X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหมอหญิงพลิกธรรมเนียม

ทดลองอ่าน หมอหญิงพลิกธรรมเนียม บทที่ 11-บทที่ 12

หน้าที่แล้ว1 of 19

บทที่สิบเอ็ด

 “พอได้ยินเรื่องฐานะของแม่นางเชี่ยนอวิ๋น สะใภ้สามประหนึ่งจับจุดอ่อนที่ใหญ่เทียมฟ้าได้ เมื่อวานจึงฉวยโอกาสตอนคุณชายสามตกน้ำไม่ได้สติจับนางมัดไว้ ทรมานเสียจนไม่เป็นผู้เป็นคน แม่นางเชี่ยนอวิ๋นผู้นั้นก็รู้ว่าเมื่อใดที่ยอมรับแล้ว คุณชายสามก็ช่วยนางไม่ได้ จึงกัดฟันทน ภายหลังสะใภ้สามเหนื่อยแล้ว จึงขังนางไว้ในห้องเก็บฟืน เดิมตั้งใจว่าวันนี้จะสอบปากคำด้วยการทรมานต่อ คิดไม่ถึงว่าแม่นางเชี่ยนอวิ๋นจะฉวยโอกาสตอนสะใภ้สามไปคารวะพ่อแม่สามี ติดสินบนหญิงรับใช้สูงวัยที่เฝ้าอยู่ หลังจากคุณชายสามทราบเรื่องก็เดือดดาลขึ้นมาทันที สะใภ้สามกลับมาจากคารวะผู้ใหญ่ เขาก็ลงมือลงไม้ตบตี สะใภ้สามเดิมก็ร้ายกาจไม่ฟังเหตุผลอยู่แล้ว มาถูกตบตี ไหนเลยจะยินยอม ร้องตะโกนอย่างไม่คิดชีวิต บอกคุณชายผู้องอาจผึ่งผายของจวนกั๋วกงแต่งหญิงนางโลมที่พันคนขี่หมื่นคนคร่อมกลับมา นับเป็นอะไรได้”

พูดพลางสี่จวี๋ก็หันกลับไปมองเรือนชิ่นย่วน “กำลังโวยวายจะกลับบ้านเดิม ทั้งจะรายงานนายหญิงใหญ่ และจะพบประมุขตระกูล ไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี”

“สวรรค์! ครานี้เอาไม้ไปแหย่รังแตนเข้าจริงๆ แล้ว!”

ได้ยินแล้วป้าสวี่อุทานออกมาด้วยความตื่นตะลึง สี่จวี๋พยักหน้า

“เห็นฐานะของแม่นางเชี่ยนอวิ๋นถูกเปิดโปงแล้ว คุณชายสามก็กลัว ปิดประตูใหญ่ขวางไว้ ไม่กล้าให้สะใภ้สามออกมา กำลังเกลี้ยกล่อมหลอกล่ออยู่ ด้านหนึ่งก็ส่งคนไปเชิญสะใภ้ใหญ่มาไกล่เกลี่ยให้คืนดีกัน ในจวนแห่งนี้ก็มีเพียงสะใภ้ใหญ่ที่เอานางอยู่…บ่าวเห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งออกมาก่อน”

ครั้งนี้เกรงว่าเหยาหลันก็คงเอาไม่อยู่แล้ว ฟังต้นสายปลายเหตุเหล่านี้แล้วทุกคนต่างส่ายหน้าทอดถอนใจ

อยากจะกลับตัวเป็นคนดีแต่งงานมีสามีเป็นตัวตน ก็ควรหาครอบครัวคนธรรมดาแต่งงานไปเสีย สามารถรักษาชีวิตให้ปลอดภัยกินอิ่มนอนอุ่น กลับมาละโมบในความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของจวนกั๋วกงแห่งนี้ เข้าใจว่านับแต่นี้จะได้บินขึ้นสู่ยอดไม้กลายเป็นหงส์ กลับไม่รู้ว่าประตูจวนแห่งนี้เข้ามาแล้วลึกดุจท้องทะเล ความมั่งมีรุ่งเรืองเฟื่องฟูในสายตาคนนอกก็แค่สุสานของสตรีที่อาภัพจำนวนหนึ่งเท่านั้น ฟังเรื่องเหล่านี้แล้ว หลวนอวิ๋นชูแอบทอดถอนใจด้วยความเสียดาย แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก หันไปถาม

“เจ้าเอาของไปให้ สะใภ้สามว่าอย่างไรบ้าง”

สี่จวี๋อึ้งงันไปชั่วขณะ แล้วจึงนึกได้ว่าตนมาที่นี่เพื่อเอาของขวัญมามอบให้ พูดมานานสองนานถึงกับลืมธุระสำคัญไปแล้ว อดใบหน้าร้อนผ่าวไม่ได้

“ตอนบ่าวมาถึง สะใภ้สามกำลังโกรธกระฟัดกระเฟียดใส่คุณชายสาม บ่าวไม่กล้าโอ้เอ้ ถ่ายทอดคำพูดของท่านให้นาง นางถึงกับบอก…ถึงกับบอก…”

เสียงของสี่จวี๋ลดลงมา คิดว่าพานหมิ่นคงพูดจาไม่น่าฟัง ยากจะเอ่ยออกจากปาก

ฝูหรงเห็นแล้วก็รู้ว่าต้องไม่ใช่คำพูดดีอะไร จึงพูดอย่างไม่พอใจ “ถึงกับพูดอะไร อยู่กับคนกันเองยังจะปิดบังอ้ำอึ้งอีกหรือ”

“สะใภ้สามถึงกับบอกนางก็คิดเช่นนั้น สะใภ้สี่ดวงแข็ง ไม่มาเรือนชิ่นย่วนดีที่สุด เรือนชิ่นย่วนจะได้ไม่ซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่งถูกหามออกไปข้างนอก ยังบอกนางกำลังจะสั่งคนให้คอยเฝ้าอยู่ที่ประตู ถ้าท่านไม่รู้อะไรควรไม่ควรมาแล้ว เพียงเอาของขวัญทิ้งไว้ก็พอ ในเรือนก็ไม่ต้องเข้าไป ยังดี ท่านยังเป็นคนที่รู้การควรไม่ควร”

สี่จวี๋พูดไปก็แอบมองสีหน้าหลวนอวิ๋นชูไป เห็นนางสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน จึงลอบระบายลมหายใจ

“ก็บอกแล้วปากสุนัขไม่มีงาช้างงอกออกมา!” ฝูหรงมองสี่จวี๋ โมโหจนดวงตากลมโตปูดโปน “นางพูดจาไม่น่าฟังเพียงนี้ เจ้าไม่หมุนตัวเดินออกมาเสีย ยังจะเอายาบำรุงทิ้งไว้อีก ปล่อยให้นางเอาเปรียบไปเปล่าๆ แล้ว!”

“นางรับยาบำรุงไปก่อน ถึงได้เอ่ยคำพูดเหล่านี้!” ถูกต่อว่าจนหน้าแดง เสียงของสี่จวี๋ก็ดังขึ้นมา “จะอย่างไรก็เป็นสะใภ้คนหนึ่ง ข้าจะขอของกลับคืนมาได้อย่างไร”

มิน่าทุกคนต่างบอก จิตใจของพานหมิ่นมองครั้งเดียวก็เห็นทะลุปรุโปร่ง เป็นเช่นนั้นจริง รักเงินทองก็คือรักเงินทอง ไม่ปกปิดซุกซ่อน พูดจาที่ควรเหน็บแนมเจ็บแสบก็ยังคงเหน็บแนมเจ็บแสบ นับว่ามีความเปิดเผยจริงใจอยู่หลายส่วน

ในประตูคฤหาสน์หลังใหญ่ที่อึมครึมน่าสะพรึงกลัวนี้ พานหมิ่นมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ!

ไม่ได้เดือดดาลจนผมชี้ชันเช่นที่ทุกคนคาดคิด ฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว หลวนอวิ๋นชูเพียงยิ้มน้อยๆ

“สายมากแล้ว เราไปกันเถิด”

“จริงสิ…” เห็นนางจะไป สี่จวี๋รีบเอ่ยถาม “อยู่ดีๆ สะใภ้สี่จะไปเรือนจัดการงานทำอะไรหรือเจ้าคะ”

“สะใภ้สี่จะไปเลือกสาวใช้”

ฝูหรงพูดพลางปล่อยม่านเกี้ยวลง

“เลือกสาวใช้?” สี่จวี๋ตะลึงงัน “หลี่มามาส่งคนมาแล้วหรือ”

“อืม” ฝูหรงพยักหน้า “ส่งมาแต่เช้าแล้ว”

“สะใภ้สี่” ลังเลอยู่ชั่วขณะสี่จวี๋เลิกม่านเกี้ยวขึ้น ยิ้มแย้มแล้วบอก “ตอนนี้ไม่มีงานอะไร หรือไม่ ให้บ่าวติดตามท่านไปด้วยกัน”

หลวนอวิ๋นชูไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด ก็เพราะไม่คิดจะให้สี่จวี๋ตามไปด้วย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มแย้มเข้ามาขอไปด้วย นางมีเจตนาจะปฏิเสธ แต่เมื่อสี่จวี๋กลับไปเจอกับสี่หลัน ข้อเท็จจริงในใจของนางก็จะปรากฏออกมาอย่างชัดแจ้ง ไม่ได้กลัวว่าสาวใช้สองคนจะมีอะไร ที่หลวนอวิ๋นชูใส่ใจคือนายหญิงใหญ่จะไม่พอใจในเรื่องนี้ เช่นนั้นก็ให้สี่จวี๋ไปด้วยแล้วกัน ช่างขัดกับความตั้งใจของนางเสียจริง

มองสีหน้ายิ้มแย้มของสี่จวี๋แล้ว หลวนอวิ๋นชูก็นึกถึงภาพวันก่อนที่เห็นอีกฝ่ายกับสี่หลันแอบส่งสายตาให้กันตอนอยู่ที่ลานด้านหลัง ในใจพลันเกิดความคิดจึงพยักหน้า

“อืม…ก็ดี ที่เรือนลู่ย่วนมีสี่หลันก็พอแล้ว เจ้าไปจะได้ช่วยข้าตัดสินใจ”

ทั้งสองคนต่างเป็นคนของนายหญิงใหญ่ แทนที่จะคอยเฝ้าระวังทั้งวันทั้งคืน ไม่สู้ยกคนหนึ่งกดคนหนึ่ง ให้พวกนางขัดแย้งภายในกันขึ้นมาเป็นอันดับแรก

ไม่ผิดจากที่คาด ดวงตาของสี่จวี๋เปล่งประกายระยิบระยับขึ้นมา กุลีกุจอปล่อยม่านเกี้ยวให้หลวนอวิ๋นชู

“ช้าก่อน”

“สะใภ้สี่ยังมีอะไรจะสั่งการหรือเจ้าคะ”

มือของสี่จวี๋ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ

“จากตรงนี้ไปเรือนจัดการงาน” หลวนอวิ๋นชูมองไปที่จางหมัวมัว “ยังมีเส้นทางอื่นหรือไม่”

“จากตรงนี้ย้อนกลับไปไม่ไกลมีทางแยก ก็ไปได้เช่นกันเจ้าค่ะ” จางหมัวมัวชี้ไปข้างหลัง “เพียงแต่อ้อมสักหน่อย”

“อืม” หลวนอวิ๋นชูพยักหน้า “อ้อมกลับไปเถิด”

“สะใภ้สี่ นี่…”

“สะใภ้สี่ ท่าน…”

นี่ออกจะเสียศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว ไม่ได้ทำเรื่องละอายใจอะไร เหตุใดต้องกลัวด้วย

เห็นหลวนอวิ๋นชูจะไปทางอ้อม ฝูหรงกับสี่จวี๋ต่างร้องขึ้นมาพร้อมกัน ไม่ว่าใครก็ปรารถนาจะติดตามเจ้านายที่มีอำนาจแข็งแกร่ง เดินถนนจะได้ยืดอกเชิดหน้าได้เต็มที่

“สะใภ้สี่ พวกเราไม่จำเป็นต้องอ้อมไป”

ฝูหรงใบหน้าแดงก่ำ สี่จวี๋ก็เอ่ยคล้อยตามอยู่ที่ด้านข้าง

“ใช่เจ้าค่ะ สะใภ้สามจะเข้าใจว่าพวกเรากลัวนาง”

“ไม่ใช่กลัว” ร่างเอนไปทางด้านหลัง หลวนอวิ๋นชูหลับตาลง “ข้าแค่ไม่อยากหาเรื่องยุ่งยาก”

พานหมิ่นความคิดเรียบง่าย ต่งเหรินกับนางนับเป็นคู่สร้างคู่สม ถึงกับไปเชิญเหยาหลันมา ไม่เกินสามวันเรือนชิ่นย่วนแห่งนี้ต้องจัดงานศพแล้ว

ครั้งนี้พานหมิ่นไม่อาจโยนความผิดมาให้นางอีก!

เรือนจัดการงานอยู่ทางทิศเหนือของจวนกั๋วกง รวมหน้าหลังแล้วจึงเป็นเรือนคั่นสามแต่ละเรือนจัดแบ่งจนเป็นลานเล็กสามแห่ง แต่ละแห่งมีประตูเชื่อมต่อกัน แม้จะเป็นสถานที่จัดการงานจุกจิกหยุมหยิมประจำวัน แต่ก็มีภูเขาจำลอง หินรูปร่างประหลาด ดอกไม้ต้นหญ้าปิดบังจุดด้อยและเสริมจุดเด่นซึ่งกันและกัน ทางด้านใต้มีประตูใหญ่สองบานกว้างราวสามจั้งเศษ ปกติจะไม่เปิด เพียงเปิดประตูเล็กที่ด้านข้างให้คนเข้าออก

ลงจากเกี้ยว หลวนอวิ๋นชูช้อนตาขึ้นมองไป ภาพที่เห็นคือเรือนสีแดงชาดหลังเล็กสองชั้นหลังคาทรงเซียซานหน้าประตูมีสัตว์หินคู่หนึ่ง สี่ด้านปลูกต้นอิ๋นซิ่ง หวงหยางจื่อเวยไว้จำนวนหนึ่ง ระหว่างนั้นมีโต๊ะหินและม้านั่งหินตั้งอยู่ ตรงใจกลางมีแปลงดอกไม้ทรงรีอยู่แปลงหนึ่ง เรือนหลังเล็กดูโดดเด่นสว่างพร่างพราว ทัศนียภาพดูงดงามไม่เหมือนใคร ถ้าไม่รู้ยังเข้าใจว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจเสียด้วยซ้ำ

พ่อบ้านเฮ่อรออยู่หน้าประตูเรือนหลังเล็กก่อนแล้ว เห็นหลวนอวิ๋นชูลงจากเกี้ยวก็รีบพาทุกคนเข้ามาทำความเคารพ

“คารวะสะใภ้สี่”

“ที่นี่ตกแต่งได้งดงามโดดเด่นยิ่ง” หลวนอวิ๋นชูกวาดตามองไปรอบๆ “ถ้าไม่รู้อยู่ก่อน ข้ายังไม่เชื่อจริงๆ ว่าที่นี่คือสถานที่ทำงาน”

“ไม่เพียงท่านเท่านั้น ไม่ว่าใครมาครั้งแรกก็เป็นต้องพูดเช่นนี้” พ่อบ้านเฮ่อกล่าวยิ้มๆ “เดิมทีที่แห่งนี้เป็นเพียงลานที่โล่งเตียน หลังจากสะใภ้ใหญ่เข้ามารับช่วงงานต่อ เห็นแล้วไม่ชอบใจจึงได้ปรับปรุงขึ้นมาใหม่”

“พี่สะใภ้ใหญ่มาจัดการงานที่นี่บ่อยหรือ”

“ข้างบนเป็นห้องโถงใหญ่ จุคนได้สองร้อยกว่าคน” พ่อบ้านเฮ่อชี้ไปที่เรือนหลังเล็กพลางแนะนำ “สะใภ้ใหญ่มาตรวจการทำงานทุกสามวัน บางครั้งเวลาอื่นๆ ก็มาบ้าง”

“อ้อ…” หลวนอวิ๋นชูพยักหน้า “พี่สะใภ้ใหญ่ก็เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย”

พ่อบ้านเฮ่อก็เออออตาม กล่าวยกย่องชมเชยอีกหลายคำ ท้ายสุดก็ชี้ไปยังสตรีที่ยืนกุมมืออยู่ข้างหลังเขามาโดยตลอด

“สะใภ้สี่ นางก็คือหลี่หวา ทุกคนต่างเรียกนางว่าหลี่มามา เป็นบุคคลอันดับหนึ่งอันดับสองในกลุ่มค้าทาส ยามบ้านที่มีเงินมีอำนาจมีหน้ามีตาในเมืองหลวนเฉิงจะซื้อบ่าวไพร่ล้วนต้องเรียกหานาง นางกับจวนเราทำการค้ากันมานาน รู้ธรรมเนียมปฏิบัติในจวนดี คนที่ส่งมาไม่เพียงเชื่อถือไว้ใจได้ ยังอบรมฝึกฝนมาก่อนแล้ว ซื้อมาแล้วก็ใช้งานได้เลย ไม่ต้องให้หมัวมัวมาอบรมฝึกฝนอีก” แล้วหันไปทางหลี่หวา “หลี่มามา นางก็คือสะใภ้สี่”

อบรมฝึกฝนมาก่อนแล้ว?

‘บริการฝึกอบรมฟรีก่อนส่งมอบแรงงาน’ คนโบราณก็มีความคิดที่ล้ำหน้าเช่นนี้ หลี่หวาผู้นี้มีความเฉียบแหลมมากพอ มิน่าจึงสามารถดูแลกิจการได้เป็นอย่างดี เป็นคนค้าทาสที่งอนิ้วนับได้ในเมืองหลวนเฉิง ฟังจากการแนะนำตัวแล้ว หลวนอวิ๋นชูก็มองประเมินหลี่หวาขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้ง

นางอายุราวสามสิบ ใบหน้ารูปไข่ห่าน* ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง คิ้วรูปจันทร์เสี้ยวคู่หนึ่งตัดเล็มได้อย่างประณีต ริมฝีปากบาง เพียงดูก็รู้ว่าเป็นคนช่างพูด รูปร่างหน้าตาไม่โดดเด่น แต่ผิวหน้ากลับขาวหมดจดยิ่ง ทำให้คนเห็นเพียงแวบเดียวก็จำได้ นางสวมเสื้อสีชมพูลายดอกสดใสงดงาม ทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีเขียวอมดำอยู่ด้านนอก ผมเกล้ามวยเป็นทรงก้นหอยคู่ประดับด้วยมุกอัญมณีแวววาว ดูสวยสดงดงามเป็นพิเศษ

“ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของท่านมานานแล้ว วันนี้นับว่าข้ามีบุญวาสนาได้มาพบเจอ สะใภ้สี่ไม่เพียงแต่งบทกวีได้ดี รูปร่างหน้าตายังงดงามเพียงนี้ ประดุจเทพธิดาบนสรวงสวรรค์” เห็นหลวนอวิ๋นชูมองมา หลี่หวาก็ยิ้มแย้มเบิกบานรับหน้า เอ่ยชมไม่หยุดปาก “หลายวันก่อนข้าไปส่งเด็กสาวที่จวนอัครเสนาบดี ประจวบเหมาะกับหลานชายของสะใภ้ใหญ่ครบร้อยวัน กำลังตกแต่งจัดเตรียมห้องโถงอยู่พอดี ยกฉากบังลมปักลายสองหน้าออกมาฉากหนึ่ง หน้าหนึ่งเป็นภาพดอกโบตั๋นเจริญรุ่งเรือง อีกหน้าหนึ่งเป็นภาพภูเขาแม่น้ำผู้คน ไม่เพียงลวดลายต่างกัน ฝีเข็ม สีสันก็ต่างกัน จุ๊ๆ นั่นจึงจะเรียกว่าลายปักสองหน้าสามแตกต่างที่แท้จริง ตอนแรกเห็นข้ายังเข้าใจว่าเป็นของจากในวัง พอถามดูจึงได้รู้ว่าถึงกับเป็นฝีมือของท่าน ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

ได้ยินเรื่องบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคเก่งเรื่องเย็บปักถักร้อยไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียว แต่หลวนอวิ๋นชูก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ถึงอย่างไรเรื่องเหล่านี้ก็มีสาวใช้ทำอยู่แล้ว วันนี้ได้ยินหลี่หวาบอกฝีมือเย็บปักถักร้อยของนางเทียบได้กับของในรั้วในวัง หลวนอวิ๋นชูอดสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้

ฝีมือศิลปะของบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคสูญหายไปทั้งหมด ทำให้หลวนอวิ๋นชูต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างตัวสั่นงันงกทุกวัน ดีที่เวลานี้นางต้องครองตัวเป็นม่าย นายหญิงใหญ่ไม่ชอบให้นางเล่นสำบัดสำนวนแต่งโคลงกลอน การไม่รู้หนังสือแต่งบทกวีไม่ได้จึงยังพอถูไถใช้ชีวิตผ่านไปได้

แต่งานเย็บปักถักร้อยก็ไม่เหมือนกันแล้ว นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นแม่บ้านแม่เรือนของสตรีในสมัยโบราณ ไม่มีแม่สามีคนใดชอบลูกสะใภ้ที่ไม่จับเข็มไม่จับด้าย แม้จะบอกมีสาวใช้ช่วยทำให้ แต่บางครั้งบางงานเพื่อชื่อเสียงก็ยังคงต้องลงมือทำด้วยตนเอง นี่จะให้นางซุกซ่อนอย่างไร

ถ้าแต่ก่อนฝีมือด้านการเย็บปักถักร้อยไม่ดีก็แล้วไปเถิด นายหญิงใหญ่จะกดนางไว้ไม่ให้แสดงฝีมือเย็บปักถักร้อยที่เทียบได้กับของในรั้วในวังหรือ

ทำเช่นนั้นก็แปลกแล้ว!

คิ้วของหลวนอวิ๋นชูค่อยๆ ขมวดแน่นเป็นปม

หลี่หวาผู้นั้นก็เป็นคนที่รู้จักพิจารณาคำพูดและสังเกตสีหน้าผู้อื่น เห็นหลวนอวิ๋นชูขมวดคิ้วก็หยุดพูด

“ครั้งนี้หลี่มามาพาคนมาเท่าไร”

“ทั้งหมดสี่สิบหกคน รออยู่ในห้องโถงเล็กทั้งหมด ท่านเลือกดูก่อน ถ้าไม่มีคนที่พอใจ พรุ่งนี้ข้าจะพามาอีกกลุ่มหนึ่ง”

ขณะพูดทั้งกลุ่มก็เข้าประตูมา เดินมาตามระเบียงทางเดินเส้นหนึ่ง มีประตูสี่ห้าบาน พ่อบ้านเฮ่อเดินไปพลางแนะนำให้หลวนอวิ๋นชูรู้จักสถานที่ไปพลาง เหล่าสาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยก็พากันขยับตัวไปชิดผนังทำความเคารพ เท้าไม่ได้หยุด หลวนอวิ๋นชูเดินตามพ่อบ้านเฮ่อมาถึงห้องโถงเล็ก

เดินอ้อมผ่านฉากบังลมขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้หวงฮวาหลีทาสีทองประดับเตี่ยนชุ่ยก็เห็นคนยืนอยู่ในห้องเต็มไปหมด พอเห็นพวกนางเข้ามาก็ยืดหน้าอกขึ้นทันที

เรียงสี่แถว สามแถวหน้าเป็นแม่นางน้อยอายุสิบกว่าปี สวมเสื้อกันหนาวลายดอกสีเหลืองอ่อน กระโปรงลายดอกสีฟ้าเหมือนกันหมด แถวหลังสุดเป็นหญิงอายุราวสามสิบสี่สิบปี ที่หน้าอกของทุกคนมีป้ายเล็กๆ สีส้มห้อยอยู่ เขียนหมายเลขไว้ หลวนอวิ๋นชูมองป้ายหมายเลขที่เหมือนกับการประกวดสาวงามในสมัยปัจจุบันแล้วก็ยิ้ม

หลี่หวาผู้นี้คงไม่ใช่ทะลุมิติมากระมัง

“ทั้งหมดมีเด็กสาวสามสิบคน หญิงสูงวัยสิบหกคน ล้วนอยู่ที่นี่แล้ว” หลี่หวาพูดจบก็หันไปทางกลุ่มคน “นางก็คือสะใภ้สี่ บัณฑิตหญิงผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองหลวนเฉิงเรา ครั้งนี้นางก็คือผู้ที่ต้องการคน ถ้าได้รับเลือกก็เป็นโชควาสนาของพวกเจ้าแล้ว” ก่อนบอกอีกว่า “ทุกคนต่างรู้ดี ค่าตอบแทนของจวนกั๋วกงแห่งนี้นับว่าหาได้ยากในเมืองหลวนเฉิง!”

“คารวะสะใภ้สี่!”

คนสี่สิบหกคนย่อเข่าลงทำความเคารพพร้อมกัน เสียงและการเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงกันอย่างน่าประหลาด สามารถประชันกับกองทหารเกียรติยศขบวนใหญ่ในสมัยปัจจุบันได้เลย รับการคารวะแล้ว หลวนอวิ๋นชูก็อดมองหลี่หวาอย่างชื่นชมไม่ได้

หลี่หวาก็ส่งยิ้มประจบ หน้าอกยิ่งยืดตรง

“สะใภ้สี่เชิญนั่ง” พ่อบ้านเฮ่อหันไปทำมือให้ทุกคนเงียบเสียงลง “ท่านดื่มน้ำชาสักหน่อย พักหายใจก่อน แล้วค่อยๆ เลือก”

มองเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ในห้องโถงแวบหนึ่ง หลวนอวิ๋นชูไม่ได้เข้าไปนั่งตามที่พ่อบ้านพูด ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่นั่น สายตาระผ่านใบหน้ากลุ่มคนไปทีละคน

เหตุใดจึงรู้สึกคล้ายตกลงไปในรังหมาป่า

รู้สึกเหมือนนางเป็นแพะย่างทั้งตัวตัวหนึ่งที่เพิ่งออกจากเตามาอย่างน่ากิน น้ำมันสีเหลืองทองกำลังหยดติ๋งๆ ทำให้คนน้ำลายสอ ขอเพียงหลี่หวาร้องตะโกนขึ้นคำหนึ่ง นางคงจะถูกรุมฉีกร่างยัดลงท้องไปทันที ยืนอยู่ตรงนั้น มองสบดวงตาสุกใสแวววาวเป็นคู่ๆ หลวนอวิ๋นชูรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ หัวใจเต้นระรัวขึ้นมาสองที

เป็นครั้งแรกที่ต้องสัมภาษณ์คนมากปานนี้ นางออกจะตื่นเต้นขึ้นมาจริงๆ

“เรียนสะใภ้สี่ สะใภ้ใหญ่สั่งเอาไว้ ในเรือนท่านยังขาดสาวใช้รุ่นใหญ่หนึ่งคน สาวใช้ขั้นสองสี่คน สาวใช้ใช้แรงงานแปดคน หญิงรับใช้สูงวัยหกคน” เห็นหลวนอวิ๋นชูไม่ดื่มน้ำชา พ่อบ้านเฮ่อจึงเอ่ยขึ้นอย่างเหมาะกับเวลา “สะใภ้ใหญ่ยังบอก ถ้าท่านเห็นว่าบ่าวไพร่ที่มีอยู่แต่เดิมมีคนที่ถูกใจ ก็เลือกให้น้อยลงสักหลายคนก็ได้ขอรับ”

คำพูดนี้ก็พูดได้ถูกต้อง นางกับฝูหรง สี่หลัน สี่จวี๋ล้วนมาอยู่ในเรือนลู่ย่วนทีหลัง ถ้าเปลี่ยนบ่าวไพร่ทั้งหมด ต่อไปถ้าเจอเรื่องอะไรเข้า เกรงว่ากระทั่งคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องราวก็ยังหาไม่ได้ นึกมาถึงตรงนี้หลวนอวิ๋นชูจึงผงกศีรษะ

“อืม…เฉียนหมัวมัวประสบการณ์มาก คนก็มีความเมตตามีความสัตย์ซื่อ ก็เอานางไว้แล้วกัน ยังมีลู่หมัวมัวที่ทำหน้าที่เก็บกวาดห้องครัวเล็กก็เอาไว้ ครั้งนี้เลือกหญิงรับใช้สูงวัยเพียงสี่คนก็พอ”

“ขอรับ เสร็จจากการนี้แล้วบ่าวจะรายงานให้สะใภ้ใหญ่ได้รับทราบ”

พ่อบ้านเฮ่อรับคำ แล้วถอยไปอยู่ด้านข้าง

มาถึงแถวที่สอง หลวนอวิ๋นชูหยุดเท้าลงตรงหน้าเด็กสาวรูปร่างผอมสูง ท่าทางแข็งแรงแต่ไม่เก้งก้างหรือดูโง่เขลา เพียงมองมานางก็ถูกเด็กสาวผู้นี้ดึงดูดความสนใจ ไม่ใช่หน้าตาสะสวย หากแต่เด็กสาวรูปร่างสูงเกินไป ยืนอยู่ตรงนั้นประดุจยีราฟ ทำให้คนรู้สึกคล้ายเห็นนกกระสาในฝูงไก่นี่ยังเป็นเรื่องรอง ที่ดึงดูดใจหลวนอวิ๋นชูมากที่สุดคือแววตาของเด็กสาวผู้นี้ดูแตกต่างจากคนอื่น คนอื่นมองนางด้วยแววตามุ่งหวังรอคอย มีเพียงเด็กสาวผู้นี้ที่ในดวงตามีแต่ความเฉื่อยเนือย ราวกับว่าการมาทำงานที่จวนกั๋วกงเป็นงานที่แย่มาก

“เด็กคนนี้ชื่อเฉิงชิงเสวี่ย เป็นคนแคว้นหลี” เห็นหลวนอวิ๋นชูหยุดลง หลี่หวาที่สังเกตสีหน้าคนเก่งก็ฉวยโอกาสแนะนำ “เดิมเป็นคุณหนูคนหนึ่ง บิดาถูกตัดศีรษะ จึง…”

“ตัดศีรษะ?” หลวนอวิ๋นชูร้องอุทาน “เพราะเหตุใด”

“เพราะลักลอบค้าเกลือส่วนตัว” หลี่หวากล่าว “ครึ่งปีก่อนสองพ่อลูกมาค้าเกลือที่แคว้นหลวน ถูกเจี่ยผิงขุนนางผู้ดูแลการขนส่งเกลือของอำเภอชางอี้จับได้พร้อมของกลาง เห็นแก่ที่นางเป็นอิสตรี ทั้งมีผู้คนเป็นพยานบอกนางฝึกวรยุทธ์อยู่บนภูเขาเทียนมู่กับอาจารย์มาโดยตลอด เพิ่งลงจากเขามาได้ไม่นาน เพียงมาเยี่ยมบิดาเท่านั้น ไม่ได้เข้าร่วมกับการลักลอบค้าเกลือ ถึงได้รักษาชีวิตรอดมาได้ แต่ก็ถูกสักหน้าและขายให้ตลาดคนค้าทาส” พูดไปหลี่หวาก็ทอดถอนใจออกมาทีหนึ่ง “เฮ้อ…ก็เป็นเด็กที่โชคชะตาอาภัพ ได้ยินว่ามารดาของนางร้อนใจจนล้มป่วย อยู่ไกลถึงแคว้นหลี เป็นตายก็ไม่อาจรู้ได้”

ได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว หลวนอวิ๋นชูก็พิจารณาดูอย่างละเอียด เป็นเช่นนั้นจริง บริเวณด้านซ้ายของหน้าผากเฉิงชิงเสวี่ยที่ใช้ผมบังไว้พอจะมองเห็นรอยสักสีแดงชาดอยู่รำไร

ได้ยินคนพูดถึงสิ่งที่ตนประสบพบเจอมา เฉิงชิงเสวี่ยขอบตาแดงขึ้นมาทันที เห็นหลวนอวิ๋นชูจ้องหน้าผากของนาง น้ำตาหยดหนึ่งก็กลอกกลิ้งไปมาอยู่ในดวงตา เพียงพยายามข่มกลั้นอย่างเต็มที่ ไม่ให้ไหลออกมา

ไม่เลว เป็นเด็กที่เข้มแข็ง

มองการแสดงออกที่ดื้อรั้นนี้แล้ว หลวนอวิ๋นชูก็มีความรู้สึกในทางที่ดีขึ้นมาหลายส่วน หันไปถามหลี่หวาด้วยความฉงน

“ค้าเกลือส่วนตัวหรือ”

“สะใภ้สี่ใช้ชีวิตอยู่ในเหย้าในเรือนจึงไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ในบรรดาสามแคว้น ข้อได้เปรียบที่สุดของแคว้นเราคือเป็นแหล่งผลิตเกลือ แคว้นชื่อแม้จะผลิตเกลือเช่นกัน แต่ทุกปียังต้องซื้อเกลือจากแคว้นเรา เพียงแต่จำนวนน้อยหน่อยเท่านั้น แคว้นหลีที่ตั้งอยู่ในที่อากาศหนาวเย็นกลับไม่มีเกลือ มีชื่อเสียงเรื่องผลิตแร่เป็นหลัก ครั้นแล้วจึงได้ตกลงทำการค้ากับแคว้นเรา เอาแร่มาแลกกับเกลือ แต่แคว้นหลีก็กลัวแคว้นเราจะทำอาวุธจำนวนมาก คุกคามไปถึงพวกเขาได้ จึงบีบบังคับให้ทำข้อตกลงว่าจะมอบแร่ให้แคว้นเราเพียงพอสำหรับผลิตข้าวของเครื่องใช้ประจำวันเท่านั้น ส่วนที่ไม่พอจะต้องแลกเปลี่ยนด้วยเงินตรา”

“แคว้นหลีอาศัยอะไรจึงจำกัดจำนวนในการซื้อแร่ของเรา แต่เรากลับไม่อาจจำกัดการซื้อเกลือของพวกเขา!” ฟังมาถึงตรงนี้สี่จวี๋ก็เดือดดาลขึ้นมา “เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงคน ฝ่าบาททรงเห็นชอบหรือ”

“ฝ่าบาทย่อมไม่ทรงเห็นชอบ” หลี่หวายิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยน “แต่เมื่อใคร่ครวญดูอย่างละเอียด ความต้องการเกลือของแคว้นหลีมากกว่าความต้องการแร่ของแคว้นเรามากนัก เมื่อพูดถึงในระยะยาว เรื่องนี้ไม่มีผลเสียต่อแคว้นของเรา หลังจากเจรจาหารือกันหลายครั้ง สุดท้ายก็ตกลงกันว่าทุกปีแคว้นเราจะแลกเปลี่ยนเกลือจำนวนหนึ่งในราคาของทางการกับแร่ตามจำนวนที่ทางแคว้นหลีเสนอมา เรื่องนี้ทางการจะเป็นผู้ควบคุม เรียกว่า ‘เกลือทางการ’ นอกจากนี้ทุกปีทางแคว้นหลียังต้องซื้อเกลือจำนวนมากผ่านพ่อค้าเกลือ เรียกว่า ‘เกลือส่วนตัว’ แม้จะบอกว่าพ่อค้าเป็นคนขาย แต่ก็ต้องให้ทางการประกาศยินยอม ยังต้องมีการควบคุม เกลือส่วนนี้เวลาผ่านแดน ทางแคว้นเราจะเก็บค่าผ่านแดนในราคาที่สูง สูงกว่าราคาเกลือห้าเท่าสิบเท่า”

“สวรรค์! เหตุใดจึงราคาสูงเพียงนั้น” ฝูหรงเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง “แล้วแคว้นหลียังเต็มใจซื้อหรือ”

“เกลือเป็นสิ่งที่ชาวบ้านไม่อาจขาด ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่แคว้นหลีก็จำเป็นต้องซื้อ ท่านอาจจะเห็นว่าเกลือเป็นสิ่งไม่สำคัญอะไร เป็นของที่มีราคาถูกในแคว้นเรา แต่อยู่ที่แคว้นหลีกลับแพงจนน่าตกใจ ได้ยินว่าเกลือที่แคว้นหลีต้องจัดสรรแบ่งให้ตามจำนวนครัวเรือน ทั้งหมดนี้ล้วนกำหนดขึ้นมาในรัชสมัยของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ฝ่าบาททรงคิดจะใช้เกลือมากดดันและควบคุมเส้นโลหิตสำคัญของแคว้นหลี”

“ด้วยเหตุนี้บิดาของนางจึงขายเกลือส่วนตัวหรือ”

“ใช่เจ้าค่ะ คนตายเพราะเงินทอง นกตายเพราะอาหาร ราคาที่แตกต่างกันมหาศาลดึงดูดใจ ย่อมมีพวกที่ไม่คิดถึงชีวิตลักลอบขายเกลือส่วนตัว หลบหลีกค่าผ่านแดนของแคว้นหลวน” หลี่หวาพยักหน้า “บิดาของชิงเสวี่ยก็เป็นเช่นนี้ ตอนเริ่มแรกยังปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ จ่ายค่าผ่านแดน แต่เกลือที่ต้องจ่ายค่าผ่านแดนเมื่อไปถึงแคว้นหลีก็เหลือกำไรไม่เท่าไร ไหนยังต้องจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้ฝ่ายทางการในระดับต่างๆ ท้ายสุดไม่ขาดทุนก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ครั้นแล้วจึงจำต้องเสี่ยงด้วยเข้าตาจน กล่าวกันว่าขอเพียงประสบความสำเร็จเพียงครั้งเดียว ก็มีเงินพอให้ใช้จ่ายในช่วงชีวิตที่เหลือแล้ว”

ฝูหรงมองดวงตาที่วาวไปด้วยหยาดน้ำตา พูดออกมาด้วยความเห็นอกเห็นใจ

“ครั้งแรกก็ถูกจับได้แล้ว น่าสงสารจริง”

“ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่หลังจากได้ประโยชน์แล้วยอมเลิกรา” หลี่หวามองฝูหรงอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง “ตอนบิดาของนางถูกจับหาใช่เพิ่งลักลอบขนเกลือครั้งแรก เฮ้อ…ล้วนเป็นเวรกรรมจากคำว่า ‘โลภ’ ”

การลอบค้าเกลือส่วนตัวพูดตามตรงก็คือลักลอบนำเข้าเกลือ ทั้งหลีกเลี่ยงภาษี เรื่องนี้ทำให้หลวนอวิ๋นชูนึกถึงไล่ชางซิงนักโทษคดีลักลอบขนสินค้าที่เคยเป็นข่าวครึกโครมอยู่ช่วงหนึ่ง คนผู้นั้นก็อาศัยการลักลอบขนสินค้าจนร่ำรวย หลังจากเรื่องเปิดเผยออกมาเขาก็หนีไปอยู่แคนาดา ได้ยินว่ายังมีชื่ออยู่ใน ‘ห้าสิบอันดับผู้ทรงอิทธิพลต่อจีนยุคใหม่’ ถึงกับติดอันดับที่สามสิบ เป็นคนจีนเพียงคนเดียวที่มีหมายประกาศจับและมีชื่อติดอันดับ

นับแต่ปี ค.ศ. 1994 ไล่ชางซิงก่อตั้งบริษัทเครือซย่าเหมินหย่วนหวา จำกัด แล้วก็เริ่มทำการลักลอบขนสินค้าขนานใหญ่ กระทั่งปี ค.ศ. 1999 เรื่องเปิดโปงออกมา ถูกตรวจสอบพบว่ายอดรวมสินค้าที่เขาลักลอบขนทั้งหมดสูงถึงกว่าห้าหมื่นล้านหยวน ยอดภาษีที่หลบเลี่ยงเกินกว่าสามหมื่นล้านหยวน

มากกว่าสามหมื่นล้าน นั่นเป็นจำนวนเงินเท่ากับคนสองล้านคนทำงานหาเงินเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ด้วยจำนวนเงินที่สูงเพียงนั้นเขาจึงสามารถหลบหนีไปต่างประเทศ กระทั่งทุกวันนี้ไล่ชางซิงก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย

แม้จะบอกว่าเงินหยวนกับเงินตราในสมัยโบราณไม่เท่าเทียมกัน แต่เพียงคิดดูก็รู้ บิดาของเฉิงชิงเสวี่ยเพียงอาศัยการเดินเท้าขนสินค้า ไม่มีทางได้เงินมากถึงระดับนั้นเด็ดขาด ทั้งยังเป็นคนแคว้นหลี แล้วเหตุใดถึงกับถูกคนแคว้นหลวนตัดศีรษะได้

ในใจนึกฉงนสงสัย หลวนอวิ๋นชูจึงเอ่ยปากถามไป

“บิดาของนางเป็นคนแคว้นหลี ไม่ใช่ควรส่งตัวกลับไปให้ทางแคว้นหลีลงโทษหรือ เหตุใดจึง…”

“นั่นเป็นข้อกำหนดในสมัยก่อน” หลี่หวากล่าว “ด้วยเกรงว่าจะทำลายความปรองดองระหว่างสองแคว้น ตอนแรกทางแคว้นเราพอจับคนลักลอบขนเกลือได้ก็จะขังไว้ หลังจากจ่ายเงินประกันจำนวนหนึ่งแล้ว ก็จะรวบรวมส่งกลับไปแคว้นหลี”

“แล้วบิดาของนาง…”

“นี่เป็นเรื่องในภายหลังแล้ว แม่นางฝูหรงอย่าเพิ่งใจร้อน ฟังข้าค่อยๆ เล่า”

ว่าแล้วหลี่หวาก็พูดเสียงเจื้อยแจ้วขึ้นมา

“พูดถึงพ่อค้าลักลอบขนเกลือ ที่เสียหายคือผลประโยชน์ของแคว้นเรา แต่สำหรับแคว้นหลีแล้วกลับเป็นประโยชน์ พ่อค้าเกลือที่ถูกส่งตัวกลับไป ทางแคว้นหลีเพียงปรับเงินพอเป็นพิธี ไม่กี่วันก็ปล่อยตัวไปแล้ว พ่อค้าเกลือเหล่านั้นเมื่อต้องสูญเสียผลประโยชน์ ย่อมคิดหาวิธีทำกำไรเพิ่มกลับมาเป็นเท่าทวี จึงยิ่งกำเริบเสิบสานหนัก ปรากฏว่าหลายปีมานี้ พ่อค้าเกลือตามแถบชายแดนนับวันยิ่งมากขึ้น จับได้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ยอมเลิกรา

ในที่สุดแม่ทัพสวินก็นำความขึ้นกราบทูลว่าที่พ่อค้าเกลือแถบชายแดนกำเริบเสิบสานเช่นนี้ เป็นเพราะแคว้นหลีคอยให้ท้ายอยู่เบื้องหลังและลงโทษเพียงสถานเบา หากคิดจะยับยั้งมีเพียงต้องลงโทษสถานหนัก นับแต่นั้นมาบริเวณชายแดนขอเพียงจับพ่อค้าที่ลักลอบขนเกลือได้ไม่ว่าจะเป็นคนแคว้นใด จับได้หนึ่งคนก็ประหารหนึ่งคน บิดาของนางก็มาเจอเข้ากับข้อกำหนดที่ประกาศออกมาใหม่พอดี เพื่อจะสร้างความน่าเกรงขาม ราชสำนักย่อมลงโทษอย่างเฉียบขาด”

มีโทษเดียว จับพ่อค้าเกลือได้ไม่ว่าถูกผิด ราชสำนักสั่งประหารสถานเดียว

ไม่ได้ค้ายาเสพติด ทำอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพของมนุษย์เสียหน่อย ถึงกับใช้วิธีลงโทษรุนแรงเช่นนี้ ฮ่องเต้ผู้นี้ใช่ออกจะโง่เขลาเบาปัญญาหรือไม่

หลวนอวิ๋นชูย่นคิ้วน้อยๆ

“เราสังหารคนแคว้นหลีเช่นนี้ แคว้นหลีไม่คัดค้านหรือ”

“เหตุใดจะไม่คัดค้านล่ะเจ้าคะ” สีหน้าหลี่หวาจริงจังอย่างน้อยครั้งจะเป็น “หนึ่งปีมานี้ ชายแดนไม่เคยสงบ ทุกครั้งที่สังหารพ่อค้าเกลือชาวแคว้นหลีจำนวนมาก ชายแดนก็จะถูกลอบโจมตีหลายครั้ง บางครั้งก็จับตัวได้ ล้วนเป็นพวกโจรผู้ร้าย ไม่มีหลักฐานอะไร…ดีที่แม่น้ำหลวนมีชัยภูมิธรรมชาติที่เต็มไปด้วยอันตราย การรุกรานโจมตีขนาดเล็กไม่อาจก่อให้เกิดคลื่นลมใหญ่โตได้ แคว้นเราจนถึงวันนี้จึงยังนับว่ามั่นคงปลอดภัย”

พูดแล้วหลี่หวาก็ทอดถอนใจ

“เฮ้อ ชายแดนไม่สงบ ที่ลำบากก็คือพวกเราคนทำการค้า คนแคว้นหลีชอบสตรีทางใต้ที่อ่อนช้อยบอบบาง ปกติปีหนึ่งอย่างน้อยต้องส่งไปสามกลุ่มห้ากลุ่ม ผลกำไรก็ก้อนโต ปีนี้ถึงกับกลุ่มเดียวก็ไม่ได้ส่งไป ได้ยินว่าคนแคว้นหลีเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ ปฏิบัติต่อคนแคว้นเราด้วยความเคียดแค้น เจอคนแคว้นหลวนที่หลงอยู่คนเดียวก็สังหาร”

ชายแดนทางเหนือตึงเครียด ยังจะยกทัพไปทางตะวันออกโจมตีแคว้นชื่ออีก ฮ่องเต้คิดจะทำอะไร ไม่กลัวจู่ๆ แคว้นหลีฉีกสนธิสัญญาทิ้ง แล้วแคว้นหลวนจะถูกศัตรูขนาบทั้งหน้าหลังหรือ ฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว หลวนอวิ๋นชูพลันนึกถึงเรื่องที่แม่ทัพใหญ่จะยกทัพไปทางตะวันออก ในใจเกิดความกังวลขึ้นมารำไร

อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่สตรีผู้หนึ่งควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว แม้ฉงนสงสัย หลวนอวิ๋นชูกลับไม่ได้ถามต่อ

สายตาเบนไปที่เฉิงชิงเสวี่ยอีกครั้ง หลี่หวาบอกอีกฝ่ายเคยฝึกยุทธ์ที่ภูเขาเทียนมู่ เรื่องนี้กระตุ้นความสนใจของหลวนอวิ๋นชูอย่างมาก นางคิดจะหาสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายที่ร่างกายแข็งแกร่งทรงพลังสักคนมาโดยตลอด นี่จะเป็นกำลังสำคัญที่สามารถรับรองความอยู่รอดของนางในอนาคตหลังออกจากจวนกั๋วกง ไม่ว่าอย่างไรร่างกายร่างนี้ของนางอ่อนแอเกินไป

สวรรค์เมตตาสงสารถึงให้นางได้พบเจอคนที่เป็นวรยุทธ์ หลวนอวิ๋นชูสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน แต่ในใจลิงโลดไปนานแล้ว

แม้จะมีใจแต่ไม่อาจรับคนเรื่อยเปื่อยได้ ต้องพิจารณาดูให้ละเอียด

เห็นหลวนอวิ๋นชูมองมาตาไม่กะพริบ เฉิงชิงเสวี่ยก็เหยียดร่างขึ้นตรง สองมือกอดอกท่าทางไม่สะทกสะท้าน

ภายใต้การมองประเมินอย่างละเอียด หลวนอวิ๋นชูพลันพบว่าบนสาบเสื้อตรงหน้าอกของเฉิงชิงเสวี่ยมีรอยเปื้อนติดอยู่ ตัวเสื้อสีเหลืองอ่อนยิ่งทำให้เห็นรอยเปื้อนเด่นชัดเป็นพิเศษ หัวใจนางหนักอึ้งขึ้นมาทันที

เฮ้อ เลือกมาตั้งนาน ไม่ใช่ไปเจอคนสกปรกเลอะเทอะเข้าหรอกนะ

เห็นหลวนอวิ๋นชูมองจ้องเสื้อผ้าของนาง มือที่กอดอกอยู่ของเฉิงชิงเสวี่ยขยับเล็กน้อยอย่างไม่เผยร่องรอย แขนเสื้อกว้างพลันปิดบังรอยเปื้อนเอาไว้อย่างมิดชิด

เงยหน้าขึ้นมา หลวนอวิ๋นชูเขม้นมองเฉิงชิงเสวี่ยด้วยแววตาเย็นชา กลับเห็นส่วนลึกในดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความเฉยเมย ไม่มีท่าทีตื่นเต้นแม้แต่น้อย คล้ายเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น

หลวนอวิ๋นชูพยักหน้าน้อยๆ สุขุมเยือกเย็นมากพอ ฝูหรงขาดสิ่งนี้

“เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”

“เรียนสะใภ้สี่ อายุสิบหกเจ้าค่ะ”

“อยู่ที่ภูเขาเทียนมู่เรียนอะไรมาบ้าง”

“เรียนวรยุทธ์เจ้าค่ะ”

ไร้สาระ ใครบ้างไม่รู้ว่าเรียนวรยุทธ์!

เห็นเฉิงชิงเสวี่ยตอบสั้นๆ หลวนอวิ๋นชูก็ย่นคิ้ว

หลวนอวิ๋นชูไม่รู้ว่าแคว้นหลวนให้ความสำคัญกับบุ๋นมากกว่าบู๊ โดยเฉพาะอิสตรีฝึกฝนวรยุทธ์ ไม่พูดถึงว่าจะถูกคนดูถูก เกรงว่ากระทั่งคิดจะแต่งออกไปยังยาก เฉิงชิงเสวี่ยย่อมไม่ยินดีจะเอ่ยถึงมากนัก

“เจ้าเป็นวรยุทธ์ เพราะเหตุใดยังถูกจับ” หลวนอวิ๋นชูมองดวงตาทั้งสองของเฉิงชิงเสวี่ยตาไม่กะพริบ ในน้ำเสียงมีความเยียบเย็นเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน “ในเมื่อถูกปล่อยออกมาแล้ว เพราะเหตุใดจึงไม่หนีกลับไป”

กฎหมายแคว้นหลวนเข้มงวดเช่นนี้ บ่าวไพร่คนใดจะกล้าหนีเล่า!

เกิดถูกจับตัวกลับมา ถูกแห่ประจานต่อหน้าธารกำนัลเป็นเรื่องเล็ก ยังต้องถูกลงโทษด้วยการใช้มีดแยกเนื้อออกจากกระดูก หลี่หวาเบิกตาโตดุจกระดิ่งทองแดงมองหลวนอวิ๋นชู ถ้าไม่ใช่ผ่านการฝึกฝนมาดี หลี่หวาคงร้องอุทานออกมาแล้ว

นางอยู่ในกลุ่มค้ามนุษย์มานานปีเพียงนี้ รู้เรื่องเหล่านี้ดีดุจนิ้วมือของตน

หลวนอวิ๋นชูกลับไม่คิดเช่นนี้ ชาติก่อนอ่านนิยายกำลังภายในมามาก ตามความคิดของนาง ในเมื่อเป็นวรยุทธ์ก็หลบซ่อนตัวในยุทธภพได้ ปล้นคนรวยช่วยคนจน ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี ด้วยเหตุนี้นางจึงสงสัยอย่างมากว่าเฉิงชิงเสวี่ยผู้นี้มีวรยุทธ์อย่างเสียเปล่าหรือไม่ เพราะเหตุใดจึงไม่หนีและไม่แก้แค้น กลับยินยอมพร้อมใจให้คนเลือกไปเลือกมาดุจสินค้าเช่นนี้

“ชิงเสวี่ยกับท่านพ่อถูกบ่าวชั่วเฉิงสืออีทรยศ ชั่วเวลาเพียงคืนเดียวก็ตกเป็นนักโทษที่ถูกพิจารณาคดีที่ขั้นบันได*” แววตาสั่นไหว เฉิงชิงเสวี่ยกล่าวเสียงราบเรียบ “เดิมชิงเสวี่ยสามารถหนีไปได้ ท่านพ่อก็พยายามเร่งเร้าให้ชิงเสวี่ยรีบหนี แต่ใต้เท้าเจี่ยข่มขู่ ใช้ดาบพาดคอท่านพ่อ บอกถ้าชิงเสวี่ยกล้าหนี เขาก็จะสังหารท่านพ่อทันที ตอนนั้นไม่รู้ว่าความผิดของท่านพ่อคือโทษตายตัดศีรษะ ชิงเสวี่ยจึงได้ยอมให้จับตัวแต่โดยดี”

เฉิงชิงเสวี่ยพูดไปเสียงก็เจือสะอื้น หยุดนิ่งไปพักใหญ่จึงกล่าวต่อ

“ชิงเสวี่ยเป็นนักโทษทางการที่ถูกสักตัวอักษร สำมะโนครัวหรือหนังสือหลักฐานต่างๆ ถูกเพิกถอนไปหมดแล้ว ไม่มีเจ้านายนำพา ไปถึงไหนก็ต้องถูกสอบสวนซักถาม กระทั่งโรงเตี๊ยมร้านอาหาร ด้วยกลัวจะส่งผลกระทบต่อการทำการค้า ล้วนไม่ให้คนเช่นพวกเราเข้าไป แคว้นหลี…ยิ่งกลับไปไม่ได้แล้ว”

หลวนอวิ๋นชูก็เข้าใจขึ้นมาแล้ว หน้าผากของเฉิงชิงเสวี่ยถูกสักตัวอักษรไว้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผ่านด่าน แม้แต่กินข้าวพักโรงเตี๊ยมก็ต้องถูกสอบสวน ไม่ก็ขอดู ‘หลักฐานประจำตัว’ ต่อให้มีวรยุทธ์ติดตัว เกรงว่าก็คงครั้งนี้หนีรอดไปได้ ครั้งหน้าก็หนีไม่รอด คิดจะข้ามผ่านด่านแล้วด่านเล่าหนีกลับบ้านเกิดเมืองนอน พูดได้คำเดียวว่า ‘ยาก’

“เจ้ารู้หนังสือหรือไม่”

“สะใภ้สี่หมายถึงภาษาหลวนหรือภาษาหลีเจ้าคะ”

ภาษาหลวนหรือภาษาหลี?

หรือว่าตัวอักษรของสองแคว้นนี้ไม่เหมือนกัน

หลวนอวิ๋นชูอึ้งตะลึง เรื่องนี้นางเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ในใจนึกสงสัย ปากกลับไม่ได้ถามออกไป เพียงมองเฉิงชิงเสวี่ยไม่พูดอะไร

“สอนเจ้าไว้ว่าอย่างไร ปกติไหวพริบเฉียบไว พอถึงช่วงสำคัญกลับเชื่องช้าเสียแล้ว!” หลี่หวาเข้าใจว่าหลวนอวิ๋นชูไม่พอใจจึงกล่าวตำหนิ “ยังต้องถามด้วยหรือ สะใภ้สี่ไม่เคยไปแคว้นหลี ที่ถามย่อมหมายถึงภาษาหลวน!” จากนั้นก็หันมายิ้มให้หลวนอวิ๋นชู “สะใภ้สี่ท่านอย่าได้ขบขัน ล้วนแต่เป็นพวกเด็กๆ เห็นท่านถามละเอียดก็อาจจะตื่นเต้น นางเติบโตในแคว้นหลี รู้ภาษาหลวนไม่มาก พอกล้อมแกล้มอ่านชื่อตนเองได้เท่านั้น”

“อ้อ…” หลวนอวิ๋นชูพยักหน้า สายตาเบนไปทางอื่น

หลี่หวาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาตามไปด้วย

“สะใภ้สี่ท่านอย่าได้ดูเบา นางแม้จะรู้หนังสือไม่มาก แต่คนยังนับว่ามีไหวพริบ ขยันขันแข็ง จิตใจก็ดี เพียงดูจากรูปร่างก็แข็งแรงกว่าหญิงสาวทั่วไปแล้ว ติดแค่สูงไปสักหน่อย มองดูแล้วสูงโดดเด่น แต่…ท่านรับไว้ให้อยู่เรือนด้านหลัง หาบน้ำ กวาดลานเรือนอะไรก็ได้ เป็นสาวใช้ใช้แรงงาน เรียกได้ว่าคนเดียวทำงานเท่ากับสองคน”

ลอบชำเลืองมองสีหน้าหลวนอวิ๋นชูแวบหนึ่ง หลี่หวาก็พูดอย่างเปิดเผยจริงใจ

“ขอบอกกับท่านอย่างไม่ปิดบัง นางหนูผู้นี้อยู่กับข้ามาสามเดือนกว่าแล้ว พานางไปพบลูกค้ามาหลายราย ทุกคนพอเห็นรอยสักบนหน้าผากของนางต่างก็ส่ายหน้า เดิมทีก็คิดจะทำเหมือนคนอื่น ขายต่อให้เจ้าอื่นไป ขอแค่ไม่ขาดทุนก็พอ แต่ประการแรกนางหนูผู้นี้ขยันขันแข็ง ทั้งรู้จักอ่านสายตาข้า ประการที่สอง ข้าก็สงสารนางที่โชคชะตาอาภัพ…อยู่กับข้า ข้ารู้จักลูกค้ามาก ย่อมมีโอกาสที่จะได้อยู่บ้านที่มีฐานะมีหน้ามีตาสักหน่อย ดีกว่าถูกขายไปสถานที่ไม่ดีจนถูกย่ำยี”

สายตาเบนกลับไปที่เฉิงชิงเสวี่ยอีกครั้ง หลวนอวิ๋นชูนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไร

หัวคิ้วขยับเล็กน้อย หลี่หวาบอกอย่างเด็ดขาด

“ข้าเห็นท่านก็มีเจตนาจะรับนางไว้ เอาอย่างนี้ ถ้าท่านคิดจะรับนางไว้ด้วยความจริงใจ ข้าก็ไม่เอาค่ากินอยู่กับกำไรแล้ว ท่านจ่ายทุนคืนให้ข้าก็พอ ถือเสียว่าข้าสงสารนางหนูผู้นี้ ท่านเพียงดีต่อนาง ให้ข้าวนางกิน อย่าให้คนข่มเหงนางจนเกินไปก็พอ!” แล้วบอก “ค่าตัวของนางเดิมก็ไม่สูง ตอนข้าซื้อนางมาก็จ่ายไปเพียงห้าตำลึง ไม่พอให้ท่านกินอาหารดีๆ มื้อหนึ่งเสียด้วยซ้ำ สะใภ้สี่ ท่านว่า…”

บทที่สิบสอง

 “สะใภ้สี่ ก่อนหน้านี้สะใภ้ใหญ่สั่งกำชับแล้วสั่งกำชับอีก บอกบ่าวไม่ต้องเสียดายเงินทอง ขอเพียงท่านเห็นดีแล้วก็ซื้อให้ท่าน” เห็นหลวนอวิ๋นชูหวั่นไหว พ่อบ้านเฮ่อก็เอ่ยขึ้น “ท่านเลือกครั้งหนึ่งจะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน จวนเราไม่ขาดแคลนเงิน!”

ในน้ำเสียงถ่อมตนมีมารยาทแฝงไปด้วยพลังอันหนักแน่น ความไม่พอใจในตัวหลี่หวาเอ่อท้นออกมาทางสีหน้าและคำพูด จวนกั๋วกงไม่ขาดแคลนเงินทอง ซื้อสาวใช้ต้องเลือกมาจากครอบครัวที่ไร้จุดด่างพร้อย นางหนูผู้นี้เป็นนักโทษของทางการ เป็นคนแคว้นหลี ถ้าซื้อตัวมาจริง ไยมิใช่ทำให้เสื่อมเสียฐานะของจวนกั๋วกง!

เห็นหลี่หวาที่รู้จักผู้คนมากมายกลัวสินค้าจะตกค้างอยู่ในมือตนรีบชิงลดราคาให้ก่อน ก็รู้แล้วว่าตระกูลใหญ่ในเมืองหลวนเฉิงไม่มีคนพึงใจนางหนูผู้นี้

หลวนอวิ๋นชูอายุยังน้อยเกินไป ทำอะไรไม่รู้จักขอบเขตความเหมาะสม เขาซึ่งได้รับการไหว้วานจากเหยาหลันย่อมต้องเอ่ยเตือน

คงถูกคนโจมตีเช่นนี้มาไม่น้อย ฟังคำพูดของพ่อบ้านเฮ่อแล้ว เฉิงชิงเสวี่ยถึงกับสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เพียงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน สายตาไม่แม้แต่จะชำเลืองไปด้านข้าง

หลี่หวาปิดปากอย่างรู้การควรไม่ควร

นางยังไม่ถึงกับต้องล่วงเกินพ่อบ้านของจวนกั๋วกงเพื่อเด็กสาวคนหนึ่ง คนเหล่านี้ล้วนเป็นเทพแห่งโชคลาภของนาง นางเห็นใจเฉิงชิงเสวี่ยอย่างแท้จริง ทว่าความเห็นใจก็ต้องมีขีดจำกัด

หลวนอวิ๋นชูเพียงขมวดคิ้ว ไม่ได้เอาคำพูดของพ่อบ้านเฮ่อมาใส่ใจ นางเพียงมองเฉิงชิงเสวี่ย ปากก็พึมพำขึ้น

“ไม่รู้จักภาษาหลวน?”

หลวนอวิ๋นชูที่ทุกข์ใจเรื่องไม่รู้หนังสือมาโดยตลอดพลันคิดวิธีแอบเรียนภาษาหลวนโดยไม่มีใครรู้ออกมาได้วิธีหนึ่ง

สี่จวี๋ก็มีความคิดเช่นเดียวกับพ่อบ้าน กลัวหลวนอวิ๋นชูจะหุนหันชั่วขณะ เกิดความเห็นอกเห็นใจขึ้นมาอย่างล้นหลาม รับนักโทษทางการที่มีรอยสักผู้นี้ไว้ ทำให้นายหญิงใหญ่กับต่งกั๋วกงไม่พอใจไม่พูดถึง เกรงว่าจะกลายเป็นจุดอ่อนให้เรือนต่างๆ หัวเราะเยาะ เห็นนางพึมพำกับตนเองจึงฉวยโอกาสนี้ถามขึ้น

“เจ้าแต่งบทกวีโคลงกลอนได้หรือไม่ ทำงานเย็บปักถักร้อยได้หรือไม่”

หลวนอวิ๋นชูเป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค ต่อให้คนข้างกายของนางเป็นเพียงคนกวาดพื้นก็ควรทำสิ่งเหล่านี้ได้ เฉิงชิงเสวี่ยบอกว่าฝึกยุทธ์ตั้งแต่เล็ก คงทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แน่ ถูกเปิดโปงต่อหน้าผู้คนแล้ว หลวนอวิ๋นชูจะได้เลิกล้มความตั้งใจที่มีต่อกระสอบใส่ฟางผู้นี้

สี่จวี๋คิดแทนหลวนอวิ๋นชูด้วยความจริงใจ แต่น่าเสียดาย นางเดาความคิดของหลวนอวิ๋นชูไม่ถูก ย่อมขัดกันไปเสียทุกอย่าง เห็นอีกฝ่ายทำเช่นนี้ ในใจของหลวนอวิ๋นชูรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก แต่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เพียงสังเกตท่าทีของเฉิงชิงเสวี่ยเงียบๆ

สี่จวี๋คาดเดาไม่ผิด เฉิงชิงเสวี่ยทำสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นจริงๆ เห็นสาวใช้หน้าตาสะสวยท่าทางเฉลียวฉลาดผู้นี้สร้างความลำบากใจให้ตนต่อหน้าผู้คน เฉิงชิงเสวี่ยก็เข้าใจในทันที นอกจากพ่อบ้านแล้วคนผู้นี้ก็ไม่ชอบนาง ร่างพลันแข็งค้าง ส่วนลึกในดวงตามีประกายผิดหวังพาดผ่านจางๆ พริบตาเดียวก็ยืดอกขึ้น ตอบอย่างหมดจดรวดเร็ว

“ตั้งแต่เล็กชิงเสวี่ยก็ติดตามอาจารย์ฝึกฝนวรยุทธ์ แต่งบทกวีโคลงกลอนไม่เป็น เย็บปักถักร้อยยิ่งไม่เป็น!”

อะไรก็ทำไม่เป็น ยังเหิมเกริมเพียงนี้

ฟังเสียงพูดดังกังวานนี้แล้ว สี่จวี๋อึ้งไปชั่วขณะ ขณะจะเอ่ยตำหนิอยู่นั้นก็ได้ยินเด็กสาวท่าทางอ่อนหวานแช่มช้อย หน้าตาสวยงามเอ่ยเสียงสดใสไพเราะขึ้น

“ตั้งแต่เล็กบ่าวก็ชอบเขียนกลอนแต่งบทกวีและงานเย็บปักถักร้อย บ่าวทำได้เจ้าค่ะ!”

เด็กสาวผู้นี้ยืนอยู่ข้างเฉิงชิงเสวี่ยมาโดยตลอด เห็นหลวนอวิ๋นชูถามไปถามมากลับไม่เคยมองนางแม้แต่แวบเดียวจึงกระสับกระส่ายร้อนใจ อยากจะเคลื่อนไหวอยู่นานแล้ว ทั้งวิชาความรู้ของนาง รูปร่างหน้าตาของนางนับว่าสูงสุดในบรรดาเด็กสาวเหล่านี้ ก่อนมาหลี่หวาก็เตือนนาง สะใภ้สี่จะซื้อสาวใช้รุ่นใหญ่ประจำตัวคนหนึ่ง สะใภ้สี่ผู้นี้เป็นบัณฑิตหญิง จะต้องชอบคนที่เขียนกลอนแต่งบทกวีได้ ให้นางมีไหวพริบสักหน่อย อย่าพลาดโอกาสไปเป็นอันขาด

ตอนนี้เห็นว่าในที่สุดก็ถามถึงเรื่องบทกวีแล้ว แม้จะไม่ใช่ถามนาง แต่นางกลัวมากว่าจะพลาดโอกาสไปจึงรีบแย่งตอบ คิดจะกระตุ้นความสนใจจากหลวนอวิ๋นชู ไม่ผิดจากที่คาด คำพูดกังวานใสประโยคเดียวเบี่ยงเบนความสนใจจากทุกคนได้สำเร็จ พ่อบ้านเฮ่อกับสี่จวี๋กวาดตาขึ้นลงมองประเมินเด็กสาวผู้นี้ ต่างคลี่ยิ้มออกมา

ไม่เลว นางหนูผู้นี้มีไหวพริบมากพอ รู้จักพูดในเวลาที่เหมาะสม

หลวนอวิ๋นชูกลับรู้สึกไม่พอใจเท่าไร

ยังไม่ได้บอกจะซื้อตัวนางเลย ก็แทนตนเองว่า ‘บ่าว’ แล้ว!

เขียนกลอนแต่งบทกวีได้แล้วอย่างไร เจ้าเข้าใจว่าจะเลือกสาวงามหรือ

เห็นหลวนอวิ๋นชูไม่ชอบใจ หลี่หวาก็แสร้งทำเป็นโมโหบอก

“รีบหยุดปาก สะใภ้สี่ไม่ได้ถามเจ้า ห้ามพูดแทรกขึ้นมา กระทั่งมารยาทก็ลืมแล้วหรือ”

“บ่าวรู้ตัวว่าผิดแล้ว! สะใภ้สี่โปรดอย่าตำหนิ บ่าวไม่กล้าทำอีกแล้ว” ปากก็กล่าวยอมรับผิดไม่หยุด ใบหน้ากลับไม่มีแววสำนึกผิดแม้แต่น้อย เด็กสาวมองหลวนอวิ๋นชูด้วยความเลื่อมใสศรัทธา “บ่าวชอบบทกวีของสะใภ้สี่มากที่สุด ตั้งแต่เล็กก็เคารพเลื่อมใสท่าน! ท่องบทกวีของท่านทุกวัน วันนี้พอได้พบท่านก็ตื่นเต้นจนลืมหมดสิ้นทุกอย่าง”

“นางหนูผู้นี้ชื่อสวีฟาง อายุสิบห้า” หลี่หวาไม่พลาดโอกาสที่จะเอ่ยแนะนำ “บรรพบุรุษก็เป็นตระกูลที่เรียนหนังสือมาหลายชั่วคน ภายหลังตกต่ำลง มาถึงรุ่นบิดาของนางทรัพย์สินที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษไม่มีเหลือแล้ว มารดาของนางหลังคลอดน้องชายก็ป่วยเรื้อรัง วันๆ ประคองแต่กระปุกยา คนทั้งบ้านก็ต้องกินข้าว ถึงได้ส่งตัวนางมาที่ข้า…”

“ฐานะทางครอบครัวเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงให้บุตรสาวเรียนหนังสือได้”

คำพูดนี้ทำให้ฝูหรงนึกถึงแม่นางเชี่ยนอวิ๋น สาวงามอันดับหนึ่งของสำนักนางโลมชุ่ยอวิ๋น เด็กสาวผู้นี้คงไม่ใช่เติบโตอยู่ในสำนักนางโลมเช่นกันกระมัง

“มารดาของนางเป็นคนสอนให้” หลี่หวามองสวีฟางด้วยความเห็นใจในเคราะห์กรรมของนาง “มารดาของนางถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ ตั้งแต่เล็กก็ชื่นชอบบทกวีโคลงกลอน ได้รู้จักกับบิดาของนางในงานชุมนุมบทกวี พอเห็นก็เลื่อมใสศรัทธา ไม่คิดว่าถึงกับเป็นบัณฑิตยากไร้ พอครอบครัวไม่เห็นดีด้วยจึงหนีตามกันไป” ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “เฮ้อ…เวรกรรมแท้ๆ! นับแต่ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เข้าออกชุมนุมกวี เวลานี้จิตใจคนก็ไม่เหมือนแต่ก่อน สังคมเสื่อมโทรมลงทุกวัน”

พูดมาถึงตรงนี้พลันคิดได้ว่าหลวนอวิ๋นชูได้รางวัลชนะเลิศในงานชุมนุมบทกวีติดต่อกันถึงสามปี หลี่หวารีบหยุดประเด็นสนทนาทันที มองนางแล้วยิ้มเจื่อน

หลวนอวิ๋นชูคล้ายไม่เห็นท่าทางกลืนไม่เข้า คายไม่ออกของหลี่หวา กวาดสายตาขึ้นลงมองประเมินสวีฟางหลายครั้ง ผงกศีรษะน้อยๆ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ หลี่หวาเองก็ลอบระบายลมหายใจ ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่หน้าผาก เดินตามติดไปข้างหลัง

เดินๆ หยุดๆ หลี่หวาผู้นี้ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนและเป็นคนสายตาดี ขอเพียงหลวนอวิ๋นชูมีท่าทีสนใจคนไหนเพียงเล็กน้อย นางก็จะรีบแนะนำทันที

ดีที่หลี่หวาความจำดี เห็นนางรู้จักภูมิหลังและตระกูลของเด็กสาวเหล่านี้ดีราวกับนับสมบัติในบ้านของตน หลวนอวิ๋นชูก็อดเลื่อมใสไม่ได้ ลำพังความใส่ใจเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปยากจะทำได้ มิน่านางถึงได้เป็นผู้นำ เป็นหัวมังกรของกลุ่มค้าทาส

ฟังไปก็ผงกศีรษะไป บางครั้งก็หยุดถามสองสามประโยค แต่กลับไม่ได้หยุดอยู่นาน ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็เดินหมดแถวสุดท้าย หลวนอวิ๋นชูเหนื่อยแล้ว นางเกาะแขนฝูหรงเดินช้าๆ มานั่งลงที่ด้านหน้า ยื่นมือไปรับน้ำชาที่สาวใช้ยกมาให้ เปิดฝาถ้วยแล้วเป่าเบาๆ ก้มลงดื่มไปหลายคำ

เห็นนางนั่งลงแล้ว พ่อบ้านเฮ่อก็เชิญหลี่หวานั่งลงยังที่นั่งแขก สั่งสาวใช้ยกน้ำชามาให้

ทอดสายตามองไป ในห้องโถงแออัดไปด้วยผู้คน แต่กลับเงียบกริบไร้สุ้มเสียง โดยเฉพาะสี่สิบกว่าคนที่รอเลือกตัวอยู่ที่ด้านล่าง ต่างยืนกลั้นลมหายใจ มองหลวนอวิ๋นชูตาปริบๆ ในห้องโถงกว้างใหญ่ได้ยินเพียงเสียงจิบชาเบาๆ เงียบจนทำให้คนหายใจไม่ออก

เห็นว่าในที่สุดหลวนอวิ๋นชูก็วางถ้วยชา หลี่หวาจึงยื่นถ้วยชาในมือให้สาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง

“สะใภ้สี่ เอ่อ…ท่านดูคนเหล่านี้…มีที่ถูกใจหรือไม่”

เพิ่งเคยติดต่อทำการค้ากับหลวนอวิ๋นชูเป็นครั้งแรก หลี่หวาที่เห็นว่าตนพบเจอคนมานับไม่ถ้วน สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คืออ่านใจคน ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหญิงสาวตัวเล็กบอบบางหน้าตางดงามที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้แล้ว นางกลับมองไม่ออกแม้แต่น้อย เดินตามหลังหลวนอวิ๋นชูมารอบหนึ่ง พูดไปไม่รู้จบจนปากคอแห้งผากหมดแล้ว กลับยังคงอ่านความคิดของหลวนอวิ๋นชูไม่ออก จึงอดรู้สึกท้อแท้ไม่ได้ จะพูดอะไรย่อมไม่มีความมั่นใจ

“หรือไม่…สะใภ้สี่ก็เลือกที่ดูแล้วถูกใจจำนวนหนึ่งก่อน” สี่จวี๋พูดอย่างหยั่งเชิง “จากนั้นค่อยทดสอบความสามารถและฝีมือด้านอื่น”

หลวนอวิ๋นชูก็กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ เดินมารอบหนึ่ง เพียงอาศัยสัญชาตญาณคนที่เข้าตาก็มีอยู่ยี่สิบกว่าคน แต่นางต้องการเพียงสิบเจ็ดคน ก้าวต่อไปจะคัดกรองอย่างไรก็เป็นเรื่องยากอย่างหนึ่ง นางไม่คุ้นเคยกับพิธีการธรรมเนียมปฏิบัติของสมัยโบราณ นอกจากสาวใช้ข้างกายที่พอจะรู้งานที่ทำบ้างแล้ว ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตำแหน่งหน้าที่ของคนอื่นๆ ที่เหลือต้องมีความชำนาญอะไรเป็นพิเศษ ถ้าจะให้นางมาคัดเลือกตามประเภทของงานก็คงเหนื่อยแย่

ได้ยินคำพูดของสี่จวี๋แล้ว หลวนอวิ๋นชูก็เกิดความคิดขึ้นในใจจึงพยักหน้า

“ข้าจะเรียกตามหมายเลขที่อยู่ตรงหน้าอกของพวกเจ้า คนที่ถูกเรียกก็ออกมายืนทางด้านนี้ ที่ยังเรียกไม่ถึงก็ยืนอยู่ที่เดิม จะมีคนมาพาพวกเจ้าไปพักผ่อน”

คำพูดเบาๆ เพียงประโยคเดียว อากาศรอบด้านพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที คนสี่สิบกว่าคนที่อยู่ด้านล่างแต่ละคนต่างยืดตัวตรง หูตั้งใจฟัง มองหลวนอวิ๋นชูด้วยความตื่นเต้นและเร่าร้อน ประหนึ่งอยู่ในช่วงเวลาประกาศผลการตัดสินผู้ได้ตำแหน่งสาวงามในยุคสมัยปัจจุบันก็ไม่ปาน

มุมปากหลวนอวิ๋นชูหยักยกขึ้น ดวงตาแวววาวดุจดวงดาว

หลังจากวุ่นวายอยู่พักหนึ่งคนสี่สิบกว่าคนก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม พ่อบ้านเฮ่อโบกมือขึ้น ก็มีหญิงรับใช้สูงวัยเข้ามาพากลุ่มที่ยืนอยู่ที่เดิมออกไป

มองคนยี่สิบเจ็ดคนที่หลวนอวิ๋นชูเลือกออกมา หลี่หวาสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บทีหนึ่ง

สะใภ้สี่ผู้นี้สายตาเฉียบคมมาก!

แม้เดินแค่รอบเดียว แต่คนที่เลือกออกมาในสิบคนมีแปดเก้าคนที่มีคุณสมบัติดีเลิศ เห็นแล้วนางก็ปวดใจ ที่ดีๆ ถูกเลือกไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ก็ขายไม่ได้ราคา ยังดีไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นใจหรือเห็นแก่ราคาที่ถูก หลวนอวิ๋นชูได้เลือกเฉิงชิงเสวี่ยไปด้วย เรื่องนี้ทำให้หลี่หวารู้สึกโล่งอกไม่น้อย

อันที่จริงเฉิงชิงเสวี่ยก็เป็นผู้มีคุณสมบัติดีเลิศคนหนึ่ง เพียงแต่ฐานะนักโทษทางการของนางทำให้คนเห็นแล้วถอยหนี สายตาหลี่หวาที่มองหลวนอวิ๋นชูต่างจากตอนเพิ่งมาถึง มีแต่ความเลื่อมใสหญิงสาวตัวเล็กผู้นี้จากส่วนลึกของหัวใจ เห็นหลวนอวิ๋นชูก็มองตนเองเช่นกันจึงพูดจากใจจริง

“บัณฑิตหญิงก็คือบัณฑิตหญิง แตกต่างจากคนอื่นอย่างแท้จริง สายตาในการมองคนของสะใภ้สี่ ในเมืองหลวนเฉิงก็พอจะนับได้ว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง ข้าทำงานเป็นคนค้าทาสมานานปี ต้องติดต่อทำการค้ากับผู้คนโดยเฉพาะ เข้าใจว่าตนเองพบเจอคนมามากมายนับไม่ถ้วน กลับไม่มีสายตาในการมองคนเช่นท่าน ครั้งนี้ท่านคัดเอาคนเก่งของข้าไปหมดแล้ว จะอย่างไรก็ต้องเพิ่มเงินพิเศษให้ข้าจึงจะถูก”

คนขายแตงไม่เคยบอกว่าแตงขมหลวนอวิ๋นชูมองหลี่หวาแวบหนึ่ง แม้จะสัมผัสได้ถึงความจริงใจในดวงตาของอีกฝ่าย นางกลับไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง เพียงยิ้มน้อยๆ แล้วบอก

“หลี่มามาชมเกินไปแล้ว คนที่เจ้าพามา ข้าเห็นแล้วดีทุกคน แต่ละคนล้วนยอดเยี่ยม เพียงแต่ข้าใช้คนมากเพียงนี้ไม่ไหว จำต้องตัดใจคัดออกไปจำนวนหนึ่ง”

คำพูดนี้ออกจะไม่เป็นจริง แต่หลี่หวายังคงรู้สึกดีใจ อย่างน้อยคำพูดนี้แสดงให้เห็นว่าหลวนอวิ๋นชูผู้มีสายตาสูงส่งยอมรับในตัวนางแล้ว

“คัดเลือกขั้นแรกออกมาได้แล้ว ก้าวต่อไป…สะใภ้สี่คิดจะ…”

พูดแล้วหลี่หวาก็หยุดปาก ในรอยยิ้มมีความตื่นเต้นจางๆ ผุดขึ้นมา ในใจของนางก็คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าก้าวต่อไปหลวนอวิ๋นชูจะจัดการเช่นไร

หลวนอวิ๋นชูยิ้มน้อยๆ หันไปกล่าวกับฝูหรงและสี่จวี๋

“ข้าร่อนตะแกรงใหญ่แล้ว ต่อไปก็มอบให้พวกเจ้าออกหัวข้อทดสอบ”

ให้พวกนางออกหัวข้อทดสอบ?

มีหน้ามีตาเพียงไรไม่พูดถึง บ่าวไพร่ที่ได้รับเลือกครั้งนี้ต่อไปย่อมเห็นตนเป็นอาจารย์ เชื่อฟังถ้อยคำของตน ได้ยินคำพูดนี้แล้ว หัวคิ้วหางตาของสี่จวี๋ล้วนแย้มยิ้ม มองไปที่หลวนอวิ๋นชูด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ คิดจะยืนยันว่าคำพูดนี้มีความจริงอยู่กี่ส่วน

ฝูหรงกลับรู้สึกว่าออกจะไม่เหมาะสม บอกอย่างลังเล

“สะใภ้สี่ นี่…”

“เจ้าแค่ลงมือทำไปก็พอ” หลวนอวิ๋นชูโบกมือให้ฝูหรง ตัดบทนาง “คนเหล่านี้เลือกกลับไปแล้วเจ้าก็ต้องเป็นคนฝึกอบรม ต่อไปสาวใช้ในเรือนลู่ย่วนตั้งแต่ขั้นหนึ่งลงมา เจ้าต้องเป็นคนจัดการ ถ้าทำงานได้ไม่เหมาะสมเรียบร้อย ข้าก็เพียงลงโทษเจ้า ตอนนี้ก็ต้องดูสายตาในการมองคนของเจ้าแล้ว”

สี่จวี๋ที่ตื่นเต้นกับฝูหรงที่จิตใจสับสนวุ่นวายต่างไม่ได้ตั้งใจฟังว่าที่หลวนอวิ๋นชูพูดเป็น ‘เจ้า’ ไม่ใช่ ‘พวกเจ้า’ แต่เด็กสาวที่รอให้เลือกกลับได้ยินอย่างชัดเจน สายตาที่มองฝูหรงจึงแตกต่างไปบ้าง

วิธีการยอดเยี่ยม!

หลี่หวาแอบยกนิ้วหัวแม่มือให้ เพียงควบคุมคนสนิทไม่กี่คน แล้วให้พวกเขาไปบังคับควบคุมคนที่อยู่ใต้ล่างอีกที บังคับควบคุมกันเป็นขั้นๆ เช่นนี้ ทุกคนต่างทำงานตามหน้าที่ของตน ผู้เป็นนายก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย คนใต้ล่างทำความผิด หัวหน้าเบื้องบนแต่ละขั้นก็ถูกลงโทษ

เวลาปฏิบัติจริงขึ้นมาเมื่อเจอปัญหาย่อมไม่มีใครกล้าปัดความรับผิดชอบ คนเหล่านี้พอถูกลงโทษแล้วก็ต้องพยายามบังคับควบคุมคนใต้ล่างอย่างเต็มที่…

ไม่เพียงหลี่หวา แม้แต่พ่อบ้านเฮ่อก็อดไม่ได้ที่จะผงกศีรษะติดๆ กัน สายตาที่เคยมองหลวนอวิ๋นชูอย่างคนไม่รู้อะไรลดน้อยไปหลายส่วน

ฝูหรงกับสี่จวี๋ปรึกษาหารือกันเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง สี่จวี๋ก็เงยหน้าขึ้นร้องเรียก

“สะใภ้สี่…”

“ไม่ต้องรายงานข้า พวกเจ้าปรึกษากันเสร็จแล้วก็ลงมือทำได้เลย”

“เจ้าค่ะ”

รับคำอย่างว่องไว สี่จวี๋ก็ร่วมกันกับฝูหรงสั่งให้คนเอาชุดน้ำชามาหลายชุด แล้วยกโต๊ะสี่เหลี่ยมเข้ามา เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็มาที่ด้านล่างด้วยกัน ฝูหรงเป็นคนออกคำสั่งก่อน ให้ทุกคนเปลี่ยนท่าทาง แล้วเดินไปมาสองสามรอบเพื่อดูรูปร่างอากัปกิริยา ดูหน้าตา จากนั้นก็ทดสอบมารยาทต่างๆ การยกน้ำชา การทักทายทำความเคารพ การต้อนรับและส่งแขก การโต้ตอบ จากนั้นก็ซักถามธรรมเนียมปฏิบัติบางอย่างในชีวิตประจำวัน หลังจากทดสอบผ่านไปรอบหนึ่งก็คัดคนที่ทำได้ไม่ดี ไม่ละเอียดรอบคอบ ตอบคำถามไม่ได้ออกไป เป็นเด็กสาวสามคน หญิงสูงวัยสองคน แล้วรายงานขึ้นมา หลวนอวิ๋นชูเพียงกวาดตามองแวบเดียวก็โบกมือให้ออกไป

ฝูหรงกับสี่จวี๋หันมองหน้ากันแล้วยิ้ม มีความมั่นใจมากขึ้น

สองคนพูดคุยกันเบาๆ สองสามประโยคสี่จวี๋ก็มาที่เบื้องหน้าหลี่หวา ยอบตัวทำความเคารพ

“หลี่มามาได้ให้พวกนางจัดเตรียมงานเย็บปักถักร้อยมาด้วยหรือไม่”

“ข้าคิดอยู่แล้วว่าสะใภ้สี่จะเลือกสาวใช้ งานเย็บปักถักร้อยด่านนี้จำเป็นต้องผ่าน” หลี่หวาหัวเราะออกมา “ให้พวกนางจัดเตรียมมาตั้งแต่แรกแล้ว สะใภ้สี่ท่านวางใจ งานปักที่พวกนางเตรียมมา ตอนทำข้าล้วนดูอยู่ ไม่มีของปลอมปนมาแน่ ข้าให้พวกนางปักชื่อไว้บนนั้นด้วย ถ้าถูกท่านเลือกไป ท่านก็เก็บงานปักไว้เป็นตัวอย่าง ถ้าวันหน้าพบว่าคนใดขี้โกง งานปักที่ทำออกมา ฝีเข็มคุณภาพของงานไม่สอดคล้องกับตัวอย่างงานที่เก็บไว้ ท่านก็มาหาข้าได้เลย ข้ารับผิดชอบเปลี่ยนคนให้ใหม่ รับรองไม่เก็บเงินแม้แต่เหวินเดียว!”

ไม่มีคำพูดใด หลวนอวิ๋นชูเพียงจิบชาคำแล้วคำเล่า หลี่หวารู้สึกเสียความมั่นใจเล็กน้อย นางรีบกล่าวเสริมขึ้น

“ถ้าสะใภ้สี่ยังไม่วางใจ ก็จัดเตรียมเข็มด้ายให้พวกนางลงมือทำตอนนี้เลย”

ทดสอบตอนนี้เลย?

นางไม่ว่างเพียงนั้นหรอก ทั้งดูไม่เข้าใจด้วย เสียเวลาเปล่า

“อืม” หลวนอวิ๋นชูวางถ้วยชาลง ช้อนตาขึ้นกวาดมองไปรอบหนึ่ง “ในเมื่อจัดเตรียมไว้แล้วก็ให้พวกนางเอาออกมาเถิด”

หลี่หวาสีหน้าผ่อนคลายลง ลุกเดินมาตรงหน้าเด็กสาวทั้งหลายแล้วตบๆ มือ

“ทุกคน เอางานเย็บปักที่พวกเจ้าเตรียมไว้ออกมาเถิด ให้สะใภ้สี่กับแม่นางทั้งสองดู”

วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง ทุกคนต่างหยิบงานปักที่จัดเตรียมอยู่ก่อนแล้วออกมาจากในแขนเสื้อ สะบัดเบาๆ แล้วคลี่ออก กางไว้ตรงหน้าตน บ้างก็ชิ้นใหญ่บ้างก็ชิ้นเล็ก สีสันแตกต่างกันไป ประหนึ่งบุปผานานาพรรณผลิบานสะพรั่ง และก็คล้ายนกยูงรำแพนหาง หลวนอวิ๋นชูมองจนละลานตาไปหมด

มีสาวใช้หยิบถาดเงินออกมาใบหนึ่ง แล้วเก็บงานปักของทุกคนขึ้นมา ฝูหรงกับสี่จวี๋ตรวจนับรอบหนึ่งแล้วพากันมาที่เบื้องหน้าหลวนอวิ๋นชู สี่จวี๋สองมือประคองงานปักขึ้นมา บอกว่า

“สะใภ้สี่ ทั้งหมดยี่สิบสองคน เก็บงานปักมาได้สิบเจ็ดชิ้น นอกจากหญิงสูงวัยสี่คนแล้ว ขาดแค่เฉิงชิงเสวี่ยคนเดียว เชิญท่านตรวจดูเจ้าค่ะ”

ฟังคำพูดนี้แล้ว ทุกคนต่างมองไปที่เฉิงชิงเสวี่ยเป็นตาเดียว หลวนอวิ๋นชูเองก็มองไป กลับเห็นนางยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน ไม่มีท่าทางกระวนกระวายใดๆ เพียงสองแก้มแดงขึ้นมาเล็กน้อย

ต้องเผชิญกับสถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออกเช่นนี้ กลับยังสงบนิ่งอยู่ได้ ดีมาก!

ถอนสายตากลับมา หลวนอวิ๋นชูโบกมือบอก

“เจ้ากับฝูหรงคัดเลือกกันเองก็แล้วกัน”

ฝีมือเย็บปักถักร้อยของหลวนอวิ๋นชูในเมืองหลวนเฉิงนี้ยากจะหาใครเทียม การคัดเลือกงานปักนี้ใครจะกล้าแสดงฝีมือที่ต่ำต้อยต่อหน้านาง คิดได้ดังนี้สี่จวี๋จึงว่า “บ่าวจะกล้าวิจารณ์ต่อหน้าท่านได้อย่างไร”

“แม่นางสี่จวี๋กล่าวได้ถูกต้อง ฝีมือเย็บปักถักร้อยของสะใภ้สี่ในเมืองหลวนเฉิงยากจะหาใครเทียม วันนี้ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องวิจารณ์ด้วยตนเอง” วางถ้วยชาที่เพิ่งยกขึ้นมาลง หลี่หวามองหลวนอวิ๋นชูอย่างกระตือรือร้น “ท่านไม่รู้อะไร สาวๆ เหล่านี้พอได้ยินว่าท่านจะคัดเลือกสาวใช้ ต่างก็ตื่นเต้นราวกับอะไร งานปักที่เตรียมไว้แต่เดิมก็รู้สึกยังไม่พอใจ นอนไม่หลับลุกขึ้นมาขบคิดหาลวดลายใหม่ เพียงเฝ้ารอช่วงเวลานี้ สามารถได้รับการพยักหน้ายอมรับจากท่าน…” แล้วบอก “สะใภ้สี่ไม่รู้ คำวิจารณ์เพียงคำเดียวของท่าน เพียงพอให้พวกนางใช้ประโยชน์ไปชั่วชีวิตแล้ว”

คำพูดเพียงคำเดียวของหลี่หวาก็ประคองหลวนอวิ๋นชูขึ้นไปอยู่บนยอดเมฆแล้ว ภายในห้องโถงมีเสียงชื่นชมด้วยความเลื่อมใสดังขึ้นมาทันที ในหูของหลวนอวิ๋นชูมีเสียงดังอึงอล เสื้อแนบติดแผ่นหลัง คนเหล่านี้ไหนเลยจะรู้ นางทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็นเลย จะให้นางแสดงความเห็นยังไม่สู้ให้นางกลับไปนอน

ทำอย่างไรดี

ความคิดหมุนไปอย่างเร็วรี่ หลวนอวิ๋นชูมองหลี่หวาแล้วยิ้มน้อยๆ

หลี่หวาเริ่มรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา

ความคิดของหลวนอวิ๋นชูตนมองไม่ออกแม้แต่น้อย ด้วยเคยเห็นงานฝีมือของนางมาก่อน ตนจึงกล้าสรรเสริญเยินยอเช่นนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคงตัวลอย ชิงโอ้อวดตัวไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าสะใภ้สี่ผู้นี้กลับ…

ไม่ได้ชอบใจและไม่ได้โกรธ

ส่ายหน้า…นี่เป็นการแสดงออกเช่นไรกัน

บอกกำลังยิ้ม แต่เหตุใดตนเห็นแล้วรู้สึกแปลกๆ ท่าทางลึกล้ำยากหยั่งถึง…

ความคิดพลันผุดขึ้น หลี่หวาตระหนักได้ในทันที อวิ๋นชูเป็นใคร เป็นบัณฑิตหญิง เป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคผู้สูงส่งเหนือผู้คน!

คนที่พูดคุยด้วยมีแต่นักปราชญ์ราชบัณฑิต คนที่คบหาสมาคมไม่มีใครมีความรู้ตื้นเขิน คนที่ไปมาหาสู่กับนางล้วนเป็นกวีลือนามของเมืองหลวนเฉิง งานปักที่คู่ควรให้บัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคเอ่ยปาก เกรงว่าคงมีแต่งานปักจากวังหลวงกระมัง ไม่ได้จะเปิดโรงงานปักผ้าเสียหน่อย ถึงจะให้นางคัดเลือกงานปักของเด็กสาวเหล่านี้ ถ้าเรื่องแพร่ออกไปก็จะเสื่อมเสียชื่อเสียงของนาง พอคิดมาถึงตรงนี้ หน้าผากหลี่หวาพลันมีเหงื่อเย็นผุดออกมา

จะตบสะโพกม้ากลับตบไปถูกขาม้าแล้ว!

ทำอย่างไรดี

น้ำที่สาดออกไปแล้ว คิดจะเก็บกลับคืนมาก็ไม่ทัน มองหลวนอวิ๋นชูด้วยสีหน้าเหยเก หลี่หวาคิดหาวิธีกอบกู้สถานการณ์

“สะใภ้สี่ ถ้า…”

คิดได้แล้วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่พอเอ่ยปากหลี่หวาพลันพบว่าคำพูดนี้ไม่อาจพูดออกมาได้ ดีไม่ดีกลับจะกลายเป็นไปว่าหลวนอวิ๋นชูใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องเพื่อแสวงหาชื่อเสียงและคำสรรเสริญเยินยอ หลี่หวาผู้กลิ้งกลมไปทั่วทุกด้านหลังจากเรียก ‘สะใภ้สี่’ ออกมาจึงพูดอะไรต่อไม่ออก

ในขณะที่หลี่หวากำลังรู้สึกลำบากใจอย่างที่สุดอยู่นั้น หลวนอวิ๋นชูกลับหัวเราะเบาๆ แล้วเปิดปากขึ้น

“หลี่มามาคงไม่รู้ เสื้อผ้าของใช้ประจำวันในจวน แต่ไรมาล้วนส่งไปให้ร้านปักผ้าทำ ไม่ต้องให้สาวใช้ในจวนต้องลงมือ พวกนางก็เพียงปักพวกเหอเปา* ผ้าเช็ดหน้า งานเย็บปักถักร้อยแค่พอทำได้ก็พอ ไม่ต้องฝีมือยอดเยี่ยมอะไร จะให้ข้าวิจารณ์ พูดลึกไปตื้นไปมีแต่จะทำลายขวัญและกำลังใจของพวกนาง”

ไม่เสียทีที่เป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค พูดได้คำเดียว ‘เหนือชั้น!’

คำพูดนี้อ้อมค้อมนุ่มนวลมากพอ ทั้งปฏิเสธการพิจารณาคัดเลือกและเหลือศักดิ์ศรีให้ตนเองอย่างเพียงพอ หลี่หวาแอบท่องอมิตาภพุทธออกมาคำหนึ่ง ปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่หน้าผากพลางผงกศีรษะติดๆ กัน

“สะใภ้สี่กล่าวได้ถูกต้อง เป็นข้าที่คิดอะไรไม่รอบคอบมากพอ ผิดต่อเจตนาดีของท่านแล้ว ฝีมือของนางหนูเหล่านี้เทียบไม่ได้กระทั่งเล็บนิ้วมือเดียวของท่าน ท่านย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตา คำว่า ‘ดี’ ย่อมพูดไม่ออก แต่หากท่านพูดคำว่า ‘ไม่ดี’ ออกมา คัดข้อเสียออกมามากไป เกรงว่านางหนูเหล่านี้คงมีคิดอยากตายอยู่บ้าง…ข้าได้ยินว่าแม่นางฝูหรงติดตามท่านมาหลายปี ฝีมือการเย็บปักถักร้อยก็ชั้นหนึ่ง แม่นางสี่จวี๋ก็ยิ่งมั่นใจได้ งานปักเหล่านี้ให้พวกนางมาตัดสินก็เพียงพอแล้ว”

ถูกหลี่หวาเตือน สี่จวี๋ก็ได้สติ มือที่ประคองงานปักสั่นน้อยๆ มองหลวนอวิ๋นชูด้วยความหวั่นหวาด

หลวนอวิ๋นชูไม่ได้พินิจพิเคราะห์ความหมายในคำพูดของหลี่หวาอย่างละเอียด เห็นอีกฝ่ายไม่ยืนกรานให้นางตัดสินก็โล่งอก เงยหน้าขึ้นมองสี่จวี๋

“เอาลงไปเถิด”

“บ่าวขอบคุณสะใภ้สี่!”

ราวกับได้รับการอภัยโทษ สี่จวี๋มองหลวนอวิ๋นชูอย่างซาบซึ้งใจแวบหนึ่ง ขณะจะหมุนตัวก็ถูกอีกฝ่ายเรียกไว้

“จริงสิ…”

สี่จวี๋ตัวสั่นเทา

“สะใภ้สี่มีอะไรจะสั่งเพิ่มหรือเจ้าคะ”

“เฉิงชิงเสวี่ยผู้นั้น…” หลวนอวิ๋นชูชี้ไปที่เฉิงชิงเสวี่ย “รอบนี้ไม่ต้องนับนางเข้าไปด้วย”

“สะใภ้สี่ นี่…”

เฉิงชิงเสวี่ยผู้นี้เป็นนักโทษของทางการ ไม่อาจเอาไว้!

น่าเสียดาย การทดสอบมารยาทนางทำได้สมบูรณ์แบบยิ่ง ภายใต้สายตาผู้คนที่จ้องมองอยู่หาจุดอ่อนไม่พบจริงๆ ก็รอด่านเย็บปักถักร้อยนี่แล้ว ไม่คิดว่าพอปากที่มีค่าดั่งทองคำของหลวนอวิ๋นชูเอ่ยออกมา ถึงกับมีคำสั่งละเว้นให้เฉิงชิงเสวี่ยเป็นกรณีพิเศษ

สี่จวี๋เรียกสะใภ้สี่ออกมาคำหนึ่ง คำพูดต่อจากนั้นค้างติดอยู่ในลำคอ เมื่อครู่นางเจ้ากี้เจ้าการจะให้หลวนอวิ๋นชูคัดเลือกงานปัก นับว่าฝ่าฝืนข้อห้ามแล้ว หลวนอวิ๋นชูไม่ได้ตำหนิก็ถือเป็นความเมตตาอย่างใหญ่หลวง เวลานี้นางไม่กล้าก่อเรื่องขึ้นอีก

นิ่งงันอยู่ชั่วขณะ สี่จวี๋สีหน้าพลันผ่อนคลาย ด่านนี้ไม่ได้ก็ยังมีอีกด่าน สะใภ้สี่คงไม่มีคำสั่งละเว้นให้นางเป็นกรณีพิเศษอีกครั้งกระมัง เด็กสาวผู้นี้กระทั่งภาษาหลวนก็ยังไม่รู้ ด่านถัดไปถ้าคัดเลือกไม่ผ่าน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้อ้างแล้ว!

คิดมาถึงตรงนี้สี่จวี๋ก็ยอบตัว

“เจ้าค่ะ บ่าวรับคำสั่งสะใภ้สี่”

“อืม…นี่ก็สายมากแล้ว” เห็นสี่จวี๋สีหน้าเปลี่ยน หลวนอวิ๋นชูก็ฉุกคิดขึ้นมา “ข้าว่าไม่ต้องออกหัวข้อทดสอบอีกแล้ว เจ้ากับฝูหรงก็ตัดสินจากงานปักเหล่านี้ แล้วคัดออกอีกห้าคนเถอะ”

คำพูดของหลวนอวิ๋นชูไม่เพียงประกาศว่านี่เป็นด่านสุดท้าย ยังเท่ากับประกาศว่าเฉิงชิงเสวี่ยผ่านการคัดเลือกเป็นกรณีพิเศษ ในห้องโถงมีเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที คนที่ฝีมือเย็บปักร้อยดีย่อมโห่ร้องยินดี คนที่ฝีมือเย็บปักถักร้อยไม่ดีต่างตีอกชกหัว พากันทอดถอนใจไม่หยุด

สี่จวี๋ยืนอยู่กับที่ราวกับเป็นรูปปั้นดิน งานปักในมือเกือบจะร่วงลงสู่พื้น

เฉิงชิงเสวี่ยผู้นี้ไม่อาจเอาไว้เด็ดขาด!

สตรีผู้นั้นไม่เพียงเป็นนักโทษทางการ ยังเป็นคนแคว้นหลี จวนแห่งนี้ถูกเจียงเสียนขุนนางทรยศแห่งแคว้นหลี คนเสเพลแห่งเมืองหลวนเฉิงก่อความวุ่นวายจนทุกเรือนต่างเอือมระอาคนแคว้นหลีเป็นที่สุด โดยเฉพาะนายหญิงใหญ่ที่ใส่ใจเรื่องเกียรติยศหน้าตาไปเสียทุกด้าน พอเอ่ยถึงเจียงเสียนสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ นายหญิงใหญ่ไม่มีทางยอมให้หลวนอวิ๋นชูรับนักโทษทางการจากแคว้นหลีเข้ามาอีกคนแน่

แต่หลวนอวิ๋นชูพูดออกจากปากไปแล้ว คิดจะทัดทานก็ไม่ทัน

“สะใภ้สี่ เอ่อ…” ขณะร้อนใจพลันเกิดความคิดขึ้น สี่จวี๋เอ่ยปาก “ท่านเป็นบัณฑิตหญิงที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวนเฉิง หากคิดจะเลือกสาวใช้ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรต้องทดสอบความสามารถด้านการประพันธ์สักหน่อย”

ฉับพลันนั้นสายตาแวววาวสุกใสก็พุ่งมารวมตัวกันอยู่ที่ร่างหลวนอวิ๋นชู คนที่มีฝีมือด้านการแต่งบทกวีก็เออออคล้อยตามขึ้นมาอย่างใจกล้า คนอื่นๆ ที่ความสามารถด้านการประพันธ์ค่อนข้างดีก็ส่งเสียงโห่ร้องตามไปด้วย ในห้องโถงวุ่นวายขึ้นมาทันที

สวรรค์! ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเหลือเด็กสาวที่มีความสามารถด้านการประพันธ์ไว้ให้ข้าสักหลายคน อย่างน้อยนี่ก็เป็นจุดขายสำคัญจุดหนึ่ง ถ้าไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ทั้งยังคืนเฉิงชิงเสวี่ยกลับมา ข้าจะเอาศีรษะพุ่งชนกำแพงตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด!

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสียงอึกทึกของทุกคน หลี่หวาก็ไม่มีแก่ใจจะยับยั้ง เพียงมองหลวนอวิ๋นชูด้วยความตึงเครียด กลัวมากว่าหญิงสาวตัวน้อยที่อ่านใจยากผู้นี้จะพยักหน้า

ทำการค้าให้ความสำคัญกับคำว่า ‘เชื่อถือ’ หลวนอวิ๋นชูเลือกเอาคนเก่งๆ ของนางไปหมดแล้ว แม้จะปวดใจนางก็ได้แต่ทำใจยอมรับ นั่งอยู่ที่นั่นรับมือด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน คำพูดเพียงประโยคเดียวของหลวนอวิ๋นชูเลือกเฉิงชิงเสวี่ยที่ตกค้างอยู่ในมือนางไป ทำให้นางอดปลื้มปีติยินดีไม่ได้ ขณะแอบดีใจอยู่นั้น คิดไม่ถึงว่าสี่จวี๋กลับเสนอเรื่องความสามารถด้านการประพันธ์ขึ้นมา

เมื่อมาใคร่ครวญดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่นับรอบที่หลวนอวิ๋นชูคัดเลือกด้วยสายตา มาถึงตอนนี้ก็เพียงตั้งหัวข้อทดสอบไปสองข้อคือมารยาทกับฝีมือการเย็บปักถักร้อยเท่านั้น เฉิงชิงเสวี่ยทำไม่ได้หนึ่งหัวข้อ ได้หลวนอวิ๋นชูอนุโลมให้เป็นพิเศษก็พอจะรับได้

แต่ถ้ามีความสามารถด้านการประพันธ์อีกหนึ่งหัวข้อ ในสามหัวข้อนี้เฉิงชิงเสวี่ยทำไม่ได้สองหัวข้อ ย่อมพูดยากแล้ว ท่ามกลางสายตาผู้คนหลวนอวิ๋นชูย่อมไม่กล้าอนุโลมให้เป็นพิเศษถึงสองหัวข้อ นางหลี่หวาต่อให้หน้าหนาเพียงไรก็ไม่อาจดึงดันยัดเยียดนักโทษทางการที่มีรอยสักผู้นี้ให้กับจวนกั๋วกง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสี่จวี๋คิดจะใช้ความสามารถด้านการประพันธ์เตะเฉิงชิงเสวี่ยออกจากกระดาน เป็นเรื่องที่คนเดินถนนต่างรู้

ถูกสายตาของทุกคนจับจ้องมอง ปลายจมูกของหลวนอวิ๋นชูก็มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา เมื่อครู่เห็นสีหน้าสี่จวี๋ไม่ถูกต้อง ก็คาดเดาอยู่แล้วว่านางต้องมีความคิดอะไร ด้วยเหตุนี้จึงได้ชิงปิดปากนางก่อน คิดไม่ถึงว่านางหนูผู้นี้สุดท้ายแล้วยังคงพูดออกมา

หัวคิ้วกระตุกเล็กน้อย สี่จวี๋ผู้นี้ เหตุใดจึงตั้งใจจะขัดแย้งกับข้าเช่นนี้!

ใจอยากจะปฏิเสธไปเลย แต่เมื่อมาคิดดูอย่างละเอียด นางเป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค มีท่วงท่าสง่าน่าเกรงขาม เลือกสาวใช้ไม่ดูความสามารถด้านการประพันธ์ พูดให้ใครฟังก็ดูจะไม่มีเหตุผล แต่ถ้าจะทดสอบความสามารถด้านการประพันธ์อีกหัวข้อจริง ไม่พูดถึงว่าเฉิงชิงเสวี่ยจะถูกเตะออกจากจวน เรื่องที่นางไม่รู้หนังสือก็จะปิดบังไม่อยู่ด้วย ต้องถูกเปิดเผยออกมาทันที

ทำอย่างไรดี

คำพูดประโยคเดียวของสี่จวี๋ประหนึ่งผลักหลวนอวิ๋นชูขึ้นไปบนกองไฟ พลาดพลั้งเพียงนิดเดียวร่างต้องถูกเผาไหม้เป็นผุยผง

ใจหลวนอวิ๋นชูประหนึ่งเหมือนน้ำชงชาเดือด พลุ่งพล่านไม่หยุด ทว่าสีหน้าไม่เปลี่ยน นางมองสบตาทุกคนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก

เสียงเอะอะค่อยๆ เงียบลง

กลิ่นอายความตึงเครียดขุมหนึ่งแผ่ลามออกมา ทำให้คนอึดอัดจนหายใจไม่ออก ครั้นแล้วทุกคนก็พากันกลั้นลมหายใจ

ในห้องโถงที่กว้างขวาง ถ้ามีเข็มตกก็ยังได้ยินเสียง

สี่จวี๋พลันกระสับกระส่ายขึ้นมา แขนที่ประคองถาดใส่งานปักก็เมื่อยล้าแล้ว สะใภ้สี่ผู้นี้ชอบทำอะไรแปลกประหลาดอยู่เสมอ ไม่ทำอะไรตามหลักเหตุผลทั่วไป ทำให้นางคาดเดาอะไรไม่ถูก หรือว่าคำพูดเมื่อครู่นางไปฝ่าฝืนข้อห้ามอีก

เมื่อคิดได้ดังนี้สายตาของสี่จวี๋ที่มองหลวนอวิ๋นชูก็เจือความหวั่นหวาดสามส่วน ใบหน้าซีดขาวขึ้นมา

“สะใภ้สี่ บ่าว…”

“ดูความจำของเจ้าสิ ตอนเช้านายหญิงใหญ่เพิ่งบอก ‘ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน เน้นหนักเรื่องความอ่อนโยนดีงามมีคุณธรรม อิสตรีดูแลครอบครัวด้วยความขยันขันแข็ง ประหยัดมัธยัสถ์ จึงจะเป็นรากฐานที่ถูกต้อง บทกวี โคลงกลอนอะไรนั่นล้วนเป็นเรื่องของบุรุษ พวกเราอิสตรีไม่นิยมสิ่งนี้’ ” หลวนอวิ๋นชูสีหน้าสุขุมเยือกเย็น ในน้ำเสียงเจือความเอ็นดูอยู่ขุมหนึ่ง “เหตุใดชั่วพริบตาเดียวก็ลืมแล้ว ถ้าตอนนี้ข้าใช้บทกวีเอย โคลงกลอนเอยมาคัดเลือกสาวใช้ เรื่องไปถึงหูนายหญิงใหญ่เมื่อไร ข้าถูกต่อว่าที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้านายหญิงใหญ่โกรธขึ้นมาข้าก็จะกลายเป็นคนอกตัญญูแล้ว”

คำพูดยังพูดไม่จบสี่จวี๋ก็แข้งขาอ่อนลงไปคุกเข่ากับพื้น

“บ่าวไม่ดีเอง ถ้าไม่ใช่สะใภ้สี่เตือนสติ บ่าวคงลืมคำสั่งสอนของนายหญิงใหญ่ไปจริงๆ ถึงกับยุยงให้ท่านอกตัญญูต่อนายหญิงใหญ่ สะใภ้สี่โปรดลงโทษด้วย”

“เจ้าดูตนเองสิ ข้าก็แค่เอ่ยเตือนคำเดียว เจ้าก็คุกเข่าลงไปแล้ว” มองสี่จวี๋โขกศีรษะต่อหน้าผู้คนพอแล้ว หลวนอวิ๋นชูจึงเผยสีหน้าปวดใจออกมา “รีบลุกขึ้นเถิด เพียงแต่ต่อไปต้องไม่ลืม คำสั่งสอนของนายหญิงใหญ่ต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ นี่จึงจะเป็นความกตัญญูกตเวที”

จำได้ก็แปลกแล้ว!

พูดจบหลวนอวิ๋นชูก็พูดเพิ่มอยู่ในใจอีกประโยคหนึ่ง

คำพูดเบาหวิวเพียงประโยคเดียวของหลวนอวิ๋นชูทำให้สี่จวี๋สาวใช้รุ่นใหญ่ตื่นตระหนกจนโขกศีรษะไม่หยุด ทุกคนรวมถึงพ่อบ้านเฮ่ออดเลื่อมใสไม่ได้ เอ่ยชื่นชมไม่หยุดปาก โดยเฉพาะด้านล่าง เด็กสาวยี่สิบสองคนที่ได้รับการคัดเลือกนอกจากจะมองหลวนอวิ๋นชูด้วยแววตาเลื่อมใสศรัทธาแล้ว ยังมีความหวั่นเกรงเพิ่มขึ้นมาสามส่วน

หลวนอวิ๋นชูไม่รู้ว่าคำพูดสบายๆ ประโยคเดียวของนางกับการคุกเข่าของสี่จวี๋สามารถเอาชนะใจคนเหล่านี้ได้แล้ว

สี่จวี๋ที่ถูกสาวใช้รุ่นเล็กพยุงขึ้นมา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเฉิงชิงเสวี่ยเข้าพอดี ร่างนางชะงักนิ่ง หันกลับมาร้องเรียกอีกครั้ง

“สะใภ้สี่…”

ขอร้องล่ะ นางก็แค่อยากได้ผู้คุ้มกันที่ร่างกายแข็งแรงมีกำลังสักคน เหตุใดนางหนูผู้นี้จึงทำเหมือนนางจะไปกระทำแย่ๆ กับมารดาของตนเองเช่นนั้น ขวางแล้วขวางอีกอยู่นั่น ปรายตามองใบหน้าที่ไม่ยินยอมของสี่จวี๋แล้ว หัวใจของหลวนอวิ๋นชูก็จมดิ่งลง นางไม่พูดอะไร เพียงมองสี่จวี๋ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ภายนอกภายในก็ไว้หน้าตาอย่างเพียงพอ นางหนูผู้นี้เหตุใดยังไม่รู้จักดีชั่ว นี่จะเสนอความคิดประหลาดอะไรอีก

เรื่องกำลังดี เจ้าอย่าได้มาทำให้เสียเรื่องเป็นอันขาด

หลี่หวามองสี่จวี๋ตาปริบๆ แทบอยากจะก้าวเข้าไปเรียกนางว่า ‘บรรพบุรุษ’ แล้วยัดเงินให้สักหลายตำลึง

เป็นเพราะสี่จวี๋เห็นเฉิงชิงเสวี่ยแล้วขัดตา ภายใต้ความร้อนใจจึงเรียกสะใภ้สี่ออกมาคำหนึ่ง ทว่ากลับลังเลขึ้นมา จะอย่างไรนางก็เป็นบ่าวไพร่คนหนึ่ง วันนี้หลวนอวิ๋นชูได้ให้หน้าตาแก่นางอย่างเต็มที่แล้ว ถ้าตนเองยังปากมากอีก เกิดพูดอะไรผิดไปคำหนึ่ง ทำให้หลวนอวิ๋นชูโกรธ สั่งลงโทษขึ้นมาในที่นี้ ตนเองต้องขายหน้าไม่พูดถึง เกรงว่าต่อไปเด็กสาวเหล่านี้ย่อมจะมองนางด้วย ‘สายตาที่ไม่ให้ความสำคัญ’

คิดหน้าคิดหลังแล้ว สี่จวี๋พลันเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาในส่วนลึกของจิตใจ จึงกลืนคำพูดที่มาถึงลำคอกลับลงไป เปลี่ยนคำพูดใหม่

“บ่าวจะทำสุดความสามารถ ไม่ให้ท่านต้องผิดหวัง”

หลี่หวาสีหน้าผ่อนคลายลง มองสบตาหลวนอวิ๋นชูแล้วยิ้ม

ไหนเลยจะรู้ เพิ่งกดน้ำเต้าลงกระบวยก็ลอยขึ้นมาหลวนอวิ๋นชูกับหลี่หวาต่างระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก พ่อบ้านเฮ่อที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ มาโดยตลอดกลับข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว เขาขยับตัว ประสานมือคารวะแล้วบอก

“สะใภ้สี่ การทำงานสิ่งสำคัญคือความเที่ยงธรรม นี่ก็คือคำพูดที่นายหญิงใหญ่สั่งสอนบ่าวอยู่เสมอ มาบัดนี้ระเบียบในการคัดเลือกสาวใช้ได้กำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครล้วนสมควรต้องปฏิบัติตาม”

ข้ายังเป็นเจ้านายอยู่หรือไม่ เหตุใดจะทำอะไรตามความต้องการของตนเพียงเล็กน้อยจึงได้ยากเพียงนี้ มองพ่อบ้านเฮ่อที่เคร่งขรึมผิดปกติ หลวนอวิ๋นชูขมวดคิ้ว แสร้งทำเป็นมองไปรอบๆ แข็งใจพูดขึ้น

“พ่อบ้านเฮ่อกล่าวได้ถูกต้อง คนมากเพียงนี้ต่างลืมตามองอยู่ เจ้าเห็นใครโกง ไม่ทำตามกฎเกณฑ์บ้าง บอกมาได้เลย ข้าจะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด”

พูดพลางสายตาจับนิ่งไปที่ร่างสี่จวี๋กับฝูหรง ทั้งสองคนเนื้อตัวสั่นเทาขึ้นมาทันที

สวรรค์ พวกนางไม่ได้โกง!

ด่านมารยาท สายตาของทุกคนล้วนสว่างไสว พวกนางทำงานอย่างเป็นธรรมไม่ได้โน้มเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง

คิดไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูในใจรู้ดีแต่ภายนอกทำเป็นเลอะเลือน ถึงกับใส่ร้ายป้ายสีเขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ เมื่อมองสบสายตาไม่พอใจของสี่จวี๋ฝูหรง พ่อบ้านเฮ่อสีหน้าพลันเปลี่ยนไปมา

นี่ใช่นายหญิงของบ้านที่ไหน คนเสเพลตามท้องถนนชัดๆ!

“สะใภ้สี่ได้มอบอำนาจในการออกหัวข้อทดสอบให้กับสี่จวี๋และฝูหรงแล้ว ย่อมไม่อาจออกหน้าก้าวก่ายอีก” เห็นนางพูดติดตลกเช่นนี้ พ่อบ้านเฮ่อจึงพูดเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม “พวกนางออกหัวข้องานเย็บปักถักร้อย คนที่ทำไม่ได้ย่อมต้องคัดออก เวลานี้เฉิงชิงเสวี่ยทำงานเย็บปักถักร้อยไม่ได้ ย่อมสมควรคัดออกก่อนใคร”

นักโทษทางการผู้นี้ไม่อาจซื้อตัวมาเด็ดขาด วันนี้ถ้าไม่ขวางไว้ หากนายหญิงใหญ่รู้แล้ว เขาผู้เป็นพ่อบ้านต้องถูกถลกหนังแน่นอน!

พ่อบ้านเฮ่อไม่ปิดบังอีก คิดว่าคงร้อนใจจริงๆ แล้ว หลี่หวาสูญเสียกำลังใจอย่างสิ้นเชิง

เฉิงชิงเสวี่ยไปมาไม่ใช่เพียงบ้านเดียว ล้วนไม่มีใครกล้ารับไว้ หลวนอวิ๋นชูแม้จะมีใจ แต่เกรงว่าวันนี้คงไม่อาจตัดสินใจได้ พ่อบ้านเฮ่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าตนยังแสร้งทำเป็นใบ้อีก เช่นนั้นหลวนอวิ๋นชูก็จะไม่มีทางให้ลงแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ หลี่หวาจึงถือโอกาสหัวเราะอย่างเปิดเผย

“พ่อบ้านเฮ่อพูดถูก เฉิงชิงเสวี่ยทำงานเย็บปักถักร้อยไม่ได้ก็สมควรถูกคัดออก เรื่องนี้สมควรทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น ไม่ต้องพะวงถึงข้า ท้ายสุดข้าย่อมพานางจากไป ไม่สร้างความยุ่งยากให้ท่านกับสะใภ้สี่”

ด้านล่างพลันโกลาหลทันที เด็กสาวหลายคนที่เดิมสนิทสนมกับเฉิงชิงเสวี่ย เห็นในที่สุดนางก็มีคนต้องการแล้วกำลังแอบขยิบตา ยกนิ้วหัวแม่มือให้ ดีใจแทนนาง คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็เมฆฝนพลิกคว่ำ นางถูกคัดออกอีกครั้งแล้ว!

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 ก.ค. 64 เวลา 12.00 น.

หน้าที่แล้ว1 of 19

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: