X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง

ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง บทที่ 9-บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 9

เฉิงอวี๋จิ่นยืนอยู่หน้าระเบียงทางเดิน ด้านหลังเป็นประตูสีแดงที่น่าเกรงขาม ลมหนาวกรรโชกพัดเอาหิมะที่ตกยามค่ำคืนปลิวพลิ้ว นางยื่นมือไปรับหิมะนอกเสา ข้อมือนั้นขาวยิ่งกว่าหิมะเสียอีก

เกล็ดหิมะตกลงบนฝ่ามือ ละลายกลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว เฉิงอวี๋จิ่นดึงมือกลับมา หัวเราะเยาะตนเอง “ช่างเถอะ ข้าจะพูดสิ่งเหล่านี้กับท่านทำไมกัน ท่านจะไปเข้าใจได้อย่างไร”

เฉิงหยวนจิ่งมือหนึ่งไพล่หลัง มองกองหิมะบนชายคาของเรือนนิ่งเงียบไม่พูดจา ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไรเล่า

เขาเกิดในราชวงศ์ที่สูงศักดิ์ที่สุด บิดาเป็นถึงฮ่องเต้ มารดาคือพระชายาเอกที่ต่อมาได้ขึ้นเป็นฮองเฮา หากพูดถึงชาติกำเนิด ใต้หล้านี้คงไม่มีใครสูงศักดิ์ไปกว่าเขาอีกแล้ว แต่นั่นจะมีประโยชน์อันใด มารดาของเขาป่วยตายจากไปเร็ว พอตำแหน่งว่างก็เปิดทางให้แก่บุตรสาวขุนนางทรงอำนาจ การต่อต้านใหญ่ที่สุดของบิดาเขาคือการไว้ทุกข์ให้ภรรยาหนึ่งปี แต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาท เฉิงอวี๋จิ่นบอกว่าถึงแม้นางจะมีบิดามารดาอยู่ครบ แต่แท้จริงแล้วไม่มีผู้ใดสนใจนางเลย เฉิงหยวนจิ่งคิด ข้าเองก็เป็นเช่นเดียวกับนางมิใช่หรือ

เฉิงอวี๋จิ่นไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดจู่ๆ จึงพูดเรื่องเหล่านี้ให้เฉิงหยวนจิ่งฟัง อาจเป็นเพราะวันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย อาจเป็นเพราะเฉิงหยวนจิ่งได้เห็นสภาพที่ย่ำแย่ที่สุดของนางแล้ว หรืออาจเป็นเพราะวันนี้เกิดเรื่องรำคาญใจหลายเรื่อง มีเพียงเฉิงหยวนจิ่งผู้เดียวที่อยู่ข้างกายนางมาตลอด

เฉิงอวี๋จิ่นเดินไปสองก้าว ทันใดนั้นก็หันมาแสดงสายตาดุดัน “วันนี้ท่านยอมรับคำพูดของข้าต่อหน้าท่านย่า พวกเราสองคนเป็นตั๊กแตนมัดติดเชือกเส้นเดียวกัน ใครก็หนีไม่พ้น* เรื่องเมื่อเช้าท่านห้ามบอกกับผู้อื่น และจะเปลี่ยนคำพูดไม่ได้เชียว!”

ความอ่อนแอที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดหายไปอย่างรวดเร็ว เฉิงอวี๋จิ่นกลับมาเป็นคุณหนูใหญ่จวนอี๋ชุนโหวที่มีสติและปฏิบัติตัวเหมาะสม ก่อนเดินจากไปไม่ลืมที่จะข่มขู่พยานที่เห็นเหตุการณ์

เฉิงหยวนจิ่งจ้องไปที่เฉิงอวี๋จิ่นนิ่ง ไม่รู้เหตุใดสายตาคู่นั้นจึงทำให้เฉิงอวี๋จิ่นนึกกลัว ราวกับว่ามีบารมีที่ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง นางรู้สึกอ่อนแรง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับท่านอาเก้าในตอนนี้ แต่เพิ่งพูดคำขู่ก็แสดงท่าทีอ่อนแอออกมาจะดูขายหน้าเกินไป เฉิงอวี๋จิ่นจำต้องจ้องเขากลับอย่างแสดงบารมีแวบหนึ่งแล้วแสร้งทำว่าตนเองยังมีเรื่องด่วนอื่นอีก เดินจากไปอย่างรวดเร็ว

นางเดินไปได้สองก้าว กำลังจะผ่อนลมหายใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงจากด้านหลังว่า “เจ้าเดินผิดแล้วกระมัง”

“หือ?”

“นั่นเป็นทางกลับไปเรือนพักของข้า”

 

ภายในจวนจิ้งหย่งโหว ฮั่วเซวียซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หวงฮวาหลี** สลักลาย เวลาผ่านไปนานยังรู้สึกโกรธมากอยู่

นางโยนถ้วยชาลงบนโต๊ะเสียงดัง น้ำชากระเซ็นถูกมุมโต๊ะ ผ้าปูสีแดงสดเกิดเป็นรอยน้ำเข้มอ่อนต่างกันไป “รังแกกันมากเกินไปจริงๆ บ้านพวกเขาทำเรื่องสกปรกมากมายอย่างนั้น มีหน้าอะไรมาพูดถอนหมั้นกับบุตรชายข้า ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือคุณหนูใหญ่ผู้นั้น ไม่รู้จักดีชั่ว กล้าฉีกหนังสือหมั้นหมายของฉางยวนต่อหน้าทุกคน!”

ฮั่วเซวียซื่อตอนอยู่ในจวนอี๋ชุนโหวก็โกรธมากแล้ว ฮั่วฉางยวนเพียงแค่อยากถอนหมั้น ไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรมากกว่านี้ จึงรั้งตัวฮั่วเซวียซื่อไว้ไม่ให้ระเบิดอารมณ์ ฮั่วเซวียซื่อดูแลจวนตามลำพังมาสิบกว่าปี อยู่ต่อหน้าผู้อื่นมีความแข็งกร้าวมาก แต่พอเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวกลับยอมคล้อยตามทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนเชื่อฟังคำของฮั่วฉางยวน

อย่างเช่นการถอนหมั้นวันนี้ ฮั่วฉางยวนบอกว่าไม่ชอบแล้วจะถอนหมั้น เช่นนั้นก็ถอนหมั้นเถิด หรืออย่างเช่นเฉิงอวี๋จิ่นฉีกหนังสือหมั้นหมาย ฮั่วฉางยวนบอกว่าอย่าหาความต่อไป ฮั่วเซวียซื่อถึงแม้จะโกรธจนอกแทบแตก แต่ยังคงไม่ได้พูดอะไร

ฉินซินสาวใช้คนสนิทที่รับใช้ข้างกายฮั่วเซวียซื่อนำผ้ามาเช็ดน้ำชาจนสะอาด จากนั้นคุกเข่าลงบนพื้นลูบหลังให้ฮั่วเซวียซื่อ “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านมีฐานะอะไร สกุลเฉิงมีฐานะอะไร ท่านจะไปโกรธอะไรพวกนางเจ้าคะ สกุลเฉิงสองสามรุ่นไม่เคยรับตำแหน่งสำคัญในราชสำนักเลย แค่แขวนตำแหน่งหากินเฉยๆ ส่วนท่านโหวของพวกเรามีความสามารถตั้งแต่เด็ก อายุยังน้อยก็สร้างผลงานทางการทหาร อีกทั้งได้เข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ ได้ชื่อตำแหน่งแท้จริง ขุนนางบุ๋นเหล่านั้นลำบากพากเพียรเล่าเรียนมาสิบปีก็เพื่อจะได้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้สักครั้ง ต่อให้เป็นหนึ่งในหมื่นที่สอบผ่านจิ้นซื่ออยากจะปรากฏโฉมเป็นที่จดจำต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ ยังต้องต่อสู้อีกยี่สิบสามสิบปี ส่วนท่านโหวตอนที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีก็ถูกฮ่องเต้ทรงเรียกชื่อไปตรัสถาม ยังได้รับการดูแลบรรดาศักดิ์โหวเป็นพิเศษ ความโปรดปรานเช่นนี้ทั่วเมืองหลวงมีเพียงหนึ่งเดียว ใช่ว่าโครงเปล่าอย่างจวนอี๋ชุนโหวนั่นจะเทียบได้”

ได้ยินฉินซินพูดถึงฮั่วฉางยวน สีหน้าของฮั่วเซวียซื่อก็ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด หลังจากฮั่วเซวียซื่อเสียสามีไป จุดศูนย์รวมหนึ่งเดียวของนางก็คือฮั่วฉางยวน คนอื่นชื่นชมบุตรชายของนาง ก็เบิกบานใจกว่าเอ่ยชมตัวนางเองเสียอีก

ฮั่วเซวียซื่อพูดว่า “นั่นสิ ปีที่แล้วจู่ๆ ฉางยวนก็บอกว่าจะแต่งกับคุณหนูใหญ่จวนอี๋ชุนโหว ตอนนั้นข้ายังรู้สึกว่าสกุลเฉิงไม่คู่ควรกับฉางยวน แต่เห็นแก่บุตรสาวบ้านพวกเขามีชื่อเสียงดีไปทั่วเมืองหลวง ข้าจึงตกลง ใครจะคิดว่าบ้านพวกเขาจะเป็นภายนอกรูปหยกภายในปุยนุ่น* แม้แต่บุตรสาวยังไม่อยู่ในกรอบ คนเช่นนี้ต่อให้ฉางยวนไม่พูด ข้าก็ให้นางเข้ามาในสกุลฮั่วของข้าไม่ได้”

ฉินซินย่อมพูดตอบรับ ฉินซินอยู่ปรนนิบัติข้างกายฮั่วเซวียซื่อมาหลายปี นางอายุมากกว่าฮั่วฉางยวนสามปี หลายปีมานี้แทบจะเห็นฮั่วฉางยวนจากเด็กหนุ่มเติบโตเป็นชายหนุ่มสูงสง่า ตอนพูดคุยกันฮั่วเซวียซื่อเคยบอกว่าจะปล่อยฉินซินออกจากจวนไป ฉินซินกลับปฏิเสธโดยอ้อม หัวใจของนางอยู่ที่ตัวฮั่วฉางยวนมาตลอด

ฉินซินกับฮั่วเซวียซื่อด้านหนึ่งพูดถึงความดีของฮั่วฉางยวน ด้านหนึ่งพูดเยาะเย้ยจวนอี๋ชุนโหวยกใหญ่ ทั้งสองคนมีความสุขมาก ฮั่วเซวียซื่อพลิกลิ้น นึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาทันใด “วันนี้หลังจากคุณหนูใหญ่เฉิงฉีกหนังสือหมั้นหมายแล้ว ฉางยวนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเดินไล่ตามออกไป เขานี่แย่เสียจริง สตรีที่มีแผนการในใจเช่นนี้มีอะไรดี ควรค่าที่เขาจะตั้งใจไล่ตามไปได้อย่างไร”

“หา? ท่านโหวยังไล่ตามคุณหนูใหญ่เฉิงออกไปด้านนอกด้วยหรือเจ้าคะ” ฉินซินรู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างไร้สาเหตุ สัมผัสที่หกของสตรีแม่นยำมาก นางพลันรู้สึกว่าความรู้สึกที่ฮั่วฉางยวนมีต่อคุณหนูใหญ่เฉิงนั้นอาจจะแตกต่างไป

ฮั่วเซวียซื่อยังคงติดใจเรื่องที่ฮั่วฉางยวนไล่ตามเฉิงอวี๋จิ่นออกไป ฉินซินเองก็ตื่นตัวเป็นพิเศษ ฉินซินพูดยุยงไปไม่กี่ประโยค ฮั่วเซวียซื่อก็ตัดสินใจทำตามใจตน ให้คนตามฮั่วฉางยวนกลับมาจากลานฝึกยุทธ์

ฮั่วฉางยวนที่เหงื่อท่วมศีรษะเดินเข้ามาจากข้างนอก เดิมทีเขาคิดว่ามีธุระด่วนอะไร ผลปรากฏว่าได้ยินคำพูดของฮั่วเซวียซื่อแล้ว ฮั่วฉางยวนก็ขมวดคิ้วแน่น “ท่านแม่ ท่านตามข้ากลับมาเพื่อเรื่องเล็กแค่นี้หรือ”

“นี่จะเรียกว่าเรื่องเล็กได้อย่างไร!” ฮั่วเซวียซื่อไม่พอใจ กำผ้าเช็ดหน้าแล้วพูดว่า “คุณหนูใหญ่เฉิงคนนั้นมีแผนการในใจลึกล้ำ ไม่ใช่คนดีอะไร วันหน้าเจ้าอย่าได้เข้าใกล้นาง ระวังจะถูกนางเกาะติด สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด”

ในสายตาของฮั่วเซวียซื่อ สตรีในใต้หล้านี้ทั้งหมดคงอยากจะยั่วยวนบุตรชายของนาง

ริมฝีปากของฮั่วฉางยวนปรากฏรอยยิ้มเฝื่อน เฉิงอวี๋จิ่นประจบเขาหรือ เขาคิดถึงฝ่ามือที่ไร้น้ำใจของเฉิงอวี๋จิ่นนั้นแล้ว ไม่ได้พูดตอบอะไร

ฮั่วเซวียซื่อถามว่า “ฉางยวน หลังจากนางยั่วยุให้เจ้าตามไปด้านนอก นางได้พูดสิ่งใดกับเจ้าบ้าง เจ้าบอกแม่ทีเถอะ”

ฮั่วฉางยวนในใจมีความไม่พอใจขึ้นรางๆ เขาอายุยี่สิบปีแล้ว คำพูดส่วนตัวที่เขากับอดีตคู่หมั้นคุยกัน บอกมารดาไปจะดูเป็นอย่างไร อีกอย่างฮั่วฉางยวนไม่อยากพูดคุยเรื่องเฉิงอวี๋จิ่นกับมารดา ราวกับว่านี่เป็นความลับ เขาไม่อยากให้ผู้อื่นมาคาดคั้น

ฮั่วฉางยวนเกิดความไม่พอใจรางๆ แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ฮั่วฉางยวนไม่ได้รู้สึกโกรธมารดาตนเอง เขาพูดกลบเกลื่อนว่า “ไม่มีอะไร นี่เป็นเรื่องของข้า ท่านแม่อย่าถามอีกเลย”

นิ้วมือฮั่วเซวียซื่อที่กำผ้าเช็ดหน้ากำแน่นขึ้น ความรู้สึกถึงอันตรายว่าบุตรชายจะถูกแย่งไปพุ่งขึ้นมาในใจ นางปกปิดความรู้สึกอย่างรวดเร็ว หัวเราะแล้วพูดว่า “ได้ ฉางยวนไม่ให้ถาม เช่นนั้นแม่ก็ไม่ถามแล้ว เฮ้อ ต้องโทษที่พ่อเจ้าตายเร็ว แม่เป็นม่ายไม่สะดวกออกจากจวน ทำให้เสียเวลาในการจัดการงานแต่งงานของเจ้า ภายหลังเจ้าไปสนามรบ ไม่สะดวกจะพูดทาบทามสู่ขอ รอถึงตอนนี้เจ้าอายุยี่สิบแล้วยังไม่ได้กำหนดการแต่งงานอีก ถ้าแม่เริ่มมองหาสตรีให้เร็วกว่านี้ จะถึงขั้นทำให้ตอนนี้เจ้ายังไม่มีภรรยา ยังเกือบจะหลงกลคุณหนูใหญ่เฉิงนั่นอีกได้อย่างไร ฉางยวนวางใจได้ ช่วงนี้แม่จะไหว้วานคนไปสอบถาม ต้องหาภรรยาที่มีชาติกำเนิดสูงส่งเพียบพร้อม ไม่เอาแต่ใจอิจฉาริษยาได้แน่นอน”

ได้ยินเรื่องการพูดทาบทามสู่ขอ ฮั่วฉางยวนก็ขมวดคิ้วพูดว่า “ท่านแม่ วันนี้เหตุใดท่านจึงไม่พูดกับสกุลเฉิงเรื่องที่ข้าจะแต่งงานกับโม่เอ๋อร์”

ฮั่วเซวียซื่อกับฉินซินต่างตกใจอย่างมาก “อะไรนะ!”

หัวคิ้วของฮั่วฉางยวนขมวดแน่นยิ่งขึ้น “เช้าวันนี้ข้าบอกท่านไปแล้ว ท่านไม่ได้ตั้งใจฟังหรือ”

ฮั่วเซวียซื่อไม่ได้ตั้งใจฟังจริงๆ ตอนนั้นนางได้ยินว่าฮั่วฉางยวนจะถอนหมั้น ความคิดก็ถูกดึงดูดไปทั้งหมดแล้ว จะได้ยินคำที่ฮั่วฉางยวนพูดว่าจะแต่งงานกับเฉิงอวี๋โม่ได้อย่างไร ฮั่วเซวียซื่อในใจรู้สึกไม่พอใจ สตรีในเมืองหลวงตายไปกันหมดแล้วหรือ เหตุใดฉางยวนจึงจับจ้องแต่คนสกุลเฉิง ตัดพี่สาวไปแล้วมาเลือกน้องสาวแทน

ยังไม่ทันพบหน้า ความคิดที่ฮั่วเซวียซื่อมีต่อเฉิงอวี๋โม่ก็ไม่ดีแล้ว บุตรชายของนางไม่มีความผิดใด ต้องเป็นนางจิ้งจอกคนนั้นกรอกยาลุ่มหลงให้แก่ฉางยวน หลอกให้ฉางยวนไปถอนหมั้นแล้วแต่งกับนางแน่นอน

ฮั่วเซวียซื่อรู้สึกไม่พอใจ แต่การปฏิบัติต่อฮั่วฉางยวน นางยังคงมีท่าทางของมารดาผู้เมตตา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉางยวนวางใจได้ เรื่องสกุลเฉิงแม่จะไปพูดเอง เจ้าดูแลเรื่องในราชสำนักอย่างสบายใจก็พอ”

ฮั่วฉางยวนกตัญญูและเชื่อมั่นในตัวมารดาของตนเอง ฮั่วเซวียซื่อพูดเช่นนี้เขาก็วางใจแล้ว ทั้งที่พูดว่าเป็นเฉิงอวี๋โม่ แต่ตรงหน้าฮั่วฉางยวนกลับมีใบหน้าของเฉิงอวี๋จิ่นผุดขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง

ตอนที่เห็นนางในถ้ำกลางเขาวันหิมะตก เขาก็ตกตะลึงไปราวกับได้เห็นนางสวรรค์ แม้แต่วันนี้ที่นางตบหน้าเขา ดวงตาที่เหมือนภาพวาดคู่นั้นถูกไฟโทสะแผดเผาจนดำขลับเปล่งประกาย งดงามอย่างไม่น่าเชื่อ

ฮั่วฉางยวนเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองครุ่นคิดจนเหม่อลอย เขาพบว่าตนเองคิดถึงสตรีอสรพิษผู้นั้น ในใจทั้งตกใจและแปลกใจ ทว่าสติบอกให้หยุด สมองกลับควบคุมไม่อยู่ ฮั่วฉางยวนคิดถึงสิ่งที่เห็นในวันนี้…ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ยืนข้างกายเฉิงอวี๋จิ่น

นางเรียกเขาว่า ‘ท่านอาเก้า’

ฮั่วฉางยวนถามว่า “ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าชายหนุ่มที่อยู่ในลำดับเก้าของสกุลเฉิง มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร”

“ลำดับเก้าหรือ” ฮั่วเซวียซื่อตกตะลึง เพิ่งคิดจะพูดว่าสกุลเฉิงจะมีคนลำดับที่เก้าได้อย่างไร ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ฮั่วเซวียซื่อสีหน้าเปลี่ยนไป พูดว่า “นายท่านเก้าสกุลเฉิง? แม่พอจะรู้มาบ้าง จริงๆ แล้วเขาเป็นบุตรชายนอกสมรส สตรีที่ให้กำเนิดเขาเป็นญาติห่างๆ ของแม่”

ฮั่วฉางยวนแปลกใจอย่างมาก “อะไรนะขอรับ”

“สตรีที่ให้กำเนิดเขาแซ่เซวียเช่นกัน ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับสกุลเซวีย แม่กับนางเคยพบหน้ากันครั้งสองครั้ง แต่ว่าอยู่นอกเหนือจากห้ารุ่นหลัก ไม่สนิทกันนัก ภายหลังสกุลเซวียถูกเนรเทศ นางบังเอิญยังไม่ได้ออกเรือน และเป็นบุตรสาวสกุลเซวีย จึงตามบิดากับพี่ชายไปที่ชายแดน แม่กลัวจะถูกครอบครัวพวกเขาทำให้เดือดร้อน หลายปีมานี้จึงไม่ได้สืบหาที่อยู่ของนาง คิดไม่ถึงว่ายี่สิบปีให้หลังกลับได้เห็นนางในเมืองหลวงอีกครั้ง” ฮั่วเซวียซื่อมองสีหน้าของฮั่วฉางยวนแล้วพยักหน้า “ถูกต้อง ตอนนั้นนางเป็นภรรยานอกสมรสของอี๋ชุนโหวแล้ว มีบุตรชายอายุหกขวบหนึ่งคน ชื่อเฉิงหยวนจิ่ง เรื่องในโลกยากจะคาดเดาจริงๆ บุตรนอกสมรสเช่นนี้กลับสอบผ่านจิ้นซื่อ เปลี่ยนสถานะตนเอง ถึงแม้การเป็นบุตรนอกสมรสจะไม่มีเกียรติ แต่ราชสำนักมีคนเพิ่มหนึ่งคนก็มีกำลังช่วยเหลือเพิ่มหนึ่งกำลัง เจ้ากับเขาลองทำความรู้จักกันไว้ก็ได้”

ฮั่วฉางยวนรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง เฉิงหยวนจิ่งมีความสามารถ ดูสง่างาม บอกว่าเป็นท่านอ๋องสักคนเขาก็เชื่อ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงบุตรนอกสมรสที่ไม่มีเกียรติอันใด

ฮั่วฉางยวนเกิดความรู้สึกไม่ใส่ใจขึ้นมา ความโกรธที่เกิดอย่างไรสาเหตุในใจก็หายไป เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านแม่วางใจได้ เห็นแก่หน้าของท่าน มีโอกาสข้าจะสนับสนุนเขาแน่นอน”

บทที่ 10

ข่าวเฉิงหยวนจิ่งกลับเมืองหลวงไม่รู้ว่าลือไปถึงจวนชางกั๋วกง* ได้อย่างไร เพียงไม่กี่วันบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วอย่างเฉิงหมิ่นก็นำลูกๆ กลับมาที่จวน

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงมีบุตรชายสามหญิงหนึ่ง ในจำนวนนั้นบุตรชายคนโต บุตรชายคนรองและบุตรสาวคนเดียวเป็นบุตรที่เกิดจากฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงปฏิบัติต่อบุตรชายสองคนแบบทั่วไป แต่รักเอ็นดูบุตรสาวคนนี้มาก

เฉิงหมิ่นได้รับเสื้อผ้างดงามอาหารชั้นเลิศมาตั้งแต่เด็ก นางก็เหมือนคนสกุลเฉิงคนอื่นๆ รูปโฉมไม่เลว ดังนั้นเมื่อถึงวัยออกเรือนจึงหมั้นหมายให้แก่จวนชางกั๋วกง เป็นขุนนางมีความชอบเช่นเดียวกัน แต่จวนโหวกับจวนกั๋วกงนั้นแตกต่างกันมาก ภายในเมืองหลวงมีบรรดาศักดิ์โหวเกลื่อนกลาด แต่จวนโหวที่พอมีชื่อเสียงมีเพียงไม่กี่จวนเท่านั้น

จวนชางกั๋วกงเคาะระฆังก็มีจานอาหารสามขาเรียงราย** ร่ำรวยมาหลายรุ่นแล้ว ตระกูลมีความยิ่งใหญ่ มีญาติแตกสายไปไม่รู้มากเท่าใด เฉิงหมิ่นแต่งให้กับคุณชายรองจวนชางกั๋วกง น้องชายร่วมอุทรของชางกั๋วกงคนปัจจุบัน ด้วยเบื้องลึกครอบครัวของจวนอี๋ชุนโหว นับว่าแต่งกับผู้มีฐานะสูงกว่าแล้ว

เพราะบุตรสาวคนโปรดกลับจวน บรรยากาศจึงคึกคักมาก ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพูดบ่นตั้งแต่เช้า ท่านหญิงชิ่งฝูมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา กลัวว่าจะทำอะไรไม่เหมาะสม ล่วงเกินน้องหญิงผู้นี้ก็ถือเป็นการล่วงเกินแม่สามีเช่นกัน

เฉิงอวี๋จิ่นเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ในการพบแขกของตนเองแต่เช้า นางสวมเสื้อนวมหนาเสื้อผ่ากลางสีแดง กระโปรงจีบผ้าสี่แถบ เพราะยังไม่ได้ออกเรือน บนผมจะแต่งมากเกินไปมิได้ นางจึงปักปิ่นเงินชุบทองฉลุลายคู่หนึ่ง ปลายปิ่นฝังหยกสีขาวและสีแดงเป็นรูปผีเสื้อเกาะดอกไม้ ด้ามปิ่นฝังพลอยแดงโปร่งใสงดงามเม็ดหนึ่ง อีกอันปักไว้ที่ยอดมวยผม มีลายแบบเดียวกัน แต่สลับตำแหน่งสีแดงขาวเท่านั้น เฉิงอวี๋จิ่นเปลี่ยนมาสวมชุดนี้แล้วประหนึ่งรูปทองเนื้อหยก งดงามราวภาพวาดจริงๆ

เฉิงอวี๋จิ่นไปคารวะท่านอาหญิง

เฉิงหมิ่นกลับบ้านเกิดในครั้งนี้พาลูกๆ ในเรือนตนเองกลับมาด้วย เด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่มารวมตัวกันในห้อง อยู่ไกลๆ ก็ยังได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะสนุกสนานได้ สาวใช้หน้าประตูรายงานว่า “คุณหนูใหญ่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

เฉิงหมิ่นหันหน้าไป เห็นหญิงสาวที่เดินเข้าประตูมาผู้นั้นแล้วดวงตาก็เปล่งประกาย

เฉิงอวี๋จิ่นเข้ามาคารวะเฉิงหมิ่น เสียงพูดไม่ช้าไม่เร็ว กิริยาตอนคารวะก็ถูกต้องตามรูปแบบอย่างยิ่ง ตอนย่อตัวลงชายกระโปรงจนถึงปิ่นบนศีรษะไม่ได้แกว่งไกวแม้แต่น้อย เฉิงหมิ่นเห็นแล้วชื่นชมอย่างมาก นางหันไปพูดกับท่านหญิงชิ่งฝูว่า “พี่สะใภ้สอนบุตรสาวอย่างไร ข้าเห็นแล้วอิจฉาแทบตาย ถ้าบุตรสาวบ้านข้ารู้ความได้ครึ่งหนึ่งของจิ่นเจี่ยเอ๋อร์* ต่อให้ข้าอายุสั้นหลายปีก็ยินดี”

ท่านหญิงชิ่งฝูยิ้มพูดปฏิเสธโดยอ้อม

สวีเนี่ยนชุนผู้ที่เฉิงหมิ่นใช้เป็นตัวเปรียบเทียบแค่นเสียงสบถไม่พอใจ ยู่ปากแล้วพูดว่า “ท่านแม่เอาแต่ว่าข้า ถ้าท่านชอบพี่หญิงจิ่นมากเพียงนี้ มิสู่รับนางกลับไปเป็นบุตรสาวเลยแล้วกัน”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงหัวเราะเสียงดัง ชี้ไปที่สวีเนี่ยนชุนแล้วพูดกับคนอื่นว่า “ดูสิ ยังเป็นเด็กที่ช่างแง่งอนด้วย”

เฉิงหมิ่นหยิกสวีเนี่ยนชุนอย่างอารมณ์เสีย พูดด่าว่า “เจ้านี่พูดมาก เจ้าไม่พูดก็ไม่มีผู้ใดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก แม่อยากจะแย่งตัวพี่หญิงจิ่นของเจ้ากลับไปเป็นบุตรสาวจะแย่ กลัวแต่ป้าใหญ่ของเจ้าจะไม่ยอมน่ะสิ”

ท่านหญิงชิ่งฝูพูดด้วยรอยยิ้ม “นางได้รับความสำคัญจากน้องหญิงถือเป็นวาสนาของนาง ตามความคิดข้า เนี่ยนชุนร่าเริงน่ารัก ข้ายินดีมากที่จะมีบุตรสาวเช่นนี้เพิ่มอีกหนึ่งคน”

สวีเนี่ยนชุนรีบวิ่งไปออดอ้อนข้างกายท่านหญิงชิ่งฝูทันที

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงถูกภาพฉากนี้ทำให้หัวเราะจนหุบปากไม่ลง สตรีคนอื่นๆ เองก็ยกผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะเช่นกัน ภายในหอโซ่วอันมีความสุขสนุกสนานในพริบตา

เฉิงอวี๋จิ่นหัวเราะตามไปด้วยเช่นกัน แต่นางเห็นฉากนี้แล้วรู้สึกปวดในใจขึ้นมา สวีเนี่ยนชุนสามารถต่อปากต่อคำกับท่านอาหญิงได้ตามอำเภอใจ วิ่งไปออดอ้อนกับท่านหญิงชิ่งฝู เฉิงอวี๋โม่ก็หัวเราะอยู่ในอ้อมกอดของหร่วนซื่อเช่นกัน

แล้วข้าเล่า

ความครึกครื้นเต็มหอ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลย

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เฉิงอวี๋จิ่นก็ไม่สามารถแสดงความผิดหวังได้แม้แต่น้อย ยังคงต้องหัวเราะสนุกสนานกับทุกคน ประจบเอาใจทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงชอบใจ

เฉิงหมิ่นหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก็หันหน้าไป เห็นเฉิงอวี๋จิ่นยืนอยู่กลางห้องอุ่น* อันงดงาม หัวเราะเบาๆ มองทุกคนอยู่

เฉิงหมิ่นไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรขึ้นมา ตอนนี้นางมองสำรวจเฉิงอวี๋จิ่นอย่างละเอียด พบว่าหลานสาวของตนเองคนนี้รูปโฉมงดงามอย่างน่าประหลาด เสื้อผ้าสีแดง เครื่องประดับก็มีทั้งทองและพลอยแดง หากเป็นผู้อื่นไม่รู้ว่าจะดูไร้รสนิยมเพียงใด แต่เมื่อสวมอยู่บนตัวของเฉิงอวี๋จิ่นกลับดูสดใสพอดิบพอดีราวกับอัญมณีล้ำค่าที่สุดบนโลกนี้ควรจะประดับบนตัวเฉิงอวี๋จิ่น

สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือเฉิงอวี๋จิ่นตอนนี้อายุยังน้อย การแต่งกายเช่นนี้อยู่บนตัวนางแล้วดูเป็นทางการเกินไป หากผ่านไปอีกสามสี่ปี รอให้เฉิงอวี๋จิ่นอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี เค้าโครงหน้าโตเต็มที่ รูปร่างระหง จะเปล่งประกายความงาม สวยสง่าล้ำเลิศถึงเพียงใด

หลังจากเฉิงหมิ่นมองสำรวจเสร็จแล้วก็อดใจไม่ไหวเอ่ยถามท่านหญิงชิ่งฝู “พี่สะใภ้ใหญ่ คุณหนูใหญ่แต่งตัวได้น่ามองมาก เครื่องประดับทองฝังหยกบนศีรษะนางชุดนั้นไม่เคยเห็นมาก่อนเลย พี่สะใภ้ใหญ่ให้นางใช่หรือไม่”

ท่านหญิงชิ่งฝูกวาดตามองแวบหนึ่งแล้วตอบว่า “ปีที่ข้าออกเรือนเสด็จแม่เตรียมสินเดิมให้ข้า ข้าอายุมากแล้วไม่ได้ใช้ จึงให้เด็กๆ ไปใส่ให้ดูสดใส”

เฉิงหมิ่นส่งเสียง “ไอ้หยา” ในน้ำเสียงแฝงความอิจฉา “พี่สะใภ้ใหญ่รักเมตตาลูกจริงๆ คุณหนูใหญ่มาเกิดเป็นบุตรสาวของพี่ได้ ต้องสะสมวาสนามาหลายชาติจริงๆ”

แท้จริงแล้วตอนเฉิงอวี๋จิ่นเดินเข้าประตูมา หร่วนซื่อก็สังเกตเห็นเครื่องประดับผมของอีกฝ่ายแล้ว ตอนนี้เฉิงหมิ่นเอ่ยปาก นางจึงเลื่อนสายตามองไปอย่างเปิดเผย เมื่อมองสำรวจอย่างละเอียด ความรู้สึกของหร่วนซื่อก็ซับซ้อนยิ่งขึ้น

เส้นทองเนื้อเต็มทั้งเส้น บนนั้นยังฝังหยกและพลอยชิ้นโตเอาไว้ด้วย ต่อให้เป็นหร่วนซื่อก็ยังไม่มีเครื่องประดับล้ำค่าอย่างนี้เลย ทว่าเฉิงอวี๋จิ่นเป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือนกลับใส่ไปแล้วสามสี่อัน ดูท่าแล้วนางคงจะมีเครื่องประดับนี้ทั้งชุด

หร่วนซื่อรู้สึกปวดใจอยู่บ้าง ใจคิดว่าทั้งที่เป็นบุตรสาวของนาง แต่เพราะทรัพย์สินเงินทอง จึงเปลี่ยนไปเรียกผู้อื่นว่าท่านแม่ มีน้ำนมให้ก็เรียกท่านแม่ได้จริงๆ บรรดาเด็กสาวคนอื่นเห็นแล้วทั้งอิจฉาและริษยาเช่นกัน

มีท่านหญิงชิ่งฝูเป็นมารดาได้ เฉิงอวี๋จิ่นได้กำไรมากจริงๆ

ระหว่างเหตุการณ์นี้เฉิงอวี๋จิ่นยิ้มนิ่งๆ เพียงปล่อยให้ทุกคนมองจนพอใจ สายตาของทุกคนนางเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ในใจกลับไม่มีความหวั่นไหวใด ทุกคนต่างบอกว่านางได้ประโยชน์อย่างมาก แต่ว่าเฉิงอวี๋จิ่นยินดีที่จะให้ตนเองไม่เคยถูกยกให้เป็นลูกของใคร

นี่เป็นของที่ท่านหญิงชิ่งฝูมอบให้นางจริงๆ ท่านหญิงชิ่งฝูให้ความสนใจกับเรื่องหน้าตาเหล่านี้มาตลอด หากเป็นเครื่องประดับที่มารดาผู้ให้กำเนิดเตรียมไว้ให้บุตรสาว นางจะตั้งใจเอาออกมา อยากจะให้ทุกคนในโลกนี้รู้เรื่องอย่างนั้นหรือ

แน่นอนว่าไม่

ดังนั้นนางต้องรู้กาลเทศะ ใส่ความหวังดีที่ท่านหญิงชิ่งฝูมีต่อนางออกมาให้เห็น ทำให้ทุกคนชื่นชมความเมตตาของท่านหญิงชิ่งฝู และขณะเดียวกันก็เหมือนมีดทื่อๆ ที่กรีดความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเฉิงอวี๋จิ่นไปทีละนิดเช่นกัน

เฉิงอวี๋จิ่นคิดอย่างเย้ยหยันตนเอง ของจำพวกเครื่องประดับผมและกำไลสวยงามล้ำค่าของนางมีไม่น้อย แต่ว่าหลายปีมานี้ ในมือนางแทบจะไม่มีเงินใช้จ่ายเลย นางเป็นเพียงป้ายที่สวยงาม ภายนอกดูงดงาม แท้จริงแล้วแม้แต่ชีวิตของตนเองยังเลี้ยงไม่ได้ด้วยซ้ำ

พวกผู้ใหญ่ชมเฉิงอวี๋จิ่นไม่ขาดปาก แต่เด็กสาวที่เพิ่งแตกเนื้อสาวในห้องนี้ฟังแล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไป

เด็กสาวทั้งหลายสีหน้าไม่สู้ดีนัก สวีเนี่ยนชุนมองดูเฉิงอวี๋จิ่นก็แอบเบ้ปากใส่ เฉิงอวี๋จิ่นทำเป็นมองไม่เห็น นางรู้ตั้งแต่เด็กแล้วในกลุ่มพี่น้องสตรีของนาง หรือต่อให้เป็นกลุ่มพี่น้องบุรุษของนางก็ล้วนไม่ชอบนาง

ตั้งแต่เด็กจนโต นางเป็นลูกบ้านอื่นในคำพูดของบิดามารดา เวลาผ่านไปนานเข้าอัธยาศัยของนางดีได้ก็คงแปลก

แต่นั่นจะเป็นอย่างไร ในใจเฉิงอวี๋จิ่นแอบคิดว่าขอเพียงพวกผู้ใหญ่ชอบแค่นี้ก็พอแล้ว

เฉิงหมิ่นยากนักกว่าจะกลับบ้านเดิมสักครั้ง มีคำพูดมากมายจะพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ไม่ช้าพวกเด็กๆ ก็ถูกผู้ใหญ่ไล่ไปเล่นที่ห้องเชื่อม

ไม่มีผู้ใหญ่คอยดู หนุ่มน้อยเด็กสาวกลุ่มนี้ก็ร่าเริงขึ้นมาทันที พวกเด็กสาวจับกลุ่มสองสามคนนั่งด้วยกัน เฉิงอวี๋โม่เพิ่งนั่งลงก็มีเด็กหนุ่มชุดแดงคนหนึ่งเดินเข้ามาตรงหน้า “น้องหญิงโม่ อาการป่วยของเจ้าหายหรือยัง”

เด็กหนุ่มที่พูดใบหน้าราวหยกงาม ดวงตาดำขลับเป็นประกาย ไม่ยิ้มก็ยังมีความเป็นมิตรอยู่สามส่วน เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของเฉิงหมิ่น สวีจือเซี่ยนคุณชายรองของจวนชางกั๋วกง

สวีเนี่ยนชุนเห็นแล้วก็พูดเย้าด้วยรอยยิ้ม “พี่รอง พวกเรามีคนมากมาย เหตุใดพี่จึงถาม ‘น้องหญิงโม่’ คนเดียวเล่า”

สวีจือเซี่ยนพูดว่า “น้องหญิงโม่ป่วยย่อมไม่เหมือนกัน”

สวีเนี่ยนชุนยิ้มหยอกเย้า

เฉิงอวี๋โม่ยกผ้าเช็ดหน้าปิดปาก พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณพี่จือเซี่ยนที่เป็นห่วง”

สวีเนี่ยนชุนพูดบ่นเหมือนกลัวว่าใต้หล้านี้จะไม่วุ่นวาย “โชคดีที่พี่หญิงโม่หายป่วยแล้ว ไม่เสียทีที่พี่รองของข้าวิ่งตรงเข้าไปถาม”

ภายในห้องเชื่อมล้วนเป็นเด็กสาวที่เพิ่งแตกเนื้อสาว ได้ยินคำพูดประโยคนี้แล้วก็พากันหัวเราะ สวีจือเซี่ยนอยู่ในกลุ่มพี่สาวน้องสาวก็ไม่รู้สึกขัดเขิน หัวเราะหยอกเย้ากับเหล่าพี่สาวน้องสาวไปด้วย

ทุกคนกำลังหยอกเย้าสนุกสนาน สาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยขบวนหนึ่งก็เดินเข้ามา เฉิงอวี๋จิ่นเดินอยู่ตรงกลาง สั่งหญิงรับใช้สูงวัยว่า “เอาอ่างไฟมาอีกอ่าง ใช้ถ่านไหมเงิน* เปิดหน้าต่างทางตะวันออกให้ระบายลมหน่อยจะได้ไม่ร้อนอ้าว”

“เจ้าค่ะ”

เหล่าบ่าวรับใช้ทยอยเดินเข้ามา ภายใต้การสั่งการของเฉิงอวี๋จิ่นก็จัดห้องเชื่อมใหม่จนเสร็จอย่างรวดเร็ว เฉิงอวี๋จิ่นยืนสั่งการอย่างเป็นธรรมชาติ ท่าทีจัดการทุกอย่างง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือนั้น ทำให้เกิดความแตกต่างจากเหล่าเด็กสาวที่เล่นสนุกในทันที

เหล่าเด็กสาวค่อนข้างอึดอัด เฉิงอวี๋จิ่นมายืนตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกนางเป็นเหมือนเด็กเล็ก สวีจือเซี่ยนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่หญิงจิ่นร้ายกาจจริงๆ คนเดียวสั่งการหญิงรับใช้สูงวัยมากเพียงนี้ก็ยังไม่ลนลาน”

เฉิงอวี๋จิ่นพยักหน้ายิ้มบางๆ ให้สวีจือเซี่ยน

สวีเนี่ยนชุนส่งเสียงร้อง “โห” แล้วจงใจพูดว่า “พี่หญิงจิ่นกับพี่หญิงโม่อายุเท่ากัน พี่รองเหตุใดจึงเรียกพี่หญิงโม่ว่า ‘น้องหญิงโม่’ แต่เรียกพี่หญิงจิ่นว่า ‘พี่หญิงจิ่น’ เล่า”

สวีจือเซี่ยนเกาหัว ถูกถามปัญหายากเข้าให้แล้ว “พี่เองก็ไม่รู้ พี่หญิงจิ่น…ก็ควรจะเรียกว่าพี่หญิงจิ่นนี่นา”

จะเรียกน้องหญิงจิ่นหรือ สวีจือเซี่ยนแค่คิดก็รู้สึกผิดปกติไปทั่วร่างแล้ว

เฉิงอวี๋จิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร เป็นพี่น้องบ้านเดียวกันทั้งนั้น คุณชายรองเรียกอะไรก็ได้”

เฉิงอวี๋จิ่นพูดพลางใช้สายตามองสำรวจสวีจือเซี่ยนที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด

นางไม่เคยให้ความสนใจเขามาก่อน ตอนนี้ดูไปแล้วสวีจือเซี่ยนก็ถือเป็นตัวเลือกสามีที่ควบคุมได้ง่ายคนหนึ่ง

จวนชางกั๋วกงแม้จะไม่มีผู้ใดรับตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก เป็นการเดินลงเนินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กระนั้นจวนอี๋ชุนโหวก็เป็นถุงหนังสุรากระสอบข้าว** เช่นเดียวกัน จะมีหน้าอะไรไปติติงคนเขา อย่างน้อยสกุลสวียังเป็นจวนกั๋วกงอยู่ อีกอย่างเฉิงหมิ่นเป็นท่านอาหญิงของนาง อาหลานเป็นแม่สามีลูกสะใภ้กันย่อมดีกว่าคนแปลกหน้า ได้ยินว่าจวนชางกั๋วกงในตอนนี้สะใภ้บ้านใหญ่เป็นคนกุมอำนาจ คิดว่าเฉิงหมิ่นคงยินดีมากที่จะมีคนไปช่วยเพิ่มขึ้นอีกคน

สุดท้ายสวีจือเซี่ยนที่เติบโตท่ามกลางกลุ่มเด็กหญิงมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กมีพี่สาวคนโตที่อายุมากกว่าสิบปีคอยดูแล หลังจากนั้นในจวนยังมีพี่สาวน้องสาวฝ่ายมารดาอีกมากมาย ชายหนุ่มที่เติบโตมาเช่นนี้ย่อมไม่ค่อยมีความโดดเด่นนัก ขาดความสง่าของบุรุษไปส่วนหนึ่ง แต่จะมีนิสัยอ่อนโยนมาก ควบคุมได้ง่ายที่สุดแล้ว

เฉิงอวี๋จิ่นยิ่งมองยิ่งพอใจ นางเคยดูถูกคนของจวนชางกั๋วกง ลูกคหบดีไม่ได้ความอย่างสวีจือเซี่ยนยิ่งไม่อยู่ในขอบเขตการพิจารณาเลย แต่ตอนนี้นางถอนหมั้นแล้วก็ควรจะวางแผนใหม่ เฉิงอวี๋จิ่นรักทรัพย์สินและรักอำนาจ การจะให้นางอยู่ร่วมทุกข์ร่วมต่อสู้กับชายหนุ่มคงเป็นไปไม่ได้ เช่นนี้ดูไปแล้วสวีจือเซี่ยนเป็นคนที่ลงตัวพอดี

เฉิงอวี๋จิ่นตัดสินใจแน่วแน่ จึงยิ้มให้สวีจือเซี่ยนอย่างอ่อนโยนเป็นพิเศษ

สวีจือเซี่ยนรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบอย่างไร้สาเหตุ เขาหันหลังมองไป ในใจคิดว่าอาจเป็นเพราะหน้าต่างเปิดกว้างเกินไป ลมหนาวพัดเข้ามากระมัง

หลังจากนั้นเฉิงอวี๋จิ่นก็ดูแลสวีจือเซี่ยนอย่างไม่ค่อยเปิดเผย หลังอาหารกลางวันฮูหยินผู้เฒ่าจะนอนกลางวัน พวกเด็กๆ อยู่เล่นสนุกด้วยกันโดยไม่มีใครคอยคุม เฉิงอวี๋จิ่นใจคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่ฟ้าประทาน จะเจอสวีจือเซี่ยนครั้งหน้าไม่รู้ว่าเป็นเมื่อใด นางต้องฉวยเวลาในยามนี้สร้างเมล็ดพันธุ์แห่งความรักในใจเขาให้ได้

เฉิงหยวนจิ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก ตอนเดินเข้าประตูก็เห็นเฉิงอวี๋จิ่นแสดงสีหน้าแฝงความคิดต่อบุรุษผู้หนึ่งเข้าพอดี

เฉิงหยวนจิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย ช่างน่าตื่นเต้น ทุกครั้งที่ข้าเจอนางจะมีอะไรใหม่ๆ ให้เห็นเสมอ

 

เชิงอรรถ

* ตั๊กแตนมัดติดเชือกเส้นเดียวกัน ใครก็หนีไม่พ้น อุปมาว่าอยู่ในสถานการณ์เดียวกันหรือลงเรือลำเดียวกัน

** ไม้หวงฮวาหลี หรือไม้พะยูงหอม เป็นไม้เนื้อแข็งชนิดหนึ่ง นิยมใช้ทำเครื่องเรือน

* ภายนอกรูปหยกภายในปุยนุ่น อุปมาว่ารูปลักษณ์ภายนอกดูดี แต่ภายในเหลวแหลก

* กั๋วกง เป็นบรรดาศักดิ์ในสมัยโบราณของขุนนางจีน ถือเป็นขั้นสูงสุดในลำดับกง

** เคาะระฆังก็มีจานอาหารสามขาเรียงราย เป็นการจัดวางอาหารของเศรษฐี

* เจี่ยเอ๋อร์ แปลว่าพี่สาว ชาวจีนมักใช้ต่อท้ายชื่อเด็กหญิงเพื่อเรียกในเชิงเอ็นดู

* ห้องอุ่น คือห้องเล็กที่กั้นเป็นสัดส่วนแต่เชื่อมต่อกับห้องที่ใหญ่กว่า ซึ่งข้างในห้องจะตั้งเตาถ่านเพื่อให้ความอบอุ่น หรือมีการติดตั้งท่อให้ความอุ่นจากการเผาถ่านหรือเผาฟืนที่ใต้พื้นห้อง เป็นห้องที่ใช้สำหรับพักผ่อนหรือนั่งเล่นในช่วงฤดูหนาว

* ถ่านไหมเงิน เป็นถ่านสีขาว ไร้ควัน ติดไฟยาก ไฟมอดช้า

** ถุงหนังสุรากระสอบข้าว อุปมาว่าเป็นคนที่เอาแต่ดื่มกิน แต่ทำอะไรไม่เป็น

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: