บทที่เจ็ด
สายฝนนั้นยังคงโปรยปรายลงมา ท้องฟ้ามืดครึ้มขมุกขมัว ในอากาศเต็มไปด้วยไอน้ำจนไม่อาจแบ่งแยกฟ้าดิน ตอนที่ออกมาจากกระโจมทหาร บนร่างของเถาเม่ยเอ๋อร์ก็มีเสื้อคลุมกันลมเพิ่มขึ้นมาตัวหนึ่ง แม่ทัพเคราดกต้องการมอบให้เถาเม่ยเอ๋อร์เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิต เถาเม่ยเอ๋อร์ปฏิเสธไม่ได้ จึงทำได้เพียงยอมรับเอาไว้
นางรู้ว่าตนเองไม่อาจไปเขาชีสยาได้อีก ในช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้นางไม่อาจละทิ้งร้านไป่เฉ่าหรือละทิ้งคำกำชับของบิดาไปได้อย่างเด็ดขาด
เพิ่งเข้ามาในประตูเมืองก็ได้ยินเสียงตึงดังขึ้นจากด้านหลัง ประตูเมืองถูกปิดสนิทแล้ว
“คำสั่งเร่งด่วนจากทางทหาร ประกาศภาวะสงครามทั่วทั้งเมือง!”
ทหารจำนวนมากที่ถูกเพิ่มเข้ามาอย่างเร่งด่วนกำลังทะลักไปทางประตูเมืองจากทั่วสารทิศ
“ประตูจูเชวี่ย ประตูหลิงหยาง ประตูเซวียนหยาง ประตูไคหยาง ทั้งหมดถูกปิดไม่ให้เข้าออกแล้ว ประตูก่วงโม่ ประตูผิงชัง ประตูเซวียนอู่ ประตูต้าซย่า รวมถึงประตูทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกล้วนถูกปิดหมดแล้วเช่นกัน”
เถาเม่ยเอ๋อร์เดินอย่างล่องลอย กระทบไหล่กับกลุ่มคนที่รีบวิ่งไปเป็นพักๆ ทหารกองหนึ่งเคลื่อนผ่านไปอย่างเร่งรีบ ดินโคลนสาดกระเซ็น ผู้คนดูสับสนอลหม่าน นางสังหรณ์ใจว่าประตูเหล่านั้นที่ปิดไปคล้ายจะไม่มีทางเปิดออกอีกแล้ว และเมื่อเปิดออกก็มีแต่ต้องเหยียบย่ำหยาดโลหิตที่มากกว่าเดิม
สายฝนคล้ายค่อยๆ เบาบางลง ร้านไป่เฉ่าอยู่ตรงหน้า นึกไม่ถึงว่าจะมีเสียงผู้คนอึกทึกราวกับคนยังไม่ตระหนักว่าภัยพิบัติที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนกำลังจะมาเยือน
“ข้าขอใช้ชื่อเสียงของสกุลสวีมารับรอง คนผู้นี้เสียชีวิตไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงด้วยแล้ว!” เสียงของสวีเทียนหลินดังขึ้นฟ้าแหวกความวุ่นวายออกมา
“เจ้าเป็นผู้ใด มีสิทธิ์อะไรมาใช้ชื่อเสียงของสกุลสวี” หลินจื่อเฟิงมองเขาอย่างเหยียดหยามพร้อมใช้มือหยั่งลมหายใจของคนผู้นั้น
บนพื้นวางแคร่หามที่ทำมาจากเถาวัลย์ป่า มีคนผู้หนึ่งซึ่งใบหน้าซีดขาวปราศจากลมหายใจนอนอยู่
เถาเม่ยเอ๋อร์มองทั้งสองคนที่ต่างดื้อรั้นไม่มีใครยอมใครแล้วก็อดตกใจอย่างมากไม่ได้
ฝูงชนค่อยๆ ทะลักเข้ามา ขอทานแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าขาดกำลังห่อตัวอยู่ใต้เงากำแพงฝั่งตรงข้ามร้านไป่เฉ่า เถาเม่ยเอ๋อร์ไม่ทำตัวโดดเด่น เพียงแอบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกลุ่มคน ส่วนจินเจิ้งที่คอยถามผู้คนแถวนั้นถึงที่มาที่ไปของคนบนแคร่เรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปหาหลินจื่อเฟิงเพื่อคอยฟังคำสั่งของเขา
“หลินจื่อเฟิง ข้ากับเจ้ามาพนันกัน คนผู้นี้หมดลมหายใจไปแล้ว ไม่อาจฟื้นกลับมาได้อีก!”
“สวีเทียนหลิน หากเจ้าแพ้ก็ไม่อาจก้าวเท้าเข้ามาในร้านไป่เฉ่าอีกตลอดชีวิต เจ้าทำได้หรือไม่”
สวีเทียนหลินมองหลินจื่อเฟิงอย่างโหดเหี้ยม “ดี ข้ารับปากเจ้า หลินจื่อเฟิง หากข้าชนะแล้ว นับจากนี้เจ้าจะต้องหายสาบสูญไปจากเมืองเจี้ยนคัง ไม่มาพบหน้าเม่ยเอ๋อร์อีกตลอดกาล!”
“บุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ แน่นอนว่าเจ้าก็ห้ามผิดคำพูดด้วยเช่นกัน”
มุมปากหลินจื่อเฟิงหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยถาม “จินเจิ้ง คนผู้นี้ฆ่าตัวตายหรือ”
“ขอรับ คนผู้นี้เป็นพ่อค้าแพรพรรณที่ทำการค้าอยู่ข้างนอกบ่อยๆ ได้ยินมาว่าหนนี้กลับมาเมืองหลวงก็พบว่าบ้านไฟไหม้ คนในครอบครัวเสียชีวิต ระหว่างที่โศกเศร้าสิ้นหวังยังถูกเจ้าหนี้ตามมาทวงหนี้ ด้วยเหตุนี้จึงกินยาพิษฆ่าตัวตายขอรับ”
ในตอนนั้นเอง ที่ด้านข้างก็มีพ่อค้าเสื้อสีน้ำเงินผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างหงุดหงิด “เหล่าหลิว เจ้าจะตายไม่ได้นะ! หากเจ้าตายแล้ว เงินห้าร้อยตำลึงของข้าจะไปตามเอากับผู้ใด ในช่วงเวลาสงครามเช่นนี้ข้าเองก็ไม่คิดทำการค้าอีก กลับบ้านเกิดไปทำนาก็พอแล้ว”
สวีเทียนหลินสะบัดชายเสื้อ ก่อนจะก้มตัวลงตรวจสอบรูม่านตาและนิ้วของคนไข้ผู้นั้น
“มันคือโกวเหวิ่น!”
ไม่นึกเลยว่าหลินจื่อเฟิงกับสวีเทียนหลินจะกล่าวคำนี้ออกมาพร้อมกัน จากนั้นทั้งสองคนต่างก็จับจ้องกันอย่างโมโห
เถาเม่ยเอ๋อร์ใจสั่นอย่างรุนแรง โกวเหวิ่นนี้ยังมีชื่อว่าเหยี่ยเก่อ หูมั่นเถิง ตู๋เกิน ต้วนฉางเฉ่า เป็นสมุนไพรที่มีพิษร้ายแรง หากรีบดื่มลงไปพร้อมน้ำก็จะตายในทันที
“คนผู้นี้กลืนสมุนไพรพิษลงไปเร็วเกินไป ไม่ว่าผู้ใดก็คงไม่อาจคืนชีวิตให้เขาได้แล้ว” สวีเทียนหลินส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ
“ไม่ถึงขนาดนั้น!” หลินจื่อเฟิงร้องกล่าว “จินเจิ้ง ไปหาห่านขาวมาตัวหนึ่ง เอาเลือดของมันมา ยิ่งเร็วยิ่งดี!”
“ขอรับ ท่านเขย!” จินเจิ้งหันกายจากไป เกรงจะได้เห็นใบหน้ากรุ่นโกรธและบิดเบี้ยวของสวีเทียนหลิน
ไม่รู้ว่าหลินจื่อเฟิงไปหากระบอกไม้ไผ่กลวงอันใหญ่มาจากที่ใด นำมาพยุงซี่โครงสองข้างรวมถึงสะดือของคนไข้ขึ้นมา ก่อนกรอกน้ำเย็นลงไปในกระบอกไม้ไผ่
พ่อค้าเสื้อสีน้ำเงินผู้นั้นเอ่ยถาม “ท่านกำลังทำอะไรอยู่”
หลินจื่อเฟิงอมยิ้มกล่าว “ผู้ที่ถูกพิษโกวเหวิ่น ปากจะไม่สามารถอ้าออกได้เอง ทำเช่นนี้จึงจะช่วยให้เขาอ้าปากได้ เพื่อที่จะใช้ยาช่วยชีวิตเขาได้สะดวก”
เป็นดังคาด เขายังกล่าวไม่ทันจบ ปากของคนไข้ก็อ้าขึ้นมาแล้ว
พ่อค้าเสื้อสีน้ำเงินประหลาดใจมาก เขาจับจ้องไปที่หลินจื่อเฟิงตาไม่กะพริบ
อาภรณ์สีขาวของหลินจื่อเฟิงยังคงสะบัดไหว เขาเดินผ่านห้องโถงไปมาไม่หยุด ไม่นานก็นำยาน้ำออกมาแล้วกรอกเข้าไปในปากคนไข้
“ท่านหมอหลิน นี่คืออะไร” พ่อค้าเสื้อสีน้ำเงินผู้นั้นยิ่งนับถือหลินจื่อเฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ
“นี่คือน้ำแกงกันโต้วทัง กันเฉ่าสามารถแก้พิษได้นับร้อย หากใช้ร่วมกับถั่วเหลืองจะได้ผลที่น่าอัศจรรย์… ชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงกองกระดูกขาวโพลน ไม่มีอะไรแตกต่างกัน เหตุใดจึงไม่ยอมปล่อยมือ ทั้งเหตุใดจึงต้องสละชีวิต ละทิ้งทุกอย่าง”
พ่อค้าเสื้อสีน้ำเงินผู้นั้นตาสว่างทันที กล่าวอย่างตกใจ “หากสามารถชุบชีวิตเขาขึ้นมาได้จริงๆ ข้าจะล้างหนี้ของเขา ไม่ทำให้เขาลำบากอีก”
ยามนี้จินเจิ้งยกเลือดห่านเข้ามาแล้ว จากนั้นก็กรอกลงไปในปากคนไข้ผู้นั้นอย่างรีบร้อน
หนึ่งชั่วยามผ่านพ้นไป คนไข้ผู้นั้นยังคงไร้การเคลื่อนไหว
“เหอะ คนจากไปแล้ว เหตุใดยังต้องทรมานกายหยาบอีก” สวีเทียนหลินกล่าวอย่างดูถูก “หรือเจ้าจะไม่ตัดใจจนตายหรือไร”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนผู้นี้ไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว”
“เรื่องน่าขันที่สุดในใต้หล้า! โลกใบนี้ใช่สิ่งที่เจ้าพูดว่าหมุนก็หมุนหรือไร”
ระหว่างบุรุษทั้งสองราวกับมีกระแสความตึงเครียดแล่นผ่าน ผู้คนรอบข้างคล้ายหลงลืมเวลาไปหมดแล้ว เสียงระฆังเฝ้าระวังของเมืองดังไม่หยุด ทว่ากลับไม่มีผู้ใดสนใจ
ทหารกลุ่มหนึ่งทยอยกันเข้ามาและกระจายตัวฝูงชนออกไป “แผ่นดินมีภัย ร้านค้าต่างๆ จะต้องหยุดทำการ นี่เป็นกฎของแผ่นดิน!”
คนไข้ผู้นั้นยังคงไม่ขยับสักนิด พ่อค้าเสื้อสีน้ำเงินร้องไห้ออกมาในที่สุด “หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ข้าจะบีบบังคับผู้คนไปทำไม ทำให้ครอบครัวหลิวบ้านแตกสาแหรกขาด บาปกรรมข้าหนักหนานัก สมควรตกนรก”
“หลินจื่อเฟิง เรื่องมาถึงตอนนี้เจ้ายังจะฝืนต่อไปอีกหรือ รีบจากไปเสีย เดิมทีร้านไป่เฉ่าแห่งนี้ก็หาใช่สถานที่ของเจ้าอยู่แล้ว!” ชัยชนะอยู่ในกำมือสวีเทียนหลินเช่นนี้ เขาย่อมไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไป
หลินจื่อเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ยังไม่ถึงช่วงเวลาสำคัญ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าผู้ที่ควรไปไม่ใช่เจ้า”
“ช่างเถอะ!” หัวใจเถาเม่ยเอ๋อร์กระวนกระวายยากจะสงบ ในที่สุดนางก็เดินออกมาด้านหน้า “พวกเจ้าไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว แผ่นดินกำลังมีภัย มีเพียงการช่วยเหลือผู้เจ็บไข้ได้ป่วยจึงจะเป็นงานของพวกเรา พูดมากไปกว่านี้จะมีประโยชน์อันใด”
“เม่ยเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว!” เมื่อสวีเทียนหลินมองเห็นเถาเม่ยเอ๋อร์ก็อดปีติยินดีไม่ได้
หลินจื่อเฟิงชำเลืองมองเถาเม่ยเอ๋อร์คราหนึ่ง สีหน้าก็ผ่อนคลายลง ก่อนที่แววตาจะหลบเลี่ยงจ้องเขม็งไปที่คนไข้ผู้นั้นต่อ
“เม่ยเอ๋อร์ พอข้าได้รับข่าวจากเจ้าก็เขียนเทียบยาทันที ตอนนี้ผู้เฒ่าคนนั้นดีขึ้นแล้ว” สวีเทียนหลินกล่าวพร้อมหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นออกมา
ผ้าเช็ดหน้าที่มีลายปักของร้านไป่เฉ่าผืนนั้นเขาจดจำได้ดี ยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับผ้าเช็ดหน้าอันคุ้นเคย ทั้งยังมีกลิ่นหลันเฉ่าหอมสดชื่นลอยฟุ้งขึ้นมา เขาพลันรู้สึกโศกเศร้า สายตาจ้องตรงไปที่หลินจื่อเฟิงอย่างเหี้ยมโหด
ตัวการร้ายก็คือหลินจื่อเฟิง! หากไม่ใช่คนผู้นั้น เขากับเม่ยเอ๋อร์ผู้เป็นที่รักย่อมสามารถจับมือกันไปตลอดชีวิต ไม่มีอุปสรรคใดๆ อีก
“หลินจื่อเฟิง ในฐานะบุรุษ พูดได้ก็ต้องทำได้!”
ตอนที่สวีเทียนหลินกำลังกล่าว จู่ๆ มือเท้าของคนไข้ผู้นั้นก็พลันขยับเล็กน้อย
พ่อค้าเสื้อสีน้ำเงินตกตะลึง “สวรรค์! ฟื้นขึ้นมาแล้วจริงๆ ด้วย! เหล่าหลิว เป็นข้าเอง!”
เปลือกตาของคนไข้ผู้นั้นขยับเล็กน้อย ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมลืมตา
หลินจื่อเฟิงเห็นเช่นนั้นจึงผ่อนลมหายใจออกมา “เขาไม่เป็นอะไรแล้ว! ยามนี้เพียงแค่หวาดกลัวจึงยังหมดสติชั่วคราว อีกไม่นานก็จะฟื้นตัวได้แล้ว”
บนหน้าผากสวีเทียนหลินมีเส้นเลือดเขียวปูดโปนขึ้นมา ลำคอขยับขึ้นลงไม่หยุด เป็นเพราะทั้งโกรธและเศร้าถึงขีดสุดร่างกายจึงสั่นระริกขึ้นมา “เจ้า!”
หลินจื่อเฟิงกลับไม่ได้มองเขาแม้แต่น้อย เพียงแค่ผายมือ ‘เชิญ’ ออกมา
เห็นสวีเทียนหลินสีหน้าท้อแท้ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเตรียมพ่นโทสะ เถาเม่ยเอ๋อร์ก็ก้าวออกไปหนึ่งก้าว รู้สึกว่าร่างกายแข็งเกร็งไม่อาจเรียกเรี่ยวแรงขึ้นมาได้อีก หลินจื่อเฟิงผู้นี้ถึงกับชำนาญเรื่องวิชาแพทย์และสมุนไพรดีเพียงนี้ วิชาแพทย์ของเขาเอาชนะสวีเทียนหลินไปได้หนึ่งขั้น เพียงแต่การกระทำแปลกประหลาดเกินไป ช่างชวนให้ผู้คนนึกสงสัยโดยแท้
“ผู้ที่กินโกวเหวิ่นลงไป ช่วงที่อาการกำเริบกับวิธีการกินมีความสัมพันธ์กันยิ่ง ข้าแค่เคยได้ยินมาว่าแหล่งกำเนิดของโกวเหวิ่นนี้อยู่ที่เหลี่ยงก่วง เพื่อเป็นการหนีหนี้สินชาวเหลี่ยงก่วงจึงกินสมุนไพรชนิดนี้ตบตาผู้อื่น หากต้มรากดื่มหรือกินหน่ออ่อนสดใหม่ก็จะหมดสติไปทันที หากกินรากสดอาการจะแสดงค่อนข้างช้า หรือต้องใช้เวลาสองชั่วยามจึงจะกำเริบ เมื่อได้ยินว่าพ่อค้าสกุลหลิวผู้นี้ออกเดินทางทำการค้าไปทั่ว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมั่นใจว่าเขาจะต้องรู้หลักการพวกนี้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้เขาจะหมดสติและปราศจากลมหายใจ ทว่าชีพจรกลับเบาบางและมีกำลังอยู่ พิษร้ายยังไม่ทันกำเริบ ด้วยเหตุนี้ขอเพียงถอนพิษทันเวลาก็จะสามารถฟื้นขึ้นมาได้”
หลินจื่อเฟิงอธิบายให้ทุกคนฟัง ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจอย่างชื่นชมดังขึ้น “ท่านหมอหลินความรู้มากมาย เป็นหมอยอดฝีมือในปัจจุบัน ราษฎรของเจี้ยนคังนับว่ามีวาสนาแล้ว”
สวีเทียนหลินที่อยู่ด้านข้างเดือดดาลถึงที่สุด “หลินจื่อเฟิง เจ้ากล่าววาจามากมายหมายเอาใจผู้อื่น มิใช่การกระทำของวีรชน!”
“ใช่หรือไม่ใช่วีรชนต้องอาศัยความจริงมาพิสูจน์” หลินจื่อเฟิงยิ้มบางอย่างไม่ร้อนรน “จินเจิ้ง ยกตัวคนเข้าไปพักผ่อนในห้องโถงสักพักก็พอ”
เมื่อทุกคนได้ยินก็ต่างนับถือจากใจ พากันช่วยยกคนผู้นั้นเข้าไปด้านใน
“ท่านเขย ข้าได้ยินมาว่าหญ้าโกวเหวิ่นนี้เติบโตที่หลิงหนานมีดอกสีเหลือง เติบโตที่เตียนหนานมีดอกสีแดง เป็นหญ้าสังหารคนโดยแท้” จินเจิ้งเอ่ย
“พูดได้ถูกต้อง! มีคนสังหารงูพิษแล้วเอาโกวเหวิ่นมากองทับ รดน้ำจนมีเห็ดงอกขึ้นมา นำมาทำเป็นยาพิษฆ่าคน เจ้าอยากลองหรือไม่”
จินเจิ้งวิญญาณหลุดลอยทันควัน “ข้าไม่เคยทำร้ายผู้อื่นมาก่อน จะเอายาพิษนั้นมาทำอะไร”
“ฮ่าๆๆ! ต่อให้ยาพิษจะร้ายกาจกว่านี้ก็เทียบกับความอำมหิตในใจมนุษย์ไม่ได้” หลินจื่อเฟิงกลอกตามองสวีเทียนหลินคราหนึ่ง พูดพร้อมหันกายเดินจากไปช้าๆ ภายใต้สายตาเลื่อมใสและการรุมล้อมคุ้มกันอย่างแน่นหนาของฝูงชน
นอกร้านไป่เฉ่า ฝูงชนค่อยๆ ทยอยแยกย้ายกันจากไป หลังฝนตกเมฆหมอกก็สลายตัวออกจากหลังคาสูง ห่างออกไปไกลยังทิศใต้ พระราชวังอันสลับซับซ้อนหลายชั้น ชายคายื่นเด่น คล้ายมีปุยนุ่นจำนวนนับไม่ถ้วนบดบัง
บนพื้นถนนเต็มไปด้วยดินโคลนขรุขระ สวีเทียนหลินปล่อยให้หยาดฝนอาบตัวจนชุ่ม ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเศษใบไม้และกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยลงมา เขายืนเผชิญหน้ากับประตูใหญ่ของร้านไป่เฉ่าตามลำพังอย่างเหม่อลอยอยู่นาน ไม่ยินยอมที่นับจากนี้จะไม่อาจพบสตรีในดวงใจได้อีกแล้ว
เถาเม่ยเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า มองใบหน้าหดหู่ของสวีเทียนหลิน
“เม่ยเอ๋อร์ ข้าทำใจเชื่อไม่ได้ว่าข้าจะไม่สามารถพบเจ้าได้อีกแล้ว อยู่แสนใกล้แต่เหมือนไกลสุดขอบฟ้า จะให้ข้าทนรับไหวได้อย่างไร” สวีเทียนหลินหลั่งน้ำตาบุรุษออกมาต่อหน้าเถาเม่ยเอ๋อร์ ไม่นึกเลยว่าเหล็กกล้าที่ผ่านการเคี่ยวกรำมาจะกลายเป็นวัตถุอ่อนยวบที่ใช้นิ้วมือบิดดึงได้
“เทียนหลิน การออกจากเมืองไปครั้งนี้ทำให้ข้าได้รู้ว่าต้าเหลียงกำลังเผชิญกับหายนะที่ไม่เคยพานพบมาก่อน พวกเราไม่มีเวลามาสนใจเรื่องรักระหว่างชายหญิงอีกต่อไปแล้ว เพียงแต่ข้าผิดต่อท่านป้านัก นอแรดนั้นไม่รู้จะหาพบได้เมื่อใด” เถาเม่ยเอ๋อร์เงยหน้า บนท้องฟ้าปราศจากสีสัน “ข้ารู้ว่าเจ้ามาที่นี่เพราะข้า เพียงแต่ยามนี้เทียบกับวันวานไม่ได้ ข้ากับเจ้าไม่อาจเดินร่วมทางกันได้อีกแล้ว เทียนหลิน เจ้าตัดใจเสียเถอะ ลืมข้าไปซะ”
“ไม่! เม่ยเอ๋อร์ เจ้าสามารถลืมเรื่องราวในอดีตระหว่างเราได้อย่างนั้นหรือ เจ้าก็มีใจให้เจ้าคนชั้นต่ำไร้หัวใจผู้นั้นเช่นกันหรือไร!” สวีเทียนหลินเปลี่ยนจากโศกเศร้าเป็นมีโทสะ เส้นเลือดเขียวบนหน้าผากเต้นตุบๆ
“เทียนหลิน หยุดพูด!” ความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในใจเถาเม่ยเอ๋อร์ถูกสวีเทียนหลินกระทุ้งขึ้นมาอย่างไร้ปรานี นางรู้สึกเศร้าโศกอย่างห้ามไม่ได้ “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว นี่คือบทลงโทษที่สวรรค์มอบให้ข้า ข้าทำได้เพียงยอมรับ นับจากวันนี้เป็นต้นไปพวกเราก็ไม่ต้องมาพบเจอกันอีกแล้ว!”
กล่าวจบนางก็ข่มกลั้นความเจ็บปวดเดินถอยเข้าไปในร้านไป่เฉ่าช้าๆ
“จินเจิ้ง”
“มาแล้วขอรับ คุณหนูมีอะไรจะสั่งหรือ”
“ใช้แผ่นไม้ปิดตายประตูด้านข้างที่เชื่อมต่อกับสกุลสวีเสีย”
ทุกๆ ก้าวที่เถาเม่ยเอ๋อร์เดินไปล้วนรู้สึกราวกับมีคมดาบกรีดผ่านปลายเท้า นางตัดสินใจปิดตายประตูที่เชื่อมกับสกุลสวีบานนั้นตลอดกาล เมื่อปิดตายประตูแล้วก็เทียบได้กับปิดตายหัวใจตนเองไปด้วย ทำให้สวีเทียนหลินตัดขาดความอาวรณ์หา ตัดขาดสายสัมพันธ์หลายปีระหว่างสองสกุล
“คุณหนู?” จินเจิ้งสับสนและไม่สบายใจกับคำสั่งที่มาโดยกะทันหันนี้
“รีบไป ยิ่งเร็วยิ่งดี!” เถาเม่ยเอ๋อร์ตวาดสั่ง ไม่หลงเหลือความลังเลใดๆ อีกต่อไป
“ขอรับ” จินเจิ้งขานรับอย่างหวั่นเกรง รีบวิ่งไปอย่างลนลาน
นางรู้สึกจนใจ ไร้เรี่ยวแรง ทั้งไม่อาจทำอะไรได้ ทำได้เพียงทอดถอนใจเท่านั้น
เรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องระหว่างชายหญิงคือชื่อเสียงของร้านไป่เฉ่า การรักษาคำสัญญา กล้าทำกล้ารับ เป็นสิ่งที่คนสกุลเถาต้องรักษาไปตลอดชีวิต
“เม่ยเอ๋อร์ ข้าไม่อาจให้อภัยเจ้า!” สวีเทียนหลินยังคงยืนอยู่ตามลำพัง หันหน้าเข้าหาถนนที่เคยหรูหราโอ่อ่า คำรามก้องสุดเสียง
เทียนหลิน ข้าทำไม่ได้ ไม่ได้!
เถาเม่ยเอ๋อร์หันหน้ากลับไปมองก็ยังเห็นสวีเทียนหลินยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว หยาดน้ำตาใสกระจ่างของนางหลั่งลงบนกลีบดอกท้อ กลิ้งตกลงไปบนดินโคลน
ใต้บานหน้าต่างฉลุลาย หลินจื่อเฟิงกำลังข่มกลั้นความหุนหันในใจที่ต้องการรั้งสตรีซึ่งกลับมาอย่างปลอดภัยผู้นั้นเข้ามาในอ้อมกอดอย่างสุดชีวิต เพราะตั้งแต่เช้าของวันนี้เขาก็เริ่มออกค้นหาเงาร่างบอบบางของนาง นางถึงกับจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าว หากไม่มีความเป็นตายของคนไข้ผู้นั้นมาบีบบังคับ เขาก็คงจะพุ่งออกไปนอกเมือง ใช้เชือกเส้นหนามัดตัวนางเอาไว้แล้ว
ทว่าเพียงชั่วพริบตาที่นางมาปรากฏกายขึ้นต่อหน้าเขากะทันหันนั้น เขาถึงกับมีความรู้สึกว่าหยาดน้ำตาคลอเบ้า
เมืองหลวงอันวุ่นวายเริ่มมีการระวังภัยและการป้องกัน ฝีเท้าของทหารและราษฎรเหยียบย่ำดินโคลนเบื้องหน้าร้านไป่เฉ่าจนดูไม่ได้ ต้นไม้ต่างเผือดสีสันไปเงียบๆ ไม่หลงเหลือความสดใสดังเช่นในอดีตอีก
แต่เมื่อเห็นนางร้องไห้ให้กับเงาร่างของคนสกุลสวีผู้นั้นก็ทำให้เขารู้สึกเดือดดาลถึงที่สุด
“เม่ยเอ๋อร์ หากเจ้าลอบหนีจากร้านไป่เฉ่าลับหลังข้าไปอีกก้าวเดียว ข้าจะ…” เขาออกมาจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยขวดยาแห่งนั้น แล้วก้าวเข้ามาดึงรั้งชายแขนเสื้อของนางอย่างหงุดหงิด
บนปลายแขนเสื้อสีเรียบปรากฏรอยโลหิตสาดกระเซ็นโดยไม่คาดฝัน แต่ที่น่าประหลาดที่สุดคือบนเรือนร่างเปียกชื้นซึ่งยังไม่แห้งของนางมีเสื้อคลุมกันลมของบุรุษคลุมทับอยู่อย่างคาดไม่ถึง เขาตกใจจนหน้าเผือดสี กวาดมองนางขึ้นลงหนหนึ่งอย่างร้อนรน เมื่อพบว่านอกจากแววตาทุกข์ตรม สีหน้าเศร้าโศกแล้ว เถาเม่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้มีบาดแผลอะไรอื่นอีก เขาถึงค่อยวางใจลงได้
“เจ้ายังจะกังวลอะไรอีก ตอนนี้ประตูเมืองเจี้ยนคังทั้งหมดล้วนถูกปิดตาย ภายในกำแพงสูงใหญ่ กระทั่งนกตัวเล็กๆ ยังบินข้ามไปไม่ได้ แต่ว่าเจ้า…เจ้าจะละทิ้งชีวิตอิสรเสรี ตัดสินใจรั้งอยู่ในตัวเมืองไปตลอดชีวิตจริงๆ หรือ”
เมื่อได้ยินวาจาโอนอ่อนของเถาเม่ยเอ๋อร์ หนามแหลมจำนวนนับไม่ถ้วนในใจเขาก็อ่อนยวบ พลันสูญเสียเรี่ยวแรงที่จะโจมตีต่อไป
หลังกลับมาจากสกุลสือ เถ้าแก่สือได้ทิ้งปัญหาหนักเอาไว้ให้หลินจื่อเฟิง เป็นเพราะเขาเห็นเรือนกายของบุตรสาวเถ้าแก่สือทั้งหมดแล้ว ชีวิตในชาตินี้ของบุตรสาวจำเป็นต้องมอบให้เขา
หลินจื่อเฟิงแม้สีหน้าไม่แสดงความรู้สึก ยังคงแสร้งทำเป็นคล้อยตาม ทว่าในใจกลับตกตะลึงอย่างถึงที่สุด คล้ายมองเห็นใบหน้าคาดหวังและเขินอายของสือรุ่ยเซียงอยู่ใต้พุ่มยี่โถอันหนาแน่นอย่างเลือนราง
น้ำในถ้วยหยกกระฉอกออกมาเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ เขาที่กำลังรู้สึกหวาดหวั่นจึงหาข้ออ้างจากมาในที่สุด
ยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับเถาเม่ยเอ๋อร์ สตรีผู้ฉุดรั้งจิตวิญญาณส่วนลึกที่สุดของเขาเอาไว้ สตรีที่ทำให้เลือดลมของเขาพลุ่งพล่านไปทั้งร่าง ทว่าก็ทำให้เขาจนปัญญา จึงไม่รู้ว่าควรเริ่มกล่าวจากจุดไหน
“ข้าเหนื่อยแล้ว” เถาเม่ยเอ๋อร์ถูกความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงตลอดทั้งวันทำให้ตกตะลึง นางวิตกกังวล จิตใจกระสับกระส่าย ไม่อาจรวบรวมสติได้ในระยะเวลาอันสั้น นางออกแรงเฮือกสุดท้ายสลัดมือของเขาแล้วก้าวเดินอย่างแผ่วเบาเข้าไปในห้องด้านใน
รอยเลือดนั้นมาจากที่ใด แล้วเสื้อคลุมกันลมของบุรุษตัวนั้นอีกเล่า เขาอยากจับตัวสตรีผู้ดื้อรั้นคนนั้นมาซักถามเสียงดัง ทว่าสุดท้ายกลับถูกนัยน์ตาสับสนแฝงแววกังวล อ่อนล้า และอดกลั้นคู่นั้นทำให้ตกตะลึง จนเขาเผลอปล่อยนางไปโดยไม่รู้ตัว หัวใจของนางสุดท้ายก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ หากยังคงอยู่บนร่างสวีเทียนหลินผู้พ่ายแพ้และจากไปเพียงลำพังอย่างขุ่นแค้นผู้นั้น
เขาจะเข้าใจได้อย่างไรว่าที่เถาเม่ยเอ๋อร์เป็นห่วงที่สุดคือประตูเมืองที่ปิดสนิทบานนั้นซึ่งตัดขาดความหวังของนาง ไม่รู้ว่ายามใดถึงจะสามารถไปยังเขาชีสยาเพื่อตามหานอแรดมาชดใช้หนี้ที่ติดค้างสกุลสวีได้
ท้องฟ้ามืดมิด ไร้ดนตรีบรรเลง ภายในเมืองเงียบสงบอย่างหาได้ยาก ราวกับว่าฝุ่นผงและความร้อนใจทั้งหมดล้วนถูกหยาดฝนชำระล้าง แล้วก็คล้ายกำลังดื่มด่ำความสุขชั่วคราวที่มาก่อนการเข่นฆ่าสังหาร
บทที่แปด
หลินจื่อเฟิงขมวดคิ้วแน่นอย่างช่วยไม่ได้ ที่นอกกำแพงเมืองมีกองทัพจำนวนมากส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย ภายในเมืองมีราษฎรที่ทำอะไรไม่ถูก ผู้คนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
สมุนไพรที่เก็บสะสมมาหลายวันล้วนถูกทางการเรียกเก็บไป เมื่อไม่อาจออกนอกเมือง สมุนไพรก็ถูกใช้จนเกือบหมด หากไร้วัตถุดิบก็ไม่อาจทำการรักษาได้ ร้านไป่เฉ่าใกล้จะต้องหยุดกิจการแล้ว ส่วนเถาเม่ยเอ๋อร์ก็มีท่าทีผิดปกติ นางทั้งพูดน้อยและเงียบขรึม
บนศีรษะเถาจ้งซานเสียบใบบัวอยู่ใบหนึ่ง สองแขนกางออก แสดงท่าโผบินพร้อมหัวเราะกล่าวกับหลินจื่อเฟิง “ข้าคือไท่ซั่งเหล่าจวิน* มาประทานยาลูกกลอนเซียนให้เจ้า ทำให้เจ้าฟื้นจากความตายได้ รีบรับไปสิ ทำไมไม่รับไปเล่า!”
หลินจื่อเฟิงใบหน้าไร้รอยยิ้ม เอาแต่มองเขาด้วยท่าทีเคร่งขรึม
“พี่ชาย เลิกเล่นได้แล้ว นี่คือซานเย่าแห้ง รีบเอาไปกินเร็ว” เถาเม่ยเอ๋อร์ได้ยินจึงเดินมา รู้ว่าพี่ชายตนเริ่มสร้างปัญหาอีกแล้ว
“ดีๆๆ!” เถาจ้งซานหยิบซานเย่าแห้งขึ้นมากำมือหนึ่งก่อนยัดใส่ปาก
“กินเสร็จแล้วก็ไปแยกถั่วดำกับถั่วเหลืองเหล่านั้นออกจากกันด้วยเจ้าค่ะ หากแยกไม่เสร็จก็ไม่ต้องออกไป จำได้หรือยังเจ้าคะ” ยามมองดูพี่ชายผู้เสียสติ เถาเม่ยเอ๋อร์ก็รู้สึกปวดใจ
พี่ชายผู้ที่แต่ก่อนจะปวดศีรษะขึ้นมาทันทีที่เอ่ยชื่อสมุนไพร นับตั้งแต่เสียสติไปนั้น ไม่นึกเลยว่าเขาจะติดการกินยาสมุนไพร มักชอบใช้โอกาสที่ผู้อื่นไม่ทันระวัง ไม่ว่าสมุนไพรชนิดใดเขาก็ล้วนลอบคว้ามาใส่ปาก
เมื่อไม่กี่วันก่อนยังเผลอกินสลอดเข้าไป ด้วยเหตุนี้จึงท้องเสียติดต่อกันหลายวัน ร่างกายอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงไปหมด พออาการดีขึ้นมาบ้างแล้วก็ยังทำตัวแบบเดิมอีกครั้ง เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน เถาเม่ยเอ๋อร์จึงคิดวิธีให้เขานับเมล็ดถั่วขึ้นมาได้ ตั้งใจหยุดยั้งเขานับแต่นี้
“ถั่วดำ…ถั่วเหลือง…” เถาจ้งซานยิ้มตาหยีพร้อมพึมพำท่อง “ข้าอยากกินถั่วคั่ว!”
“ถ้าหากท่านแยกเสร็จก็กินถั่วคั่วได้แล้วเจ้าค่ะ”
“ดีๆ ถั่วคั่ว” เถาจ้งซานถึงได้เดินไปยังลานด้านหลังอย่างพึงพอใจ
เถาเม่ยเอ๋อร์ลอบเหลือบมองหลินจื่อเฟิงแวบหนึ่ง เห็นเขาเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง คล้ายกำลังดูเสี่ยวเอ้อร์ที่ขายสุราข้างทางเก็บกวาดอาหารเหลือ ทั้งยังคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
เสียงปังดังขึ้นคราหนึ่ง ได้ยินเสียงร้านฝั่งตรงข้ามปิดประตูแน่น บ้านชาวบ้านอีกหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างออกไปซึ่งมักเห็นควันอาหารลอยสูงทุกวันบัดนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ต้นเสาเย่าไม่กี่กระถางริมหน้าต่างกำลังออกดอกบานสะพรั่ง ทว่าไม่รู้ว่าบ้านเมืองถูกความวุ่นวายนี้ทำลายชีวิตความเป็นอยู่แบบเดิมไปตั้งแต่เมื่อใด
“ได้ยินมาว่ากองทัพของโหวจิ่งบุกประชิดกำแพงเมืองแล้ว หลินเฮ่ออ๋องเซียวเจิ้งเต๋อเนรคุณขายต้าเหลียง ตัวการของหายนะที่ล้อมรอบเมืองเจี้ยนคังอยู่ก็คือเซียวเจิ้งเต๋อผู้ใจดำอำมหิตคนนี้ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน นึกไม่ถึงเลยว่าจะทรยศแผ่นดิน ไร้ยางอายต่อราษฎร!” ในที่สุดหลินจื่อเฟิงก็เปิดปากกล่าววาจา ทำลายความเงียบสงบของร้านไป่เฉ่า
เถาเม่ยเอ๋อร์ส่ายศีรษะและถอนหายใจ ภายในเมืองเจี้ยนคังสูญเสียการใช้ชีวิตที่เคยมีอยู่เดิมไปแล้ว หัวใจราษฎรหวาดหวั่น เกี้ยวประดับประดางดงามของเหล่าขุนนาง วันเวลาแสนสุขร่ำสุราร่ายกวีไม่มีทางกลับมาได้อีก
“ตอนนี้เป็นเวลาที่พวกเราต้องรักษาความทะนงตนเอาไว้ ขอเพียงยังหยิ่งทะนงก็ยังมีความหวัง” วาจาของเถาเม่ยเอ๋อร์แฝงความนัยลึกซึ้ง
หลินจื่อเฟิงใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้ สายตาค่อยๆ เคลื่อนไปยังสตรีที่เขารัก นัยน์ตาของนางดุจผืนน้ำอันกว้างใหญ่ ตรงสุดปลายขอบฟ้าสะอาดใสกระจ่าง ไม่มีความโสมมแม้เศษเสี้ยว
หากไม่ได้พบนางในวันนั้น บางทีเขาคงไม่เปลี่ยนแปลงความตั้งใจเดิม เขาละวางความแค้นเพื่อสตรีแปลกหน้าผู้หนึ่ง เพียงเพราะในยามที่นางตกอยู่ในอันตราย นางไม่ร้อนรนไม่สับสนเลยสักนิด ทั้งยังอาศัยร่างกายบอบบางและสติปัญญาของตนเองพยายามแก้ไขสถานการณ์อย่างสุดความสามารถ ความทะนงตนนี้มีมากเสียยิ่งกว่าบุรุษ ชวนให้ผู้คนเกิดความเลื่อมใส
“ท่านหมอหลิน รีบช่วยลูกของข้าเร็วเข้า!” เสียงร้องไห้ของเด็กกับเสียงอันร้อนรนของมารดาดังเข้ามา
เถาเม่ยเอ๋อร์ถอนหายใจ นึกไม่ถึงว่าชื่อเสียงของหลินจื่อเฟิงผู้นี้จะโด่งดังไปทั่ว ผู้ที่มาขอรับการรักษามีแต่เพิ่มไม่มีลด มนุษย์กินอาหารสะเปะสะปะมากมายจะไม่เจ็บป่วยได้อย่างไร ต่อให้ร้านไป่เฉ่าแห่งนี้คิดอยากจะปิดพักกิจการบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องยากเรื่องหนึ่งเช่นกัน
เห็นเพียงสตรีอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งอุ้มเด็กอายุราวสามขวบรีบวิ่งเข้ามา เด็กน้อยไม่เข้าใจเรื่องราว เมื่อมายังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยก็ยิ่งร้องไห้ไม่หยุด
สตรีอ่อนเยาว์ผู้นั้นยกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาพร้อมกล่าว “เมื่อไม่กี่วันมานี้บิดาของเขาทำงานหามรุ่งหามค่ำอยู่ที่จวนว่าการ ไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว ข้ารู้สึกไม่สบายใจ จึงสะเพร่าจนปล่อยให้ลูกกลืนเหรียญเงินลงท้อง เมื่อบิดาเขารู้เข้าก็กล่าวว่าจะส่งคนมาติเตียนข้า หากลูกเป็นอะไรไป ข้าจะบอกบิดาเขาได้อย่างไร”
หลินจื่อเฟิงส่ายศีรษะเบาๆ “บิดาของเขาทำงานอยู่ที่จวนว่าการหรือ”
“เจ้าค่ะ เมื่อไม่กี่วันมานี้ทางการสั่งให้คนงานวางกระสอบทรายเพื่อใช้ป้องกันเมือง ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาจึงรู้สึกไม่สบายใจทั้งวัน ถึงได้เกิดเรื่องผิดพลาดเช่นนี้ขึ้น ผิดที่ข้าสะเพร่าเกินไปเอง ยามนี้ควรจะทำเช่นไรดี”
หลินจื่อเฟิงไม่กล่าววาจา เพียงกดท้องของเด็กน้อยลงไปเบาๆ ไม่กี่ครั้ง ก่อนใช้นิ้วมือดีดเบาๆ อีกเล็กน้อยแล้วกล่าว “ไม่ต้องร้อนรน ที่บ้านมีแห้วหรือไม่”
“แห้ว?” สตรีผู้นั้นประหลาดใจเป็นที่สุด ผงกศีรษะติดต่อกัน “ของสิ่งนี้เป็นของตามฤดูกาลที่พวกเราซึ่งอยู่ในถิ่นเจียงหนานล้วนมีทุกที่ แม้ตอนนี้เป็นช่วงเวลาวิกฤต แต่ของประเภทนี้ล้วนมีอยู่ภายในบ้านเสมอเจ้าค่ะ”
หลินจื่อเฟิงกล่าวอย่างยินดี “เช่นนั้นก็ดีที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล กลับบ้านไปนำแห้วมานึ่งให้สุก จากนั้นบดให้ลูกกิน เหรียญเงินก็จะออกมาพร้อมอุจจาระเองแล้ว”
“จริงหรือ” สตรีอ่อนเยาว์ผู้นั้นทั้งประหลาดใจทั้งยินดี “หากรู้แต่แรกข้าก็ไม่ต้องลนลานเช่นนี้แล้ว ลูกคนนี้ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนทั้งสิ้น แค่ถูกข้าทำให้ตกใจเท่านั้น”
หลินจื่อเฟิงอมยิ้มผงกศีรษะ “ในสำรับอาหารแค่เพิ่มผักลงไปให้มากขึ้นก็พอ ไม่มีอะไรต้องกังวล”
สตรีอ่อนเยาว์ผู้นั้นจากไปอย่างรู้สึกขอบคุณ
เถาเม่ยเอ๋อร์พิงร่างกับกรอบประตูพลางกล่าว “วิชาแพทย์สูงส่งของท่านหมอหลินชวนให้ผู้คนได้เปิดหูเปิดตายิ่งนัก เห็นทีข้าจะมีตาแต่ไร้แวว”
เมื่อหลินจื่อเฟิงได้ยินประโยคนี้กลับคึกคักขึ้นมา “ทำไมหรือ คุณหนูเถาเริ่มอิจฉาแล้วหรือไร กลัวว่าข้าจะแย่งชามข้าว ของเจ้า ในใจเกิดความกลัวแล้วใช่หรือไม่”
“อะไรนะ!” แม้เถาเม่ยเอ๋อร์จะนับถือวิชาแพทย์อันแปลกประหลาดของเขา ทว่าก็อดยอกย้อนกลับไปไม่ได้ “ทักษะชั้นต่ำในยุทธภพเหล่านั้นย่อมไม่อาจอยู่ในสายตาข้าได้ แห้วนั้นนับแต่โบราณถูกเรียกขานว่า ‘สาลี่หิมะใต้ดิน’ ส่วนชาวเว่ยเรียกว่า ‘โสมแห่งเจียงหนาน’ เจ้ารู้หรือไม่”
หลินจื่อเฟิงส่ายศีรษะแล้วยิ้มกล่าว “ข้าแค่เคยลิ้มรสด้วยตนเอง รู้สึกว่ามันกรอบ หวาน ยิ่งลูกใหญ่ก็ยิ่งเป็นของชั้นเลิศ สามารถดับร้อนแก้พิษ ช่วยย่อยอาหารดับกระหาย”
“ดูท่าเจ้าจะไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไปจริงๆ!” เถาเม่ยเอ๋อร์ชะงัก ลองกล่าวคำพูดที่ตนเองคิดอยากพูดออกมา “ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์ของเจ้าอยู่ที่ใด”
นางเงยหน้า มองเห็นเพียงหลินจื่อเฟิงใช้นิ้วมือถูปลายจมูก กล่าวอย่างจืดเจื่อน “หากข้าบอกว่าข้าเรียนรู้ด้วยตนเองโดยไม่มีอาจารย์ เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
เมื่อเถาเม่ยเอ๋อร์เห็นเขาเหลือบปลายหางตาไปทางอื่นส่งๆ ถึงกับรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ดวงตารูปเมล็ดซิ่งจึงถลึงใส่เขาคราหนึ่ง นางกำลังต้องการกล่าววาจาก็พลันมีบัณฑิตอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาภายในห้องโถงอย่างปีติยินดี
“ท่านหมอหลิน เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านพ่อข้าปวดดวงตากับปวดศีรษะจนแทบระเบิด โชคดีที่ได้ตำรับยาจยาเว่ยปาเจิ้งส่านของท่าน ตอนนี้จึงไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านพ่อตั้งใจส่งข้ามาขอบคุณฝีมืออันสูงส่งของท่านหมอหลินที่ช่วยชีวิตท่านพ่อขอรับ”
ขณะที่กล่าวก็หยิบผ้าแพรผืนหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อก่อนกางออก บนผ้าผืนนั้นเขียนตัวอักษร ‘เซียนหมอหัตถ์เทวดา’ เอาไว้อย่างโดดเด่น
เถาเม่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้วมองหลินจื่อเฟิง “จยาเว่ยปาเจิ้งส่าน?”
“กันเฉ่า ผลจือจื่อ หญ้าเติงซินเฉ่า ซังไป๋ผี หญ้าเปียนชวี่ หวาสือ ตี้หวงตากแห้ง ใบตั้นจู๋เยี่ย ต้าหวง ม่ายตง มู่ทง ปริมาณเท่าๆ กัน บดเป็นผง เติมน้ำสองถ้วย ต้มจนเหลือหนึ่งถ้วย กรองกากออกแล้วดื่มตอนที่ยังอุ่น ให้ดื่มหลังกินอาหาร”
“ใช่แล้ว หลังท่านพ่อข้าดื่มลงไป ไม่เกินหนึ่งวันก็ค่อยๆ ทนความเจ็บปวดได้ วันรุ่งขึ้นก็หายดีเป็นปกติแล้วขอรับ” บัณฑิตผู้นั้นกล่าว
เถาเม่ยเอ๋อร์มองหลินจื่อเฟิงอย่างลึกซึ้ง ยามนี้เขาก้มหน้าหลุบตา เป็นใบหน้าถ่อมตนอย่างนึกไม่ถึง ที่ประหลาดที่สุดก็คือการปรุงยาตำรับนี้ถึงกับมีร่องรอยของสวีลี่คังอยู่หลายส่วน
“เมื่อสองวันก่อนบิดาของเขามาเยือน ข้าเห็นว่าเจ้าไม่อยู่ที่ร้านจึงกระทำเกินขอบเขตลองเขียนเทียบยาดูเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะได้ผลดี รักษาท่านผู้เฒ่าจนหาย”
ยิ่งหลินจื่อเฟิงเสแสร้งอ่อนน้อม เถาเม่ยเอ๋อร์ก็ยิ่งนึกสงสัยกว่าเดิม
แต่เมื่อเห็นเขากำลังมีความสุขกับการทำเช่นนี้ นางจึงไม่ได้เปิดโปงเขา เพียงแค่แสร้งทำเป็นเอ่ยถามอย่างไม่เจตนา “วันนั้นท่านผู้เฒ่ามีอาการเป็นเช่นไรบ้าง”
หลินจื่อเฟิงละล้าละลังไปสักพักก่อนกล่าวเสียงต่ำ “ท่านผู้เฒ่าผู้นั้นบอกว่าเขาปวดตาดุจเข็มแทง ซึ่งเกิดจากพิษร้อนจากหัวใจลุกโชนขึ้นมา ข้าจึงใช้วิธีฝังเข็มลนไฟที่จุดไท่หยาง รักษาจากภายนอก จากนั้นใช้ตำรับยาจยาเว่ยปาเจิ้งส่านสลายความร้อนภายใน…”
เขาไม่ทันกล่าวออกมาจนจบ หัวใจเถาเม่ยเอ๋อร์ก็หนักอึ้ง นางครุ่นคิดว่า วิชานี้เป็นวิชาที่สืบทอดกันมาของสกุลสวี ตำรับยาจยาเว่ยปาเจิ้งส่านยิ่งเป็นตำรับลับ เขารู้ได้อย่างไรกัน
ตอนที่หลินจื่อเฟิงมองสบตากับนาง สายตาถึงกับหลบเลี่ยงหนีไป
จู่ๆ บัณฑิตผู้นั้นพลันทุกข์ใจขึ้นมาแล้วกล่าว “หนนี้ที่ข้ามายังมีอีกเรื่องต้องการขอร้องท่านหมอหลินขอรับ”
หลินจื่อเฟิงไม่เปลี่ยนสีหน้า รับรองแขกด้วยท่าทางใจกว้างของหมอ ก่อนเอ่ยตอบ “เชิญกล่าว!”
“ข้าป่วยมีฝีที่ส้นเท้ามาหลายปี เจ็บปวดทรมานอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงอยากขอให้ท่านหมอหลินเขียนเทียบยาให้ขอรับ”
หลินจื่อเฟิงเลิกคิ้ว ก้มศีรษะลงกล่าว “เข้ามาใกล้ๆ ข้าอยากจะดูเสียหน่อย”
บัณฑิตผู้นั้นผงกศีรษะก่อนขยับเข้ามาใกล้
หลินจื่อเฟิง เจ้าเป็นคนเช่นไรกันแน่ มาเยือนสกุลสวีกับสกุลเถาเพราะเหตุใดกันแน่ เถาเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังมองดูเขาถูกบรรดาคนไข้ห้อมล้อมอยู่เงียบๆ ไม่อาจระงับจิตใจอันหดหู่ได้อีก นางจึงเดินกลับไปยังห้องโถงด้านหลังตามลำพัง
ที่สวนด้านหลัง ต้นไม้ใบหญ้าผลิใบเขียวขจี ไม่ถูกรบกวนด้วยความวุ่นวายจากโลกภายนอก ยังคงสง่าบริสุทธิ์ ไม่เปรอะเปื้อนฝุ่นผงเลยสักนิดเดียว
“พี่เถา” เสียงเรียกอ่อนหวานดังแว่วมา มองเห็นสือรุ่ยเซียงที่มีใบหน้าขวยเขินยืนอยู่ข้างเก้าอี้หินอย่างสดใส
เถาเม่ยเอ๋อร์ตกใจจนตัวสั่นน้อยๆ ไปทั้งร่าง
“ขออภัยพี่เถาที่รุ่ยเซียงบุกรุกเข้ามาในลานด้านหลังโดยไม่ได้รับเชิญ ทำให้พี่เถาตกใจแล้ว ขอให้พี่เถาโปรดลงโทษด้วย!”
“อ้อ เจ้าเกรงใจไปแล้ว วันนี้มาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือ”
“หากให้กล่าวว่าใต้หล้านี้ผู้ใดเข้าใจรุ่ยเซียงที่สุด ย่อมต้องเป็นพี่เถาแน่แล้ว รุ่ยเซียงมีเรื่องทุกข์ใจที่ยากจะกล่าวจริงๆ”
“เจ้าไม่สบายหรือ หากเป็นเรื่องอื่นข้าเกรงว่าจะไร้กำลัง มีเพียงเรื่องการรักษาที่พอจะช่วยเหลือได้ หากมีเรื่องทุกข์ใจใดก็บอกให้ข้าฟังเถิด”
“พี่เถา อาการป่วยของรุ่ยเซียงนี้แท้จริงแล้วเป็นอาการป่วยทางใจ…” ขณะที่นางกล่าว สีแดงระเรื่อก็แผ่ลามจากใบหน้าไปถึงลำคอและใบหู
“รุ่ยเซียง เจ้าต้องรู้ว่ายาดีอาจหามาได้ แต่กับโรคทางใจนั้นยากจะรักษา ไม่รู้ว่าข้าจะมีความสามารถหรือไม่” เถาเม่ยเอ๋อร์พลันรู้สึกกระวนกระวายใจ สตรีตรงหน้าผู้นี้ทำให้นางทำอะไรไม่ถูก
“รุ่ยเซียงมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอให้พี่เถาเป็นผู้ตัดสินใจ ยามนี้มีเพียงพี่เถาที่จะช่วยเหลือรุ่ยเซียงได้”
“อะไรหรือ”
เถาเม่ยเอ๋อร์เห็นว่าที่ชายกระโปรงของสือรุ่ยเซียงมีดินโคลนเปรอะเปื้อน อีกฝ่ายคงจะมารอนางอยู่นานแล้ว
“พี่เถา นับจากวันนั้นที่รุ่ยเซียงได้รับการช่วยเหลือหลังถูกพิษ รุ่ยเซียงก็มีความรู้สึกลึกซึ้ง…ให้กับพี่หลิน ร่างกายของรุ่ยเซียงเปิดเผยต่อหน้าพี่หลินหมดแล้ว นับจากครั้งนั้นเกรงว่าคงไม่อาจแต่งให้ผู้อื่นได้อีก พี่เถายินดีเป็นแม่สื่อให้รุ่ยเซียงหรือไม่”
น้ำเสียงของสือรุ่ยเซียงเบาลงเรื่อยๆ กระทั่งนางยกชายแขนเสื้อขึ้นบดบังใบหน้าแล้วยิ้มอย่างเขินอาย
“เอ๋?” เบื้องหน้าเถาเม่ยเอ๋อร์ดุจมีคมดาบจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ขยายเต็มแผ่นฟ้าแล้วพุ่งเข้ามาโจมตีในทันที ราวกับร่างกายทุกส่วนกำลังได้รับความเจ็บปวดจากการถูกแล่เนื้อเถือหนัง ทำให้นางไม่อาจทานทน
สือรุ่ยเซียงเห็นเถาเม่ยเอ๋อร์นิ่งอึ้งไร้วาจาจึงก้มหน้าลงทันที “พี่เถา รุ่ยเซียงรู้ว่าวาจาเช่นนี้นับว่าไร้ยางอาย ทว่าเรื่องมาถึงตอนนี้รุ่ยเซียงเองก็ไม่อาจสนใจอะไรได้มากแล้ว”
“เรื่องนี้…” เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าริมฝีปากตนเองชาหนึบ วาจาเอื้อนเอ่ยลำบากผิดปกติ “รุ่ยเซียง ยามนี้กำลังมีศึกสงคราม จะเหมาะสมในการพูดคุยเรื่องการแต่งงานได้อย่างไร”
“พี่เถารับรู้เรื่องราวเพียงด้านเดียว ท่านพ่อกล่าวไว้ว่าในช่วงเวลาศึกสงครามเช่นนี้ยิ่งต้องรู้จักรักษาตัว หากมีบุตรสาวก็ปรารถนาเพียงจะหาที่พึ่งพิงตลอดชีวิตให้ได้เท่านั้น ชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น เพียงผ่านไปวันต่อวัน อีกทั้งแม้วันนี้รุ่ยเซียงกับพี่เถายังสามารถสนทนากันได้อย่างสบายใจที่ตรงนี้ ทว่าผู้ใดเล่าจะรู้ ผ่านไปอีกไม่กี่วันรุ่ยเซียงกับพี่เถาจะเผชิญกับการแยกจากกันหรือไม่…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” เถาเม่ยเอ๋อร์พยายามตั้งสติ ตัดบทวาจาของอีกฝ่าย “เจ้าอย่าได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไป”
“พี่เถาไม่ทราบอะไร เมืองหลวงไร้กฎมณเฑียรบาลไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ได้ยินมาว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังคงเคาะปลาไม้นั่งขัดสมาธิสวดมนต์ ในหมู่ราษฎรต่างเล่าลือกันว่าท้องฟ้าของต้าเหลียงกำลังจะถล่มลงมา ล้วนต้องหาหนทางของตนเองในเร็ววัน”
“ไม่ใช่ว่ามีราชโองการเรียกกองหนุนมาแล้วหรอกหรือ”
“พี่เถา ท่านเชื่อว่าบรรดากองหนุนเหล่านั้นจะมาถึงเช่นกันหรือ” สือรุ่ยเซียงลุกขึ้นยืน ไม่ยิ้มแย้มพูดจาอีกต่อไป “ในเมืองต่างกำลังเล่าลือกันว่าองค์ชายแต่ละองค์ล้วนแต่คิดอยากนั่งบนบัลลังก์มังกร ความวุ่นวายเช่นนี้มิใช่ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับพวกเขาหรอกหรือ”
“แต่บรรดาองค์ชายเหล่านั้นจะแตกความสามัคคีจนไม่สนใจความชอบธรรมของแผ่นดิน ยินยอมถูกประณามว่าเป็นผู้เนรคุณจริงๆ หรือ”
“ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร เพื่อใต้หล้า ผลประโยชน์แค่นี้นับเป็นสิ่งใดได้ พี่เถาเมตตาเกินไป ลืมนึกถึงสันดานโลภของมนุษย์ที่ได้คืบจะเอาศอกไปเสียแล้ว”
“เรื่องนี้…”
“รุ่ยเซียงเป็นสตรีธรรมดา สนใจแต่กิจในครอบครัวตนเอง ไม่อาจสนใจเรื่องบ้านเมืองอะไรได้ไหว หากสามารถแต่งให้บุรุษที่พึงใจได้ นั่นต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ในฐานะสตรี ต่อให้มีความสุขได้เพียงวันเดียวกับบุคคลที่ตนรัก แม้ตายไปก็ยังเต็มใจ พี่เถา ท่านเห็นด้วยหรือไม่”
“เจ้าตัดสินใจแล้วจริงๆ หรือ” เถาเม่ยเอ๋อร์กัดฟันแล้วตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “ขอเพียงพี่หลินรับปาก ข้าจะต้องตัดสินใจให้แน่ เจ้า…”
“พี่เถา ท่านพ่อยังกล่าวว่าเมืองเจี้ยนคังแห่งนี้ประสบความวุ่นวายกะทันหัน จึงไม่ได้กักตุนอาหารเอาไว้มากพอ ข้าวสารภายในเมืองนี้เพียงพอให้กินครึ่งปีเท่านั้น ไม่รู้ว่ากองหนุนจะยกทัพมาเมื่อใด หากไม่อาจทนได้ถึงยามนั้น ผลลัพธ์ก็ไม่อาจคาดเดาได้ พวกเราที่ยังมีชีวิตตัวเป็นๆ ในวันนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องหิวตายแล้วกลายเป็นกองกระดูกขาวให้หมาป่ากลืนกินลงไปเมื่อใด”
เถาเม่ยเอ๋อร์ตั้งสติกล่าวต่อ “รุ่ยเซียง ปกติเจ้าดูบอบบาง นึกไม่ถึงว่าวันนี้การมองโลกกลับเปิดกว้างถึงเพียงนี้”
“พี่เถา ไม่ใช่ว่ารุ่ยเซียงมองการณ์ไกล แต่เป็นเพราะวันนี้ลูกธนูถูกรั้งอยู่บนสาย ไม่อาจไม่ปล่อยได้แล้ว ภายในเมืองมีบุรุษสตรีจำนวนมากจับคู่แต่งงานกันอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงชั่วคราว นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์สงบสยบการเคลื่อนไหว พี่เถาเห็นด้วยหรือไม่”
เถาเม่ยเอ๋อร์ตระหนักได้ว่าวาจาบีบคั้นผู้คนของสือรุ่ยเซียงนี้ได้ผ่านการใคร่ครวญมาแล้ว เป็นการมาโดยเตรียมพร้อมมาก่อน นางจึงถอนหายใจก่อนกล่าว “เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง รอประเดี๋ยวข้าจะไปถามความยินยอมของเขาแล้วมาบอกกับเจ้า”
สือรุ่ยเซียงผ่อนคลายลง กลายเป็นคนละคนกับผู้ที่มีท่าทีจริงจังเมื่อครู่นี้ “เช่นนั้นต้องขอขอบคุณพี่เถาแล้ว รุ่ยเซียงขอตัวก่อน หากมีข่าวคราวใดได้โปรดบอกรุ่ยเซียงด้วยนะเจ้าคะ”
กล่าวจบสือรุ่ยเซียงก็มองไปยังเงาร่างสีขาวที่กำลังยุ่งง่วนอย่างลุ่มหลงอีกคราหนึ่งก่อนจากไป
เถาเม่ยเอ๋อร์ไม่อาจทนรับแรงกดดันที่ทำให้อ่อนล้าไปทั้งกายใจได้อีก นางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หิน บรรดาสากบดยา เครื่องบดยาวางระเกะระกะอยู่ด้านข้าง กองถั่วดำและถั่วเหลืองที่ยังคัดแยกไม่เสร็จกระจายอยู่บนพื้น ภายในห้องด้านในมีเสียงกรนแผ่วเบาดังออกมา นางยิ้มขื่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
นางทอดสายตามองออกไปที่ห้องโถงด้านนอกอย่างเศร้าโศก เงาร่างเรียบง่ายนั้นยังคงเคลื่อนไหวไปมา นึกไม่ถึงว่าบุรุษภายใต้เสื้อคลุมโจรผู้นั้นจะเป็นหมอที่ช่วยเหลือผู้คน ในการทำชั่วตามอำเภอใจกลับยังมีจิตใจเมตตากรุณา
ธรรมะและอธรรมหลอมรวมอยู่ในร่างเดียว ที่สุดแล้วด้านไหนจึงจะเป็นตัวตนจริงๆ ของเขากันแน่
ใบหม่อนปลิดโปรยลงมาเต็มพื้น ตอนที่นางเก็บมันขึ้นมาก็พบว่าสายตาตนเองพร่าเลือน เส้นสายของใบหม่อนกลับเลือนหายไป
“เจ้าร้องไห้?” ไม่รู้ว่าใบหน้าของหลินจื่อเฟิงขยับเข้ามาประชิดตั้งแต่เมื่อใด
“มิใช่เสียหน่อย” เถาเม่ยเอ๋อร์หลบเลี่ยงสายตาของเขา “ก็แค่ฝุ่นผงเข้าตาเท่านั้น”
“ข้าจะไปเอายามาให้เจ้า”
“ไม่ต้องแล้ว พักผ่อนสักครู่ก็พอ คนไข้ผู้นั้นกลับไปแล้วหรือ” เถาเม่ยเอ๋อร์ปากไม่ตรงกับใจ ลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนล้า ไม่รู้เหตุใดตนเองจึงปวดใจเช่นนี้
หลินจื่อเฟิงไม่กล่าววาจา มองดูเถาเม่ยเอ๋อร์ดึงกิ่งไม้ที่รั้งอยู่กับอาภรณ์ออกเงียบๆ เห็นนางร่างกายโซเซก็ยิ่งรู้สึกปวดใจมากกว่าเดิม เขามองเห็นสือรุ่ยเซียงเดินอมยิ้มจากไปเงียบๆ จากที่ไกลๆ นานแล้ว ตระหนักดีว่าอีกฝ่ายมาที่นี่ด้วยเหตุใด ทว่ากลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ สตรีโง่งมตรงหน้าผู้นี้จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาละทิ้งทุกอย่างและมาที่นี่เพียงเพื่อนางเท่านั้น
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า เจ้ามีความเป็นมาเช่นไรกันแน่” เถาเม่ยเอ๋อร์กัดริมฝีปาก สาบานว่าหากเขาไม่กล่าวความจริง นางก็จะไม่สนใจเขาอีกต่อไป
เขาถอนหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนส่ายศีรษะกล่าว “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเลวร้ายจริงๆ หรือ”
“ร่วมมือกับโจร บุกรุกที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน แย่งภรรยาผู้อื่น ทำร้ายผู้คน ความสุขสงบของสกุลสวีและสกุลเถาทั้งสองสกุลล้วนพินาศลงด้วยน้ำมือเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคนดีอยู่อีกอย่างนั้นหรือ”
หากกล่าวว่านางไม่รู้สึกเกลียดชังบุรุษที่อยู่ตรงหน้า นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่มีวันเป็นไปได้เลย ทว่าในเบื้องลึกของหัวใจกลับมีการขัดขืนที่อธิบายไม่ถูกอยู่เสมอ ไม่เต็มใจยอมรับการกระทำของเขา แต่ถึงขั้นคิดอยากช่วยเขาชำระล้างความผิดที่มี
เถาเม่ยเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว เหตุใดเมื่อเขาอยู่ตรงหน้าจึงมักเสียกิริยาอยู่เสมอ
ใบหม่อนบอบบางที่อยู่ในมือนางมีน้ำสีเขียวไหลซึมออกมา ย้อมเปรอะเปื้อนไปตามร่องนิ้ว
“ข้าเคยกล่าวแล้วว่าขอเพียงเป็นเรื่องที่ถูกทำนองคลองธรรม ไม่ว่าเจ้าจะมีฐานะใดล้วนไม่สำคัญ บนโลกใบนี้ ขอเพียงไม่ทำเรื่องละอายต่อใจตนเองเป็นพอ”
ในหัวใจเขามีความวูบโหวงผุดขึ้นมาเป็นระลอก หากกล่าวถึงเรื่องเห็นแก่ตัวที่สุดที่เขาทำ นั่นก็คือการแย่งตัวเถาเม่ยเอ๋อร์มาไว้ข้างกายตนเอง แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาไม่อาจไม่ทำเช่นนี้ หากสายกว่านี้ความแค้นที่หยั่งรากลึกคงเป็นเช่นมารดาที่แม้วันตายก็ยังนำติดตัวไปด้วย เขาไม่ต้องการเดินซ้ำรอยเดิมของมารดา ในเมื่อเขารักเถาเม่ยเอ๋อร์ก็ย่อมต้องการจะอยู่เคียงข้างนางไปตลอดชีวิต ไม่พรากจากกัน
“เจ้าได้ทำสิ่งใดที่ละอายต่อใจตนเองบ้างหรือไม่” เถาเม่ยเอ๋อร์เผชิญหน้ากับเขากะทันหัน นัยน์ตาใสกระจ่างดุจลูกธนูน้ำแข็ง แทงทะลุเข้าไปถึงจิตวิญญาณเบื้องลึกของเขา
ชั่วพริบตานั้นเขาคล้ายถูกสั่นคลอน
“หากข้าบอกถึงภูมิหลังของข้า เจ้าจะไม่เกลียดข้าอีกต่อไปหรือ” นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายคมปลาบราวกับเหล็กกล้าที่เพิ่งออกมาจากเตาหลอม
เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกหวั่นไหว น้ำเสียงถึงกับสั่นสะท้านไปเล็กน้อย
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.