“จะฆ่ากันหรือไร…” นางกุมสันจมูกที่เจ็บไปหมดพลางร้องโวยวาย “นี่ ท่านเป็นบุรุษอกสามศอกไม่รู้จักพยุงหรือยื่นมือมารับกันบ้างเลยหรือ”
เขาหันกลับมาโดยไม่ตอบ เพียงก้มมองนางอย่างเย็นชา
ป้าเหนียนที่อยู่ด้านข้างร้อนใจแทบแย่ อยากจะออกมาไกล่เกลี่ย แต่ติดที่อีกฝ่ายเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ สุดท้ายจึงได้แต่หลอกตนเองว่าตนเป็นเพียงฉากหลัง
“หากไม่เพราะเห็นแก่ใบหน้างดงามและเรือนร่างบริสุทธิ์ของท่าน…” นางลูบจมูกบ่น
ก้นบึ้งนัยน์ตาสีดำของเขามีพายุอันตรายก่อตัวขึ้น
“เอ่อ…” ในที่สุดฮวาชุนซินที่ยังไม่เหลวไหลโง่งมเสียทีเดียวก็รู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าที่สูงใหญ่หนักแน่นดุจภูผา เย็นชาดุจกระบี่ผู้นี้ไม่พอใจแล้วจริงๆ นางรีบคลี่ยิ้มประจบประแจงอย่างถูกเวลา
สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนไป เย็นชาจนแทบทำให้คนหนาวตายได้
“คำพูดเด็กอย่าได้ถือสา สมควรถูกตีสมควรถูกตี” นางทำทีตบปากตนเองสองครั้ง ดวงตารูปเมล็ดซิ่งที่มีรอยคล้ำใต้ตาหรี่ลงเพราะรอยยิ้ม กระตือรือร้นพูดอย่างมีมารยาท “ความหมายของข้าคือทองพันชั่งยากจะซื้อความบังเอิญ วันนี้ในเมื่อมีโอกาสได้พบกันแล้ว ข้าจึงขอบังอาจไม่เกรงใจท่าน เรือนร่างแกร่งกำยำน่าเกรงขามอย่างท่านแม่ทัพใหญ่ ดวงหน้างดงามเพียบพร้อมปานสลักเสลา ตลอดจนท่าทีน่าเคารพเลื่อมใสสง่างามไม่มีใครเทียมเช่นนี้ กล่าวได้ว่าเป็นบุรุษที่อยู่เหนือบุรุษทั้งหลายของยุคสมัย เป็นตัวแทนที่ยิ่งกว่าตัวแทน หากไม่วาดภาพเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังชื่นชมจะได้อย่างไรเล่า ท่านว่าใช่หรือไม่”
เพื่อศิลปะแล้วยอมเสียสละถึงเพียงนี้ ยอมเลียแข้งเลียขาผู้อื่นถึงขั้นนี้ คิดว่าง่ายนักหรือ
กลับไปต้องสั่งให้เหล่าเจียงขึ้นราคาภาพวังวสันต์อีกสองเท่า เป็นการชดเชยให้สิ่งที่นางกำลังทำอยู่
“แม่นางฮวา โปรดให้เกียรติตนเองด้วย” เขาขึงตาจ้องนางอย่างเยียบเย็น เสียงเล็ดลอดออกมาจากฟันที่ขบกันแน่น
ฮวาชุนซินขาสั่น ลอบสบถในใจอย่างอดไม่ได้
ให้ตายเถอะ ยิ่งเป็นของดียิ่งได้มายาก
ทว่าใบหน้ากลับกระตือรือร้นจริงใจกว่าเดิม ขาดเพียงไม่ได้เปล่งรัศมีแห่งความเมตตาออกมาเท่านั้น
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้ามีความจริงใจเต็มเปี่ยม ขอถามว่าท่านจะอนุญาตให้ข้าวาดภาพอันสง่างามห้าวหาญของท่านเพื่อเผยแพร่ไปทั่วหล้าสร้างประโยชน์แก่มวลมหาชนได้หรือไม่” ในที่สุดนางก็รวบรวมความกล้าพูดออกมา โชคดีที่ตอนอดใจไม่อยู่แอบมองประเมินกล้ามเนื้อบึกบึนและท่อนล่างของเขา…แค่กๆ นางดึงสายตาสุนัขของตนเองที่กวาดมองส่งเดชกลับมาได้ทัน และแหงนหน้ามองเขาอย่างเปี่ยมด้วยความจริงใจ “หา?”
“เว้นแต่ข้าตาย” สีหน้าเย็นชาเฉียบคมของเขาไม่เปลี่ยนไป จังหวะที่สายตาเร่าร้อนเหิมเกริมของนางกวาดมองแผงอกตน ดวงตานิ่งลึกของเขากระตุกทีหนึ่ง
ก่อนพบนาง ให้อย่างไรกวนหยางก็คิดไม่ถึงว่าโลกใบนี้จะมีสตรีคนใดกล้าหยอกเย้าเล่นหัวเขาอย่างไม่รู้จักความตายเช่นนี้ ทั้งยังใช้สายตาลามกจ้องเขาเหมือนจะเปลื้องเสื้อผ้าเขาออกให้ได้ทุกทีที่เจอกัน
หากไม่เพราะปกติเขาไม่เคยทุบตีสตรี บุคคลตรงหน้าคงถูกเขาแยกชิ้นส่วนจนเอ็นขาดกระดูกหักไปนานแล้ว!
“อย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธข้าเร็วถึงเพียงนี้สิ ดีร้ายอย่างไรก็แสร้งทำเป็นพิจารณาสักครู่หนึ่งก่อน” รอยยิ้มประจบสอพลอของนางชะงักไป ปากบ่นว่า “ถึงอย่างไรผู้อื่นก็เป็นสตรี มากน้อยอย่างไรก็ต้องรักษาหน้าเอาไว้บ้าง”
“เจ้าเหมือนสตรีด้วยหรือ” สายตาคมกริบของกวนหยางกวาดมองนางขึ้นลง น้ำเสียงเสียดสีจางๆ สะท้อนออกมาชัดเจน
“ข้าไม่เหมือนสตรีตรงไหน ทั่วร่างข้าส่วนที่ควรมีล้วนมีครบ ไม่เชื่อท่านก็ลองจับดูสิ” นางยืดอกอวบอิ่มกลมกลึงอย่างไม่ยอมแพ้ พยายามอวดความงามภายในใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนที่ไม่พ่ายแพ้ต่อผู้ใดอย่างเต็มที่
ดวงตาเขานิ่งลึกกว่าเดิม คล้ายมีเปลวเพลิงขุมหนึ่งเต้นระริก แต่เพียงครู่เดียวก็หายวับไป เหมือนแค่คิดไปเองเท่านั้น
“แม่นางฮวา อย่าบีบให้ข้าต้องลงมือทำร้ายเจ้าจริงๆ” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หลายครั้งที่เขานึกเสียใจภายหลังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน ตอนเดินผ่านริมแม่น้ำและเห็นนางกำลังจะจมน้ำตาย เหตุใดตอนนั้นถึงไม่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหาไม้ไผ่ท่อนหนึ่งจิ้ม…เอ่อ ลากนางขึ้นมานะ เหตุใดถึงผลีผลามลงไปช่วยนางด้วยตนเอง!
“ข้าทำอะไร ข้าก็แค่พูดคำพูดในใจของตนเองออกมาอย่างจริงใจ เปิดเผยกว่าพวกสตรีที่กระบิดกระบวนเสแสร้งพวกนั้นตั้งเยอะ” นางพูดหน้าตาเฉย “ข้าไม่ได้พูดอะไรผิด เรือนร่างสง่างามอย่างท่าน คนทั่วไปยังอิจฉาริษยา อยากลอบสัมผัสดูสักครั้ง นักปราชญ์ว่าไว้ ‘มนุษย์เราหนีไม่พ้นเรื่องกินและเรื่องเพศ’ ข้าเชื่อคำสอนของปราชญ์ผิดตรงไหนเล่า”
กวนหยางรู้สึกเพียงหน้าผากตนเองเต้นตุบๆ ปวดหัวแทบระเบิด เขาอาจโมโหตายเพราะสตรีผู้นี้ได้จริงๆ…
เหตุใดทั้งที่เป็นเหตุผลบ้าๆ พอออกมาจากปากนางกลับฟังดูเปิดเผยและมีน้ำหนักอย่างบอกไม่ถูก ทำเอาเขาอยากบันดาลโทสะก็หาเหตุผลมากล่าวอ้างไม่ได้
“ไร้เหตุผลสิ้นดี!” เขาแค่นเสียงหนักๆ และหมุนตัวก้าวยาวๆ จากไป
ฮวาชุนซินรีบตามออกไป แต่หน้าประตูไหนเลยจะมีเงาคนอยู่อีกเล่า
“เฮ้อ…น่าเสียดายนัก” นางเสียดายเหลือเกิน บ่นพึมพำกับตนเอง “เมื่อครู่ไยข้าต้องถามให้มากความด้วย หากขอยืมเครื่องเขียนจากป้าเหนียนและแอบวาดภาพเขาไว้เสียเลยจะดีสักเพียงใด”
ตอนนี้ได้แต่อาศัยภาพความทรงจำที่ประทับลงในสมองและยังสดใหม่อยู่จรดพู่กันเสียแล้ว เฮ้อ…