นหกถึงเก้า

ช่างหลอมที่สามารถหลอมอาวุธวิเศษขั้นหกขึ้นไปได้ก็จัดเป็นบุคคลที่สามารถเดินกร่างในดินแดนได้เช่นกัน

หลงชิงเหยาก็คือช่างหลอมขั้นหกที่กำลังก้าวเข้าสู่ขั้นเจ็ด

นอกจากนี้ไป่หลี่จิงหงยังเล่าถึงบุคคลชื่อดังจากกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ ให้ฟังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบุคคลสำคัญของภาคีผู้ฝึกตน

ประมุขของหกหอผู้ซึ่งขณะเดียวกันยังเป็นหกผู้อาวุโสใหญ่ของภาคีผู้ฝึกตน รวมไปถึงประมุขหอน้อยทั้งหก

อายุของหกประมุขหอน้อยล้วนน้อยกว่าห้าร้อยปี ผู้ที่เด็กที่สุดอีกทั้งปรากฏตัวช้าที่สุดแน่นอนว่าคือไป่หลี่จิงหง

ไล่อายุจากน้อยไปมาก ได้แก่ หลงชิงเหยา หลิงเซ่าจวิน เยี่ยจิ้นแห่งหอวิเวก อ้ายหลิงสือแห่งหอวาณิช จั้นเอ้าเทียนแห่งหอยุทธ์

แม้ประมุขหอน้อยทั้งหกจะรู้จักคุ้นเคยกันในระดับต่างๆ กันไป แต่หลังจากได้พบหน้าไม่กี่ครั้งก็ล้วนค่อนข้างถูกคอกัน

แม้แต่ไป่หลี่จิงหงที่ได้คลุกคลีด้วยไม่กี่วัน อีกทั้งยังพูดน้อยจนชวนให้คนอยากลมจับ ทว่ากลับมีตัวตนเด่นชัดยิ่ง ก็ยังได้รับการยอมรับจากห้าคนที่เหลืออย่างง่ายดาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหลิงเซ่าจวิน เนื่องจากให้การดูแลไป่หลี่จิงหงที่ได้รับบาดเจ็บมาโดยตลอด จึงเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับเขาที่สุด

ส่วนอุปนิสัยของหลงชิงเหยานั้น นอกจากเวลาหลอมประดิษฐ์ก็เป็นคนทึ่มโดยธรรมชาติ แทบจะไม่มีความสามารถในการดำรงชีวิต พลังยุทธ์ไม่ได้นับว่าสูงส่ง ชิงอู๋หยาก็คือผู้ที่ให้การดูแลและคุ้มครองเขา

ตามคำบอกเล่าของหลิงเซ่าจวิน ‘ตั้งแต่อายุสิบขวบเป็นต้นมา อู๋หยาก็เป็นพี่เลี้ยงให้ชิงเหยามาโดยตลอด’

ขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้ที่แสดงความเป็นมิตรต่อไป่หลี่จิงหงเร็วที่สุดนอกเหนือจากหลิงเซ่าจวิน

‘แม้ไป่หลี่จิงหงจะเหมือนภูเขาน้ำแข็ง แต่ข้ามีภาพจำต่อเขาดียิ่ง’ คนทึ่มโดยธรรมชาติอาศัยสัญชาตญาณในการตัดสินใจจัดไป่หลี่จิงหงเข้าอยู่ในขอบข่ายคนกันเอง

ไมตรีจิตและการชื่นชมเช่นนี้ อันที่จริงดูพิกลอีกทั้งไม่วกวนอย่างยิ่ง

ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาก็รู้ได้ว่าต่างฝ่ายต่างวางกันและกันไว้ในตำแหน่งเดียวกัน

เนื่องจากให้การยอมรับ จึงปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ รับอีกฝ่ายมาเป็นคนของตนเอง

ไม่เพียงแต่ประมุขหอน้อยทั้งห้าให้การยอมรับไป่หลี่จิงหง ไป่หลี่จิงหงเองก็ให้การยอมรับทั้งห้าคนนี้เช่นกัน ดังนั้นขณะที่เล่าถึงจึงย่อมจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

ด้วยเหตุนี้พอโม่อีเหรินได้ยินนามของสองสามคนตรงนี้ ในสมองจึงมีภาพจำชัดเจน และก็ย่อมจะทักทายสองคนนี้อย่างเป็นธรรมชาติ

“ข้าคือโม่อีเหริน พวกท่านสบายดีหรือ ต้องการดื่มชาหรือไม่”

“ต้องการ!” คนทั้งสามต่างพยักหน้าและเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน โดยหลงชิงเหยากับหลิงเซ่าจวินพยักหน้าแรงที่สุด

โม่อีเหรินเป็นคนมีจิตสำนึกที่ดีอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวเตือนก่อนจะรินชาให้ “ชานี้ข้าเพิ่งคั่วใหม่ เพิ่งจะลองทำเป็นครั้งที่สอง เพราะฉะนั้นรสชาติอาจจะไม่ดี พวกท่านต้องเตรียมใจไว้ก่อน”

พอพูดจบนางยังคิดอีกเล็กน้อย ถึงค่อยสำทับอีกว่า “ทว่าพวกท่านวางใจได้ ต่อให้ไม่อร่อยก็จะไม่ทำให้พวกท่านท้องเดินอย่างแน่นอน”

หลิงเซ่าจวิน หลงชิงเหยา และชิงอู๋หยาได้ยินดังนั้นก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ข้อความส่วนหลังไม่จำเป็นต้องพูดออกมาเลยจริงๆ

แม้จะกล่าวว่าชงชา แต่อันที่จริงอุณหภูมิของน้ำมิได้สูง ขณะคนทั้งสามยกถ้วยชาขึ้นมา น้ำชาก็อยู่ในอุณหภูมิกำลังพอดี

ดื่มเพียงอึกเดียว หลิงเซ่าจวินกับหลงชิงเหยาก็มีสีหน้าเปล่งประกายแล้ว

ชิงอู๋หยาเพียงรู้สึกว่าน้ำชาที่ดื่มแม้จะขมอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วไม่เลว ทำให้จิตใจของเขาผ่อนคลายไร้ใดเทียม ต่อจากนั้นเขาก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาทันทีเช่นกัน

ขณะพวกเขาดื่มชากัน โม่อีเหรินก็หยิบเหยือกหยกที่คล้ายกับกาน้ำชาออกมาอีกใบหนึ่ง

คนทั้งสามถลึงมองเหยือกหยกใบนั้น

เหยือกน้ำชาที่ทำจากหยกผลึกพันปี?!

ภาชนะที่ทำจากหยกผลึกพันปีมีจุดเด่นอยู่ที่สามารถรักษาไอวิเศษของสิ่งของที่อยู่ภายในไม่ให้กระจายหายไปได้ ของเยี่ยงนี้…เป็นของที่ใช้เก็บรักษาสมุนไพรได้ดีที่สุด

ใช้ของเยี่ยงนี้ทั้งก้อนมาทำเป็นเหยือกน้ำชา จะสิ้นเปลืองเกินไปแล้วหรือไม่

ครั้นมองเห็นของสิ่งนี้ หลงชิงเหยาก็หันหน้าไปมองกระบอกไผ่หยกที่ดูน่ารักยิ่งใบนั้นอย่างละเอียด จากนั้นถึงได้จำแนกออกว่าของที่ดูเหมือนเป็นกระบอกไผ่หยกธรรมดานี้ถึงกับทำจากหยกน้ำแข็งหมื่นปีซึ่งหาได้ยากยิ่งกว่าหยกผลึกพันปีเสียอีก…

หลงชิงเหยาเงียบงันไปแล้ว ในใจคิดแต่เพียงว่ายังสามารถฟุ่มเฟือยกว่านี้ได้อีกหรือไม่

หากแต่ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังคิดอะไร ก็มองเห็นโม่อีเหรินรินน้ำบริสุทธิ์ถ้วยหนึ่งให้ไป่หลี่จิงหงบ้วนปากก่อน…

เอาน้ำพุวิเศษมาบ้วนปาก?!

หลิงเซ่าจวินอยากจะคว่ำโต๊ะ

จากนั้นโม่อีเหรินก็รินน้ำชาในเหยือกออกมาอีกครั้ง เป็นของที่เพิ่งชงเมื่อครู่ หากแต่…หอมสดชื่นยิ่งกว่า และมีไอวิเศษเข้มข้นยิ่งกว่า

“ใบชาเหมือนกัน แต่นี่เป็นชาที่ชงแบบเย็น ท่านลองดื่มดูอีกที จากนั้นก็บอกว่าท่านชอบแบบใดมากกว่ากัน” โม่อีเหรินกล่าว

ที่แท้ไป่หลี่จิงหงก็กำลังลองชิมชาอยู่อย่างนั้นหรือ

แต่…ใบชาที่ใช้ชิมนี้จะระดับสูงเกินไปหน่อยแล้วหรือไม่

หลิงเซ่าจวินไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นถ้วยชาของตนเองออกไป “โม่อีเหริน ข้าขอลองดื่มด้วยคน”

“พวกข้าก็ด้วย” หลงชิงเหยากับชิงอู๋หยาก็ยื่นถ้วยชาออกไปเช่นกัน

โม่อีเหรินลังเลอยู่สักหน่อย “แต่ว่าวิธีชงแบบเย็นนี้ข้าเพิ่งลองครั้งแรกเอง ไม่รับรองจริงๆ ว่าดื่มแล้วจะไม่ท้องเดิน”

หลิงเซ่าจวิน หลงชิงเหยา และชิงอู๋หยาต่างอึ้งงันอีกครั้ง

เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาจริงๆ ต่อให้ชานี้ดื่มแล้วท้องเดิน พวกเขาก็ยอม

“เช่นนั้นให้ไป่หลี่จิงหงดื่ม ท่านไม่กลัวเขาท้องเดินหรือไร” หลงชิงเหยาสงสัยเป็นอันมาก

“ไม่เป็นไร ข้าช่วยชดเชยคืนให้เขาได้” โม่อีเหรินยิ้มตาหยี ไม่เป็นกังวลแม้แต่น้อย

“…” หลิงเซ่าจวินเบิกตาโพลงทันควัน

เขาเป็นหมอโอสถ ทั้งยังเป็นผู้เดียวจากสามคนในที่นี้ที่เคยได้เห็นอาหารวิเศษที่โม่อีเหรินเป็นคนทำ จึงสับสนขึ้นมาอย่างที่สุดว่าจะอิจฉาไป่หลี่จิงหงดีหรือไม่

ดูจากสภาพการณ์นี้ ไป่หลี่จิงหงจะต้องเป็น ‘เหยื่อทดลอง’ ให้โม่อีเหรินเป็นประจำอย่างแน่นอน

อีกฝ่ายสามารถได้กินอาหารวิเศษจำนวนมาก หากแต่ความเสี่ยงก็ดูจะสูงยิ่งเช่นกัน

ถ้าเกิดเผลอกินถูกพิษเข้า ถึงจะได้รับการชดเชยคืนกลับมา แต่นั่นถือว่าได้กำไรหรือขาดทุนกันแน่

“ข้าจะดื่ม” หลงชิงเหยาตัดสินใจลองเสี่ยงอย่างกล้าได้กล้าเสีย ท้องเดินก็ท้องเดิน

ด้านชิงอู๋หยาและหลงชิงเหยากระทำการสอดคล้องกัน ต่างก็ไม่คิดว่าดื่มมันแล้วจะท้องเดิน

“ข้าก็จะดื่ม”

“ข้าก็ด้วย”

สำหรับพวกเขาไม่ว่าจะได้กำไรหรือขาดทุน…ดื่มก่อนค่อยว่ากัน

“ก็ได้” ข้าได้บอกความเสี่ยงไว้ก่อนแล้ว ผลที่ตามมาเป็นอย่างไรก็ไม่อาจโทษข้าได้ โม่อีเหรินคิดในใจอย่างไม่ใคร่มีความรับผิดชอบ

ทว่าก่อนจะรินชา นางยังคงรินน้ำพุวิเศษให้พวกเขาล้างปากก่อน จากนั้นถึงค่อยรินชาให้

ขณะที่พวกเขายกชาเตรียมจะดื่ม ไป่หลี่จิงหงก็ดื่มถ้วยของเขาหมดแล้ว เขาลูบศีรษะโม่อีเหริน ก่อนบอกนางว่า “อย่างนี้อร่อยกว่า ไอวิเศษบริสุทธิ์กว่า ดีต่อญาณวิเศษมากกว่าด้วย”

สามคนที่กำลังดื่มชาอากัปกิริยาชะงักไปอีกครั้ง

น้ำเสียงอ่อนโยนถึงเพียงนี้ เป็นไป่หลี่จิงหงกำลังพูดอยู่จริงๆ?!

“อื้ม” โม่อีเหรินสีหน้าเปล่งประกาย ล้วงสมุดบันทึกออกมาจากอากาศ ก่อนจดลงไปทันที

 

‘วันที่ xx เดือน xx ปี xxxx ชาใหม่หมายเลขเจ็ดคั่วด้วยไฟ oo บรรจุในกระบอกไผ่ที่ทำจากหยกน้ำแข็งหมื่นปี

วันที่สิบสอง+xx เดือน xx ปี xxxx หอสุราฝูอวิ้นไหล ไป่หลี่จิงหงลองดื่ม

น้ำพุวิเศษ อุ่นชาแล้วมีรสขม ชงแบบเย็นให้รสดีกว่า

ชื่อชา…ยังไม่ได้คิด

สรรพคุณ…บำรุงญาณวิเศษ

บุรุษทั้งสี่ในที่นี้มีสายตาดีเกินคนธรรมดา จึงล้วนมองเห็นทั้งหมด

รูปแบบการจดบันทึกนี้ไฉนจึงทำให้พวกเขาอยากหัวเราะยิ่งนัก

หลิงเซ่าจวินมองสมุดบันทึกเล่มนั้น…ช่างหนาพอตัวทีเดียว

“โม่อีเหริน ข้ามีความเห็นเหมือนกับไป่หลี่จิงหง ชงแบบเย็นอร่อยกว่า ซ้ำยังให้ประโยชน์ดีกว่าด้วย” เขาบอกความรู้สึกนึกคิดนำไปก่อน จากนั้นก็เอ่ยถาม “สมุดเล่มนี้เป็นบันทึกเกี่ยวกับอาหารวิเศษที่ท่านทำทั้งหมดหรือ”

“มิใช่ มีแค่เรื่องการทำชา”

“เช่นนั้นยังมีบันทึกอะไรอื่นอีกหรือไม่”

“อืม…” โม่อีเหรินย้อนนึกเล็กน้อย “การหลอมโอสถ ข้าววิเศษ ผักวิเศษ ผลไม้วิเศษ เนื้อสัตว์วิเศษ…”

โม่อีเหรินมีบันทึกหลายเล่มยิ่ง แม้แต่การหลอมประดิษฐ์ก็ยังมีบันทึกเฉพาะเช่นกัน

การหลอมโอสถกับการหลอมประดิษฐ์มีบันทึกหลายเล่มที่สุดในบรรดาทั้งหมด

ความแตกต่างอยู่ที่เล่มเกี่ยวกับการหลอมโอสถมีอยู่จำนวนมากที่เป็นบันทึกกลวิธีการหลอมของนาง และยังมีตำรับยาที่ปรับปรุงแล้วอีกด้วย

ส่วนที่เกี่ยวกับการหลอมประดิษฐ์เป็นบันทึกความล้มเหลวไปแล้วครึ่งหนึ่ง นั่นทำให้นางเหงื่อตกเลยทีเดียว

“ท่านเริ่มบันทึกตั้งแต่เมื่อไร” หลิงเซ่าจวินแทบจะเผลอกัดลิ้น

จะเยอะเกินไปแล้ว!

ประเดี๋ยวก่อน โม่อีเหรินเพิ่งจะ…อายุสิบกว่าเองกระมัง! มีอะไรให้บันทึกมากถึงเพียงนั้นเชียว

“ข้าเริ่มบันทึกตั้งแต่รู้หนังสือแล้ว” เริ่มแรกยังเป็นการดูท่านตาหลอม แล้วตนเองก็ช่วยบันทึก ต่อมาเห็นว่าท่านตาขอดูบันทึกทุกครั้ง นางจึงตั้งใจจดไว้ทุกครั้ง

“ท่านเป็นคนอยากจดบันทึกเองหรือ”

“ตอนแรกท่านตาบอกให้ทำ ต่อมาภายหลังข้าทำจนเป็นนิสัย จึงบันทึกไว้ทุกอย่าง”

ขณะอยู่บนเกาะโม่เสวียน เวลาโม่อีเหรินทดลองนั่นทดลองนี่ หลอมนั่นหลอมนี่ผู้เดียว การได้จดบันทึกนับว่าสนุกมากจริงๆ

ยามที่ล้มเหลวแล้วเผลอเขียนบ่นลงไป ก็ยังถูกท่านตาเขกศีรษะอีกด้วย

“ท่านตาของท่านคือ?”

“คือผู้สอนการหลอมโอสถให้แก่ข้า” เนื่องจากนึกถึงท่านตาขึ้นมา รอยยิ้มของโม่อีเหรินจึงมีแววรำลึกถึง

รอยยิ้มนี้เรียกท่าทีตอบสนองจากบุรุษทั้งสี่

ไป่หลี่จิงหงรู้อยู่แล้วว่าท่านตาเป็นผู้เลี้ยงดูโม่อีเหรินจนเติบใหญ่ โม่อีเหรินผูกพันกับท่านตาลึกซึ้งมากเพียงไร ดังนั้นแค่มองจึงรู้ได้ว่านางคิดถึงท่านตาแล้ว

หลิงเซ่าจวินได้อาจารย์เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต กล่าวถึงสายใยให้รำลึกถึงก็มีเพียงอาจารย์ที่ป้อนโอสถให้เขากินต่างข้าวสามมื้อมาตั้งแต่เล็กๆ…ไม่รู้จริงๆ ว่าโชคดีหรือโชคร้าย

ส่วนหลงชิงเหยานั้นเคยมีบุพการีมอบความรักให้ แต่พวกท่านกลับถูกขับไล่ จนทำให้บิดาสิ้นใจ มารดาตรอมใจตายตาม เขาจึงถูกฝากให้อาจารย์เลี้ยงตั้งแต่อายุได้สิบขวบ

อาจารย์รักใคร่ทะนุถนอมเขาเป็นอย่างมาก ทั้งยังทุ่มเทใจอบรมสั่งสอน หากแต่เขายังคงไม่มีทางลืมความอบอุ่นยามได้อยู่ร่วมกับบิดามารดา…เขาไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มานานมากแล้ว

ชิงอู๋หยาออกมาจากตระกูลตั้งแต่เนิ่นนานมาแล้ว ผู้ที่หลงชิงเหยาให้การยอมรับเป็นคนในครอบครัวก็คือเขาผู้นี้

ทว่ากล่าวถึงโอสถ หลิงเซ่าจวินก็นึกขึ้นได้

“โม่อีเหริน ยาลูกกลอนลี้มรณะฉบับปรับปรุงเป็นท่านหลอมเองหรือ”

“ใช่แล้ว”

“ท่านมีวัตถุดิบ?!”

ยาลูกกลอนลี้มรณะเป็นโอสถขั้นเจ็ด ตามหลักแล้วหลิงเซ่าจวินสมควรจะหลอมได้

แต่เนื่องจากตัวยาหลักของยาลูกกลอนลี้มรณะหาให้ครบได้ยาก ยิ่ง ‘บัวน้ำแข็งเก้ากลีบ’ หนึ่งในส่วนผสมยิ่งพบเห็นได้ยาก ไม่ได้ปรากฏโฉมมาหลายสิบปีแล้ว ดังนั้นหลิงเซ่าจวินจึงแค่เคยเห็นยาลูกกลอนลี้มรณะที่อาจารย์หลอมออกมา แต่ตนเองยังไม่เคยหลอม

ทว่าของที่อาจารย์หลอมนั้นใช้หมดไปนานแล้ว มิเช่นนั้นปัญหาเรื่องชีพจรของไป่หลี่จิงหงก็คงไม่กลายเป็นปัญหาใหญ่

ยาลูกกลอนลี้มรณะหนึ่งเม็ดช่วยเสกให้หายดีดังเดิมได้ทันที

“มีอยู่พอดี” โม่อีเหรินประคองน้ำพุวิเศษขึ้นดื่ม

“แล้วตอนนี้ยังมีอยู่หรือไม่”

“บัวน้ำแข็งเก้ากลีบไม่มีแล้ว” พูดถึงเรื่องนี้ โม่อีเหรินก็มีสีหน้าปวดใจเช่นกัน

เพื่อฉบับปรับปรุง นางได้ใช้ของที่เก็บไว้ไปจนหมดแล้วทั้งต้นเต็มๆ ช่างล้างผลาญเกินไปแล้วจริงๆ

หลิงเซ่าจวินผิดหวังเป็นอย่างมาก

หลงชิงเหยามองสีหน้าท่าทางของหลิงเซ่าจวิน ก่อนมองสีหน้าท่าทางของโม่อีเหริน แล้วพลันพูดขึ้นว่า “พวกท่านสองคน สีหน้าท่าทางในตอนนี้ดูเหมือนกันยิ่งนัก”

เป็นการใช้ประโยชน์จนหมด มิใช่หายไปกับอากาศเสียหน่อย ไม่ต้องเสียดายถึงเพียงนี้ก็ได้กระมัง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 เม.. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: