บทที่ 83
ตอนที่เฉิงอวี๋จิ่นตื่นมาอีกครั้ง ม่านเตียงโอบรอบ ม่านเหนือหัวเป็นรูปผีเสื้อบินชมดอกโบตั๋นที่ประณีตงดงาม ผ้าห่มแพรบนตัวอ่อนนุ่มอบอุ่น เฉิงอวี๋จิ่นขยับนิ้วมือ สาวใช้ข้างนอกได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว พลิกเปิดม่านเตียงเบาๆ “คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
เป็นตู้รั่ว ครั้นเห็นใบหน้าที่คุ้นตาแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นก็โล่งใจได้บ้าง นางใช้แขนยันตัวขึ้น ตู้รั่วรีบเข้าไปประคองนาง
“เวลาใดแล้ว”
“ยามเว่ย* สามเค่อเจ้าค่ะ”
ผ่านไปนานถึงเพียงนี้แล้วหรือ นางนอนหลับนานมาก เป็นบ่ายของวันต่อมาแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะนอนนานเกินไปหรือไม่ เฉิงอวี๋จิ่นถึงรู้สึกเจ็บคอ แขนขาไร้เรี่ยวแรง สมองก็มึนงง ดูท่านางตกน้ำครั้งนี้คงต้องป่วยไปสักระยะแล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นลุกขึ้นนั่งอย่างมั่นคงด้วยการประคองของตู้รั่ว พบว่าเสื้อผ้าบนร่างตนเองก็เปลี่ยนหมดแล้ว
ตู้รั่วสังเกตเห็นสายตาของเฉิงอวี๋จิ่น จึงพูดว่า “คุณหนูไม่ต้องกังวล บ่าวกับเหลียนเชี่ยวเป็นคนเปลี่ยนให้ท่านเอง ตอนคุณหนูกลับมาเหนื่อยจนหมดสติไป นายท่านเก้าวางตัวท่านลงแล้วก็สั่งให้บ่าวสองคนเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่าน สั่งเสร็จเขาก็ออกไปเจ้าค่ะ เครื่องมือที่เรือนนายท่านเก้านี้มีพร้อมทุกอย่าง น้ำร้อนก็ต้มไว้แล้ว บ่าวกับเหลียนเชี่ยวใช้ผ้าชุบน้ำร้อนเช็ดตัวให้ท่านรอบหนึ่ง แล้วเปลี่ยนเสื้อตัวในใหม่ทั้งหมด จากนั้นหมอหลวงก็มาตรวจชีพจรให้ท่าน ทิ้งใบยาขับความเย็นให้ ตอนนี้เหลียนเชี่ยวกำลังคอยดูหม้อยาอยู่ในครัวเจ้าค่ะ”
ตู้รั่วเล่าเรื่องหลังจากที่เฉิงอวี๋จิ่นหมดสติไปอย่างละเอียด นางวางหมอนนิ่มหนุนเอวด้านหลังเฉิงอวี๋จิ่น พูดอย่างทอดถอนใจว่า “เดิมทีบ่าวยังตกใจว่าเหตุใดหมอหลวงจึงมาได้ทันในเวลาเช่นนี้ ภายหลังจึงรู้ว่าหมอหลวงมารออยู่ที่เรือนส่วนหน้านานแล้ว หลังจากบ่าวสองคนเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณหนู หมอหลวงจึงเข้ามาตรวจชีพจร นายท่านเก้าเป็นคนมีความสามารถจริงๆ คนยังกลับมาไม่ถึง ทุกอย่างในเรือนก็เตรียมพร้อมสรรพหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นแค่รอต้มน้ำร้อนทำให้พื้นอุ่นก็ต้องเสียเวลาครู่หนึ่ง คุณหนูตอนนั้นบนร่างยังสวมเสื้อผ้าเปียกอยู่ จะให้เสียเวลาได้อย่างไร”
พอตู้รั่วพูดเช่นนี้ เฉิงอวี๋จิ่นจึงพบว่าในห้องนี้ยังอบอุ่นอยู่ แต่มองไปแล้วไม่มีกระถางไฟ ที่แท้เพราะต้มน้ำอุ่นท่อใต้พื้นนี่เอง สกุลเฉิงเป็นถึงจวนโหว ยังมีเพียงเรือนพักของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเท่านั้นที่ปูท่อให้ความร้อนใต้ดิน ห้องอื่นต่อให้เป็นของท่านหญิงชิ่งฝู ฤดูหนาวหาความอบอุ่นก็ยังต้องตั้งกระถางไฟ เฉิงอวี๋จิ่นก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่าเป็นฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงนี้ช่างดีเสียจริง แค่เรื่องการหาความอบอุ่นไม่รู้ว่าสบายกว่าผู้อื่นเท่าใดแล้ว คิดไม่ถึงว่าเวลาผ่านไปเร็วเช่นนี้ นางก็ได้สัมผัสกับการปฏิบัติเช่นเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง
ท่อให้ความร้อนใต้ดินช่างแตกต่างจริงๆ ในห้องร้อนอย่างสม่ำเสมอ เหยียบบนพื้นก็มีความอุ่นนิดๆ ไม่เหมือนกระถางไฟ ต่อให้ใช้ถ่านที่ดีที่สุดก็จะมีกลิ่นควัน ส่วนที่อังโดนจะแห้งและร้อน แน่นอนว่าเงินที่ใช้ทำท่อให้ความร้อนใต้ดินก็สูงขึ้นเป็นเท่าตัวเช่นกัน
เป็นจริงดังคาด เรือนส่วนตัวขององค์รัชทายาท ต่อให้เป็นเพียงหนึ่งในเรือนส่วนตัว สิ่งที่ได้สัมผัสก็คือความหรูหรา
เฉิงอวี๋จิ่นขยับข้อมือเล็กน้อย เอนพิงหมอนนุ่มอย่างสบาย ในห้องอบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ บนตัวแห้งสบาย ถึงแม้ในหัวจะยังมึนงงอยู่ แต่ดีกว่าเมื่อวานมาก เฉิงอวี๋จิ่นมองสำรวจในห้องนี้ มองออกว่าที่นี่ไม่มีคนอาศัยมานาน ใหม่เอี่ยมและเย็นเยือก ไม่มีกลิ่นอายมนุษย์ แต่เครื่องใช้ทุกอย่างมีพร้อมสรรพ
หลังจากเฉิงอวี๋จิ่นสำรวจเสร็จก็เลื่อนสายตากลับมาถามตู้รั่วว่า “ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง จวนโหวรู้ข่าวของข้าแล้วหรือ ท่านแม่กับอาสะใภ้รองล่ะ”
ตู้รั่วส่ายหน้าเบาๆ พูดเสียงเบาว่า “บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ หลังจากบ่าวตามคุณหนูเข้ามา จากนั้นก็เฝ้าอยู่ข้างกายท่านตลอด เสื้อผ้าน้ำร้อนทั้งหมดคนข้างนอกล้วนส่งเข้ามา บ่าวสองคนไม่ได้เดินออกไปข้างนอกเลย”
ออกไปไม่ได้? สภาพการณ์เช่นนี้เรียกได้ว่าอยู่ในการคาดการณ์ของเฉิงอวี๋จิ่น และอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของนางเช่นกัน เฉิงอวี๋จิ่นขยับอีกครั้ง รู้สึกว่าร่างกายตนมีแรงขึ้นแล้ว จึงพูดว่า “ประคองข้าขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ใส่แต่เสื้อคลุมบางๆ เช่นนี้จะได้อย่างไร”
ตู้รั่วรับคำ ประคองเฉิงอวี๋จิ่นขึ้นมาอย่างเอาใจใส่ “ตอนคุณหนูนอนหลับข้างนอกส่งเสื้อผ้ามาให้ มีทั้งหมดห้าหกชุดเชียว คุณหนูค่อยๆ เลือกได้เจ้าค่ะ”
คิดไปก็จริง ทรัพย์สินส่วนตัวในชื่อของเฉิงหยวนจิ่งแม้จะมีพร้อม แต่ไม่มีทางเตรียมเสื้อผ้าหญิงสาวไว้เด็ดขาด เสื้อคลุมยังพอว่า เอาชุดใหม่ชุดหนึ่งมาก็พอใช้ได้แล้ว แต่เสื้อชั้นนอกต้องออกไปซื้อข้างนอก
เฉิงอวี๋จิ่นคิดถึงตรงนี้จึงพบความผิดปกติ นางก้มลงมองร่างกายของตนเอง พบว่าแขนเสื้อยาวไปเล็กน้อย ช่วงไหล่ก็กว้างจนดูไม่ได้ เสื้อคลุมเดิมทีก็หลวมโพรกอยู่แล้ว เฉิงอวี๋จิ่นเมื่อครู่จึงไม่ทันได้ใส่ใจ ตอนนี้จึงพบความผิดปกติ
“คุณหนูดูอะไรอยู่เจ้าคะ” เห็นเฉิงอวี๋จิ่นก้มมองแขนเสื้อ ตู้รั่วจึงถามขึ้นมา จากนั้นเหมือนคิดอะไรได้ จึงไม่ได้พูดต่อ
เรือนส่วนตัวในนามของเฉิงหยวนจิ่ง คิดว่าคงเตรียมเสื้อผ้าหลายชุดให้เฉิงหยวนจิ่งใช้ เฉิงอวี๋จิ่นไม่ได้ยินตู้รั่วพูดถึงว่าในเรือนนี้มีสาวใช้คนอื่นอยู่อีก หากเป็นเช่นนี้บนตัวของนางเห็นได้ชัดว่าเป็นเสื้อทับตามขนาดตัวของบุรุษ เป็นของเฉิงหยวนจิ่งกระมัง
แม้จะเป็นชุดใหม่เอี่ยมที่ไม่เคยใส่มาก่อนก็เพียงพอจะทำให้เฉิงอวี๋จิ่นกับตู้รั่วหน้าแดงก่ำได้
เฉิงอวี๋จิ่นกระแอมทีหนึ่ง พยายามรักษาท่าทางของคุณหนูใหญ่ที่สุขุมสงบนิ่ง พูดว่า “เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”
ขอบคุณฟ้าดินที่เฉิงหยวนจิ่งไม่ได้คิดจะให้นางสวมเสื้อผ้าของเขาไปก่อน ในห้องเปลี่ยนชุดมีเสื้อผ้าหลายชุดวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ ตั้งแต่เสื้อซับใน ถุงเท้า จนถึงเสื้อกันลมกันเปื้อน มีครบทุกแบบและสีต่างๆ มีห้าหกชุด เฉิงอวี๋จิ่นใจคิดว่าเป็นองค์รัชทายาทดีจริง แม้แต่การซื้อเสื้อผ้ายามจำเป็นยังซื้อทีละห้าหกชุด
ในเมื่อเฉิงหยวนจิ่งเตรียมไว้แล้ว เฉิงอวี๋จิ่นก็ไม่เกรงใจ หยิบมาใช้อย่างเต็มที่ แต่ตอนที่นางพบว่าในกองเสื้อมีเสื้อซับในด้วย ยังคงรู้สึกไม่สบายใจนัก
ตู้รั่วเองก็อายจนหน้าแดงก่ำ พูดเสียงเบาว่า “คุณหนู ท่านดูสิ นี่เป็นเสื้อผ้าของร้านอวิ๋นอี ชุดที่ร้านอวิ๋นอีทำเพื่อสตรีโดยเฉพาะเหล่านี้คงจะเป็นชุดที่เถ้าแก่เนี้ยเลือกให้ท่าน”
“อืม น่าจะใช่” เฉิงอวี๋จิ่นแสร้งพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง ระหว่างที่พูดคุยกัน เรื่องนี้ก็สรุปได้แล้ว นี่เป็นชุดที่เถ้าแก่เนี้ยเป็นคนเลือก ไม่มีคนอื่นเข้าไปยุ่งเกี่ยว
เฉิงอวี๋จิ่นเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เหลียนเชี่ยวก็ยกยากลับมา นางเห็นห้องส่วนในไม่มีใครก็ตกใจอย่างมาก แต่เมื่อเห็นเฉิงอวี๋จิ่นกับตู้รั่วเดินออกมาจากหลังฉากบังตาจึงโล่งอก พูดอย่างตื่นเต้นยินดี “คุณหนู ท่านตื่นแล้ว!”
เฉิงอวี๋จิ่นพยักหน้า นางนั่งลงบนเตียง เห็นบนโต๊ะมีของหวานทำจากบ๊วยเค็มหลากหลายแบบตั้งวางอยู่ เฉิงอวี๋จิ่นก็เลิกคิ้ว เหลียนเชี่ยวตาดีมากพูดต่อไปว่า “นี่คือของที่พ่อบ้านหลิวส่งมาให้ บอกว่านายท่านเก้ากังวลว่าคุณหนูเพิ่งตื่นจะยังไม่อยากอาหาร จึงตั้งใจส่งอาหารเรียกน้ำย่อยเหล่านี้มาให้ท่านกระตุ้นการรับรสในปากเจ้าค่ะ”
เฉิงอวี๋จิ่นแทบจะถอนใจออกมาเสียงดังแล้ว ผู้เชี่ยวชาญลงมือก็รู้ว่าเก่งหรือไม่ ดูคนที่เป็นขันทีในวังสิ เห็นได้ชัดว่าเรื่องการปรนนิบัติคนเหล่านี้ล้วนเชี่ยวชาญมาก เฉิงอวี๋จิ่นไม่ค่อยเชื่อว่านี่เป็นเรื่องที่เฉิงหยวนจิ่งสั่งการ เห็นได้ชัดว่าเมื่อวานเฉิงหยวนจิ่งมีธุระ เขาจะจำรายละเอียดเหล่านี้ได้อย่างไร เกินครึ่งต้องเป็นสิ่งที่ขันทีผู้นี้เป็นคนเตรียม สุดท้ายยกประโยชน์ให้เจ้านาย
ยาเพิ่งออกจากเตา ยังมีไอร้อนลอยขึ้นมา เฉิงอวี๋จิ่นให้เหลียนเชี่ยวเอายาวางไว้ด้านข้าง ถามว่า “ท่านอาเก้าล่ะ”
เสียงของนางทุ้มต่ำแหบแห้ง ฟังแล้วเสียงสากๆ ฟังดูเป็นคนป่วยอย่างชัดเจน เฉิงอวี๋จิ่นพูดมากแล้วก็เจ็บคอ นางยกชาขึ้นดื่มกลั้วคอ คอที่แห้งผากจึงสบายขึ้นบ้าง
สุดท้ายก็ถามออกมาแล้ว คนที่ควรมาอย่างไรเสียก็ต้องมา การหลบเลี่ยงไม่ใช่การแนวทางที่เฉิงอวี๋จิ่นจะกระทำ
ตู้รั่วกับเหลียนเชี่ยวมองตากัน แล้วพูดว่า “นายท่านเก้าอยู่เรือนส่วนหน้าเจ้าค่ะ”
“เมื่อคืนโชคดีที่ท่านอาเก้าช่วยข้า สมควรจะขอบคุณท่านอาเก้าต่อหน้า อีกอย่างข้ายืมที่พักในเรือนส่วนตัวของท่านอาเก้า ตอนนี้ตื่นแล้ว ควรจะบอกกับเจ้าบ้านสักนิด ไปเรือนส่วนหน้าเชิญท่านอาเก้ามา บอกว่าข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับท่านอาเก้า”
ในเรือนส่วนหน้าเวลานี้ หลิวอี้กำลังพูดคุยกับเฉิงหยวนจิ่งเรื่องเฉิงอวี๋จิ่นเช่นกัน “…องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงเฉินบอกว่าอาการป่วยของคุณหนูใหญ่ไม่เป็นไรแล้ว กินยาไล่ความเย็นอีกสองเทียบก็ฟื้นแล้ว ฝ่าบาทเมื่อวานทรงรอท่านไม่ไหว จำต้องเสด็จกลับวังก่อน เมื่อครู่…ฝ่าบาทยังส่งคนมาถามว่าเหตุใดพระองค์จึงไม่เสด็จไปหา”
เมื่อวานหลังเฉิงหยวนจิ่งช่วยเฉิงอวี๋จิ่นในงานชมโคมไฟแล้วก็ตรงกลับเรือนพักที่ใกล้ที่สุด ทั้งเรียกหมอหลวงและอดนอนตลอดทั้งคืน วุ่นวายจนกระทั่งฟ้าใกล้สางจึงพักผ่อน อีกทั้งเฉิงอวี๋จิ่นถูกความเย็นจนหมดสติ เฉิงหยวนจิ่งเองก็แช่น้ำเย็นมาเช่นกัน พวกหลิวอี้เป็นห่วงสุขภาพของเฉิงหยวนจิ่ง รีบเตรียมยาขับความเย็นเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ทางด้านฮ่องเต้ย่อมไม่อาจไปพบหน้าได้แล้ว
อีกทั้งเฉิงหยวนจิ่งยังเป็นห่วงอาการป่วยของเฉิงอวี๋จิ่นด้วย หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็รีบไปเฝ้าที่เรือนส่วนใน จนกระทั่งฟ้าใกล้สว่าง เฉิงอวี๋จิ่นไข้ลดแล้วจึงกลับมาพักผ่อน นอนหลับได้ไม่นานก็ตื่นขึ้นมาจัดการเรื่องในวังอีก
หลิวอี้ถอนหายใจ ฮ่องเต้ให้คนมาสอบถามหลายครั้งแล้ว เห็นองค์รัชทายาทไม่มีแก่ใจสนใจเรื่องอื่น หลิวอี้จึงทำได้เพียงเลือกคำพูดที่ดีส่งไปให้ฮ่องเต้
นี่เกรงว่าคงเป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ถูกคนผิดนัด เกินครึ่งคงจะมีครั้งนี้เพียงครั้งเดียว เขาไม่ได้พบเฉิงหยวนจิ่ง จะโกรธหรือไม่ยังไม่พูดถึง เฉิงหยวนจิ่งถูกเรื่องใดเหนี่ยวรั้งไว้ ฮ่องเต้ยังคงต้องการรู้
หลังจากหลิวอี้พิจารณาอย่างละเอียด จึงพูดอย่างอ้อมค้อมให้เฉิงหยวนจิ่งฟัง ผลปรากฏว่าผู้เป็นนายของเขาไม่ได้ช้อนตาขึ้นเลย พูดรับคำเสียงเรียบว่า “อืม”
หลิวอี้ปวดหัว จำต้องพูดเตือนสติโดยอ้อมอีกครั้ง “องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงไม่ได้พบพระองค์รู้สึกไม่วางพระทัย เดิมทีกำหนดว่าจะออกมาชมโคมไฟเพียงในวันที่สิบห้า เมื่อครู่เพิ่งยืดออกไปอีกหนึ่งวัน ฝ่าบาททรงสนพระทัยว่าเมื่อคืนเหตุใดพระองค์จึงไม่ได้เสด็จมา”
ฮ่องเต้ออกจากวังมาร่วมสนุกกับราษฎรในเทศกาลซั่งหยวน แท้จริงแล้วการออกจากวังนี้ยังอยู่ในหอสูงที่ราชวงศ์เป็นผู้สร้าง ไม่แตกต่างจากตำหนักตากอากาศเลย เพียงแต่ระเบียบกฎเกณฑ์ผ่อนปรนกว่าในวังหลวงมาก การป้องกันประตูเข้าออกควบคุมได้ง่าย ดังนั้นฮ่องเต้สามารถปลีกตัวระยะสั้นๆ ลอบมาพบกับเฉิงหยวนจิ่งได้ น่าเสียดายที่เมื่อวานเฉิงหยวนจิ่งไม่ได้ไป ฮ่องเต้จนปัญญา จำต้อง ‘ร่วมสนุกกับราษฎร’ เพิ่มอีกหนึ่งวัน
เบื้องบนขยับปากสั่งการ เบื้องล่างวิ่งเต้นตามขาแทบหัก ยังไม่ต้องพูดถึงการตัดสินใจกะทันหันของฮ่องเต้นี้ว่าจะนำความยุ่งยากมาให้คนเบื้องล่างเพียงใด เฉิงหยวนจิ่งได้ยินแล้วยังต้องใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
หลิวอี้ก้มหน้า ไม่กล้ารบกวนการใคร่ครวญของผู้เป็นนาย ผ่านไปอีกครู่หนึ่งเฉิงหยวนจิ่งจึงวางพู่กันลง ประทับตราขุนนางของตนลงบนกระดาษ แล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้ข้าจะทูลพระองค์เอง”
หลิวอี้เข้าใจแล้วว่านี่มีความหมายว่าไม่ให้เขาพูดอะไรมากอีก หลิวอี้มีเหงื่อท่วมศีรษะโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่เขาอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทมาเป็นเวลานาน ย่อมเข้าใจความคิดของผู้เป็นนายได้บ้าง ตอนที่ฝ่าบาทส่งคนมาถาม เขาก็พูดกลบเกลื่อนว่าองค์รัชทายาทถูกไอเย็น ไม่ได้พูดถึงเรื่องของคุณหนูใหญ่เฉิง ตอนนี้ดูไปแล้วนับว่าเขาเก็บชีวิตกลับมาได้โดยไม่รู้ตัว
หลิวอี้ในใจสับสน ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรจะคิดเรื่องอะไร สายตาเขาเห็นยาบนโต๊ะที่ใกล้เย็นแล้ว จึงพูดเตือนอย่างระวังตัว “องค์รัชทายาท พระองค์ควรจะดื่มยาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงอวี๋จิ่นเมื่อวานกลับมาก็ล้มป่วย เฉิงหยวนจิ่งยังทนไหว ทว่าเหล่าขันทีที่คอยปรนนิบัติพากันหวาดหวั่น กลัวว่าผู้เป็นนายจะไม่สบายไป เพียงเฉิงหยวนจิ่งปวดหัวเป็นไข้เล็กน้อย หัวของพวกเขาก็คงต้องหลุดออกจากบ่าแล้ว
ดังนั้นที่ห้องเฉิงหยวนจิ่งจึงมียาขับความเย็นเช่นกัน แต่เฉิงหยวนจิ่งรู้สึกว่าร่างกายไม่เป็นไรมาก จึงคร้านจะดื่ม หลิวอี้ใช้พลังความคิดทั้งหมดอยากจะพูดกล่อมแต่ก็ไม่กล้า ทำได้เพียงเปลี่ยนวิธีเป็นพูดเตือนให้เฉิงหยวนจิ่งดื่มยา
เป็นจริงดังคาดเฉิงหยวนจิ่งฟังคำพูดนี้แล้วมีทีท่าไม่สนใจอะไร ไม่ได้คิดจะกินยาแม้แต่น้อย หลิวอี้ปวดหัวอย่างมาก เขายังอยากจะพูดกล่อมอีก ทว่าจู่ๆ หูก็พลันขยับ เฉิงหยวนจิ่งได้ยินเสียงพูดคุยที่นอกเรือนเช่นกัน จึงถามเสียงเข้มว่า “ใครกัน”
องครักษ์หยุดยืนหน้าประตู ตอบอย่างนอบน้อมว่า “เรียนนายท่าน เป็นสาวใช้ของคุณหนูใหญ่เฉิงขอรับ”
หลิวอี้พบว่าสีหน้าของเฉิงหยวนจิ่งอ่อนโยนลงทันที เขาผ่อนคลายไหล่ แล้วพูดว่า “ให้นางเข้ามา”
ตู้รั่วก้มหน้าเดินเข้าประตู ไม่กล้าเงยหน้ามองคนตรงหน้าเลย หลังจากคำนับตามมารยาทแล้ว จึงพูดว่า “เรียนนายท่านเก้า คุณหนูฟื้นแล้วเจ้าค่ะ อยากจะขอบคุณท่านต่อหน้า ไม่รู้ว่านายท่านเก้าสะดวกหรือไม่เจ้าคะ”
แท้จริงแล้วไม่สะดวกนัก หลิวอี้ลอบคิดว่าฮ่องเต้ยังรออยู่ข้างนอก ในที่ลับก็ยังมีเรื่องสุมกองใหญ่ เฉิงหยวนจิ่งออกไปตอนนี้ เรื่องเหล่านี้ก็ต้องเลื่อนไปอีก แต่หลิวอี้กลับรู้ว่าสำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับคุณหนูใหญ่เฉิงแล้ว เฉิงหยวนจิ่งต้องมีเวลาว่างแน่นอน
เป็นจริงดังคาด เพียงได้ยินว่าเฉิงอวี๋จิ่นฟื้นแล้ว เฉิงหยวนจิ่งก็ลุกพรวดขึ้นยืนทันที ก้าวยาวออกไปข้างนอก “นางฟื้นแล้วหรือ เป็นเรื่องเมื่อใด เหตุใดจึงไม่มารายงานทันที”
เฉิงอวี๋จิ่นนั่งพิงบนเตียงคนต้มถั่วแดงเห็ดหูหนูขาว ในปากยังอมบ๊วยไว้เม็ดหนึ่ง นางเพิ่งชิมไปได้สองเม็ด เฉิงหยวนจิ่งก็มาถึงแล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นวางชามในมือลง นางยืนขึ้นมาคำนับตามธรรมเนียมอย่างดี “ท่านอาเก้า”
เฉิงหยวนจิ่งเห็นเฉิงอวี๋จิ่นเดินลงพื้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาส่งสัญญาณให้เฉิงอวี๋จิ่นไม่ต้องยุ่งยาก เฉิงอวี๋จิ่นถอยหลังหนึ่งก้าว หลบมือของเฉิงหยวนจิ่ง คำนับตามธรรมเนียมจนจบชุดพิธี
“ขอบคุณบุญคุณที่ท่านอาเก้าช่วยชีวิต”
เฉิงหยวนจิ่งหลุบตามองมือที่คว้าไม่ได้กลางอากาศ จ้องนิ่งไปที่เฉิงอวี๋จิ่น ไม่ได้พูดจา
เฉิงอวี๋จิ่นก็ไม่รีบร้อน ยังคงอยู่ในท่าคำนับที่งดงามที่สุด รออยู่อย่างนอบน้อม
เฉิงอวี๋จิ่นไม่ทำให้เสียชื่อ ป่วยหนักยังไม่ทันหาย นางก็สามารถอยู่ในท่าคำนับนานเช่นนี้ โดยที่ตัวไม่โอนเอนแม้แต่น้อย เฉิงหยวนจิ่งสุดท้ายทนเห็นนางเหนื่อยไม่ไหว นางยังไม่หายป่วย ตัวนางเองไม่ใส่ใจ แต่เฉิงหยวนจิ่งทำไม่ได้
“ลุกขึ้นเถอะ”
“เจ้าค่ะ” เฉิงหยวนจิ่งนั่งลงก่อน เฉิงอวี๋จิ่นรับคำ ในตอนนี้จึงยืดตัวขึ้นอย่างไม่รีบร้อน ท่าทีการกระทำนี้แตกต่างกับตอนอยู่หน้าท่านอาในจวนสกุลเฉิง
หรืออาจจะพูดได้ว่านี่จึงจะเป็นระยะห่างปกติระหว่างพวกเขา
ทุกคนเห็นสถานการณ์ผิดปกติจึงถอยออกไปจนหมด พอประตูปิดลงก็เหลือเพียงเฉิงอวี๋จิ่นกับเฉิงหยวนจิ่งสองคน
เฉิงหยวนจิ่งนั่งลง เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้าเล็กน้อย ดวงตาจ้องลงบนพื้นอย่างมีมารยาท อ่อนโยนและนอบน้อม เฉิงหยวนจิ่งมองดูท่าทีเช่นนี้ของนางแล้วก็โมโหอย่างไร้สาเหตุ “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“นี่เป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรกระทำ” เฉิงอวี๋จิ่นหลุบขนตาลง ปิดบังสายตาในดวงตา พูดเสียงเบาว่า “องค์รัชทายาท”
บทที่ 84
ภายในห้องตกอยู่ในความสงบ เงียบอยู่ครู่ใหญ่เฉิงหยวนจิ่งจึงพูดว่า “เจ้าตัดสินใจเช่นนี้หรือ”
เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้าลงพูดว่า “องค์รัชทายาททรงเข้าพระทัยผิดแล้ว ไม่ใช่หม่อมฉันคิดล่วงเกิน เพียงแค่กลับมาใช้พิธีการที่ควรแต่เดิมเท่านั้น หม่อมฉันก่อนหน้านี้ไม่มีผลงานใด อาศัยเพียงพระองค์อยู่ในจวนสกุลเฉิง ต้องการการปกปิดของสกุลเฉิงชั่วคราว จึงรบกวนพระองค์เหมือนท่านอาของตน เป็นความผิดของหม่อมฉันจริงๆ พระองค์เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ เจ้าแผ่นดินกับขุนนาง บิดากับบุตรล้วนมีหลักปฏิบัติตน หม่อมฉันในเมื่อบังเอิญรู้ฐานะของพระองค์ ย่อมต้องใช้มารยาทการพบปะเชื้อพระวงศ์ปฏิบัติต่อพระองค์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อวานโชคดีได้พระองค์ช่วยชีวิตไว้ องค์รัชทายาทเป็นทั้งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ และเป็นผู้มีคุณช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้ หม่อมฉันย่อมต้องเคารพนบนอบ”
บิดาบุตรเจ้าแผ่นดินขุนนาง?
ต้องเคารพนบนอบ?
เฉิงหยวนจิ่งหัวเราะ ทว่าในดวงตามีแววเย็นชา ไม่มีรอยยิ้มเลย “อ้อ แล้วก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่จวนสกุลเฉิง เหตุใดไม่คิดเคารพแล้วอยู่ให้ห่าง เหตุใดถึงเพิ่งมาคิดได้ในวันนี้”
เฉิงอวี๋จิ่นทอดถอนใจอยู่ภายใน เห็นได้ชัดว่าบารมีของเฉิงหยวนจิ่งยืมได้ยากมาก คิดอยากต่อรองขอหนังจากพยัคฆ์* ยังไม่ทันได้หนังพยัคฆ์มา นางก็ไม่อาจสลัดตัวหลุดได้แล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นเดิมทีไม่เคยคิดว่าเฉิงหยวนจิ่งจะมีความคิดด้านนี้ ดังนั้นจึงคิดอยากดึงความรู้สึกอันดีจากเจ้าแผ่นดินในอนาคตเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตนเอง สุดท้ายเลือกแต่งงานกับผู้มีศักยภาพที่ได้รับความชื่นชมจากองค์รัชทายาท อนาคตวันข้างหน้าไร้ขีดจำกัด ทำให้ชีวิตเยี่ยงผู้ชนะตลอดรอดฝั่งในทุกทางเป็นจริงขึ้นมา
แต่เมื่อวานเฉิงหยวนจิ่งกระโดดลงน้ำมาช่วยนาง เป็นการทุบศีรษะเฉิงอวี๋จิ่นด้วยก้อนอิฐอย่างแรงโดยไม่ต้องสงสัย ทำให้นางหาทิศทางไม่ค่อยเจอ แท้จริงแล้วพวกเขาก่อนหน้านี้มีการกระทำสนิทสนมอยู่ในขอบเขตที่คลุมเครือจำนวนมาก หากเป็นหนุ่มสาวทั่วไปถือว่าสนิทกันมากไปสักหน่อย แต่การเรียก ‘ท่านอาเก้า’ นั้นสร้างความสับสนเหลือเกิน เฉิงอวี๋จิ่นฟังมากเข้าก็ค่อยๆ ถูกบดบังความเป็นจริงไป คิดว่าระหว่างญาติสนิทสนมสักนิดเป็นเรื่องปกติ ตีกันบ้างหาเรื่องกันบ้างเป็นเรื่องปกติมาก
ทว่าพวกเขาไม่ได้เป็นญาติกันจริงๆ หากทั้งสองคนไม่มีใครพูดถึง หลังจากเฉิงหยวนจิ่งจากไป เรื่องเหล่านี้ก็ไม่มีใครรู้ ใครจะรู้ว่าเฉิงหยวนจิ่งไม่คิดจะหยุดเพียงเท่านี้ เขาฉีกหน้าต่างกระดาษที่ไม่แข็งแรงระหว่างพวกเขาสองคนต่อหน้านาง ทำลายความสัมพันธ์ที่เปราะบางนี้ ทำให้เฉิงอวี๋จิ่นจำต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ตึงเครียดอีกอย่างหนึ่ง
นางดึงความรู้สึกอันดีออกมามาก…มากเกินไปแล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าองค์รัชทายาทจะหมายตาในตัวนาง เหมือนว่าจิตใต้สำนึกได้ตัดความเป็นไปได้เช่นนี้ออกไปแล้ว ตอนที่เฉิงอวี๋จิ่นเลือกสามี ไม่ได้เอาชื่อของเฉิงหยวนจิ่งวางไว้ในตัวเลือกที่เตรียมไว้เลย ดังนั้นนางย่อมต้องคิดว่าเฉิงหยวนจิ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน
อย่างไรเสียคุณค่าของเฉิงอวี๋จิ่นสำหรับเฉิงหยวนจิ่งนั้น ไม่ต่างอะไรกับคุณค่าของโจวเฉิงที่มีต่อเฉิงอวี๋จิ่นเลย โจวเฉิงก็คือผู้ที่ก่อนหน้านี้สอบได้จิ้นซื่อปีเดียวกับหลินชิงหย่วน แต่ทางบ้านยากจนจนต้องอาศัยมารดากับน้องสาวเย็บปักเลี้ยงชีวิตผู้นั้น
ทั้งสองแม้เป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่น ทว่าทางบ้านคอยเป็นตัวถ่วงทุกอย่าง พิจารณาถึงฐานะพิเศษของเฉิงหยวนจิ่งแล้ว ความรุนแรงในการเป็นตัวถ่วงของจวนอี๋ชุนโหวร้ายแรงกว่าสกุลโจวมากนัก
เฉิงอวี๋จิ่นเลื่อมใสโจวเฉิงมาก และซาบซึ้งใจมากกับความผูกพันในเครือญาติที่คอยประคับประคองกันของครอบครัวพวกเขา แต่เฉิงอวี๋จิ่นไม่มีทางคิดแต่งงานกับโจวเฉิง เป็นภรรยาตระกูลสูงศักดิ์ที่เสริมบารมีให้โจวเฉิงข้ามขั้นอย่างเด็ดขาด นางสามารถเลือกคนจากครอบครัวระดับเดียวกัน มีความสามารถด้อยกว่าสักคนอย่างเช่นสวีจือเซี่ยนได้ หรือถึงขั้นลองเสี่ยงเลือกหลินชิงหย่วนที่มีครอบครัวและความสามารถที่ดีกว่า
สมองของนางต้องมีหลุมใหญ่เพียงใดจึงไปเลือกโจวเฉิง ทำการค้าขายไม่ได้รับผลตอบแทนที่มีความเสี่ยงสูงเช่นนั้น เปลี่ยนอีกมุมหนึ่ง สภาพการณ์ระหว่างนางกับเฉิงหยวนจิ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน
หากจะพูดว่าชาวบ้านทั่วไปกับบัณฑิตมีหลุมหนึ่งหลุมกั้นกลาง ตระกูลขุนนางทั่วไปกับจวนกงโหวก็มีหลุมอีกหนึ่งหลุมกั้นกลาง เช่นนั้นระหว่างขุนนางบรรดาศักดิ์กับบุตรหลานเชื้อพระวงศ์ คงจะกางกั้นไว้ด้วยฟ้ากับดินแล้ว
ขุนนางบรรดาศักดิ์มีอำนาจทรัพย์สินส่งต่อรุ่นต่อรุ่น ไม่จำเป็นต้องสอบขุนนาง ไม่จำเป็นต้องหาทางออก แค่จุดเริ่มต้นก็แกร่งกว่าบัณฑิตที่สอบขุนนางมากแล้ว ทว่าในสายตาของบรรดาท่านอ๋ององค์หญิง นั่นก็เป็นเพียงชื่อชื่อหนึ่งเท่านั้น แตกต่างกันแค่เพียงชื่อของบางตระกูลควรค่าแก่การจดจำ แต่บางตระกูลไม่ควรค่า
บังเอิญว่าสกุลเฉิงจวนอี๋ชุนโหวอยู่ในจำพวกที่ไม่ควรค่านี้ ในเมืองหลวงขุนนางบรรดาศักดิ์มีเกลื่อนไปทั่ว เป็นจวนโหวเล็กๆ ที่ไม่มีอนาคตใดเลยจะมีค่าอะไร
สำหรับการมีตัวตนอยู่อย่างห่างไกลขององค์รัชทายาทและองค์ชายที่ยังต้องเหยียบอยู่เหนือบรรดาท่านอ๋ององค์หญิงมากมายเหล่านี้ ไม่ใช่คนที่เฉิงอวี๋จิ่นจะไปติดต่อคบค้าด้วยเลย สภาพการณ์ในราชสำนักนับวันจะยิ่งอันตราย ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงไม่สนใจแม้แต่เรื่องการแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท จะเห็นได้ว่าที่แท้แล้วสกุลเฉิงมีความสำคัญเท่าใดกัน
คนที่ถูกเบื้องบนให้ความสนใจจึงต้องกังวลว่าควรจะยืนอยู่ฝ่ายใด แต่สกุลเฉิงแม้แต่คุณสมบัติในการเลือกฝ่ายยังไม่มีเลย
เฉิงหยวนจิ่งแม้จะหายตัวไปสิบกว่าปี แต่ตำแหน่งองค์รัชทายาทจนถึงตอนนี้ยังดีอยู่ เห็นได้ว่าฮ่องเต้มีใจอยู่ที่เขา ในสภาพเช่นนี้รอให้เฉิงหยวนจิ่งฟื้นคืนฐานะ จะมีแต่ขุนนางชั้นสูงชื่อดังยินดีจะประจบเอาใจ ทั้งที่เขาสามารถแต่งกับสตรีตระกูลใหญ่ที่มีชาติกำเนิด นิสัย รูปโฉม ความสามารถต่างๆ ไม่อ่อนด้อยได้อย่างง่ายดายมาก มีตระกูลภรรยาที่แข็งแกร่งคอยช่วย มีประโยชน์มากต่อการที่เขาจะคานอำนาจกับสกุลหยางแท้ๆ เฉิงอวี๋จิ่นไม่เชื่อว่าเฉิงหยวนจิ่งจะไม่รู้
แล้วเฉิงอวี๋จิ่นมีอะไรเล่า นางมีเพียงชาติกำเนิดสวยหรูแต่เนื้อในกลวง มีชื่อเสียงน่าฟังแต่ไม่มีประโยชน์ใช้งานได้จริง รวมถึงรูปโฉมที่สวยงาม
เฉิงอวี๋จิ่นคิดถึงผลประโยชน์ก่อนทุกอย่าง ไม่ยึดติดด้วยอารมณ์ ไม่ให้อะไรกระทบการตัดสินใจ ดังนั้นนางจึงวัดใจคนเช่นนี้เสมอมา สติปัญญาความเห็นแก่ตัวของเฉิงหยวนจิ่งเหนือกว่านางมาก เพียงแต่เขาไม่เคยแสดงออกมาให้เห็นเท่านั้น คนเช่นนี้เฉิงอวี๋จิ่นไม่เชื่อว่าเขาจะยอมทิ้งผลประโยชน์ที่มีอยู่ไป
เมื่อเป็นเช่นนี้การกระทำของเขาเมื่อวานก็ค่อยๆ ชี้ไปยังความเป็นไปได้อีกอย่างที่ทำให้คนรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ
โจวเฉิงกับเฉิงอวี๋จิ่นไม่แตกต่างกัน ความแตกต่างกันเพียงอย่างเดียวอยู่ที่เฉิงอวี๋จิ่นแต่งงานครั้งที่สองไม่ได้ แต่บุรุษสามารถมีสามภรรยาสี่อนุได้ หากเฉิงอวี๋จิ่นมีคุณสมบัติพอ นางก็อยากจะเลือกหลินชิงหย่วนเป็นสามีเอก แล้วเลี้ยงโจวเฉิงไว้ลงทุนสักคน ทว่านางทำเช่นนั้นไม่ได้
คอของเฉิงอวี๋จิ่นค่อยๆ แห้งผาก เมื่อวานนางอยู่ในน้ำเย็นนานมาก เสียงตอนนี้ยังคงแหบแห้ง ตอนนี้ความรู้สึกเย็นเยือกไร้เรี่ยวแรงที่คุ้นเคยนั้นกลับมาอีกแล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นเสียงแหบแห้ง พยายามทำให้เสียงของตนเองฟังแล้วไม่มีอาการป่วย “ท่านอาเก้า ท่านมีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ มีความสามารถล้นฟ้า ชาตินี้อาจจะไม่เข้าใจถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิต สำหรับท่านแล้วอาจจะเป็นความแปลกใหม่ชั่วขณะ แต่สำหรับข้าคือความพยายามทั้งหมดสิบห้าปี รวมถึงความหวังครึ่งชีวิตที่เหลือ”
บางทีองค์รัชทายาทอาจจะเห็นนางรูปโฉมงดงาม จึงเกิดนึกสนุกขึ้นมาชั่วขณะ อยากจะดึงนางมาเลี้ยงไว้ข้างกาย เรื่องนี้สำหรับเฉิงหยวนจิ่งเป็นเพียงความสนุกชั่วครั้งชั่วคราว แต่สำหรับเฉิงอวี๋จิ่นมันคือชั่วชีวิต
ภรรยาเอกกับอนุภรรยา สิ่งที่กั้นกลางไว้ใช่จะเป็นเพียงแค่ลำคลอง ต่อให้อนุภรรยาในราชวงศ์จะเรียกว่าชายารอง แต่ก็คืออนุภรรยาเช่นกัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
เฉิงหยวนจิ่งมองนางด้วยแววตาลึกล้ำ ไม่พลาดการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านางแม้แต่น้อย นางเรียกเขาว่า ‘ท่านอาเก้า’ อีกครั้ง เป็นการแสดงความอ่อนแอเพียงเปลือกนอก แต่การขอร้องเช่นนี้ เข้าหูเฉิงหยวนจิ่งแล้วกลับเสียดแทงหูอย่างมาก
“ความแปลกใหม่ชั่วขณะหรือ” เฉิงหยวนจิ่งพูดไปทีละคำ พูดช้าๆ ว่า “ข้าในใจเจ้าเป็นคนเช่นนี้เองหรือ หรือว่า…เป็นคนเช่นนี้มาตลอด”
เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้าลงราวกับกำลังคิดว่าจะตอบอย่างไร เฉิงหยวนจิ่งนั่งอยู่ ส่วนนางก้มหน้ายืนอยู่ เผยให้เห็นลำคอเรียวยาว
สายตาเฉิงหยวนจิ่งเลื่อนไปที่ลำคอนั้นก่อน จากนั้นเลื่อนขึ้นช้าๆ มองสำรวจใบหน้าของนางอย่างละเอียด เฉิงอวี๋จิ่นมีหน้าตาที่ดูดีมากจริงๆ ผิวขาวนวลเนียน ลำคอบอบบาง ตอนนางยืนนิ่งไม่พูดจา งดงามราวกับสาวงามเดินออกมาจากภาพวาดทำให้คนตกตะลึง ทำให้คนอยากแตะต้อง
เฉิงหยวนจิ่งคิดถึงคำพูดนางเมื่อครู่ก็หัวเราะออกมา “ในเมื่อเจ้าอยากจะแบ่งขอบเขตให้ชัดเจน อย่างนั้นข้าขอถามเจ้า มารยาทต่อผู้เป็นเจ้าเหนือหัวเป็นอย่างไร ตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตอย่างไร”
เฉิงอวี๋จิ่นดูเหมือนตกใจ นางเบิกตากว้างแล้วเหลือบมองเฉิงหยวนจิ่งอย่างรวดเร็ว แม้จะพยายามปกปิด แต่หัวคิ้วยังคงขมวดเล็กน้อยอยู่ดี คำพูดเช่นนี้แทบจะเป็นการเปิดเผย เฉิงหยวนจิ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยแสดงอำนาจบารมีโดยไม่หวาดหวั่นอะไรต่อหน้านางมาก่อน เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกด้วยจิตใต้สำนึกว่าเฉิงหยวนจิ่งเป็นองค์รัชทายาทที่ถ่อมตนมีสติปัญญาคุณธรรมมาตลอด
นางย่อมไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉิงหยวนจิ่งจะพูดคำเช่นนี้เป็น ใช้อำนาจบีบบังคับ ใช้บุญคุณขอการตอบแทน เรียกได้ว่าไม่เกรงใจอย่างยิ่ง
เฉิงอวี๋จิ่นพูดไม่ออกในทันที นางสามารถรวบรวมความกล้าพูดเหตุผลกับอีกฝ่ายได้ แต่วิธีนี้พูดให้ชัดเจนก็คือป้องกันผู้เป็นเจ้าเหนือหัว ไม่ป้องกันคนเลวร้าย อีกฝ่ายเป็นสุภาพบุรุษมากพอ เช่นนั้นยังพอว่า หากอีกฝ่ายไม่หวาดหวั่นอะไรเลยเล่า
แม้แต่ตี๋เหยียนหลินยังสามารถบีบคั้นให้นางยอมจำนนได้ นับประสาอะไรกับเฉิงหยวนจิ่ง
เฉิงหยวนจิ่งเห็นสีหน้านางเปลี่ยนไปก็ยื่นมือออกมา แล้วพูดว่า “มานี่”
เฉิงอวี๋จิ่นลังเลใจ ตัดสินใจอยู่นานก็ไม่ยอมเดินขึ้นหน้า แต่เฉิงหยวนจิ่งมีความอดทนมาก ยังคงยื่นมือรออยู่ตลอด
อดทนแต่ไม่ยอมให้มีความเห็นอื่น
เฉิงอวี๋จิ่นสุดท้ายก็จนปัญญา ถอนหายใจไร้เสียงเฮือกหนึ่ง เดินขึ้นหน้าสองก้าว ยื่นมือไปวางบนฝ่ามือของเฉิงหยวนจิ่งเป็นการหยั่งเชิง
นิ้วมือเพิ่งแตะถูกฝ่ามือของเขาก็ถูกกุมไว้ทันที จากนั้นมีแรงส่งมา เฉิงอวี๋จิ่นถูกดึงเข้าไปถึงหน้าเก้าอี้ เฉิงหยวนจิ่งโอบไหล่ของนางอย่างเป็นธรรมชาติมาก กดตัวนางลงข้างกายตนเอง
นี่เดิมทีเป็นตำแหน่งของคนคนเดียว จู่ๆ เพิ่มมาหนึ่งคน ที่ว่างถูกบีบให้น้อยลงทันใด เฉิงอวี๋จิ่นนั่งตัวติดกับเฉิงหยวนจิ่ง นางเกร็งไปทั้งร่าง เฉิงหยวนจิ่งกลับดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เริ่มจากการวัดความร้อนบนหน้าผากของเฉิงอวี๋จิ่น แล้วพลิกข้อมือนางมาแตะสักครู่ พูดว่า “ดีขึ้นมากแล้ว พักฟื้นอีกไม่กี่วันก็หาย”
เฉิงอวี๋จิ่นไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว แต่นางก็ไม่กล้านิ่งเงียบ เฉิงหยวนจิ่งไม่ไว้หน้าโดยสิ้นเชิง หากนางยอมตามเขาอย่างเชื่อฟังตลอด ใครจะรู้ว่าอีกครู่จะเกิดอะไรขึ้น เฉิงอวี๋จิ่นตาลอยไปครู่หนึ่ง จึงถามว่า “องค์รัชทายาททรงตรวจชีพจรเป็นหรือ”
“ป่วยนานจนกลายเป็นหมอ ตอนเด็กข้าสุขภาพไม่ดี เห็นมากเข้าก็ค่อยๆ ทำเป็น”
คำพูดนี้เกี่ยวพันถึงการต่อสู้ในวังหลวงสองรุ่น เฉิงอวี๋จิ่นไม่กล้าพูดต่อส่งเดช หยุดสักครู่แล้วเลือกพูดประจบแบบเอาตัวรอด “องค์รัชทายาททรงฉลาดจริงๆ พระองค์ตอนนี้เพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ ดูไม่ออกเลยว่าตอนเด็กจะมีสุขภาพไม่ดี”
คิดว่าคำพูดประเภทนี้เขาคงเคยได้ยินบ่อยแล้ว เฉิงหยวนจิ่งไม่ได้ตอบอะไร แค่มองเฉิงอวี๋จิ่นครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หัวเราะ “เจ้ากลัวข้ามากหรือ”
เฉิงอวี๋จิ่นถอนหายใจ วางความขัดข้องใจลง พูดกับเขาอย่างดี “ย่อมใช่ เมื่อครู่พระองค์ตรัสเช่นนั้น หม่อมฉันไม่อาจไม่กลัวได้”
เฉิงหยวนจิ่งไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ เขาตรวจชีพจรแล้วไม่ได้ถือโอกาสปล่อยมือของเฉิงอวี๋จิ่น แต่ยังคงกุมไว้ในมือ คลำเล่นอย่างช้าๆ เฉิงอวี๋จิ่นอยากชักกลับแต่ไม่กล้า ทำได้เพียงนั่งรอตัวเกร็ง เขาเล่นนิ้วมือของเฉิงอวี๋จิ่นไปทีละนิ้ว ทันใดนั้นก็พูดว่า “เมื่อวานเจ้าเจอกับคนสกุลตี๋แล้วใช่หรือไม่”
เฉิงอวี๋จิ่นไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา จึงตอบตามตรง “ใช่ เมื่อวานหม่อมฉันกับท่านแม่ อาสะใภ้รองออกมาชมโคมไฟ บังเอิญได้เจอกับนายหญิงรองตี๋ระหว่างทาง นายหญิงรองตี๋มีเรื่องจะพูดคุยกับท่านแม่ตามลำพัง ท่านแม่จึงให้หม่อมฉันไปเดินดูแผงโคมไฟสองข้างทาง จากนั้น…เรื่องต่อจากนั้นพระองค์ก็ทรงรู้แล้ว”
“ที่แท้เจ้าไม่ได้ยินว่าพวกนางพูดอะไรกัน” เฉิงหยวนจิ่งเข้าใจแล้ว “มิน่าล่ะ”
“อะไรหรือ” เฉิงอวี๋จิ่นไม่เข้าใจ มองไปทางเฉิงหยวนจิ่งอย่างสงสัย
เฉิงอวี๋จิ่นนั่งอยู่ในวงแขนของเขา ดวงตาคู่นั้นมองใกล้ๆ ยิ่งสวยงามจนน่าตกใจ เฉิงหยวนจิ่งมองสักครู่ ทันใดนั้นก็อยากกระทำเรื่องที่ใกล้ชิดยิ่งกว่านี้สักนิด ทว่าพวกเขาในตอนนี้ยังไม่ได้แต่งงานกัน ถึงขั้นยังไม่ได้หมั้นหมาย การกระทำเหล่านี้เกินขอบเขตมากไป
เฉิงหยวนจิ่งยังคงสะกดใจเรื่องที่ผิดทำนองคลองธรรมเอาไว้ได้ เขาได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นผู้สืบทอดแผ่นดินมาสิบกว่าปี สุดท้ายเคารพระเบียบมากกว่าปล่อยตามใจชอบ ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเกียรติของเฉิงอวี๋จิ่นด้วย
เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกเพียงว่าเฉิงหยวนจิ่งมองนางอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง สายตาคู่นั้นทำให้นางระแวดระวังตัวอย่างไร้สาเหตุ จากนั้นเขาก็เลื่อนสายตาไปทางอื่น แล้วพูดอย่างไร้ความผิดปกติ “สกุลตี๋ไปไม่ใช่เพื่อเจรจา พวกเขาไปเพื่อขออภัย”
เฉิงอวี๋จิ่นขมวดคิ้ว พูดตอบตามจิตใต้สำนึก “เป็นไปได้อย่างไร ถ้าพวกเขาคิดจะถอนหมั้น เหตุใดท่าทีจึง…”
เสียงพูดที่เหลือชะงักไปทันใด เฉิงหยวนจิ่งเหมือนจะคาดไว้ก่อนแล้ว จึงมองนางด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นข้าจึงบอกว่าพวกเขาไปเพื่อขออภัยอย่างไรเล่า”
การขออภัยนี้มีความหมายสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นการขออภัยเพราะถอนหมั้นแล้วรู้สึกผิดต่อฝ่ายหญิง เฉิงอวี๋จิ่นเคยประสบมาแล้วครั้งหนึ่ง อย่างเช่นการขอขมาที่ไร้ซึ่งความจริงใจของสกุลฮั่ว อีกชั้นหนึ่งคือเพราะไปหาเรื่องคนที่ไม่สมควรหาเรื่องเข้า กลัวว่าวันหน้าจะถูกคิดบัญชี จึงรีบมาเพื่อขออภัย
เฉิงอวี๋จิ่นเดิมทีคิดว่าที่นายหญิงรองตี๋ไปพบท่านหญิงชิ่งฝูด้วยเหตุผลแบบแรก แต่ตอนนี้ดูท่าแล้วจะเป็นแบบที่สองหรือ
จวนไช่กั๋วกงไม่มีทางกลัวสกุลเฉิง ในเรื่องนี้ต้องเป็นเพราะเฉิงหยวนจิ่งแน่นอน
เรื่องการแต่งงานก่อนหน้านี้เป็นเพียงข้อตกลงปากเปล่าเท่านั้น ไม่มีหนังสือสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แม้แต่คนที่รู้เรื่องก็มีไม่มากเช่นกัน สกุลตี๋มาถอนหมั้นโดยดี เฉิงอวี๋จิ่นชื่อเสียงไม่เสียหาย ยังได้รับของขอขมาจากจวนไช่กั๋วกงจำนวนหนึ่ง นี่เป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดแล้ว แผนการดีที่สุดที่เฉิงอวี๋จิ่นวางไว้ก่อนหน้ายังไม่ดีเท่านี้เลย
เฉิงหยวนจิ่งบอกให้นางไม่ต้องกังวล เขาจะจัดการแทนนางเอง มันเป็นเรื่องจริง
เฉิงอวี๋จิ่นพูดอะไรไม่ออก เพราะได้รับรู้เรื่องราวไม่ครบ เมื่อคืนนางไม่รู้ว่านายหญิงรองตี๋พูดอะไรไปบ้าง ดังนั้นจึงตัดสินใจเสี่ยงอันตราย เสี่ยงตายเพื่อเดิมพันกับอุปนิสัยของหลินชิงหย่วน หากหลินชิงหย่วนลงมาช่วยนาง นางก็จะมีเหตุผลที่สมควรแต่งงานกับหลินชิงหย่วน หากหลินชิงหย่วนไม่ลงมาช่วยนาง…เช่นนั้นนางก็ได้เห็นคนผู้หนึ่งอย่างชัดเจน ครึ่งชีวิตที่เหลือของตนเองจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับสามีที่ไม่ดี นี่ก็ไม่เสียหายอะไร
หากช้ากว่านี้อีกหนึ่งวัน เฉิงอวี๋จิ่นรู้ว่าอันตรายจากสกุลตี๋คลี่คลายลงแล้ว นางคงไม่มีทางทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้เด็ดขาด แต่ตอนนั้นนางไม่รู้เรื่อง โอกาสหลุดลอยไปได้ง่าย ในเวลานั้นเฉิงอวี๋จิ่นจำต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด
เฉิงอวี๋จิ่นไม่พูดอะไรอยู่เป็นนาน สุดท้ายถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง “ช่างเถอะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว วางหมากไปแล้วก็ไม่เสียใจ ไม่มีอะไรต้องพูดอีก”
เฉิงหยวนจิ่งหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง บีบนิ้วชี้ของนางจากบนลงล่างหนึ่งรอบ เสียงพูดไม่เร็วไม่ช้า “เจ้าไม่เชื่อใจข้า? เพราะเจ้าไม่เชื่อใจข้า จึงได้ทำเรื่องกระโดดลงน้ำในฤดูหนาวบีบให้คนมาช่วยเจ้า ถ้าเจ้ามีความเชื่อใจข้าบ้างสักนิดก็คงไม่ต้องทำเรื่องเช่นนี้”
เฉิงอวี๋จิ่นนิ่งเงียบ ตอนนั้นนางช่วยคนเป็นเรื่องจริง แต่ต่อมาเห็นชั้นน้ำแข็งแตก จึงได้เกิดความคิดอื่นขึ้นมาบ้าง นางลงไปในน้ำครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยคน ครึ่งหนึ่งทำไปตามน้ำ
นางหลอกลวงทุกคนได้ แม้แต่ตู้รั่วที่ติดตามนางนานที่สุดยังคิดว่าตอนนั้นนางร้อนใจจะช่วยคน จนปัญญาจึงกระโดดลงไป แท้จริงแล้วหากไม่ใช่ตอนนั้นหลินชิงหย่วนอยู่ เฉิงอวี๋จิ่นหมุนตัวถอยกลับฝั่งนั้นไม่เป็นปัญหา ชื่อเสียงสำคัญ แต่ชีวิตของนางสำคัญยิ่งกว่า จวนโหวมีบ่าวคุ้มกันที่ร่างกายแข็งแกร่งและมีประสบการณ์มาก เหตุใดนางต้องเสี่ยงอันตรายเองด้วย
แต่เฉิงหยวนจิ่งเพียงแวบเดียวก็มองออกแล้ว บางทีตอนที่เขากระโดดลงมาช่วยนางก็เข้าใจแล้วว่านางคิดจะทำอะไร
เฉิงอวี๋จิ่นถอนหายใจแล้วถามว่า “ในเมื่อพระองค์ทราบแล้ว ตอนนั้นเหตุใดยังมาช่วยชีวิตหม่อมฉันอีก แม่น้ำในฤดูหนาวไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย”
“ข้าไม่มาช่วยเจ้าแล้วจะทำอย่างไร ดูเจ้าหมดแรงไปเอง หรือดูชายอีกคนมาช่วยเจ้า” เสียงของเฉิงหยวนจิ่งไม่เร็วไม่ช้า ทั้งที่ไม่มีความแข็งกร้าว แต่พอเข้าหูแล้วฟังดูน่าตกใจจนพูดไม่ออก “เพื่อบุรุษเพียงผู้เดียว เจ้าถึงขั้นไม่สนใจชีวิตของตน เจ้าชอบเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ เพื่อแต่งงานกับเขา แม้แต่ชีวิตก็ไม่เอาแล้วหรือ”
เฉิงหยวนจิ่งโกรธแล้ว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่จงใจปั้นหน้านิ่งทำให้นางกลัว แต่ครั้งนี้เป็นของจริง
เขายิ่งโกรธก็จะยิ่งสงบนิ่ง
เฉิงอวี๋จิ่นไม่ได้ตอบกลับอยู่ครู่ใหญ่ มือของนางยังอยู่ในฝ่ามือของเฉิงหยวนจิ่ง โดยไม่มีลางบอกเหตุ เฉิงอวี๋จิ่นกำหมัดพลิกมือมาจับง่ามนิ้วโป้งของเฉิงหยวนจิ่งเอาไว้
ดวงตาของนางเบิกโตไม่หลบไม่หลีก ไม่คิดว่าตนทำการล่วงเกินเลย เพียงมองตรงเข้าไปในดวงตาของเฉิงหยวนจิ่ง “ยามท่านอาเก้าคลอดออกมาก็ได้เป็นองค์ชายใหญ่ โอรสในฮองเฮา ห้าขวบก็ได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว ตั้งแต่เด็กอยากได้อะไรก็ได้ ทำอะไรได้อย่างเปิดเผย คงไม่หมายตาคนเช่นข้าที่คิดหาทุกทาง ใจคิดแต่จะเกาะผู้อื่นใช่หรือไม่”
เฉิงอวี๋จิ่นไม่รอให้เฉิงหยวนจิ่งตอบก็พูดต่อไปเองว่า “ถ้าข้าเป็นชาย ข้าก็ไม่หมายตาเช่นกัน คิดจะมีชีวิตอย่างคนเหนือคน เช่นนั้นตนเองก็ต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง เอาแต่คิดจะแต่งกับบุรุษที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ท่านคิดว่าข้าไม่รักชีวิตหรือ” เฉิงอวี๋จิ่นดวงตาใสราวกระจก รูปตางดงาม งามจับใจจนเหมือนตั้งใจลากเส้นวาดออกมา อยู่ใกล้กันเช่นนี้นางจ้องมองเฉิงหยวนจิ่ง เฉิงหยวนจิ่งยังสามารถมองเห็นเงาร่างของตนย่อเล็กอยู่ในนั้นได้
“ถ้าข้าเป็นบุรุษ ถ้าข้ามีทางเลือกอื่น ข้าจะทำเรื่องเช่นนี้หรือ ท่านคิดว่าการฝึกฝนท่าทางมารยาทง่ายกว่าการสอบขุนนางหรือ ฝึกท่าทางเดียวรอบแล้วรอบเล่า แต่ละก้าวต้องอยู่ในตำแหน่งพอเหมาะพอดี มันง่ายกว่าการจุดตะเกียงอ่านตำราตอนดึก ท่องตำราเขียนหนังสือหรือไร
ข้าท่องบทกวีได้เร็วกว่าพี่น้องทุกคน เขียนอักษรก็ไม่ด้อยกว่าเลย ถ้าข้าสามารถเข้าร่วมการสอบขุนนางได้ ข้าก็สามารถสงบใจเก็บตัวตั้งใจอ่านคัมภีร์ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน ข้าสามารถครุ่นคิดว่าจะทำให้ตนเองดีขึ้นได้อย่างไรเช่นกัน แต่ข้าไม่มีโอกาส”
เฉิงหยวนจิ่งมองนางโดยไม่พูดไม่จา เขาเห็นน้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งอยู่ในดวงตาคู่สวยนั้น ทันใดนั้นก็ไหลลงมา
เฉิงหยวนจิ่งนิ้วกระตุกเบาๆ ราวกับถูกน้ำตาหยดนั้นลวก ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยื่นมือไปทาบบนแก้มของเฉิงอวี๋จิ่น เหมือนกำลังแตะของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่เพียงสัมผัสก็แตก เช็ดน้ำตาของนางเบาๆ “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
* ยามเว่ย คือช่วงเวลา 13.00 น. ถึง 15.00 น.
* ต่อรองขอหนังจากพยัคฆ์ อุปมาว่าต้องการอยากได้ในสิ่งที่ขัดกับผลประโยชน์ของผู้อื่นที่มีกำลังเหนือกว่า ย่อมไม่สมหวัง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.