บทที่สาม
“ผู้ครองสัตว์วิเศษ?!”
ฉู่อีเหรินยิ่งสับสนมากกว่าเดิม นี่…คืออะไรอีกล่ะ
“ฉู่อีเหริน เจ้ารู้หรือไม่ว่าในดินแดนเทพยุทธ์นอกจากมนุษย์แล้ว มีสิ่งมีชีวิตอะไรเยอะที่สุด” ฉู่เซวียนฉีเอ่ยถามนาง
“ไม่รู้”
“สัตว์วิเศษอย่างไรเล่า” ฉู่เซวียนฉีตอบ
“สัตว์วิเศษ?!” พอได้ยินคำนี้ ฉู่อีเหรินก็ตาเป็นประกายเล็กน้อย
‘สัตว์’ เป็นสิ่งมีชีวิตที่นางทั้งรู้จักและสนิทสนมยิ่งนัก แต่ ‘สัตว์วิเศษ’ นั้น…คงไม่เหมือน ‘สัตว์ในนิยายแฟนตาซี’ ที่เกิดมามีพลังวิเศษ เคารพในสายเลือด ครอบครองพื้นที่ เฉลียวฉลาดไม่แพ้มนุษย์ แล้วยังต่อสู้ได้ด้วยพวกนั้นกระมัง
“เจ้าคงเคยอ่านตำราเกี่ยวกับผู้ครองสัตว์วิเศษมาจากที่คฤหาสน์บ้างแล้วกระมัง”
“เคยอ่าน”
“ผู้วิเศษก็คือผู้ครองสัตว์วิเศษ” ฉู่เซวียนฉีค่อยๆ ชี้แจง
ในดินแดนเทพยุทธ์ คนที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ใช่นักยุทธ์ แต่เป็นผู้วิเศษต่างหาก ขั้นแรกในการเป็นผู้วิเศษคือต้องทำพันธสัญญากับสัตว์วิเศษตัวหนึ่ง จากนั้นเริ่มฝึกท่องคาถาเพื่อสะสมพลังวิเศษ คนที่จะฝึกพลังวิเศษได้ หลังจากทำพันธสัญญากับสัตว์วิเศษแล้ว ในร่างกายจะเกิดช่องว่างห้วงหนึ่งสำหรับสัตว์วิเศษให้มันใช้อาศัยและฝึกฝนบำเพ็ญตน
ตามตำนาน ห้วงสัตว์วิเศษที่เกิดขึ้นในร่างมนุษย์เป็นสถานที่เหมาะสำหรับพวกมันในการฝึกพลังและอยู่อาศัยที่สุด แต่มนุษย์เหล่านี้จะมองไม่เห็น
ยามสู้รบ ผู้วิเศษสามารถใช้ความสามารถของสัตว์วิเศษในการโจมตีและเป็นเกราะป้องกัน พวกมันสามารถกลายร่างเป็นอาวุธและต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้วิเศษได้
สิ่งที่เห็นชัดที่สุดก็คือจำนวน ยามสู้รบ นักยุทธ์มีตัวคนเดียว แต่ผู้วิเศษกลับมีสัตว์วิเศษรวมอยู่ด้วย เท่ากับมีสองคน ครั้นเปลี่ยนเป็นเกราะก็จะมีพลังสองเท่า ดูอย่างไรก็เป็นการได้เปรียบกว่า
“การฝึกบำเพ็ญเป็นผู้วิเศษแบ่งเป็นสามขั้น คือผู้ครองสัตว์วิเศษ ผู้บัญชาสัตว์วิเศษ และราชาสัตว์วิเศษ แต่ละขั้นแบ่งเป็นเก้าระดับ แม้ฟังดูเหมือนลำดับขั้นของการฝึกฝนวรยุทธ์ของนักยุทธ์ แต่การโจมตีของผู้วิเศษรวมพลังสัตว์วิเศษไว้ด้วย ดังนั้นพลังการทำลายล้างจึงเหนือกว่านักยุทธ์ในระดับเดียวกัน สามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้ โจมตีคู่ต่อสู้ที่มีระดับสูงกว่าตนเองได้”
“เช่นนั้นพี่ใหญ่เป็นผู้วิเศษได้หรือไม่” แม้จะซับซ้อนไปสักหน่อย แต่ฉู่อีเหรินก็ฟังเข้าใจ
“เมื่อครู่บอกแล้วว่าขั้นแรกที่จะกลายเป็นผู้วิเศษคือต้องทำพันธสัญญากับสัตว์วิเศษตัวหนึ่งก่อน แต่ก่อนที่จะทำพันธสัญญา จะต้องฝึก ‘ท่องคาถา’ พื้นฐาน เพื่อยืนยันว่ามีพลังวิเศษ จึงจะทำข้อพันธสัญญากับสัตว์วิเศษได้”
“ท่องคาถา? พลังวิเศษ?” ไยจึงซับซ้อนเช่นนี้นะ ฉู่อีเหรินงุนงงอีกครั้ง
“แม้ในดินแดนเทพยุทธ์จะมีจำนวนผู้คนอาศัยอยู่มาก แต่คนที่จะฝึกท่องคาถาได้ ได้ยินว่ามีเพียงส่วนเดียว เพราะผู้ครองสัตว์วิเศษมีจำนวนน้อยมาก ดังนั้นสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษจึงตัดสินใจเปิดเผยคาถาพื้นฐานที่สุดที่เดิมทีควรเป็นสิ่งล้ำค่า ทำให้ผู้คนฝึกฝนได้อย่างอิสระ ขอเพียงฝึกฝนจนมีพลังวิเศษ ครั้นทำพันธสัญญากับสัตว์วิเศษได้สำเร็จก็จะได้เข้าร่วมสมาคมและได้รับการปกป้องจากสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษ อีกทั้งได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ ที่สมาคมเตรียมไว้ให้”
เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ฉู่เซวียนอั๋งมองน้องชายและน้องสาวอันเป็นที่รักพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“แม้ข้าจะมีพรสวรรค์เป็นนักยุทธ์ แต่ไม่อาจฝึกคาถาวิเศษได้ ดังนั้นจึงเป็นผู้วิเศษไม่ได้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าไม่มีโอกาส รอให้กำลังของพี่กล้าแกร่งกว่านี้อีกหน่อยก็จะไปล่าสัตว์วิเศษที่เทือกเขาวั่นโซ่วมาให้พวกเจ้าลองทำพันธสัญญา บางทีพวกเจ้าอาจจะทำสำเร็จ กลายเป็นผู้เลิศล้ำ”
นี่แสดงว่าพี่ใหญ่เห็นเหตุการณ์ที่ทางเข้าเรือนกระมัง…ฉู่เซวียนฉีคิดในใจ
“พี่ใหญ่ การไปล่าสัตว์วิเศษอันตรายเกินไป” เขาจะไม่ให้พี่ใหญ่ต้องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้เพื่อเขาเป็นแน่
“ไม่ต้องกังวล ถ้าไม่มั่นใจ ข้าไม่มีทางไป” ฉู่เซวียนอั๋งตัดสินใจแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจ เพื่อน้องฉีและอีเหรินน้อย เขาจะต้องระมัดระวังและปกป้องตนเอง เขาเข้าใจดีว่าถ้าน้องฉีและอีเหรินน้อยยังไม่แข็งแกร่งพอ ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะปกป้องพวกเขา ดังนั้นจึงไม่อาจให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตนเองได้เด็ดขาด
แม้จะได้ยินเช่นนี้ ฉู่เซวียนฉีก็ยังรู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง
ด้านฉู่อีเหรินมองดูพี่ใหญ่ที่มีแผนอยู่ในใจ แล้วมองพี่เล็กที่ว้าวุ่นใจเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจข้ามหัวข้อนี้ไปก่อน
“พี่ใหญ่ เหตุใดวิธีที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด เร็วที่สุดที่จะกลายเป็นหมอโอสถ คือการเป็นผู้ครองสัตว์วิเศษเล่า”
“เพราะถ้าผู้ครองสัตว์วิเศษทำพันธสัญญากับสัตว์วิเศษที่มีธาตุไฟ เขาก็จะมีเปลวไฟเหมือนกับสัตว์วิเศษ เท่ากับว่ามีเปลวไฟในตัว ยามที่หลอมโอสถหรือหลอมอาวุธก็จะราบรื่นกว่าคนอื่น เมื่อมีเครื่องมือชั้นดีก็จะหลอมสิ่งของได้เร็วกว่าคนอื่นแน่นอน
ถ้าไม่มีเปลวไฟในตัวอยู่แต่เดิมก็จะใช้ได้เพียงเชื้อไฟและเตาหลอมโอสถธรรมดา แม้ตัวเองจะเก่งกาจเพียงใด ถ้ามีข้อจำกัดในเรื่องเชื้อไฟและพลังควบคุมก็จะหลอมโอสถออกมาได้ไม่ดี ไม่ได้คุณภาพดีที่สุด ไม่อาจประสบความสำเร็จถึงจุดสูงสุดได้
นี่คือเหตุผลที่ว่าคนใช้เชื้อไฟธรรมดากลายเป็นหมอโอสถได้ก็ยอดเยี่ยมแล้ว ไม่มีเชื้อไฟชั้นดี ไม่มีคุณสมบัติที่ดี ไม่มีทางหลอมโอสถได้เทียบเท่าขั้นราชาแน่นอน ช่างหลอมก็เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์อีกอย่าง ถ้าตัวนักยุทธ์เองฝึกพลังธาตุไฟ เมื่อผ่านถึงขั้นฟ้า สามารถเปลี่ยนพลังยุทธ์ให้เป็นไฟก็จะหลอมอาวุธและหลอมโอสถได้ หากโชคดีได้รับเชื้อไฟชนิดพิเศษจากฟ้าดิน อานุภาพจะเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว เทียบเท่าสัตว์วิเศษธาตุไฟ”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ฉู่อีเหรินพยักหน้าเข้าใจ โลกนี้อัศจรรย์อย่างที่นางคิดจริงๆ มีเรื่องราวต่างๆ และสิ่งของมากมายที่นางไม่เข้าใจ ทว่าหลังจากได้ฟังพี่ใหญ่ของนางอธิบายรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ฉู่อีเหรินก็พลันมีแผนการของตนเองในใจ
ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์นักยุทธ์หรือผู้ครองสัตว์วิเศษหรือไม่ แต่นางจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับโอสถ เพราะเดิมทีนางเองก็เป็นสัตวแพทย์ การแพทย์เป็นความถนัดของนาง แม้การรักษาจะไม่เหมือนกัน แต่นั่นคือสิ่งที่นางรัก ดังนั้นจะต้องเรียนรู้ให้จงได้
นอกจากนี้นางยังมีความสามารถพิเศษอีกอย่างที่คนอื่นไม่รู้ ก็คือนางสามารถฟังภาษาสัตว์ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าความถนัดที่ใช้บนโลกจะใช้ได้กับสัตว์วิเศษในดินแดนแห่งนี้หรือไม่
ถ้ามีโอกาสพบสัตว์วิเศษ จะต้องลองดู…
“ฉู่อีเหริน?” ฉู่เซวียนอั๋งเรียกน้องสาวในอ้อมกอดตนเอง
“หืม?” ฉู่อีเหรินได้สติกลับมา นางมองพี่ใหญ่อย่างงุนงง
“ถึงแล้ว” คิดไม่ถึงว่าจะกำลังเหม่อลอย
“อ๋อ?” ฉู่อีเหรินรู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง จากนั้นก็พบว่ารถม้าจอดแล้ว อีกทั้งพี่เล็กยังถือกล่องของว่างลงไปรอนางอยู่ด้านข้างแล้วด้วย
ฉู่อีเหรินแลบลิ้น ก่อนจะถูกฉู่เซวียนอั๋งอุ้มลงจากรถม้า จากนั้นนางก็มองเห็นแม่น้ำเบื้องหน้า
แม่น้ำสายยาวเช่นนี้…อืม เป็นแม่น้ำที่มีความกว้างหลายสิบหมี่ ด้านข้างก็มีผืนป่าขนาดเล็ก… จู่ๆ ฉู่อีเหรินก็นึกถึงชื่อหนึ่ง
“แม่น้ำเสี่ยวฉู่?”
“ใช่” ฉู่เซวียนอั๋งปล่อยนางยืนบนพื้นพลางเล่าให้นางฟังว่า “พวกเราออกจากประตูเมืองทางตะวันออก ด้านนั้นคือป่าตงซู่ ที่นี่มีทุ่งหญ้ากว้าง เป็นสถานที่เหมาะแก่การเดินเล่นและผ่อนคลาย ในทุกปีจะมีเทศกาลพิเศษเทศกาลหนึ่ง เจ้าเมืองฉู่ก็จะจัดงานที่นี่ เชิญบัณฑิตจากตระกูลที่มีชื่อเสียงทั้งหมดมาเฉลิมฉลองด้วยกัน”
“ที่นี่สวยงามยิ่งนัก”
ฉู่อีเหรินหรี่ตาเล็กน้อย สายลมปลายฤดูสารททำให้รู้สึกหนาวอยู่บ้าง ผิวน้ำทอเป็นประกาย มีต้นไม้คล้ายต้นหลิวปลูกอยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำ กิ่งก้านอยู่สูงจากพื้นหนึ่งหมี่กว่าห้อยย้อยลงไปยังผิวน้ำ เมื่อมองจากที่ไกลคล้ายผ้าม่านสีเขียวตามธรรมชาติปกปิดผิวน้ำไว้เสียครึ่งหนึ่ง เป็นทัศนียภาพที่ดูเลือนรางเหมือนมีหมอกปกคลุม
“ที่นี่อยู่ใกล้กับเมืองฉู่ที่สุด ทิวทัศน์งดงามที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ถ้าออกมาจากประตูเมืองอีกสามด้าน กระแสน้ำจะไม่อบอุ่นเท่าที่นี่ ป่าก็จะลึกและใหญ่กว่า เมื่อเทียบกันแล้วถนนก็แคบกว่า ที่ที่มีป่าก็อาจจะมีสัตว์ร้ายออกมาหรือมีกับดักที่นักล่าวางไว้ ถ้าไม่ระวังก็มีโอกาสบาดเจ็บได้ง่าย” ฉู่เซวียนอั๋งเอ่ยกับน้องชายและน้องสาว
น้องสาวไม่เคยออกจากเรือนมาก่อน แต่น้องชายอย่างมากก็เคยเดินเล่นตามถนนในเมืองเพียงไม่กี่สายเพราะอยู่แต่ในห้องฝึกยุทธ์เสียหลายปี ไม่เคยออกนอกเมืองเช่นนี้ เขาจึงใช้โอกาสนี้สอนความรู้บางอย่างแก่ทั้งสอง
อันที่จริงในดินแดนเทพยุทธ์ ขอเพียงไม่ใช่ตัวเมืองใหญ่ สภาพแวดล้อมโดยมากยังเป็นเช่นเดิม แม่น้ำลำธารก็มีหลายสาย ด้วยเหตุนี้จึงมีพืชพันธุ์ดั้งเดิมและสัตว์ชนิดต่างๆ รวมถึงสัตว์วิเศษมากตามไปด้วย บริเวณที่สัตว์วิเศษชอบผลุบๆ โผล่ๆ มักจะมีผู้คนอยู่ด้วย ทำให้บรรยากาศคึกคักยิ่งนัก
ฉู่เซวียนอั๋งพาน้องสาวและน้องชายปลีกตัวจากผู้คนหมู่มาก หลังจากเดินเลียบริมฝั่งน้ำสักระยะหนึ่งก็อุ้มน้องสาวและพาน้องชายไปหาที่ว่างตรงชายป่าเล็กๆ พอปูผ้าเรียบร้อยก็นั่งลง ด้านหลังมีต้นไม้หลายต้น ด้านหน้ามีแม่น้ำเสี่ยวฉู่ ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ในช่วงฤดูสารทต่อไปได้
“เหนื่อยและหิวหรือไม่” ครั้นนั่งเรียบร้อย ฉู่เซวียนอั๋งก็ถามน้องสาว
“ไม่เหนื่อย แต่หิวนิดหน่อยเจ้าค่ะ พี่ใหญ่เอาของกินอะไรมาหรือ” ฉู่อีเหรินมองพี่ใหญ่อย่างรอคอย
พูดตามตรง สามปีมานี้นางกินยาลงไปในท้องมากที่สุด รองลงมาก็คือข้าว ส่วนผักใบเขียวและเนื้อสัตว์นับว่าไม่มากนัก ก็ใครให้นางกินไม่ได้ตั้งหลายอย่างล่ะ
“มีพวกของดอง ขนมอบไม่กี่อย่าง พอให้เจ้ารองท้อง ถ้าหิวจริงๆ พวกเราก็กลับเข้าเมืองไปกินข้าวที่หออิ๋งเซียงกัน” แม้จะไม่ได้วางแผนตั้งแต่แรกว่าจะไปกินข้าวในเมือง แต่ในเมื่อจะออกมาข้างนอกทั้งทีฉู่เซวียนอั๋งจึงอยากพาน้องชายและน้องสาวเดินเล่นให้ทั่ว ก่อนออกจากคฤหาสน์เขาจึงกำชับพ่อบ้านไม่ต้องเตรียมอาหารเย็นสำหรับพวกเขา เขาจะพาไปหออิ๋งเซียงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมือง ได้ยินว่าอาหารอร่อยที่สุด และจะได้กินอาหารสดใหม่ที่เพิ่งปรุงสุกด้วย
“หออิ๋งเซียง?!” ฉู่อีเหรินและฉู่เซวียนฉีได้ฟังแล้วต่างตาเป็นประกาย
เกิดเป็นคนเมืองฉู่ ตั้งแต่เจ้าเมืองระดับสูงจนถึงขอทานน้อยสามขวบผู้ต่ำต้อยจะต้องเคยได้ยินชื่อหอนี้อย่างแน่นอน ได้ยินว่าหออิ๋งเซียงมีสาขาย่อยตามเมืองต่างๆ ซึ่งถนนที่ตั้งหออิ๋งเซียงจะต้องเป็นถนนที่คึกคักที่สุดของเมืองนั้น
“อืม วันนี้พวกเราจะไปกินอาหารเย็นที่นั่น” ฉู่เซวียนอั๋งแบ่งกล่องของว่างให้น้องชายและน้องสาว บอกพวกเขาให้ลองชิม
ฉู่อีเหรินกัดขนมอบคำหนึ่ง ขนมรสชาติไม่เลวและหอมหวานยิ่ง แต่นางชอบขนมไข่มากกว่า
ฉู่เซวียนฉีกินขนมอบไม่กี่คำก็หมด
“พี่ใหญ่ ได้ยินว่าจะไปกินที่หออิ๋งเซียงต้องจองก่อน ถ้าจู่ๆ ไปเช่นนี้อาจจะไม่มีโต๊ะกระมัง”
“ก่อนออกมาข้าวานพ่อบ้านส่งคนไปจองให้พวกเราแล้ว”
“พี่ใหญ่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ” มิเสียแรงที่เป็นพี่ใหญ่ ใส่ใจแม้กระทั่งเรื่องนี้ ฉู่อีเหรินแสดงสีหน้านับถือ
ฉู่เซวียนอั๋งยิ้มบางๆ ชั่วครู่ เขาลูบหัวนางและป้อนผลไม้เชื่อมชิ้นหนึ่งให้นาง รสชาติของมันเปรี้ยวๆ หวานๆ ดึงดูดนางได้มากกว่าขนมอบ ฉู่อีเหรินจึงวางขนมอบไว้ด้านข้าง เปลี่ยนมากินผลไม้เชื่อมแทน
สามพี่น้องกินของว่างไปพลางชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามไปพลาง พูดคุยเล่นกันไปพลางอย่างมีความสุขยิ่ง
บทสนทนาส่วนใหญ่ของทั้งสามจะเป็นการตอบปัญหาน้องชายและน้องสาวของฉู่เซวียนอั๋ง
ฉู่เซวียนฉีถามถึงข้อสงสัยในการฝึกยุทธ์ ฉู่เซวียนอั๋งก็อธิบายอย่างละเอียด คิดในใจว่าคำตอบของตนเองน่าจะช่วยน้องชายได้บ้าง
ทั้งสามคนสนทนากันอย่างใจจดใจจ่อ ไม่ได้สังเกตว่าต้นไม้ด้านหลังมีสัตว์สีดำตัวเล็กๆ โผล่ออกมา มันโผล่หน้าออกมาด้อมๆ มองๆ หลายครั้งก็ไม่มีใครสังเกตเห็น จึงตัดสินใจพุ่งตัวออกมา เป้าหมายคือจานขนมอบข้างตัวฉู่อีเหริน
ตุบ!
“ระวัง!” ขณะที่สัตว์ตัวน้อยพุ่งออกมา ฉู่เซวียนอั๋งรีบอุ้มน้องสาวอย่างตื่นตัว ขนมอบถูกฉกไป
เมื่อบุกครั้งเดียวก็สำเร็จเช่นนี้ สัตว์ตัวน้อยพุ่งกลับไปหลบหลังต้นไม้ทันทีพร้อมส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว
“อย่าหนีนะ!” ฉู่เซวียนฉีรีบวิ่งตามไปทันที
คาดไม่ถึงว่าสัตว์ตัวน้อยไม่ได้วิ่งหนี ขาหน้าคว้าขนมอบ น้ำลายไหล ยืนประจันหน้ากับฉู่เซวียนฉี สีหน้าเกรี้ยวกราด ทั้งยังคำรามสองทีเพื่อขู่เขาให้หนีไป
ฉู่เซวียนอั๋งอุ้มฉู่อีเหรินตามไป พอเห็นสัตว์ตัวน้อยแสดงท่าทางดุร้ายก็ยกมือขึ้นเตรียมโจมตี
“พี่ใหญ่ช้าก่อน!” ฉู่อีเหรินรีบห้ามเขาเอาไว้
“มีอะไรหรือ”
“พี่ใหญ่ มันตัวเล็กมาก แล้วก็น่ารักด้วย ไม่ได้ตั้งใจจะโจมตีพวกเราจริงๆ อย่าทำร้ายมันเลยได้หรือไม่เจ้าคะ” ฉู่อีเหรินมองสัตว์ตัวน้อย ขนาดของมันพอๆ กับแมว มีลักษณะคล้ายทั้งสุนัขและแมว สีดำมอมแมมทั้งตัว จึงอดขอร้องแทนมันไม่ได้
“พี่ใหญ่ มันไม่ได้โจมตีพวกเรา อย่าทำร้ายมันเลยได้หรือไม่ขอรับ” ฉู่เซวียนฉีก็เอ่ยคล้อยตาม เขารู้สึกถูกชะตากับสัตว์น้อยตัวนี้เสียแล้ว
“เจ้าชอบ?” ฉู่เซวียนอั๋งวางมือลงพลางครุ่นคิดไปมาว่าจับกลับไปให้ฉู่อีเหรินเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนก็ไม่เลว
“อืม พี่ใหญ่ วางข้าลง ข้าอยากพูดกับมัน” ฉู่อีเหรินขอร้องเขา
“ก็ได้ แต่ต้องระวังหน่อย สัตว์ตัวน้อยไม่มีเจ้าของเช่นนี้อันตรายยิ่งนัก” ฉู่เซวียนอั๋งไตร่ตรองเล็กน้อยจึงวางน้องสาวลง แต่ตนเองก็เตรียมป้องกันอยู่ด้านข้าง หากมันกล้าทำร้ายนาง เขาก็จะลงมือฆ่ามันทันที
ยามนี้สัตว์ตัวน้อยมองพวกเขาอย่างดุร้ายเพื่อป้องกันตนเอง แต่กลับไม่ดุร้ายใส่ฉู่อีเหรินแล้วก็ไม่คำรามใส่ฉู่เซวียนฉี
ฉู่อีเหรินเดินเข้าไปใกล้มันก้าวหนึ่ง สัตว์ตัวน้อยถอยหลังหนึ่งก้าวทันที แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดหัวเล็กๆ นั้นจึงเอียงมาแล้วก็หยุด ดวงตากลมๆ เป็นประกายจ้องมองฉู่อีเหริน
ฉู่อีเหรินเดินขึ้นหน้าอีกก้าว จากนั้นย่อตัวลง ยิ้มบางๆ มองมัน “เจ้าหิวแล้วใช่หรือไม่ รีบกินเสียเถิด ข้าไม่แย่งเจ้าหรอก”
“จริงหรือ” สัตว์ตัวน้อยร้องเสียงต่ำเสียงหนึ่ง
“จริงสิ”
“เจ้า…เจ้าฟังข้าออกหรือ!” สัตว์ตัวน้อยตะลึง
เป็นไปได้อย่างไร พวกเขาไม่เคยทำพันธสัญญากัน มันก็พูดภาษามนุษย์ไม่เป็น หนูน้อยนางนี้ฟังออกได้อย่างไร!
“อืม ฟังออก” ฉู่อีเหรินยิ้มตาหยี “เจ้าอยากกลับไปกับพวกเราหรือไม่”
“นี่…เจ้าอยากให้ข้าเป็นสัตว์ในครอบครองของเจ้าหรือ” สัตว์ตัวน้อยระแวดระวัง แต่ในตัวนางก็มีบางอย่างที่ทำให้มันรู้สึกอยากใกล้ชิด ขณะเดียวกันก็มีลมหายใจที่น่ากลัวอยู่บ้าง คล้ายกับ…เป็นลมหายใจของเผ่าพันธุ์เดียวกัน น่าแปลก เห็นชัดว่านางเป็นมนุษย์ จะมีความรู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไร
“ไม่ใช่” ฉู่อีเหรินส่ายหน้า
สัตว์ตัวน้อยเอียงคอ คิดไปคิดมาก็กินขนมอบสองสามคำ จากนั้นจึงกระโดดเข้าไปในอ้อมกอดนาง หมายความว่ามันยอมตามนางกลับไป
“อู…ข้าอยากกินขนมอบอย่างเมื่อครู่อีก” ขนมอบนั่นนุ่ม หวาน หอม มันไม่เคยกินมาก่อน อร่อยมาก
เมื่ออยู่ในอ้อมกอดนาง สัตว์น้อยแน่ใจว่าในตัวนางมีลมหายใจที่แปลกประหลาด รุนแรงมากเสียจนทำให้พวกสัตว์รู้สึกหวาดกลัว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดมันยังรู้สึกอยากใกล้ชิดนางอย่างมาก มันควรจะเชื่อใจนาง รู้สึกว่านางไม่น่าจะทำร้ายมันได้…นี่คือลางสังหรณ์ของมัน
“เด็กดี” พอได้ยินเสียงอูๆ จากสัตว์ตัวน้อย ฉู่อีเหรินก็ยิ้มแย้ม ลูบมันด้วยความปรารถนาดี จากนั้นก็ยืนขึ้นและอุ้มไปให้พี่ๆ ดู
“มันจะกลับไปกับพวกเราเจ้าค่ะ พวกเราเอาขนมอบป้อนมันได้หรือไม่” ฉู่อีเหรินยิ้มตาหยี นางดีใจยิ่งนัก
นางใช้ความสามารถพิเศษที่นี่ได้เช่นกัน ฟังภาษาสัตว์วิเศษออกด้วยเช่นนี้ ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
“ได้” เขายังมองไม่ออกว่าสัตว์น้อยตัวนี้เป็นสัตว์วิเศษหรือไม่ ปกติสัตว์วิเศษจะไม่เข้าไปขโมยของกินในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน…มันไม่ควรจะเซ่อซ่าเช่นนั้น ดังนั้นมันอาจเป็นเพียงสัตว์น้อยธรรมดา คงไม่มีอันตรายอะไร เมื่อครุ่นคิดได้ดังนั้นฉู่เซวียนอั๋งค่อยพยักหน้า
“ขอบคุณพี่ใหญ่ เช่นนั้นพวกเรารีบกลับเถิดเจ้าค่ะ” ฉู่อีเหรินรีบเดินนำหน้าไปทันที
“ได้” ฉู่เซวียนอั๋งและฉู่เซวียนฉีทำได้เพียงเดินตามนาง
ฉู่อีเหรินคว้าโอกาสที่พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็น กระซิบถามมันว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นสัตว์อะไร แต่ว่าเมื่อครู่เจ้าพูดถึงข้อตกลง นั่นก็แสดงว่าเจ้าเป็นสัตว์วิเศษ เช่นนั้นเจ้ายอมเป็นสัตว์วิเศษของพี่ชายข้าคนใดคนหนึ่งหรือไม่”
“เขาได้ เขาไม่ได้”
คนที่ได้คือฉู่เซวียนฉี คนที่ไม่ได้คือฉู่เซวียนอั๋ง
ทันใดนั้นฉู่อีเหรินก็นึกถึงที่พี่ใหญ่พูดเมื่อครู่ว่าเขาไม่มีพรสวรรค์พิเศษที่จะกลายเป็นผู้วิเศษ
หรือว่า…สัตว์น้อยตัวนี้รู้ว่าใครเป็นผู้วิเศษได้หรือไม่ได้
“เจ้ารู้ว่าใครเป็นผู้วิเศษได้ ใครเป็นไม่ได้ใช่หรือไม่” ฉู่อีเหรินรีบถามมันทันที
สัตว์น้อยแสดงสีหน้างุนงง มันแค่ใช้ลางสังหรณ์เท่านั้น
สัตว์น้อยไม่ตอบ ทำให้ฉู่อีเหรินผิดหวังเล็กน้อย แต่ชั่วประเดี๋ยวเดียวนางก็ถามอีก “เช่นนั้นเจ้ายินยอมหรือไม่”
สัตว์น้อยครุ่นคิดก่อนจะถามนางกลับ “จะให้อาหารข้าทุกวัน ไม่ปล่อยให้ข้าหิว จะดูแลข้าอย่างดี ไม่ทารุณข้าใช่หรือไม่”
“แน่นอน”
“สัญญา?”
“ข้าสัญญา”
“เช่นนั้น…ก็ได้”
เพื่อไม่ให้ท้องหิว เพื่อของอร่อย สัตว์น้อยจึงยอมขายตัวเอง
“ขอบคุณนะ” ฉู่อีเหรินยิ้มอย่างดีใจ
“แค่มีสัตว์เลี้ยงทำให้เจ้าดีใจถึงเพียงนี้” ฉู่เซวียนอั๋งมองน้องสาว เขาน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วว่าฉู่อีเหรินมักจะเหงาอยู่ในห้องคนเดียว น่าจะหาสัตว์เลี้ยงมาเป็นเพื่อนนางตั้งแต่เนิ่นๆ
“เอ่อ…อืม พี่ใหญ่ พวกเรากลับกันเลยได้หรือไม่เจ้าคะ” ฉู่อีเหรินตอบรับอย่างขอไปที ก่อนจะเอ่ยถาม
“น้องฉี เจ้ายังอยากอยู่ที่นี่อีกสักพักหรือไม่” ฉู่เซวียนอั๋งถามฉู่เซวียนฉีต่อ
“ในเมื่อนางอยากกลับ พวกเราก็กลับกันเถิด” ฉู่เซวียนฉีเห็นความคิดเห็นของน้องสาวเป็นสำคัญ
“เช่นนั้นก็ได้” ฉู่เซวียนอั๋งรีบเก็บของทันที จากนั้นกวักมือเรียกรถม้าของตระกูลมา พี่น้องสามคนขึ้นนั่งบนรถม้าด้วยกัน
รอให้รถม้าเคลื่อนที่ไปได้สักพัก ฉู่อีเหรินจึงถามฉู่เซวียนฉี “พี่เล็ก พี่รู้คาถาพื้นฐานหรือไม่”
“รู้” สำหรับเรื่องนี้คนในดินแดนล้วนรู้ดี
“เช่นนั้นพี่ลองทำพันธสัญญากับมันดูสิ” ฉู่อีเหรินอุ้มสัตว์น้อยไปตรงหน้าเขา
“มัน?!” พี่เล็กตะลึงตาค้าง มองสัตว์น้อยอย่างงงงันแล้วก็มองไปทางพี่ใหญ่ ไม่รู้จะทำเช่นไรดี
ท่องคาถากับสัตว์ธรรมดาน่ะหรือ…ช่างดูโง่เง่าเหลือเกิน
พี่ใหญ่ทำได้เพียงเอ่ยว่า “ฉู่อีเหริน พวกเรายังไม่รู้ว่ามันใช่สัตว์วิเศษหรือไม่”
“ลองดูสิ ถึงไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร” ฉู่อีเหรินออดอ้อน “พี่ใหญ่ พี่ให้พี่เล็กลองดูเถอะนะ” นางยิ่งอ้อนยิ่งคล่องปากขึ้น
“ก็ได้” ฉู่เซวียนอั๋งทนไม่ได้ที่จะทำให้น้องสาวผิดหวังจึงได้แต่พยักหน้า จากนั้นปลอบน้องเล็กทางสายตา ให้เขาคิดเสียว่าเล่นกับน้องสาว ไม่ต้องคิดอะไรมาก
ฉู่เซวียนฉีจึงเริ่มท่องคาถา
ใครจะคิดว่าสัตว์น้อยกลับทนรอไม่ไหว กระโจนไปด้านหน้าฉู่เซวียนฉี กัดนิ้วมือเขาแผลหนึ่ง จากนั้นเกิดแสงสีขาวสว่างจ้าสาดส่องออกจากรถม้า ร่องรอยการทำพันธสัญญาปรากฏขึ้นที่เท้าฉู่เซวียนฉีในเวลาเดียวกัน
การทำพันธสัญญาสำเร็จ!
ฉู่เซวียนอั๋งงุนงงยิ่ง
ด้านฉู่เซวียนฉีก็งงเป็นไก่ตาแตก
ส่วนฉู่อีเหรินระบายยิ้มอย่างดีใจ
จากนั้นสัตว์น้อยก็คำรามเสียงต่ำกับเจ้านายสองเสียง
‘ข้าหิวแล้ว อยากกินเนื้อ อยากกินอันนั้นที่หวานๆ’
นี่ข้า…ข้าได้ยินสัตว์วิเศษพูด?
โป๊ก!
ด้วยความตกใจ ฉู่เซวียนฉีตัวเอียงไปชนกับผนังรถม้าทันใด
“แค่กๆๆ”
“ง่ำๆๆ”
“งับๆๆ”
ห้องเล็กห้องหนึ่งในหออิ๋งเซียง มีสัตว์น้อยตัวดำขลับกินไม่หยุดอยู่บนโต๊ะ มันกินอาหารจานแล้วจานเล่า เด็กชายสองคน คนหนึ่งตัวโต คนหนึ่งตัวเล็กมองมันกินเอาๆ เด็กหญิงตัวน้อยอีกคนนั่งไกลออกไปหน่อย ถือจานขนมกินไปพลางยิ้มตาหยีไปพลาง
ฉู่เซวียนฉีมองมันอย่างเอาจริงเอาจัง แม้มันจะตัวเล็กมาก แต่มันเป็นสัตว์วิเศษของเขาแล้วจริงๆ เมื่อทำพันธสัญญากับมันสำเร็จ มันก็จะสามารถสื่อสารกับเจ้านายได้ ต่อไปเขาก็จะสื่อสารกับมันเช่นนี้ได้ เขาแย้มยิ้มอย่างพอใจ
“อีเหริน เจ้ารู้ว่ามันเป็นสัตว์วิเศษหรือ” ฉู่เซวียนอั๋งมองสัตว์น้อยสักพัก ไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่น้องสาวพามันมาและยังพยายามให้น้องชายทำพันธสัญญากับมัน ดังนั้นจึงหันไปถามนาง
“ไม่รู้หรอก” ฉู่อีเหรินที่เคยชินกับการปิดบังความสามารถพิเศษ เอ่ยขออภัยพี่ใหญ่ในใจ “ข้าแค่สนใจในวิธีการจะเป็นผู้วิเศษ จึงอยากให้พี่เล็กลองดูเจ้าค่ะ” พอพูดถึงตรงนี้ นางก็กวักมือเรียกพี่ใหญ่ แน่ใจว่าพี่เล็กยังเหม่อลอยมองสัตว์ในข้อตกลงของตน และกระซิบข้างหูพี่ใหญ่ว่า “พี่เล็กไม่ค่อยมีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ ดังนั้นข้าจึงหวังว่าพี่เล็กจะมีอีกโลกหนึ่งที่ให้เขาได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ทำให้ความฝันของเขาเป็นจริง” และกลายเป็นผู้เลิศล้ำ
พอฉู่เซวียนอั๋งฟังก็เข้าใจทันที เขาลูบหัวน้องสาว แม้ฉู่อีเหรินน้อยจะมีอายุเพียงสามขวบ แต่โดยส่วนใหญ่นางไม่เหมือนเด็กสามขวบ ไม่ร่าเริง ไม่ชอบเล่นเท่าที่ควร แต่ฉู่เซวียนอั๋งคิดว่านี่เป็นเพราะนางพักฟื้นอยู่ในห้องเป็นเวลานาน กอปรกับหนึ่งปีมานี้นางอ่านหนังสือไม่น้อย อ่านเยอะ คิดเยอะ จึงแสดงออกคล้ายผู้ใหญ่ พอคิดมาถึงตรงนี้ฉู่เซวียนอั๋งก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ พี่กับพี่เล็กอย่าเอาแต่ดูสัตว์วิเศษกิน พวกพี่ก็กินด้วยสิ อีกสักพักพวกเราไปสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษ ช่วยพี่เล็กสมัครเข้าสมาคม ดีหรือไม่” ฉู่อีเหรินเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
นางเองก็ยังไม่เคยไปที่สมาคม จะได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง
“เจ้าไม่เหนื่อยหรือ” ฉู่เซวียนอั๋งเป็นห่วงสุขภาพฉู่อีเหริน หนึ่งปีมานี้แม้สุขภาพนางจะดีขึ้นมาก แต่ยังมีโรคเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ่อยครั้ง เขาเพียงกังวลว่าจะทำให้นางเหนื่อยและกลับไปนางจะป่วยอีก
“ไม่เหนื่อย” ฉู่อีเหรินส่ายหน้ายิ้มๆ แม้สีหน้านางจะยังขาวซีด แต่ดูมีกำลังวังชามากทีเดียว “หากพี่เล็กเข้าร่วมสมาคมได้ ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้ารังแกอีก” สมาคมเป็นแหล่งสนับสนุนที่ทรงอำนาจทีเดียว
พอฉู่เซวียนอั๋งได้ยินดังนี้ก็เข้าใจทันที ฉู่อีเหรินคงกลัวว่าฉู่เซวียนฉีจะโดนรังแกและถูกด่าว่าไม่เอาไหนอีก เมื่อมีสมาคมรับรอง ต่อไปฉู่เซวียนฉีก็เป็นผู้ครองสัตว์วิเศษ ไม่มีใครกล้าดูถูกเขาอีก แล้วมีอีกข้อหนึ่งที่ฉู่อีเหรินไม่รู้ แต่ฉู่เซวียนอั๋งรู้ดี นั่นก็คือผู้ครองสัตว์วิเศษที่มาจากตระกูลนักยุทธ์ใดก็ตามจะได้รับความสนใจและให้ความสำคัญไม่ด้อยไปกว่านักยุทธ์ยอดฝีมือ ตระกูลฉู่ก็เป็นเช่นนี้ หากฉู่เซวียนฉีกลายเป็นผู้ครองสัตว์วิเศษ ต่อไปท่านพ่อก็ไม่กล้าทอดทิ้งอีกและไม่กล้าแม้กระทั่งสั่งสอนเขาต่อหน้าลูกหลานสกุลฉู่
อีเหรินน้อย…แม้จะได้ออกจากเรือนเฉิงจู๋น้อยมาก แต่คล้ายกับล่วงรู้ไปเสียทุกอย่าง!
“ฉู่อีเหริน เจ้ากลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะ รังแกเจ้าหรือไม่” ฉู่เซวียนอั๋งถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่กลัวเจ้าค่ะ” ฉู่อีเหรินยิ้มตาหยี
“เพราะเหตุใด” ฉู่เซวียนอั๋งประหลาดใจยิ่งนัก
“ข้ามีพี่ใหญ่ ตอนนี้ก็เพิ่มพี่เล็ก ต่อไปไม่มีใครกล้ามาเหิมเกริมต่อหน้าข้าแน่นอน!” ฉู่อีเหรินชูหมัดน้อยๆ ดูท่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
ฮ่าๆๆ ข้าจะต้องทำปณิธานนี้ให้เป็นจริง แม้จะเป็นคนไม่เอาไหน ก็ต้องเป็นอย่างทระนง
ขั้นแรกจะต้องหาคนหนุนหลังที่ดี พึ่งต้นไม้ใหญ่ตากลมเย็นๆ
“เจ้านี่…” กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่…ฉู่เซวียนอั๋งจนต่อถ้อยคำ ทว่าขอแค่ฉู่อีเหรินมีความสุขก็พอแล้ว
ดังนั้นฉู่เซวียนอั๋งจึงสั่งเสี่ยวเอ้อร์ในหออิ๋งเซียงให้นำอาหารอีกไม่กี่อย่างมาเพิ่มเพื่อกินกับฉู่เซวียนฉี เพราะสัตว์น้อยกินอาหารทั้งโต๊ะที่สั่งก่อนหน้านี้เสียเรียบแล้ว
มันมีขนาดแค่ครึ่งแขน ท้องของมันทำด้วยอะไรกันแน่ ไยจึงกิน…อาหารทั้งโต๊ะได้…
“เอ่อ…” หลังมันกินอิ่มแล้วยังนอนแผ่บนโต๊ะ ขาชี้ฟ้า และเรออย่างสบายอกสบายใจ
ฉู่เซวียนอั๋งมองด้วยความจนใจ ฉู่เซวียนฉีอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง มีเพียงฉู่อีเหรินที่กินขนมในจานตนเองหมดแล้ว จากนั้นก็ปีนขึ้นเก้าอี้ นอนคว่ำหน้าลงบนพลางโต๊ะเอื้อมมือไปเกาพุงมัน
“ข้าอิ่ม อย่าเพิ่งมาแกล้งข้า!” สัตว์น้อยประท้วง
ฉู่อีเหรินไม่สนใจคำเตือนของมัน ยังคงเกาพุงมันเล่นต่อไปพลางถามพี่เล็ก “พี่เล็ก ตั้งชื่ออะไรให้มันดี”
“ชื่อ?” ฉู่เซวียนฉีเพิ่งนึกได้ เขาควรจะตั้งชื่อให้สัตว์วิเศษ แต่ต้องถามมันก่อน เขาจึงพูดกับสัตว์น้อยในใจ
เจ้ามีชื่อหรือไม่
‘ไม่มี’
เช่นนั้น…ชื่อว่า ‘ดำน้อย’ ดีหรือไม่
‘ไม่เอา ฟังไม่มีอำนาจเอาเสียเลย’ สัตว์น้อยปฏิเสธ
“พี่เล็ก พี่ดูสิ หัวมันมีขนกระจุกหนึ่ง ดูคล้ายเปลวไฟน้อยๆ ตั้งชื่อให้มันว่า ‘เปลวอัคคี’ ดีหรือไม่” ฉู่อีเหรินอุ้มสัตว์ตัวน้อยที่นอนแผ่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา นำไปด้านหน้าพี่เล็กพลางเอ่ยอย่างตื่นเต้น
อันที่จริงขนกระจุกนั้นไม่ค่อยสะท้อนแสงภายใต้แสงไฟ ออกสีทองเข้ม อยู่ท่ามกลางขนสีดำขลับ ไม่สังเกตให้ดีก็จะมองไม่ค่อยออก
“ดีสิ!” พอฉู่เซวียนฉีมองไป คล้ายกับเปลวไฟน้อยจริงๆ จึงพยักหน้ารับทันที แล้วมองไปทางพี่ใหญ่ “พี่ใหญ่ว่าดีหรือไม่”
“ขอแค่เจ้าชอบก็พอ” ฉู่เซวียนอั๋งตบไหล่น้องชายเพื่อบอกให้กินเร็วๆ แล้วพวกเขาจะเตรียมตัวไปสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษกัน
ครั้งนี้ไม่ต้องนั่งรถม้า เพียงเดินไปไม่นานก็ถึงสมาคมแล้ว เพราะที่ตั้งของสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษอยู่ห่างจากหออิ๋งเซียงร้อยกว่าหมี่ เสมือนอยู่ติดกันอย่างไรอย่างนั้น
ที่มีคนกล่าวว่า ‘ถนนที่มีหออิ๋งเซียงจะต้องเป็นถนนที่คึกคักที่สุดในท้องถิ่นนั้นๆ’ ประโยคนี้ไม่ได้กล่าวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแน่นอน เริ่มแรกสมาคมเป็นองค์กรที่ทรงอำนาจ รู้ทั่วกันในดินแดนเทพยุทธ์ จุดเด่นของแต่ละเมืองจะต้องชัดเจนยิ่งนัก บังเอิญเพราะอาหารอร่อยของหออิ๋งเซียงเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าบัณฑิต ผู้ดีมีตระกูล รวมถึงพวกชนชั้นสูงในสมาคม เพื่อสะดวกในการทานอาหาร แน่นอนว่าหออิ๋งเซียงยิ่งอยู่ใกล้สมาคมยิ่งดี
ดังนั้นถนนที่เป็นศูนย์รวมของสมาคมต่างๆ และหออิ๋งเซียงไม่คึกคักสิแปลก!
หลังจากกินอิ่ม ฉู่เซวียนอั๋งก็อุ้มน้องสาว สัตว์ตัวน้อยเกาะบนไหล่ฉู่เซวียนฉี พากันเดินไปทางสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษ
“ถึงแล้ว”
เกือบหนึ่งเค่อต่อมา ฉู่เซวียนอั๋งและน้องๆ ก็มาถึงหน้าประตูสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษแล้ว
หน้าประตูสมาคมสร้างอย่างยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม มีรูปปั้นหินสีเขียวแกะสลักเป็นรูปสิงโตและเสืออย่างละตัวตั้งขนาบข้าง ทั้งสามคนเดินเข้าไป
ภายในห้องโถงมีเพดานสูง ลักษณะโอ่อ่า นอกจากมีเสาหินรูปสัตว์ไม่กี่ต้นก็ไม่มีสิ่งอื่นตกแต่งเกินความจำเป็น ทว่าครั้นย่างเท้าเข้าไป ทำให้รู้สึกได้เองถึงความโอ่โถงและน่าเกรงขามยิ่ง
ห้องโถงมีผู้คนมากมาย คนจำนวนมากกว่าครึ่งจะนำสัตว์วิเศษมาด้วย ด้านในวางโต๊ะยาวตัวหนึ่ง เป็นฝ่ายต้อนรับชั้นหนึ่ง
ในสมาคมมีคนเข้ามาติดต่อเป็นประจำ ผู้วิเศษพาสัตว์วิเศษมาดำเนินการ แล้วยังมีนักล่าจับสัตว์วิเศษมาทำการซื้อขายที่นี่ หรือผู้ใหญ่พาลูกมาเยี่ยมชม โดยสรุปแล้วที่นี่มีคนรูปแบบต่างๆ นานาปรากฏ แต่การที่จะมีเด็กอุ้มเด็กมาด้วยกันเช่นพวกเขานั้นแทบไม่มี
แม้ทุกคนจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่เด็กสามคนมาด้วยกันโดยที่ข้างกายไม่มีผู้ใหญ่พามาและไม่มีสัตว์วิเศษ มีเพียงสัตว์เลี้ยง แต่ก็ไม่มีใครสอดรู้สอดเห็นถึงขั้นวิ่งเข้ามาถามพวกเขาว่ามาด้วยเหตุอันใด ดังนั้นฉู่เซวียนอั๋งสามพี่น้องจึงรีบเดินไปยังโต๊ะของคนต้อนรับ
“ท่านคือ…คุณชายใหญ่สกุลฉู่ มีเรื่องอะไรหรือ” คนต้อนรับสายตาเฉียบแหลมนัก จำฉู่เซวียนอั๋งได้ทันที
สกุลฉู่เป็นตระกูลนักยุทธ์ชื่อเสียงเลื่องลือในดินแดนเทพยุทธ์ คนในเมืองฉู่ไม่มีใครไม่รู้จัก แล้วหนึ่งในยอดฝีมือที่โด่งดังที่สุด ฉู่เซวียนอั๋งก็นับว่าเป็นอันดับต้นๆ แม้เขาไม่ใช่ผู้วิเศษ แต่ผู้เลิศล้ำทุกคนต่างเลื่อมใส นักยุทธ์อายุสิบขวบสามารถผ่านถึงขั้นดิน ระดับเจ็ด แม้ขณะนี้เขามีอายุสิบเอ็ดขวบ ก็เป็นที่นับถือของผู้คนเช่นกัน
“คุณชายใหญ่สกุลฉู่? ยอดฝีมือที่อายุน้อยที่สุดในสกุลฉู่?!” คนที่อยู่ใกล้โต๊ะของคนต้อนรับพอได้ยินคำเรียกขานของคนต้อนรับก็แอบกรีดร้องเบาๆ พลางเอ่ยถามขึ้นทันที คนอื่นที่ได้ยินเสียงจึงเดินมาเมียงมองในทันใด
ยอดฝีมือสกุลฉู่?
ต้องทำความรู้จักสักหน่อยแล้ว
“น้องชายข้ากลายเป็นผู้ครองสัตว์วิเศษ โปรดช่วยจัดการพาเขาไปทดสอบด้วย” ฉู่เซวียนอั๋งไม่ได้สนใจสายตาประเมินจากทุกคนทั้งต่อหน้าและลับหลัง เขาเอ่ยกับคนต้อนรับอย่างใจเย็น
น้องชาย?
ผู้ครองสัตว์วิเศษ?
สายตาของทุกคนเคลื่อนไปเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางฉู่เซวียนฉีที่เตี้ยกว่าเขา
น้องชายคนนี้ดูท่าอายุราวหกเจ็ดขวบกระมัง
เขาเป็นผู้ครองสัตว์วิเศษ?!
มีสัตว์วิเศษแล้ว?!
คงไม่ใช่…สัตว์เลี้ยงตัวนั้นที่คล้ายแมวนั่นกระมัง
นั่นคือสัตว์วิเศษ?!
มีคนสงสัย และมีคนล้อมเข้ามามากขึ้นอย่างเงียบๆ ด้วยอยากดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“เอ่อ…ได้” คนต้อนรับก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน แต่การเป็นผู้ครองสัตว์วิเศษไม่เกี่ยวข้องกับอายุ ต้องดูว่ามีพลังวิเศษหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มสอบถามอย่างมีแบบแผน “ขอทราบชื่อของท่านและอายุ”
“ฉู่เซวียนฉี เจ็ดขวบ”
“ว้าว! เพิ่งเจ็ดขวบเอง?” คนด้านข้างแอบโห่ร้องอย่างตะลึง
คนต้อนรับรู้หน้าที่ดี ไม่สนใจเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้อื่น หันไปหยิบป้ายหยกที่ใช้ทดสอบพลังวิเศษจากชั้นวางของด้านหลังส่งให้ฉู่เซวียนฉี
“โปรดกำแผ่นหยกไว้ แล้วถ่ายเทคาถาวิเศษ”
“ได้” ฉู่เซวียนฉีกำแผ่นหยก ขณะที่ท่องคาถาอยู่ในใจเงียบๆ เลือดลมในร่างกายก็หมุนเวียนไปด้วย แผ่นหยกในมือส่องแสงสว่างบาดตาในทันใด
“เป็นพลังวิเศษ!”
“เขาเป็นผู้วิเศษจริงๆ!”
แม้คนส่วนใหญ่ในสมาคมล้วนมีพลังวิเศษ แต่พอเห็นมีผู้วิเศษเพิ่มขึ้นอีกคน ทุกคนก็ยังคงตื่นเต้นยิ่งนัก แน่นอนว่าจะต้องมีคนอิจฉาด้วย
“คุณชายเล็กสกุลฉู่ โปรดเดินไปด้านหลังกับข้า” หลังจากเอาแผ่นหยกคืนมา คนต้อนรับก็เดินออกมา ท่าทางเคารพนบนอบต่อฉู่เซวียนฉี จากนั้นก็บอกกับฉู่เซวียนอั๋งว่า “คุณชายใหญ่สกุลฉู่ รบกวนท่านกับคุณหนูท่านนี้รอที่นี่สักครู่” คนต้อนรับเดินนำเขาไปยังเก้าอี้นั่งรอด้านข้าง จากนั้นก็พาฉู่เซวียนฉีไปสนามทดสอบด้านหลัง
ฉู่เซวียนฉีเพิ่งเข้าไปไม่นาน จู่ๆ ก็มีเสียงสัตว์ดุร้ายดังออกมาจากข้างใน
“โฮ่ว!”
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.