บทที่ 2
จวนแม่ทัพปกปักทักษิณ
กวนหยางกำลังจ้องรองเท้าหุ้มแข้งลายเมฆาคู่หนึ่งบนโต๊ะกลมไม้หวงหลี ฝ่ามือเรียวยาวกำหมัดแน่น เอ่ยเสียงเข้ม “ตันจื่อ!”
ตันจื่อที่แฝงตัวอยู่ในที่ลับใกล้ๆ ได้ยินก็เกือบจะร่วงตกลงมาจากขื่อห้อง โชคดีที่พลิกตัวทันจึงลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย จังหวะที่ถึงพื้นเขาคุกเข่าข้างเดียว รีบเป็นฝ่ายยอมรับผิด
“นายท่าน ผู้น้อยสมควรตาย” ใบหน้าไร้พิษภัยเหมือนคนดีของตันจื่อยามนี้ยับย่น “ผู้น้อยสั่งให้เสี่ยวจย่านำของกลับไปคืนแล้วจริงๆ แต่รถเพิ่งออกจากประตูเมืองดินแดนทางใต้ พิราบสื่อสารจากฮูหยินกวนกั๋วกงก็ส่งจดหมายมาบอกว่า…อ่ะแฮ่ม ของจากคุณหนูจะถูกส่งมาก่อน คน…ค่อยตามมาทีหลัง”
“เหลวไหล!” ใบหน้าเขาถมึงทึง ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ
โต๊ะกลมไม้หวงหลีที่แข็งแกร่งกว่าไม้ชนิดอื่นๆ หักเป็นสองท่อนทันทีและล้มลงบนพื้น ตันจื่อตกใจจนแทบจะรีบกลั้นหายใจแกล้งตาย ลุงฉีหัวหน้าพ่อบ้านเดินมาถึงประตูจะรายงานธุระพอดี เห็นดังนั้นก็อกสั่นขวัญแขวนชะงักอยู่ที่เดิม ลังเลไม่กล้าย่างเท้าเข้าไป
“มีอะไร” สายตาทะมึนของกวนหยางตวัดไปนอกประตู
“คุณหนู…มาถึงแล้วขอรับ” ลุงฉีรู้สึกหนาวต้นคอ
“ส่งกลับไป!”
“หา?” ลุงฉีกับตันจื่อปากอ้าตาค้างอย่างพร้อมเพรียงกัน
คิ้วหนาของกวนหยางเลิกขึ้น ดวงตาฉายไอสังหาร ลุงฉีกับตันจื่อพลันสะดุ้งโหยงเหมือนกระต่ายที่ถูกเผาหาง แยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่โดยไม่พูดมากอีก…
คนหนึ่งเอารองเท้าหุ้มแข้งลายเมฆาออกไปโดยเร็ว ส่วนอีกคนรีบไปส่งคุณหนูกลับเมืองหลวง
เพียงแต่ข้าวของไร้ชีวิต คนมีชีวิต ดังนั้นตันจื่อที่รับของไปจึงโชคดีเป็นพิเศษ ทว่าลุงฉีผู้อาภัพหลังจากใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งก็ยังเชิญคุณหนูกลับไปไม่ได้ จึงได้แต่กลับมาขอคำชี้แนะจากผู้เป็นนายอย่างอกสั่นขวัญผวา
“นายท่าน คุณหนูบอกว่านางรับคำสั่งจากฮูหยินกวนกั๋วกงให้มาดูแลชีวิตประจำวันของท่าน ภาระที่แบกรับยิ่งใหญ่นัก ดังนั้นนางจึงไม่อาจกลับไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไร” ลุงฉีรายงานอย่างระมัดระวัง “ทำเช่นนี้ฮูหยินกวนกั๋วกงจะผิดหวังเอาได้ เป็นการอกตัญญู ด้วยเหตุนี้จึงขออภัยด้วยที่นางไม่อาจกลับเมืองหลวงทันทีตามคำสั่งของนายท่านได้ขอรับ”
ในบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่บ้านเดิมของฮูหยินกวนกั๋วกงและมีอายุเหมาะสมเข้าเกณฑ์นั้นมีทั้งที่น่ารักไร้เดียงสา อ่อนหวาน และอ่อนโยนงดงาม กล่าวได้ว่าประหนึ่งบุปผาที่บานสะพรั่ง มีทุกประเภทให้เลือกสรร ทว่าคนที่ฮูหยินกวนกั๋วกงฝากความหวังไว้มากที่สุด และเป็นคนที่ ‘รับมือ’ ได้ยากที่สุดในตอนนี้ก็คือคุณหนูเป่าผู้มีปณิธานแน่วแน่ บากบั่นไม่ย่อท้อนางนี้
คุณหนูเป่าแซ่เซวียนามว่าเป่าหวน อายุสิบห้า ใบหน้าประหนึ่งดวงจันทร์ สูงสง่างดงาม เป็นทายาทลำดับที่แปดในบรรดาทายาทสตรีของบ้านเดิมฮูหยินกวนกั๋วกง ดังนั้นจึงมีคนเรียกนางว่า ‘คุณหนูแปด’
หากว่ากันตามความเห็นส่วนตัวของลุงฉี คุณหนูเป่าผู้นี้ไม่ว่าจะนิสัยใจคอบุคลิกลักษณะหรืออุบายแผนการ ล้วนสามารถเป็นนายหญิงของจวนแม่ทัพปกปักทักษิณได้ น่าเสียดายที่นายท่านไม่ชอบ พูดไปก็เปล่าประโยชน์
“อ้อ?” กวนหยางกระดกมุมปากนิดๆ สายตาเยียบเย็น “ดังนั้นหากข้ายืนกรานส่งนางกลับไปย่อมเป็นการขัดคำสั่งของมารดา เป็นลูกอกตัญญูอย่างนั้นสิ”
ลุงฉีชะงักและพลันเข้าใจ นั่นสิ คำพูดนี้ของคุณหนูเป่า…มิใช่การขุดหลุมให้นายท่านกระโดดลงไปหรือ
นายหญิงของจวนแม่ทัพปกปักทักษิณต้องมีความคิด แต่ไม่ควรมีอุบาย โดยเฉพาะไม่ควรใช้ความฉลาดของตนเองเล่นงานฝ่ายเดียวกัน
“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ” ลุงฉีมีสีหน้าเคร่งขรึม คารวะอย่างนอบน้อมและเอ่ยว่า “นายท่านวางใจเถิดขอรับ เรื่องนี้บ่าวทราบว่าควรจัดการอย่างไร”
“อืม” เขาพยักหน้านิดๆ เอามือไพล่หลังเดินเข้าไปในห้องด้านในหมายจะเปลี่ยนชุดคลุมสำหรับใส่ออกไปข้างนอก แต่เดินไปได้สองก้าว รองเท้าหุ้มแข้งหนังหมาป่าพลันชะงัก “ลุงฉี?”
“ขอรับนายท่าน” ลุงฉีรีบหันกลับมา ประสานมือน้อมฟังคำสั่ง
“ทำตามความประสงค์ของมารดาข้าไปก่อนชั่วคราว” เขาพูดเสียงเรียบ จับอารมณ์ใดๆ ในน้ำเสียงไม่ได้แม้แต่น้อย “บอกนางว่าอนุญาตให้อยู่แค่เดือนเดียวเท่านั้น หนึ่งเดือนให้หลังรองแม่ทัพเหลียงจะกลับกรมทหารไปทวงเบี้ยเลี้ยงทหาร ถึงเวลานั้นให้นางกลับเมืองหลวงไปพร้อมกันด้วย”
“ขอรับ” ลุงฉีรู้สึกโล่งอกเหมือนได้รับอภัยโทษ รีบกล่าวรับคำออกไป
สั่งเสร็จกวนหยางถึงได้เข้าไปในห้องด้านใน ถอดเสื้อผ้าเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมสีครามผ้าเจียงหลิง ขณะยื่นมือไปหยิบสายรัดเอว สายตาก็เหลือบเห็นภาพวังวสันต์สีสันฉูดฉาดที่วางอยู่บนเตียงโดยบังเอิญ หัวสมองระเบิดออกทันใด กัดฟันคำราม “ตันจื่อ!”
นอกจากเจ้าสารเลวที่สมองมีรูผู้นั้นแล้ว ยังจะมีใครกล้าวางภาพวังวสันต์ไว้บนเตียงเขาด้วย ‘ความหวังดี’ อีก?!