บทที่ 8
คาบเรียนของวิชาโทส่วนใหญ่จัดให้อยู่ช่วงกลางวันของวันเสาร์และอาทิตย์ เมื่อตอนเย็นวันศุกร์ลั่วจื่อดูซีรี่ส์อเมริกันถึงดึกดื่นจึงตื่นสาย เธอวิ่งหอบหายใจพุ่งเข้าไปในตึกเรียน กระเป๋าหนังสือกระเด้งขึ้นลงอยู่ตรงก้น ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นม้าแก่ๆ ที่ต่อให้ถูกเฆี่ยนก็วิ่งไม่ไป
ลั่วจื่อแอบเข้าไปทางประตูหลัง เธอปิดประตูอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะทำให้เกิดเสียงดังขึ้นมา
ยังดีที่ห้องนี้เป็นห้องเรียนขั้นบันไดที่ใหญ่มาก ถึงแม้อาจารย์สมัยนี้จะชินชากับการที่เด็กเข้าเรียนสายเลิกเรียนเร็ว ถึงขั้นตอนประกาศเช็กชื่อยังเว้นช่องว่างไว้สักระยะให้นักศึกษามีเวลามากพอที่จะส่งข้อความเรียกเพื่อนมา แต่เธอก็ยังรู้สึกลำบากใจอยู่ดี
ลั่วจื่อกดเก้าอี้พับลงเงียบๆ เธอนั่งลงตรงที่นั่งแถวสุดท้าย เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นเซิ่งไหวหนานนั่งอยู่ด้านหน้าตัวเองนี่เอง
ยังไม่ทันคิดถึงเรื่องอื่น เธอก็ได้กลิ่นผงซักฟอกยี่ห้อเอเรียลที่หอมสะอาดมากลอยฟุ้งมา ลั่วจื่อหัวเราะออกมาโดยไร้เสียง
สมัยมัธยมปลายเธอเคยเดินผ่านเซิ่งไหวหนาน เคยได้กลิ่นหอมประเภทนี้ หลังจากนั้นเธอก็เลยไปยืนอยู่หน้าชั้นวางผงซักฟอกในคาร์ฟูร์ หยิบกลิ่นหอมทุกชนิดของทุกยี่ห้อขึ้นมาแอบก้มลงไปดม เหมือนกับสุนัขตำรวจโรคจิตที่เพิ่งบำเพ็ญเพียรมาเป็นคน
ตอนหลังเธอก็ใช้แต่ผงซักฟอกยี่ห้อนี้มาซักผ้า แต่คนเราไม่สามารถได้กลิ่นหอมบนเสื้อผ้าตัวเอง กลิ่นหอมพวกนี้มีต้นกำเนิดได้แค่ที่เดียว แทรกซึมได้แค่ในตอนที่บังเอิญพบกัน ไม่ว่าเธอจะพยายามจงใจเอาเสื้อผ้าไปแช่ยังไงก็ไร้ความหมาย
ยกตัวอย่างเช่นในตอนนี้
ลั่วจื่อประหนึ่งแข็งเป็นหินในตอนที่มองท้ายทอยซึ่งก้มลงน้อยๆ ของเขา ที่แท้เรื่องราวก็ยังไม่จบลง ความสุขอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาขุมหนึ่งผุดขึ้นมาในใจเธอ
ไม่มีใครไม่หวังว่าพระเจ้าจะเข้าข้างตัวเอง เธอเองก็เหมือนกัน ตั้งแต่มัธยมปลายเป็นต้นมา ความบังเอิญทุกอย่างล้วนถูกเธอยกให้เป็นความหมายพิเศษบางอย่างได้
และในครั้งนี้ ลูกพลับผลใหญ่ที่ตกลงมาจากฟ้าก็เป็นเหมือนกับเสียงฆ้องในบทเพลง ‘ซิมโฟนีหมายเลข 5’ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
ตอนนี้เธอได้เจอเขาอีกครั้ง ในชั้นเรียนนี้ เธอยังมีโอกาสได้เจอเขาอีกหลายครั้ง
จู่ๆ ชั้นเรียนวิชาความรู้เบื้องต้นทางกฎหมายวิชานี้ก็กลายเป็นสิ่งมีความหมายมากขึ้นมาทันที
ผู้ชายที่อยู่ข้างเซิ่งไหวหนานดูเหมือนจะเป็นคนที่วันนั้นวิ่งหนีอย่างลนลานไปจากหน้าร้านกาแฟ ใบหน้าด้านข้างของเขาคมสัน เป็นคนผิวคล้ำ เวลายิ้มแล้วดูอบอุ่นมาก
“ทำไมหนังสือเรียนวิชานี้แม่งหนาขนาดนี้วะ เมื่อวานตอนฉันไปซื้อที่ศูนย์หนังสือถึงได้รู้ตัวว่านี่มันไม่ถูกต้อง สอบปลายภาคให้ปิดหนังสือสอบ แบบนี้ไม่ใช่ว่าต้องท่องกันจนกระอักเลือดหรือไง!” ชายหนุ่มร้องโวยวายออกมา ในห้องเรียนที่เสียงดังแบบนี้จึงฟังไม่ค่อยชัดนัก
เซิ่งไหวหนานไม่ได้ตอบอะไร
ชายหนุ่มคนนั้นยังคงบ่นต่อด้วยความแค้นเคือง ก่อนเขาจะยื่นมือไปรัดคอเซิ่งไหวหนานกะทันหันพร้อมเอ่ย“นายเลิกเล่นซะทีได้ไหมเนี่ย! เกมอะไรอีกล่ะ”
เสียงของเซิ่งไหวหนานเพราะมาก น้ำเสียงนั้นฟังดูสบายๆ และห้าวกว่าเวลาคุยกับผู้หญิงอยู่บ้าง
“ ‘Apollo Justice: Ace Attorney’ ตอน ม.ปลาย เล่นไปแค่สามภาคเลยระลึกความหลังสักหน่อย”
“ระลึกบ้าอะไรล่ะ นายได้ฟังฉันพูดบ้างไหมเนี่ย!” ชายหนุ่มยังคงรัดคอเขาโยกไปโยกมา ในตอนนั้นข้อศอกของเขาขยับไปด้านหลังเล็กน้อยจึงชนแก้วน้ำของลั่วจื่อที่อยู่ด้านหลังล้ม ยังดีที่บนโต๊ะไม่ได้วางหนังสือเอาไว้ มีแค่กระดาษทดไม่กี่แผ่นซึ่งเพิ่งจะหยิบออกมาจากกระเป๋าหนังสือ แต่ว่า…ตัวเธอค่อนข้างแย่หน่อย น้ำร้อนชงกาแฟที่เพิ่งกดตอนเดินเข้ามานั้นหกเลอะไปทั้งตัว
เสื้อผ้าไม่สำคัญ ที่สำคัญคือมันร้อนมาก
เธอสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ร้องเสียงดัง ดึงดูดสายตาคนรอบข้างส่วนใหญ่ให้หันมองมา
ชายหนุ่มคนนั้นช็อกไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่คำว่า ‘ขอโทษ’ ยังพูดไม่ออก แค่หันหน้ามามองลั่วจื่อพร้อมอ้าปากกว้าง ขณะที่เธอกำลังรีบค้นกระเป๋าหนังสือ ที่แถวหน้าก็มีมือยื่นกระดาษทิชชูซองหนึ่งมาให้กะทันหัน
เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นว่าเป็นเซิ่งไหวหนาน เขากำลังถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ขอโทษด้วย”
ลั่วจื่อยิ้มกว้าง เธอรับกระดาษทิชชูมาพร้อมเอ่ยขอบคุณ หลังเช็ดเสื้อผ้าแล้วก็ใช้กระดาษทิชชูซับ ‘แอ่งน้ำ’ บนโต๊ะต่อ
หลังจัดการเกือบเสร็จ เธอถึงได้มองดูเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินอ่อนที่ติดขุยทิชชูจำนวนมากของตัวเองอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สภาพของมันดูไม่ได้อย่างกับแผนที่โลก ลั่วจื่อเงยหน้ามองผู้ชายที่ ‘กลายเป็นหิน’ คนนั้นก่อนยกนิ้วขึ้นโบกไปมาตรงหน้าเขาพร้อมพูดว่า “ควรจะได้สติกลับมาได้แล้ว ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ร้องไห้บอกให้นายชดใช้หรอก”
ในที่สุดชายหนุ่มคนนั้นก็ได้สติกลับมา เขารีบร้อนเอ่ย “ขอ…ขอโทษนะ”
บางทีอาจยังเหลือปมในใจจากครั้งก่อนที่เธอทิ้งไว้ให้เขา คราวนี้เลยกลัวจนติดอ่างไปแล้ว
เธอรู้สึกจนปัญญาเล็กๆ ได้แต่พยายามโบกมือบอกเขา “ไม่เป็นไรๆ จริงๆ นะ”
เซิ่งไหวหนานขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าดูซับซ้อน ผ่านไปนานถึงได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ “เธอไม่เจ็บเหรอ น้ำร้อนขนาดนั้น”
“อ่า ก็นิดหน่อย” เธอยังคงยิ้ม “แต่ไม่เป็นไร ฉันผิวหนา เรียนต่อกันเถอะ”
ตอนที่กลับไปนั่ง ลั่วจื่อแอบลูบหน้าท้องกับต้นขาตัวเองเบาๆ ความจริงแล้วเธอยังเจ็บอยู่ แต่ว่าตอนที่เธอกำลังจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับไป คนที่นั่งข้างๆ ก็ช่วยกรีดร้องให้เธอแทนไปแล้ว
ความจริงแบบนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องเปลืองสมองคิดว่าจะทักทายเขายังไงดี
อาจารย์ที่บรรยายอยู่บนเวทียังคงพูดถึงโครงสร้างหลักสูตรของวิชากับความจำเป็นในการเรียน แต่คำพูดทุกอย่างล้วนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่มีความหมายใดๆ ต่อเธอ
เธอมองเหม่อไปบนหน้าจอโปรเจ็กเตอร์ที่กระดานดำ มุมปากค่อยๆ หยักยกเป็นรอยยิ้ม ทั้งดูเจ้าเล่ห์และอ่อนโยน แม้แต่สีหน้ายังดูอ่อนหวาน
ปลายหางตาสัมผัสได้ถึงสายตาของคนอื่น ที่แท้…เซิ่งไหวหนานก็กำลังเอามือข้างเดียวเท้าคางบนโต๊ะพร้อมขมวดคิ้วเอียงหน้าหันมามองเธอ
ลั่วจื่อรู้สึกเขินเล็กน้อย เธอเอียงศีรษะ คิดจะถามว่าเขาเป็นอะไร ทว่ากลับเห็นเขายิ้มเป็นเชิงขอโทษ จากนั้นก็หันหน้ากลับไปทันที
จางหมิงรุ่ยเห็นเซิ่งไหวหนานดูเหม่อลอยจึงหันกลับไปมองบ้างเช่นกัน
“เฮ้ ตั้งสติหน่อย!” เขาโน้มตัวไปพูดใส่หูของเซิ่งไหวหนาน
เซิ่งไหวหนานเหลือบมองเขาอย่างเฉื่อยชา ก่อนก้มหน้าพลิกเปิดหนังสือเรียนดูสารบัญ
“ถูกใจเข้าเหรอ ฉันว่าไม่เลว ดูดีทั้งภายในและภายนอก เข้าถึงง่าย นิสัยก็ต้องดีมากแน่ๆ”
“ไสหัวไป สองวันมานี้นายดูโฆษณาเยอะเกินไปแล้วมั้ง นายคิดว่ากำลังช่วยลูกพี่ประกอบคอมพิวเตอร์อยู่หรือไง” เซิ่งไหวหนานเหยียดยิ้มอย่างหน้ายิ้มตาไม่ยิ้ม
“เลิกเสแสร้งกับเพื่อนได้แล้ว ไม่งั้นนายมองอะไรกันล่ะ”
เซิ่งไหวหนานอึ้งไป ไม่ได้พูดอะไรอีก
ลั่วจื่อรู้เหตุผลที่เซิ่งไหวหนานมีท่าทีอึกอักอย่างรวดเร็ว
อาจารย์เพิ่งประกาศให้พักสิบนาที เขาก็หันมาถามทันทีว่า “เธอไม่เจ็บจริงๆ เหรอ”
ลั่วจื่อโมโหเขาจนขำออกมาแล้ว “เหมือนนายจะอยากให้ฉันเจ็บมากเลยนะ”
คนก่อเหตุกลับเข้ามาร่วมวงด้วยเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับตัวเอง จางหมิงรุ่ยยิ้มแย้มเอ่ย “คนสวย เธอไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก เขามีความหลังกับน้ำร้อน ถ้าเกิดฉันจำไม่ผิดนะ ครั้งแรกที่เขาเจอรักแท้ก็เป็นเพราะว่าเขาทำน้ำร้อนหกใส่ตัวผู้หญิงคนนั้นโดยไม่ตั้งใจ ทำเอาคนเขาร้อนลวกจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถูกด่าไม่เหลือชิ้นดี แต่คุณชายของพวกเราดันเป็นพวกมาโซคิสม์ แม่น้ำรั่วสามพันลี้ รอสาดแค่จอกเดียว”
ครั้งนี้เซิ่งไหวหนานไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบชัดเจนเหมือนตอนที่อยู่ร้านกาแฟ แค่มีท่าทีชินชากับการที่เรื่องเก่าๆ ถูกยกขึ้นมาพูด ราวกับคาดเดาได้นานแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องเปิดโปงออกมา เขาจึงแค่ยิ้มบางๆ ไม่ปฏิเสธ แล้วก็ไม่โกรธอะไร
ลั่วจื่ออึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพูดกับผู้ชายคนนั้นทันที “นายอยากจะบอกอะไรฉันเป็นนัยๆ หรือเปล่า นายเป็นคนทำน้ำร้อนหกใส่ฉัน ตอนนี้ฉันควรจะด่านายไม่เหลือชิ้นดีใช่ไหม ไม่แน่ว่าระหว่างพวกเราอาจจะมีวาสนาต่อกันก็ได้!”
ชายหนุ่มอับอาย หน้าแดงก่ำ ส่วนเซิ่งไหวหนานฟุบตัวลงไปหัวเราะกับโต๊ะจนลุกไม่ขึ้นแล้ว
“นายไม่ได้ถูกใจเธอจริงๆ เหรอ” อาจารย์เริ่มสอนต่ออีกครั้ง จางหมิงรุ่ยแกล้งทำเป็นถามเซิ่งไหวหนานไปอย่างนั้น ทว่ากลับไม่ได้ยิ้มอยู่
“นายเอาแต่ถามแบบนี้ไปทำไมกัน” เซิ่งไหวหนานก้มหน้าจดโน้ตอย่างตั้งใจ
ปลายปากกาของจางหมิงรุ่ยชะงักไปเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองไปที่แท่นบรรยาย ก่อนปิดปลอกปากกา จากนั้นก็ทำทีถามแบบไม่ใส่ใจ “พวกนายเป็นเพื่อน ม.ปลาย โรงเรียนเดียวกัน เธอชื่ออะไรเหรอ”
เซิ่งไหวหนานเหลือบมองอีกฝ่ายเร็วๆ ไปหนหนึ่ง
“ต้องการให้ฉันแนะนำอะไหล่กับหมายเลขเครื่อง แล้วก็ประเมินราคาด้วยไหม” เขายิ้มกริ่มมองจางหมิงรุ่ยที่หน้าแดงขึ้นมา
อาการหน้าแดงของจางหมิงรุ่ยไม่ค่อยมีใครมองออก เพราะเขาผิวคล้ำเกินไป
“เด็กคณะเศรษฐศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ชื่อลั่วจื่อ ตัวอักษรลั่วมาจากชื่อเมืองโบราณลั่วเฉิง ตัวอักษรจื่อ เอ่อ…มาจากประโยค ‘ต้นส้มที่ไหวหนานย้ายไปเหนือเป็นต้นจื่อ’ น่าจะจื่อตัวนี้…คิดว่านะ” หลังเซิ่งไหวหนานเอ่ยอธิบายชื่อของลั่วจื่ออย่างเกินความจำเป็นเสร็จก็ชะงักไปเล็กน้อย “ซ้ำยังเป็นดาวโรงเรียนสมัย ม.ปลาย ของพวกเราด้วย อย่างน้อยก็เป็นดาวโรงเรียนในการจัดอันดับรวมๆ แหละ สวย เก่ง นิสัยดี ได้ยินว่ายังโสด ดูจากความเป็นไปได้ นายน่าจะมีหวัง” จางหมิงรุ่ยฝืนยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้ต่อปากต่อคำอีก
“เฮ้ ทำไมไม่พูดอะไรแล้วล่ะ กำลังวางแผนอยู่เหรอ” เซิ่งไหวหนานถามยิ้มๆ
จางหมิงรุ่ยนิ่งไม่ตอบอะไร นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเซิ่งไหวหนานพูดมากแบบนี้กับตัวเอง ทั้งยังพูดหยอกเย้าไม่หยุด แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรตัวเขาก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมาเท่านั้น
เซิ่งไหวหนานเองก็ไม่พูดอะไรอีก ทั้งสองคนจดเลกเชอร์กันไปเงียบๆ
จางหมิงรุ่ยไม่ใช่ผู้ชายห้าวๆ ที่หยาบกระด้างเกินไป เขาได้ยินอย่างชัดเจนว่ามีบางอย่างค่อยๆ ตายจากไปท่ามกลางความเงียบของพวกเขาทั้งคู่
หลังเลิกเรียน ตอนที่ลั่วจื่อกำลังเก็บกระเป๋าอยู่ก็เห็นผู้ชายที่ทำน้ำหกใส่เธอหันหน้ามาหา
“เดี๋ยวฉันเลี้ยงไอศกรีมเธอแทนการชดใช้”
ลั่วจื่อประหลาดใจ เธอเห็นว่าบนใบหน้าของเซิ่งไหวหนานเองก็มีความประหลาดใจแบบเดียวกัน แต่มันปรากฏขึ้นแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น จากนั้นเขาก็สะพายกระเป๋าขึ้นบ่า กะพริบตาปริบๆ ให้เธอแล้วกระซิบข้างหูจางหมิงรุ่ยด้วยเสียงไม่ดังไม่เบาว่า “อย่าทำให้เพื่อนเสียหน้าล่ะ” ก่อนชิ่งไปอย่างรวดเร็ว
“ฉันชื่อจางหมิงรุ่ย” ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงแดงอยู่ เขามีผิวคล้ำ เครื่องหน้าดูสบายตา มองแล้วก็ชวนให้คนชื่นชอบไม่น้อย
ลั่วจื่อใช้เวลาหลายวินาทีทำความเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ ก่อนถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าเพื่อเสื้อตัวนี้กับกาแฟแก้วนั้น งั้นฉันก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องชดใช้ ฉันไม่ถือสา ส่วนถ้าเป็นเพราะว่าทำน้ำหกใส่…”
เขาหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
“ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งไม่จำเป็นเลย” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงล้อเล่น “ตอน ม.ปลาย ฉันกับเซิ่งไหวหนานไม่ได้สนิทกัน แต่เคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง จุดเริ่มต้นความรักของเขากับผู้หญิงคนนั้นน่าสนใจมาก ไม่ยึดติดกับกรอบเก่าๆ แต่บทสรุปสุดท้ายก็ยังเลิกรากัน การมีจุดเริ่มต้นแบบเดียวกันอาจจะไม่เป็นมงคล ฉันว่าระหว่างพวกเราก็ให้มันแล้วไปเถอะ”
ยิ้มส่วนยิ้ม ความห่างเหินแสดงชัดอยู่ในดวงตา ลั่วจื่อเชื่อว่าเขาย่อมมองเห็น
“ฮ่า ไม่เป็นไรๆ เธออย่าเข้าใจผิดสิ” ชายหนุ่มดูอับอายมาก ลั่วจื่อเห็นแล้วรู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่อยากให้เรื่องราวพัฒนาไปผิดเพี้ยนกว่านี้ ควรพูดให้ชัดเจนตั้งแต่แรกจะดีกว่า
มิหนำซ้ำเซิ่งไหวหนานยังเพิ่งเดินจากไปด้วยท่าทางเหมือนคนเป็นพ่อสื่อ เธอเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดใจจริงๆ
“เธอเป็นผู้หญิงที่ฉันเจอวันนั้นใช่ไหม ปากยังร้ายกาจเหมือนเดิมเลย เมื่อกี้เซิ่งไหวหนานบอกฉันว่าเธอเป็นดาวโรงเรียนตอน ม.ปลาย ของเขา ทั้งสวยทั้งเก่ง สมคำเล่าลือๆ”
ลั่วจื่อรู้ว่าคำพูดพวกนี้เป็นแค่คำอธิบายที่เซิ่งไหวหนานพูดให้จางหมิงรุ่ยฟังเท่านั้น
“นายถูกหลอกแล้ว ไม่ใช่ฉัน”
จางหมิงรุ่ยอึ้งไป “หา?”
“ดาวโรงเรียนในปีนั้นถูกเขาสาดน้ำร้อนใส่” เธอไม่อยากพูดต่อจึงหยิบกระเป๋าขึ้นพร้อมเอ่ยว่า “ไว้เจอกัน” แล้วเดินไปทางประตูหลังทันที
เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกที่ฟังดูผิดหวังมากดังมาจากด้านหลัง
“ลั่วจื่อ…ใช่ไหม”
เธอหันหน้าไปมองจางหมิงรุ่ย “ใช่ เซิ่งไหวหนานบอกนายเหรอ”
“เธอชอบเซิ่งไหวหนานใช่ไหม” จางหมิงรุ่ยตามองโต๊ะ ไม่ได้มองเธออยู่
ช่วงนี้เธอโดนผีอำหรือไงกัน ทำไมมีแต่คนมาถามว่าเธอชอบเซิ่งไหวหนานใช่ไหม ซ้ำยังเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันสักนิดทั้งนั้นด้วย
“นายรู้จักหยุดแต่พอดีจะดีที่สุด” ลั่วจื่อไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ยอมรับเช่นกัน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายถูกตัวเองตอกกลับไปจนหน้าแดง เธอก็ทอดเสียงอ่อนลง “นายอย่าเข้าใจผิด ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่คุยกับคนหล่อจะกำลังพยายามตีสนิทอีกฝ่าย”
ถึงแม้เธอจะใช่จริงๆ ก็ตาม
“เธอจะต้องชอบเซิ่งไหวหนานเหมือนกันแน่ๆ” จางหมิงรุ่ยเหมือนคนโดนเล่นของอย่างไรอย่างนั้น
“เหมือนกัน?” ลั่วจื่อได้ยินแล้วอึ้งไป แอบสัมผัสอะไรบางอย่างได้จากสีหน้าของเขา ลั่วจื่อยิ้มออกมา “จางหมิงรุ่ย…นายเคยชอบผู้หญิงคนหนึ่งแต่ว่าเธอกลับชอบเซิ่งไหวหนานใช่ไหม”
จางหมิงรุ่ยหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ปากเขาขยับอ้าทว่าพูดไม่ออก แค่ก้มหน้าลงเบี่ยงหน้าหนี
ลั่วจื่อพูดไม่ออก แม้แต่โกหกอะไรออกมาปิดบังสักหน่อยเขายังทำไม่ได้ ช่างไม่รู้ว่าจะให้คนพูดอะไรดีเลยจริงๆ
คนรอบข้างเดินหายไปกันหมดแล้ว เหลือแค่พวกเขาสองคนยืนโง่ๆ อยู่ตรงนั้น ลั่วจื่อใคร่ครวญดูแล้วสุดท้ายก็ยังเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายพลางเอ่ยอย่างแฝงความรู้สึกผิดเล็กๆ “เลี้ยงไอศกรีมฉันเถอะ ถือซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ขอโทษนะ”
จางหมิงรุ่ยได้สติ ก่อนหัวเราะอย่างโง่งมออกมาทันควัน “ได้เลย”
ลั่วจื่อยอมรับว่าการที่จางหมิงรุ่ยเปลี่ยนความคิดได้ง่ายๆ แบบนี้นับเป็นคนน่ารักมากคนหนึ่งจริงๆ
หลังออกจากประตูมหาวิทยาลัยมาไม่ไกลก็จะเห็นร้านแดรี่ควีนกับร้านฮาเก้นดาสส์ตั้งอยู่ข้างกัน จางหมิงรุ่ยยืนลังเลอยู่นาน ขณะที่ลั่วจื่อเดินนำเข้าร้านแดรี่ควีนไปก่อนแล้ว
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทสนใจของนอกกายแบบนั้น!” เขาตะโกนยิ้มๆ ตามมาจากข้างหลัง
พวกเขาทั้งคู่ต่างสั่ง ‘บลิซซาร์ดชาเขียวอัลมอนด์’ พนักงานดูเหมือนจะเป็นเด็กใหม่ ในตอนที่ทำการแสดง ‘คว่ำไม่หก’ ให้ลูกค้าที่สั่งบลิซซาร์ดแต่ละคนดู สีหน้ากับท่าทางดูหวาดระแวงมากๆ ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดโดยสิ้นเชิง
ลั่วจื่อตักไอศกรีมกินไปคำโต
“ตอนชวนเธอเมื่อกี้ฉันออกจะละลาบละล้วงเกินไปจริงๆ ขอโทษนะ” จางหมิงรุ่ยเอ่ยขึ้นมา
“แต่ฉันก็มาแล้วอยู่ดี” เธอยิ้ม
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องวิชากฎหมายเมื่อครู่นี้ ลั่วจื่อใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนถามเขา “ทำไมถึงเลือกกฎหมายเป็นวิชาโทล่ะ…เด็กคณะวิทย์อย่างพวกนายไม่ได้เลือกคณิตศาสตร์กันเป็นส่วนใหญ่หรอกเหรอ”
“พวกเราไม่ได้อยากเรียนวิชาโทกันแต่แรกแล้วนี่นา ที่สำคัญคือเกรดเฉลี่ยกับ GRE ต่างหาก ที่มาเลือกวิชากฎหมายความจริงเป็นเพราะวันนั้นตอนเดินผ่านป้ายประกาศ จู่ๆ เซิ่งไหวหนานก็พูดขึ้นว่าอยากเห็นว่าเด็กคณะศิลป์ใช้ชีวิตแบบไหนก็เลยลากฉันมาสมัครด้วย ถึงยังไงถ้าเรียนๆ ไปแล้วไม่ไหวอยากจะยอมแพ้ ก็เอาคะแนนที่มีอยู่ไปเปลี่ยนเป็นวิชาเลือกเสรีแทนได้ ไม่ได้เสียหายอะไร”
อยากเห็นว่าเด็กคณะศิลป์ใช้ชีวิตแบบไหน ลั่วจื่อยิ้มแล้วตอบกลับไป “อ้อ แบบนี้นี่เอง”
ชั่วขณะหนึ่งทั้งสองคนต่างไม่มีอะไรให้พูดกันแล้ว หลังเงียบไปสักพักจางหมิงรุ่ยก็เอ่ยขึ้นมาช้าๆ “เธอเดาถูกแล้ว ผู้หญิงที่ฉันชอบตีสนิทกับฉันเพราะเซิ่งไหวหนาน ทำเอาฉันหลงดีใจไปเปล่าๆ ดูโง่มาก”
“นายไม่จำเป็นต้องเล่าให้ฉันฟังหรอก” เธอยิ้มอ่อนโยนขณะเอ่ย
“เธอคิดซะว่าฟังฉันบ่นละกัน ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน” สีหน้าของจางหมิงรุ่ยแอบดูไม่ได้อยู่บ้าง
“งั้นทำไมจะต้องเล่าให้ฉันฟังล่ะ”
“เรื่องนั้นสำคัญมากเหรอ”
ลั่วจื่อยิ้มเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ซักไซ้ต่อ แค่ใช้ช้อนตักไอศกรีมกินต่อไป
“เรื่องนี้ฉันไม่โทษเขา ดังนั้นฉันเลยไม่อยากบอกใคร ไม่อยากให้เขาลำบากใจ เซิ่งไหวหนานเองก็ปฏิเสธไปอย่างชัดเจน ไม่มีให้ความหวัง อีกอย่างผู้หญิงคนนั้นก็…คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปจริงๆ” จางหมิงรุ่ยเอ่ยคำสุดท้ายออกมาอย่างทนไม่ได้อยู่บ้าง “แล้วเธอก็หลอกใช้ฉันจริงๆ แต่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเซิ่งไหวหนาน”
ลั่วจื่อฟังมาถึงตรงนี้หัวใจก็กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เธอหันไปมองเขาอย่างตั้งใจจริงๆ เป็นครั้งแรก
“จางหมิงรุ่ย ฉันคิดว่า…นายเป็นคนที่ไม่เลวเลย”
“หืม?”
“นายไม่ได้พาลโกรธเขา ทั้งยังเป็นเพื่อนที่ดีกับเซิ่งไหวหนานได้ นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ ถึงแม้ภายนอกดูแล้วเซิ่งไหวหนานจะไม่ผิด แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น บางทีนับจากนั้นก็คงจะห่างเหินไปจากเขาแล้ว ในเมื่อไม่ว่ายังไงผิดหรือไม่ผิดก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก เรื่องศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญที่สุดจึงยอมไม่ได้ แต่นายยังเป็นเพื่อนกับเขาต่อไป ซ้ำยังไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น ดังนั้นฉันเลยบอกว่านายเป็นคนรู้เหตุรู้ผล เป็นคนใจกว้างจริงๆ” ลั่วจื่อเอ่ยกับเขาอย่างจริงใจ
“จริงเหรอ ฉันดีขนาดนั้นที่ไหนกัน” จางหมิงรุ่ยลูบท้ายทอยเขินๆ
“แค่เรื่องนี้” เธอชี้ไปที่บลิซซาร์ดในมือ “นายก็เป็นคนดีมากแล้ว” ก่อนยิ้มหวานออกมา
“ความจริงไม่ได้ดีขนาดที่เธอพูดจริงๆ” จางหมิงรุ่ยยิ้มขื่นเล็กน้อย “ฉันนัดเธอต่อหน้าเขา แต่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ปรึกษากับเขามาก่อน บางทีคงเพราะฉันกลัวล่ะมั้ง”
ลั่วจื่ออึ้งไป งั้นตกลงแล้วนายนัดฉันทำไมกันแน่ เพื่อโชว์พาวใส่เขา? แต่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งนั้น
“มีผู้หญิงมาจีบเขาเยอะมาก แต่เขาก็ไม่ได้ตอบรับใครทั้งนั้น พวกเพื่อนในหอพักของพวกเราต่างรู้สึกว่าเขาน่าจะยังลืมแฟนเก่าไม่ได้ ถึงแม้ภายนอกจะดูไม่ออก เวลาเรียนก็เรียน เล่นเกมก็เล่น ไม่ว่าชมรมหรือสภานักเรียนก็ทำได้ดี แต่ว่านะ ฉันมักรู้สึกว่า…” จางหมิงรุ่ยลังเลอยู่นาน สีหน้าแสดงความกังวลว่าลั่วจื่อจะต่อว่าที่เขาวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
“เขาจะต้องดีขึ้นแน่ แค่ต้องการเวลาที่มากพอ คนนอกอย่างพวกเราไม่ต้องไปกลุ้มใจแทนจะดีกว่า” เธอเอ่ยขัดเขาทันที
เมื่อจางหมิงรุ่ยได้ยินน้ำเสียงที่เหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเองของลั่วจื่อ เขาก็ประหลาดใจ
“อืม หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากพลางตอบ
จางหมิงรุ่ยพาลั่วจื่อไปส่งถึงหอพัก ก่อนแยกกันก็เขาโพล่งออกมาประโยคหนึ่งอย่างกะทันหัน
“ขอโทษนะ คำพูดหลายๆ อย่างในวันนี้ที่ฉันพูดไปฟังแล้วไร้สมองอยู่บ้างจริงๆ”
ลั่วจื่อแค่ยิ้ม เธอไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
“ความจริง…เธออย่าถือสานะ แต่ฉันคิดว่าพวกเธอเหมาะกันดี” จางหมิงรุ่ยมองลั่วจื่ออย่างหยั่งเชิง
ลั่วจื่อกะพริบตาปริบๆ ก่อนหัวเราะออกมา “นายกำลังชมฉันอยู่หรือไง”
จางหมิงรุ่ยมองดูแผ่นหลังบอบบางของลั่วจื่อลับหายไปจากหัวมุม ทำไมเขาถึงต้องขอเลี้ยงไอศกรีมลั่วจื่อ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่
ทันใดนั้นก็มีข้อความหนึ่งส่งเข้ามา
‘ขออวยพรล่วงหน้าให้โชคดีมีชัย’
จางหมิงรุ่ยรู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย เซิ่งไหวหนานมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน เวลาพูดถึงสาวๆ ตอนอยู่ในหอพัก เขาก็จะเป็นคนที่โพล่งคำพูดสรุปประเด็นทุกอย่างอย่างยอดเยี่ยมออกมา ทำให้ทุกคนรู้สึกนับถือกับความเข้าใจทะลุปรุโปร่งของเขา ทว่าตอนที่พวกเขารวมตัวกันช่วยเจ้าหก จีบสาว เซิ่งไหวหนานกลับทำแค่ยืนพิงหน้าต่างกินมันฝรั่งแผ่นอย่างเกียจคร้าน ไม่เคยเข้าร่วมด้วยเลยสักครั้ง โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์รักสามเส้าที่น่ากระอักกระอ่วนครั้งนั้น เซิ่งไหวหนานก็ยิ่งสนใจเรื่องความรักของคนอื่นน้อยมาก
วันนี้นับว่าเขามีความกระตือรือร้นอย่างหาได้ยากจริงๆ
จางหมิงรุ่ยนึกถึงท่าทีเสแสร้งกับการแนะนำอย่างกระตือรือร้นที่เซิ่งไหวหนานมีต่อลั่วจื่อ ทั้งยังมีเสียงพูดหยอกล้อเขาไม่หยุด หรืออาจเป็นเพราะบทเรียนจากครั้งก่อน ครั้งนี้เซิ่งไหวหนานเลยร้อนใจผลักลั่วจื่อมาให้ตนเอง จากนั้นก็ถือว่าชดใช้กันแล้ว หรือว่ายังมีสาเหตุอื่นอยู่อีก
ในชั้นเรียนตอนนั้นหลังจากที่เราทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบไป จู่ๆ จางหมิงรุ่ยก็หวังให้เซิ่งไหวหนานยังพูดต่อไปจะดีกว่า
เหมือนกับว่าพอเขาหยุดพูด ความเงียบเหล่านั้นก็จะกลืนกินสายสัมพันธ์นี้ไปจนหมด
มิตรภาพสามารถเฉาตายได้หรือเปล่านะ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กรกฎาคม 64)
Comments
comments
No tags for this post.