“มิทราบว่าแม่นางท่านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร” ต่อให้เด็กสาวได้รับการอบรมบ่มเพาะขัดเกลานิสัยมาเป็นอย่างดี ถึงอย่างไรอายุก็ยังน้อย ความอดทนด้อยกว่าอีกฝ่าย น้ำเสียงจึงแฝงความตึงเครียดและไม่พอใจ
“ข้าแซ่ฮวา” นางตอบด้วยท่าทางเกียจคร้านคล้ายไม่ใส่ใจนัก แต่ทำอย่างไรก็มิอาจปกปิดแววยินดีที่ระยับวับวาวในดวงตาคู่นั้นได้ “บังเอิญสนิทสนมกับ…ญาติผู้พี่ที่บ้านของคุณหนูมาก หึๆ”
“เจ้า…เจ้ารู้จักญาติผู้พี่ของข้าด้วยหรือ” สีหน้าของเด็กสาวตื่นตกใจเล็กน้อย
“นิดหน่อยน่ะ แค่บังเอิญรู้จักกันผิวเผินเท่านั้น จะเทียบกับการเป็นญาติผู้พี่ญาติผู้น้องกันได้อย่างไร” สายตานางปรายมองเด็กสาวกับข้าวของที่อยู่บนโต๊ะคิดเงิน อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ “จะว่าไป หยกประดับสีเขียวเข้มรูปกิเลนที่มีอายุเก่าแก่นั้น ในมือแม่ทัพกวนมีอยู่ไม่แปดชิ้นก็สิบชิ้นแล้ว ขออภัยที่พี่สาวปากมาก แต่หากจะมอบของให้จริงๆ น้องสาวเจ้าเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเถอะ”
กล่าวจบฮวาชุนซินก็แย้มยิ้มพลางตบหลังมืออาหยวน “อาหยวน ฝนหยุดแล้ว เรื่องสนุกก็ดูจบแล้ว เรากลับกันเถอะ” นางเดินบิดเอวบาง ยักย้ายส่ายสะโพกจากไปอย่างมีจริต
รังแกคุณหนูผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ช่างสาแก่ใจและสนุกจริงๆ วะฮะฮ่า!
เด็กสาวมองส่งแผ่นหลังที่ ‘โอหังอย่างยิ่ง’ จากไป ฟันขบริมฝีปากล่าง ใบหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวซีดขาว หยกประดับสีเขียวเข้มรูปกิเลนอายุเก่าแก่ที่รู้สึกถูกใจเมื่อครู่นี้กลับทิ่มแทงสายตาเหมือนเปลวเพลิง
นางเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงทำท่าสนิทสนมกับพี่ชายเช่นนั้น แล้วรู้ได้อย่างไรว่าพี่ชายมีหยกรูปกิเลนหลายชิ้นแล้ว!
“คุณหนูเป่า ท่านอย่าฟังนางพูดนะเจ้าคะ สตรีที่ไม่ได้รับการอบรมขัดเกลาเช่นนี้ คุณชายจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับนางได้อย่างไร” ซินเยวี่ยรีบปลอบโยน “นางจะต้องกุเรื่องขึ้นมาแน่ จงใจทำให้คุณหนูไม่พอใจ”
“หุบปาก!” เซวียเป่าหวนหันขวับทันที ใบหน้ามิอาจปกปิดความขุ่นเคืองได้อีกต่อไป “เจ้าคิดว่าวันนี้ตนเองยังก่อเรื่องไม่พอหรือไร”
“บ่าวสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ บ่าวสมควรตาย…” ซินเยวี่ยหน้าซีดเผือด
หากมิใช่เพราะนางกับสตรีนิสัยประหลาดไม่ยอมใครผู้นั้น เมื่อครู่ผู้คนในหอเครื่องเงินปาเป่าจะได้เห็นเรื่องตลกครั้งใหญ่อย่างนี้หรือ วันหน้ายังไม่รู้ดินแดนทางใต้จะมีข่าวลืออะไรถูกปรุงแต่งออกไปบ้าง หากแพร่ไปถึงหูของพี่ชาย ทำให้เขาเข้าใจผิดจะทำอย่างไร
เซวียเป่าหวนน้ำตาคลอ แต่ในที่สุดการอบรมสั่งสอนตามแบบฉบับกุลสตรีตลอดหลายปีมานี้ก็ทำให้นางสะกดความโมโหขุ่นเคืองในอกลงไปได้ นางสูดหายใจลึกและเอ่ยเสียงเรียบ “ช่างเถอะ วันหน้าระวังปากตนเองหน่อย หากครั้งหน้าเจ้ายังบุ่มบ่ามก่อเรื่องอีก ทำให้สกุลเซวียของข้าเสียหน้า ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้านที่หลินอัน ให้หมัวมัว* พวกนั้นลงโทษเจ้า”
“เจ้าค่ะๆ วันหน้าบ่าวไม่กล้าอีกแล้ว” ซินเยวี่ยปากสั่น รีบรับคำอย่างร้อนใจ
“ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย เจ้ายังจะกระโตกกระตากให้คนรู้อีกกี่คน” เซวียเป่าหวนรู้สึกได้ว่าผู้คนรอบด้านมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น สีหน้าประดักประเดิด จึงตำหนิเสียงค่อย “เอาล่ะ ในเมื่อวันนี้ไม่พบหยกประดับดีๆ เช่นนั้นพวกเราก็กลับจวนกันเถอะ”
“เจ้าค่ะคุณหนู” ซินเยวี่ยรีบหุบปาก
รอจนพวกนางสองคนจากไปช้าๆ แล้ว หลังราวระเบียงห้องพิเศษบนชั้นสองของหอเครื่องเงินปาเป่า บุรุษสูงใหญ่คนหนึ่งกับบัณฑิตท่าทางสุภาพคนหนึ่งค่อยดึงสายตากลับมา ต่างฝ่ายต่างจิบน้ำชาคำหนึ่งเงียบๆ
บรรยากาศเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดบัณฑิตผู้นั้นก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้
“สองสตรีแย่งชิงหนึ่งบุรุษ พี่กวนช่างมีดวงด้านสตรีโดยแท้”
“เจ้าอยากตายรึ” กวนหยางตวัดตามองเขาอย่างเยียบเย็น
“แค่กๆ” บัณฑิตใจสั่นสะท้าน รีบก้มหน้าดื่มชาของตนเองต่อ
ต่อให้มีความอยากรู้อยากเห็นมากเพียงใดก็ต้องรักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ฟังเรื่องเหล่านั้นก่อน!
ปลายนิ้วของกวนหยางลูบขอบถ้วยชาช้าๆ ด้วยสีหน้าหนักอึ้ง ความรู้สึกในใจยากจะแยกแยะ