เมื่อครู่ตอนอยู่หอเครื่องเงินปาเป่า ในที่สุดเขาก็จับความผิดปกติในคำพูดของนางได้
ใครให้เจ้าปากดี! ใครให้เจ้าโอ้อวด!
ฮวาชุนซินตกใจ อดไม่ได้ที่จะลอบสบถในใจ
“หืม?” ดวงตาสีดำของเขาหรี่ลงอย่างอันตราย
“ข้าเดาเอา” นางว้าวุ่นใจอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจปล่อยให้เรื่องนี้เลยตามเลย แบมือทั้งสองข้างออกอย่างไม่ยี่หระ “เดาเอาคงไม่ผิดกฎหมายกระมัง ข้ายังเดาว่าเรือนหลังของท่านเจ้าเมืองมีอนุที่อ่อนหวานงดงามอยู่แปดคนสิบคนด้วย”
“เจ้า…” กวนหยางโกรธจนพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าเล่นลิ้นต่อหน้าเขาเช่นนี้
ทั้งที่เมื่อครู่ตอนอยู่หอเครื่องเงินปาเป่า จี้ปาเป่าแค่เห็นสายตาเขาก็ตกใจจนได้แต่กรอกน้ำชาอั้กๆ ไม่กล้าซักไซ้อะไรอีก แต่ท่าทางดุดันของเขาไฉนยามอยู่ต่อหน้านางแล้วกลับใช้ไม่ได้ผล
ตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ ในความทรงจำมีเพียงคนเดียวที่ยามเผชิญหน้ากับเขาแล้วยังสามารถยิ้มหน้าระรื่น ไม่รู้สึกขัดเขินหรือละอาย…
ไม่ เป็นไปไม่ได้
ความเจ็บปวดรวดร้าวผุดขึ้นในส่วนลึกของหัวใจ เขาหลับตาลง คล้ายทำเช่นนี้แล้วจะสามารถกดความเจ็บปวดเสียใจในส่วนลึกของความทรงจำกลับสู่ความดำมืดได้อีกครั้ง
นั่นเป็นบาดแผลที่จะไปแตะต้องอีกไม่ได้ แตะแล้วหัวใจเขาจะเจ็บปวดแสนสาหัส โลหิตไหลนองเป็นสายน้ำ…
“กวน…” ฮวาชุนซินเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาเจ็บปวด ก็เอ่ยถามอย่างร้อนใจ “นี่ ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
นางรู้ว่าเขาทำศึกข้างกายท่านกงผู้เฒ่าทั่วดินแดนตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ แผลใหม่แผลเก่าบนร่างเกรงว่าคงมีนับไม่ถ้วน ฟังคนบอกว่าคนที่เส้นเอ็นและกระดูกเคยบาดเจ็บ เวลาฟ้าครึ้มหรือฝนตกจะเจ็บปวดเป็นพิเศษ ใบหน้าเขาออกจะขาวซีด คงมิใช่เพราะโรคเก่ากำเริบกระมัง
“ไม่มีอะไร” กวนหยางสูดหายใจลึกและตั้งสติ สีหน้าคืนสู่ความเย็นชาดังเดิม น้ำเสียงค่อนข้างแข็งกร้าว “แม่นางฮวา เจ้าข้ารู้ดีแก่ใจ คำพูดเมื่อครู่นี้ของเจ้าเป็นเพียงการบ่ายเบี่ยงเท่านั้น เจ้าหาได้พูดความจริง”
ฮวาชุนซินขบริมฝีปากล่าง ใบหน้าฉายความดื้อรั้น จงใจหาเรื่องเขาต่อ “เมื่อครู่ท่านแม่ทัพใหญ่อยู่ที่หอเครื่องเงินปาเป่ากระมัง ท่านจะมาระบายโทสะแทนคุณหนูของจวนท่านสินะ”
“เจ้า…” คิ้วหนาของเขาขมวดมุ่น “ข้ามีเจตนาเช่นนั้นเสียที่ไหน”
“ท่านเป็นญาติผู้พี่ของนาง ญาติผู้น้องอึดอัดคับข้องใจ ท่านย่อมต้องออกหน้าแทนอยู่แล้ว หรือจะให้ท่านมาเป็นฝ่ายปกป้องข้าแทนเล่า” ดวงตานางยกขึ้นเล็กน้อย สะกดกลั้นสุดความสามารถแล้วก็ยังเผยความหึงหวงออกมาจนได้
“เจ้าช่างไร้เหตุผล” ยามนี้เขาทั้งรู้สึกอึดอัดและหงุดหงิด
ก็แค่การต่อปากต่อคำกับหญิงสาวคนหนึ่ง เขาเป็นถึงชายชาตรีที่ในมือกุมอำนาจทหารสำคัญไว้มากมาย ไยต้องสนใจเรื่องเล็กน้อยของสตรีเช่นนี้ด้วย นางเห็นเขาเป็นอะไรกัน
“มีแต่ท่านที่มีเหตุผลสินะ ครั้งก่อนทั้งกอดทั้งลูบคลำผู้อื่น สุดท้ายก็ไม่เห็นท่านจะรับผิดชอบอะไรเลย” นางเหยียดปากแค่นเสียงว่า “ข้ามิใช่ต้องทนรับความเสียเปรียบเอาไว้เอง กล้ำกลืนความทุกข์เอาไว้เองหรอกหรือ”
“แม่นางฮวา!” ใบหน้าแข็งกร้าวของกวนหยางชะงัก กระทั่งใบหูก็ยังแดงก่ำในชั่วพริบตา เอ่ยเสียงขุ่น “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล ใครทั้งกอดทั้งลูบ…เจ้ากัน”
“ข้าตกลงไปในน้ำ ท่านช้อนข้าขึ้นมามิใช่ทั้งกอดทั้งลูบคลำหรือ” นางย้อนถามหน้าตาเฉย
เขาโมโหจนหน้าดำคล้ำ “…ครั้งหน้าข้าควรปล่อยให้เจ้าตายโดยไม่ต้องช่วย!”
“ครั้งหน้าเป็นเรื่องของครั้งหน้า แต่ครั้งก่อนท่านทั้งกอดทั้งลูบคลำข้า ต่อให้เป็นการช่วยชีวิต ชื่อเสียงข้าก็ป่นปี้ไปหมดเพราะท่านแล้ว ท่านไม่รับผิดชอบข้าไม่โทษท่าน แต่ดีร้ายอย่างไรท่านก็ควรชดเชยทางจิตใจให้ข้าบ้างสิ” นางยิ่งพูดยิ่งคล่องปาก ปรักปรำคนได้อย่างลื่นไหลมากขึ้นทุกที
สองมือเขากำหมัดแน่น เส้นเอ็นและกระดูกบนหลังมือส่งเสียงดังกร๊อบๆ แผ่กลิ่นอายอันตรายออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า