ฮวาชุนซินจับจ้องเด็กสาวตรงหน้าอย่างครุ่นคิด เห็นสาวงามผู้นี้สวมเสื้อแพรจันทรา กระโปรงสีทับทิมทอลายเค่อซือ* ลำคอขาวเนียนสวมกำไลคอมีระย้า เรือนผมยาวครึ่งหนึ่งถูกเกล้าเป็นมวยกลุ่มบุปผา ครึ่งหนึ่งปล่อยสยายไว้ข้างหลัง บนมวยเสียบดอกบัวที่ร้อยจากไข่มุกสองดอกทอประกายแวววาว ติ่งหูขาวปานหิมะประดับต่างหูเพชรอันเล็กทว่าทอแสงเจิดจรัส ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายสูงส่งสง่างามของสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์
“ไม่เป็นไรๆ” ดวงตานางทอประกายเล็กน้อยพลางเผยรอยยิ้มออกมา “คุณหนูท่านนี้พูดถึงขั้นนี้แล้ว หากข้ายังจะถือสาหาความกับสาวใช้คนหนึ่ง เช่นนั้นย่อมดูเหมือนคนได้ทีแล้วกัดไม่ปล่อย เอาอย่างนี้แล้วกัน ตามความคิดข้าเรื่องนี้เล็กนิดเดียว แค่การขัดแย้งทางวาจาเท่านั้น ในเมื่อสาวใช้ของท่านหัวเราะเยาะสาวใช้ของข้า เช่นนั้นก็ให้สาวใช้ของท่านขอขมาสาวใช้ของข้า เช่นนี้ย่อมเสมอภาคกัน เป็นอย่างไร”
ขออภัยด้วย นางเป็นคนใจคอคับแคบเข้าข้างคนของตนเองมาแต่ไหนแต่ไร อาหยวนของนางมีแต่นางเท่านั้นที่ว่าได้ ผู้อื่นใหญ่มาจากที่ใดกัน!
สีหน้าสง่างามอ่อนโยนของเด็กสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายคิดไม่ถึงว่าตนลดตัวลงพูดไกล่เกลี่ยด้วยตนเองแล้ว แม่นางท่านนี้กลับไม่ยอมเลิกรา ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว
สาวใช้ด้านข้างที่เป็นคนก่อเรื่องเห็นดังนั้นก็เดือดดาล พูดอย่างไม่ยอมแพ้ “นี่! ผู้อื่นให้หน้าแล้วเจ้าอย่าได้เอาใหญ่ คุณหนูข้าชี้แจงเหตุผลกับพวกเจ้าดีๆ แล้ว เจ้ายังจะยโสโอหังอีกหรือ คุณหนูข้าเป็นถึงญาติผู้น้องของจวนแม่ทัพปกปักทักษิณที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด พวกเจ้ากล้าสั่งให้พวกเราขอขมาอย่างนั้นหรือ”
“ญาติผู้น้องที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด…ของจวนแม่ทัพปกปักทักษิณ?” สายตาของฮวาชุนซินหม่นหมองไปครู่หนึ่ง ทว่ามุมปากกลับยกสูง
ช่างบังเอิญยิ่งนัก!
“ซินเยวี่ย!” เด็กสาวมีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยตำหนิเสียงค่อย “อย่าเสียมารยาท”
“นั่นสิ ‘อย่าเสียมารยาท’ คำพูดคุณหนูเจ้าต้องเชื่อฟังนะ หาไม่วันใดหากล่วงเกินบุคคลสูงส่งเข้าจริงๆ ใช่ว่าขอขมาคำเดียวก็จะแก้ปัญหาได้” ฮวาชุนซินฉีกยิ้มเสียดสีพลางซ้ำเติมผู้อื่นอย่างสนุกสนาน
“เจ้า…” สาวใช้ซินเยวี่ยโกรธจนหน้าแดง
ยามนี้รอยยิ้มสุภาพของเด็กสาวเริ่มปริร้าว แต่นางกลับรักษารอยยิ้มไว้ได้อย่างเหมาะเจาะพอดี ก่อนจะยิ้มอ่อนโยนกว่าเดิม “ใช่ ขอบคุณแม่นางท่านนี้ที่ตักเตือน ซินเยวี่ย เจ้าจดจำไว้ให้ดี วันหน้าต้องระวังคำพูดและการกระทำให้มาก หากถูกผู้อื่นตำหนิอีก ถึงเวลานั้นข้าก็จะไม่ละเว้นเจ้าเช่นกัน”
“พูดได้ดีจริงๆ” สายตานางเย็นชาเล็กน้อย มุมปากกลับแต้มยิ้มเข้มข้น “หาไม่แล้วคุณหนูเจ้าปกป้องเจ้าได้ครั้งหนึ่ง แต่คงมิอาจปกป้องเจ้าได้ตลอดไปแน่!”
อาหยวนฟังพวกนางโต้ตอบกันไปมาแล้วใบหน้าฉายแววงุนงง รู้สึกว่าคุณหนูที่งดงามราวบุปผาจันทราผู้นั้นทั้งสุภาพและอ่อนน้อม คุณหนูของตนก็แย้มยิ้มตลอดการสนทนา แต่ไม่รู้เหตุใด รอบด้านเหมือนจะได้กลิ่นดินปืนโชยมา
“แม่นางท่านนี้” รอยยิ้มของเด็กสาวหายไป โทสะเริ่มปรากฏให้เห็น แต่น้ำเสียงกลับยังสุภาพนุ่มนวล “เจ้าท้าทายข้าด้วยวาจาครั้งแล้วครั้งเล่า จงใจจะสร้างความลำบากใจให้ข้าอย่างนั้นหรือ”
“มิกล้าๆ” ฮวาชุนซินพูดอย่างผ่อนคลายสบายใจ “แค่เห็นแก่หน้าของแม่ทัพปกปักทักษิณญาติผู้พี่ที่สูงศักดิ์ของท่าน ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราก็ไม่กล้าหาเรื่องท่านแล้ว”
“ฮึ เจ้ารู้ตัวก็ดี!” ซินเยวี่ยอดพูดแทรกอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องไม่ได้
“ซินเยวี่ย!” เด็กสาวใบหน้าขรึมลง “ขืนเจ้ากล้าปากมากอีก ข้าจะส่งกลับจวนไปรับกฎบ้าน!”
ซินเยวี่ยสะดุ้งแล้วตอบอย่างลนลาน “บ่าวไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ”
“อาหยวนเจ้าเห็นหรือไม่ นี่ล่ะลักษณะของคุณหนู ผู้อื่นเอ่ยคำว่ากฎบ้านคำเดียวก็น่าเกรงขามถึงเพียงนี้ กระทั่งข้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ฟังแล้วยังอกสั่นขวัญผวา น่ากลัวเหลือเกิน!” ฮวาชุนซินแสร้งปั้นท่าทางหันกลับไป ‘สั่งสอน’ สาวใช้ที่โง่งมของตน “ตอนนี้รู้หรือยังว่าปกติข้าดีต่อเจ้าเพียงใด”
“ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ” อาหยวนซาบซึ้งใจจนน้ำตาจะไหล
คนหนึ่งร้ายคนหนึ่งโง่ นายบ่าวสองคนโต้ตอบกันไปมา ทำเอาเด็กสาวเห็นแล้วโกรธแทบจะเป็นลม