บทที่ 2
เสียงแห่แหนโห่ร้องของขบวนขันหมากดังไปทั่ว ชายหนุ่มหน้าตาสดใสสวมเสื้อยกดอกคอตั้งแขนยาวทับกางเกงแพรที่เดินเด่นวันนี้รอยยิ้มไม่มีจางทั้งที่น่าจะอิดโรยเพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน เขาหันมามองขบวนเป็นพักๆ ทำให้ลัลน์ต้องส่งยิ้มให้กำลังใจ ในขณะที่คุณภวิชและมินตบไหล่เบาๆ พร้อมกับกระซิบว่าไม่ต้องห่วง
วันนี้ครอบครัวของเธอตื่นแต่เช้ากันทุกคน หรือจะบอกให้ตรงความจริงก็น่าจะใช้คำว่าคืนที่ผ่านมาแทบไม่มีใครได้นอนสักเท่าไร ลัลน์นึกขำกับคำพูดของใครๆ ที่ว่าเจ้าบ่าวไม่ต้องตระเตรียมอะไรมากมาย น่าจะได้เข้านอนสบายแต่หัวค่ำ ผิดกับเจ้าสาวที่ต้องตื่นแต่มืดมาเตรียมแต่งหน้าแต่งตัว เธออยากให้ใครๆ ที่พูดนั้นได้มาเห็นช่วงเวลาค่ำคืนที่ว่าซึ่งเจ้าบ่าวและคนทั้งบ้านเพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ จริงๆ
คืนที่ผ่านมาทุกคนมารวมตัวกันที่บ้านใหญ่ บิดาของเธอตื่นเต้นคอยเช็กข้าวของสำหรับขบวนขันหมากโดยมีมินเป็นลูกคู่ ส่วนเจ้าบ่าวก็ลุกลี้ลุกลนไม่หลับไม่นอน ทำทีเป็นเช็กงานบ้าง หยิบเอกสารมาเปิดอ่านบ้างไปตามเรื่องทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นสักนิด พอลัลน์หรือใครๆ ถามก็อ้างว่าระหว่างหนีงานไปฮันนีมูนจะได้ไม่ต้องมีห่วง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะเช็กได้งานเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง
ลัลน์ยอมรับว่าตัวเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยอยู่เหมือนกัน แม้จะขำอยู่บ้างกับท่าทางของพี่ชาย บิดา และน้องชาย แต่ลัลน์ก็อดไม่ได้ที่จะมานั่งเป็นกำลังใจ มองสามหนุ่มต่างวัยทำโน่นทำนี่วุ่นวายจนผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่ทันรู้ตัว มาตื่นเอาตอนฟ้าเกือบสางโดยไม่ต้องอาศัยนาฬิกาปลุก
“ง่วงไหมลัลน์” มินชะลอฝีเท้าทิ้งระดับเดินเคียงพี่ชายมาหาลัลน์ น้ำเสียงและแววตามองมาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ง่วงน่า ยังไหว”
“แน่นะ เมื่อคืนบอกว่าให้เข้าไปนอนก็ไม่ยอม เฝ้าพวกมินอยู่ได้ เดี๋ยวเสร็จพิธีเช้าแล้วกลับไปนอนเถอะ ไม่ต้องเข้าสวนนี่นาวันนี้”
“ว่าจะขับรถให้พ่อพาคุณธารณ์เที่ยวน่ะ วันนี้กวนพี่เมธิไม่ได้แล้ว” ลัลน์กระซิบบอก แล้วก็เห็นว่ามินปรายสายตาไปมองชายหนุ่มต่างถิ่นร่างสูงที่วันนี้มาร่วมพิธีในฐานะแขกฝ่ายเจ้าบ่าว
อาหารเย็นที่คุณภวิชมักจะมีเพื่อนร่วมก๊วนมาสังสรรค์กันที่บ้านเมื่อวานนี้มีธารณ์ตามมาด้วยพร้อมพันตำรวจเอกนพวินทร์และคุณนภางค์ แม้ไม่ชอบดูแลต้อนรับแขกสักเท่าไร แต่ท่าทางสบายๆ ยิ้มง่ายของเขาทำให้ลัลน์ไม่เกร็งเวลาพูดคุย
การวางตัวดี ไม่ได้ตั้งท่าเป็นนักข่าวช่างซักช่างสงสัยตลอดเวลา แถมยังเป็นเหมือนน้องชายของพันตำรวจเอกนพวินทร์ทำให้ลัลน์ไม่ลำบากใจที่จะรับรอง และตอนนี้ถ้าต้องคอยดูแลเขาแทนพี่เมธิที่จะต้องวุ่นอยู่กับเรื่องครอบครัวใหม่ของตัวเองและการฮันนีมูน ลัลน์ก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรสักเท่าไร
“เค้าเป็นน้องพี่นพไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวพี่นพก็ดูแลเองแหละน่า ลัลน์กลับไปพักดีกว่า” น้ำเสียงของมินเกือบเรียกได้ว่าเรียบเฉยเย็นชา
“ได้ยังไงเล่ามิน เค้ามาสัมภาษณ์พ่อก็เท่ากับเป็นแขกของเรา จะไปโบ้ยให้พี่นพได้ยังไง”
“ก็มันจริงนี่นา แล้วเช้านี้เค้ามาทำไมน่ะลัลน์ มินว่าไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องสัมภาษณ์พ่อนายตรงไหน” น้ำเสียงติดขุ่นของมินทำให้ลัลน์อดคิดไม่ได้ว่าน้องชายน่าจะเหนื่อยเพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนสักเท่าไร
“เหนื่อยหรือเปล่ามิน เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนนี่นา…เสียงไม่สดใสเลยนะ เสร็จงานเช้าแล้วมินนั่นแหละที่ต้องกลับไปนอน เย็นนี้ต้องเป็นพิธีกรให้พี่เมธิอีกนี่นา จะได้สดชื่นสมเป็นพี่มินของสาวๆ ไง” ลัลน์แหย่
หน้าตาคมสันและท่าทางเป็นผู้ใหญ่เกินตัวของมินแต่ไม่ยอมมีแฟนสักที ทำให้มีแต่สาวๆ ชายหูชายตาฝากความหวัง แม้หลายครั้งลัลน์จะนึกหมั่นไส้ท่าทางของสาวๆ เหล่านั้น แต่หากมีโอกาสก็อดไม่ได้ที่จะขอแซวมินอยู่เสมอ
“ลัลน์ไม่ชอบรับแขกไม่ใช่เหรอ ทำไมคราวนี้ยอมไปขับรถให้คุณนักข่าวนั่นล่ะ” คิ้วของมินขมวดมุ่นเข้าหากัน
“ถ้ามันจำเป็นก็ทำได้”
“งั้นมินไปเอง ลัลน์กลับไปอยู่บ้านนอนพักดีกว่า”
“ไม่ได้หรอก พี่รับปากพ่อแล้ว อีกอย่างมินท่าทางไม่สดใสจริงๆ นะ เมื่อคืนได้นอนเกินสองชั่วโมงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เกิดหลับในไปจะทำยังไง” แม้คุ้นเคยกับการมีมินอยู่ใกล้ๆ เสมอเวลาที่เขากลับบ้าน แต่ท่าทางอารมณ์เสียง่ายแถมขวางหูขวางตาไปหมดทำให้ลัลน์คิดว่าเขาอาจจะพักผ่อนน้อยเกินไปจนนึกเป็นห่วง
“ถ้างั้นมินก็จะไปด้วย” มินบอก
“หือ ไหวเหรอ กลับไปพักเถอะ”
“ทำไม หรือลัลน์ไม่อยากให้มินไปด้วย”
“อย่ามาตั้งคำถามแบบนี้นะ พี่น่ะต้องหัดทำอะไรเอง ไปไหนมาไหนเอง เพราะคนบางคนชอบทิ้ง” ลัลน์รวนกลับทันทีเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกหาเรื่อง กับใครๆ เธออาจเป็นหนูลัลน์หรือคุณลัลน์ที่เอาการเอางานจริงจัง มีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยม แต่สำหรับมินที่ตลอดมาคอยตามใจ ลัลน์ก็ยังคงเป็นลัลน์ที่เอาแต่ใจ พร้อมจะอาละวาดหรือยอกย้อนกลับเสมอ
“โธ่ลัลน์…” มินเรียกได้แค่นั้นก็ต้องหยุด ได้แต่มองตามคนที่เดินห่างไปยืนอีกข้างของพี่ชายอย่างไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้น
รั้วบ้านเจ้าสาวที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาไม่อาจก้าวเข้าไปใกล้เพื่อต่อความอะไรกับลัลน์ได้อีก ขั้นตอนต่างๆ สำหรับวันสำคัญของพี่ชายจะต้องมาก่อนเรื่องอื่นๆ ในวันนี้ มินจึงทำได้แค่ส่งสายตาไปมองเธอเท่านั้นเอง
ธารณ์มองหญิงสาวที่นั่งพักห่างออกไปด้วยสายตาชื่นชมเปิดเผยแต่ไม่รุ่มร่าม ลูกสาวของคุณภวิชที่ได้พบตั้งแต่เย็นวาน วันนี้สวยสะดุดตา ใบหน้าเนียนคมที่ได้มองใกล้ยามที่ได้ยืนในระยะเกือบประชิดดูราวกับจะเป็นผิวแท้ๆ มากกว่าเนื้อแป้ง จมูกโด่งรับกับใบหน้าและริมฝีปากบาง รวมทั้งดวงตากลมโตที่มีขนตายาวเป็นแพสะดุดตา
ท่าทางสดใสเป็นธรรมชาติของลัลน์ทำให้เธอน่ามอง อัธยาศัยใจคอเท่าที่ได้พูดคุยก็ทำให้รู้สึกสบายใจเวลาอยู่ใกล้…คิดถูกจริงๆ ที่มาร่วมขบวนขันหมากตามคำชวนของคุณภวิช…
“เป็นไงคุณ ประเพณีแบบคนเหนือ” คุณภวิชซึ่งวันนี้มีแต่ความยินดีกับช่วงเวลามงคลแห่งชีวิตครั้งสำคัญของหลานซึ่งเทียบได้กับลูกชายคนโตถามแขกที่เชิญมาร่วมขบวนฝ่ายเจ้าบ่าว
“สวยครับ ดูอบอุ่นอ่อนโยน บางทีผมอาจได้ข้อมูลไปเขียนสกู๊ปใหม่ ขอบคุณนะครับที่เชิญมาร่วมงานด้วย” ไม่เพียงลัลน์เท่านั้นที่เขาประทับใจ ภาพเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่นั่งเคียงกันให้แขกผู้ใหญ่ใช้ฝ้ายผูกข้อมือหลังพิธีสู่ขวัญก็น่าชื่นชมจนธารณ์อยากเขียนสกู๊ปประเพณีล้านนาส่ง บ.ก. สักที
“จริงๆ แล้วผมอยากชวนคุณอยู่เที่ยวแม่อายอีกสักหน่อยนะ รีบกลับกรุงเทพฯ ไหมคุณธารณ์ ที่นี่ดูเหมือนจะบ้านนอกไปสักหน่อย แต่มีสถานที่สวยๆ น่าเที่ยวเยอะอยู่นา แล้วนี่อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานบุญยี่เป็ง รู้จักไหมคุณ สวยนะ สนุกด้วย”
“ก็น่าสนใจครับ แต่คงต้องขอคุยกับทางสำนักพิมพ์ก่อน ถ้าไม่ติดอะไรก็น่าจะสะดวกครับ”
“อืม นะ ลองคุยดู เรื่องที่พักไม่ต้องห่วง ผมดูแลให้เอง”
“เอ่อ…ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าทางสำนักพิมพ์สะดวกผมจัดการเองดีกว่า ค่าที่พักที่นี่ก็ใช่ว่ามากมายอะไร” ธารณ์บอกอย่างเกรงใจ โรงแรมที่พักเข้าขั้นสี่ดาวแต่ราคาย่อมเยาจนน่าตกใจ ธารณ์เข้าใจว่าทางโรงแรมลดให้เป็นกรณีพิเศษ เพราะนพวินทร์และนภางค์ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่นี่ช่วยจัดการรับเป็นธุระจองให้ เขาจึงคิดว่าหากอยากอยู่ต่อจริงๆ ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้หนักหนาอะไร
“เกรงใจล่ะสิ งั้นก็ตามแต่จะสะดวกแล้วก็สบายใจแล้วกันนะ แต่ถ้าอยู่เที่ยวต่อสักนิด ผมจะบอกมินให้อยู่เป็นเพื่อนพาเที่ยว ปกติรายนั้นเค้าอยู่เชียงใหม่น่ะ กำลังเรียนปริญญาโทแต่ใกล้จบแล้วล่ะ หรือถ้าเบื่อโลกชาวสวนแล้วก็ไม่เป็นไรนะคุณธารณ์ ที่นี่ออกจะเหงาสักหน่อยถ้าเทียบกับชีวิตคนเมือง” คุณภวิชเอ่ยอย่างมีน้ำใจ
“ผมว่าสงบมากกว่าครับ เหมาะสำหรับเป็นที่พักเติมพลังให้คนที่ต้องผจญอยู่กับการแข่งขันแทบทุกลมหายใจได้เป็นอย่างดีเลย”
“เป็นนักข่าวนี่ต้องเดินทางบ่อยไหม ฝาง-แม่อายนี่เพิ่งมาเป็นครั้งแรกหรือว่าเคยมาเที่ยวบ้างแล้วหรือเปล่า”
“ก็มีบ้างครับ แต่ที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่นับตัวเมืองเชียงใหม่นะครับ เพราะที่นั่นค่อนข้างบ่อย ไม่ทำงานก็เที่ยว” ธารณ์เริ่มให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองบ้างหลังจากทำหน้าที่ผู้สัมภาษณ์มาแล้ว
“ไปมาสะดวกด้วยนะเชียงใหม่เดี๋ยวนี้ เห็นวันๆ มีเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ ไม่รู้กี่รอบ” แม้ส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ห่างไกลตัวเมืองเชียงใหม่ แต่คุณภวิชก็ยังพอรู้
“ครับ ไปมาสะดวก ประมาณเดือนหน้าผมก็คงได้ไปอีก พอดีจะมีงานประชุมวิชาการนานาชาติ…งานใหญ่สักหน่อย ไปทำงานน่ะครับ”
“เชียงใหม่โตขึ้นทุกวัน จะว่าไปตอนนี้ก็ไม่แพ้กรุงเทพฯ เท่าไรแล้ว มีครบจะทุกอย่าง งานใหญ่ๆ หลายงานก็จัดที่เชียงใหม่นะ ดีจริงๆ เลย”
“งานครั้งนี้ใหญ่เอาการอยู่นะครับ นักวิชาการไทยก็ตื่นตัวกันน่าดูเพราะเป็นโอกาสดีที่จะเสนอผลงานวิจัยในงานประชุมระดับโลก ได้ยินว่าคัดกันจริงจังเอาเรื่องทีเดียว ผลงานใครผ่านเข้าไปได้ก็เรียกว่าเก่งมากเลยล่ะครับ”
ด้วยอาชีพทำให้ธารณ์จำเป็นต้องหูตากว้างขวาง การประชุมวิชาการที่กำลังจะจัดขึ้นนั้นตามข่าวถือเป็นก้าวที่สำคัญมาก แสดงถึงศักยภาพ การยอมรับ และความเชื่อมั่นของสถาบันระดับโลกหลายสถาบันที่มีต่อนักวิชาการไทย โดยเฉพาะนักวิชาการและสถาบันการศึกษาของเชียงใหม่ที่จะเป็นผู้ดำเนินการจัดงานในครั้งนี้
“การศึกษาของเราก็ไม่น้อยหน้าใครหรอกนะผมว่า ดีแล้วล่ะ ให้คนไทยได้แสดงฝีมือให้ฝรั่งดูบ้าง” คุณภวิชพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ท่าทางอารมณ์ดี
“พ่อนายครับ จะได้เวลาเลี้ยงพระถวายไทยทานแล้วครับ” ญาติฝ่ายเจ้าสาวคนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้ บอกกับคุณภวิชอย่างอ่อนน้อม
“ครับๆ” คุณภวิชรีบรับคำโดยไม่ลืมที่จะหันมาชวนธารณ์ให้ไปด้วยกัน
“เชิญก่อนเถอะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผม” ธารณ์ปฏิเสธอย่างสุภาพ ไม่อยากให้ตัวเองเป็นภาระของคุณภวิชที่ต้องทำหน้าที่ผู้ใหญ่ของคู่บ่าวสาว เขาสมัครใจจะดูแลตัวเองอยู่ห่างๆ มากกว่า
“ตามสบายเลยนะคุณธารณ์ ขาดเหลือติดขัดอะไรก็ลองมองหาหนูลัลน์หรือมินก็ได้นะ”
“ครับ” ธารณ์รับคำพร้อมรอยยิ้ม คุณภวิชพยักหน้าให้กับญาติของเจ้าสาวที่มาตาม แล้วเดินไปสมทบญาติผู้ใหญ่ท่านอื่นพร้อมกัน เพื่อทำหน้าที่ของท่านอย่างเต็มที่สำหรับหลานชายคนโตที่ท่านรักและภูมิใจ
ธารณ์เดินเลี่ยงผู้คนไปยังบริเวณที่เห็นว่าสงบกว่ามุมอื่น ตั้งใจจะนั่งสังเกตการณ์เงียบๆ แต่แล้วใบหน้าคมสันก็เผยรอยยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดกระโปรงอ่อนหวานนั่งพิงเสาเงียบๆ แอบอยู่ ดวงตาปิดสนิทและคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นราวกับเจ้าตัวพยายามอดทนข่มความรู้สึกบางอย่างทำให้นึกห่วง มือข้างหนึ่งของเธอกดท้องเอาไว้
“คุณลัลน์ ไม่สบายหรือเปล่าครับ” ธารณ์สาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วถาม ดวงตากลมโตที่ปรือขึ้นมามองเหมือนจะอ่อนแรงแต่ยังมีรอยยิ้ม ฝืนทำท่าทางให้ดูสดใส แต่สีหน้าก็ยังติดจะซีดไปสักนิดจนคนมองจับสังเกตได้ไม่ยาก
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ โรคกระเพาะเท่านั้นเอง”
“ทานยาหรือยังครับ”
“มินกำลังไปหาให้ค่ะ ขอบคุณนะคะ เป็นยังไงมั่งคะวันนี้ ตื่นแต่เช้าเลย” ลัลน์ขยับตัวนั่งตรงเพื่อสนทนากับธารณ์ให้ดูเป็นกิจจะลักษณะ โรคเก่าที่ชอบแกล้งประท้วงให้ร่างกายอ่อนแอทำให้ลัลน์ไม่อาจต่อล้อต่อเถียงกับมินได้มากนัก สุดท้ายก็ต้องมานั่งคอยเขาแต่โดยดีแบบนี้
“ก็ดีครับ โอกาสที่จะได้ร่วมงานแบบนี้มีไม่บ่อยหรอกนะครับ โชคดีของผมมากเลยทีเดียว” น้ำเสียงและรอยยิ้มของธารณ์ที่ดูง่ายๆ สบายๆ ทำให้ลัลน์ไม่รังเกียจที่จะพูดคุยและอยากรักษาน้ำใจ แม้ตัวเองจะรู้สึกปวดท้องอยู่ไม่น้อยเลยก็ตาม
“พี่ลัลน์…ขอโทษนะคะ พี่มินไม่ได้อยู่กับพี่ลัลน์เหรอคะ” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งทำให้ลัลน์ต้องเบือนหน้าไปหา เด็กสาวในชุดกระโปรงสวยใบหน้าสดใสรอคำตอบ
“อ๋อ มินไปเอายาให้พี่น่ะ เดี๋ยวก็มา ต่ายมีอะไรกับมินหรือเปล่า” ลัลน์หันไปตอบแล้วก็ได้เห็นรอยยิ้มและท่าทางเอียงอายจากต่ายกลับมา
“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ งั้นเดี๋ยวต่ายขอไปดูพี่มินนะคะ” ต่ายบอกก่อนจะรีบหมุนตัวไปอีกทางหนึ่งโดยมีลัลน์มองตามอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“แฟนของมินเหรอครับ ท่าทางน่ารักดีนะครับ” ธารณ์ถาม
“แฟนเหรอคะ อืม ไม่รู้สิคะ” ลัลน์ตอบหน้านิ่วน้อยๆ…เจ้าน้องชายโตจนมีแฟนแล้วอย่างนั้นเหรอ…แม้จะชอบแซวมินเป็นประจำ แต่พอคิดว่าเป็นแฟนจริงๆ ลัลน์ก็รู้สึกประหลาดที่หัวใจ
“คุณธารณ์ยังต้องสัมภาษณ์พ่ออีกเยอะไหมคะ มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมต้องการอีกหรือเปล่า เผื่อลัลน์จะหาให้ได้” ลัลน์เปลี่ยนเรื่องถามถึงงานของชายหนุ่ม
“ก็คงจะเหลือแค่ขอถ่ายรูปในสวนน่ะครับ ไม่รู้ว่าทางสวนส้มสารัณจะสะดวกเมื่อไหร่ มีงานแบบนี้บอกตรงๆ ว่าผมก็เกรงใจไม่อยากรบกวนเหมือนกัน”
“อ๋อ งั้นหลังงานแต่งงานของพี่เมธินะคะ ลัลน์อาสาพาไปเองค่ะ” ลัลน์ตอบ ที่ปลายสายตาเธอเห็นมินก้าวกลับมาหาแต่ต้องหยุดยืนคุยกับต่ายเสียก่อน
ท่าทางของทั้งคู่ทำให้ลัลน์เผลอตัวมองอย่างสนใจโดยแทบลืมไปว่าไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว ตามองน้องชายแล้วก็คล้ายจะเห็นใบหน้าคมสันมีท่าทางอึกอัก ริมฝีปากบางของเขาคล้ายขยับตอบไปสองสามคำ…ริมฝีปากบางที่ลัลน์เคยค่อนว่าปากร้ายทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวแล้วมักไม่ค่อยขยับพูดตอบอะไรใครสักเท่าไร
ลัลน์มองทุกอากัปกิริยาของเขาไม่วางตา เห็นมินยกมือลูบผมตัวเองและเด็กสาวก็ยิ้มท่าทางเขินอายก่อนจะผละห่างไป ท่าทางของเธอคงสะดุดตาธารณ์จนเขาต้องเรียก ทำให้เธอหันไปหา
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณลัลน์”
“อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะ ว่าแต่คุณธารณ์ได้ทานอะไรหรือยังคะวันนี้” ลัลน์หันกลับมาหาคู่สนทนา แม้ใจจะคิดถึงเรื่องอื่นมากกว่า แต่คู่สนทนาตรงหน้าเป็นมารยาทที่เธอไม่ควรทิ้ง ธารณ์หัวเราะน้อยๆ ก่อนตอบรับ
“เรียบร้อยแล้วครับ จริงๆ แล้วเช้าๆ แค่กาแฟสักแก้วก็อยู่ท้องไปได้ถึงเที่ยงแล้วล่ะครับสำหรับผม”
“เหมือนมินเลยค่ะ งั้นก็ระวังเป็นโรคกระเพาะแบบลัลน์นะคะ บอกตรงๆ ว่าไม่สนุกเลย” คำตอบของเขาทำให้ลัลน์นึกถึงมินก่อนตัวเอง แล้วก็ตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะสีหน้าแหยๆ
“ควรรักษาให้เป็นเรื่องเป็นราวนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ลัลน์มีคนเป็นห่วงมากพอแล้ว” น้ำเสียงห้วนของมินดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่ก้าวเข้ามายืนใกล้ลัลน์ เขายื่นยาและแก้วน้ำตามมาให้พร้อมกับปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงเมื่อหันไปหาหญิงสาว “ของลัลน์ กินเสียก่อน”
“ขอบใจจ้ะ” ลัลน์รับยามากินอย่างว่าง่าย ไม่ทันได้ดูแววตาของมินที่มองธารณ์
“ผมขอตัวไปหาพี่นพก่อนนะครับ” ธารณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่สบอารมณ์ของเด็กหนุ่มมากนักขอตัว ลัลน์ยิ้มให้ในขณะที่มินมองเงียบๆ แล้วทรุดตัวนั่งข้างเธอแทนที่ธารณ์ทันที
“ต่ายตามหามินทำไมเหรอ” ลัลน์ถามสิ่งที่ค้างคาใจเมื่อได้อยู่ตามลำพัง
“ไม่มีอะไรหรอก ถามเรื่องยี่เป็งเท่านั้นเอง ว่าแต่ลัลน์ดีขึ้นหรือเปล่า กลับบ้านดีกว่าไหม จะได้ไปนอนพัก” น้ำเสียงของมินฉายแววเป็นห่วงชัดเจนเหมือนที่เป็นมาเสมอ
“ตกลงจะอยู่บ้านต่อใช่ไหม นัดต่ายเที่ยวยี่เป็งเหรอ คบกันใช่ไหมเนี่ย ระวังนะ ตัวเองยังเรียนไม่จบเลย”
มินยังไม่ให้คำตอบเธอว่ากลับมาคราวนี้จะอยู่บ้านได้นานแค่ไหน แต่ตอนนี้ลัลน์เริ่มคิดว่าเขาอาจจะอยู่ต่อ…เพราะต่าย
“ถามเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกแล้วนะ หมู่นี้ถามบ่อยจริงเรื่องแบบนี้เนี่ย อยากให้มินมีใครสักคนเสียทีใช่ไหม”
คราวนี้ลัลน์เริ่มรู้สึกแปลกๆ ที่หัวใจกับการถูกย้อนเข้าให้แบบนี้ เธอช้อนตามองคนที่ลุกยืนทำหน้าบึ้ง แววตาดุของเขาทำให้ลัลน์อ่อนลง
“ไม่ถามแล้วก็ได้ ทำไมต้องทำหน้ายุ่งด้วยล่ะ”
“ให้มันแน่นะ ล้างออกจากสมองให้หมดเลยรู้ไหม ความคิดไม่ได้เรื่องเนี่ย”
“อือ” ตอบไปได้แค่นั้นลัลน์ก็นิ่วหน้าบ้าง ไม่ใช่ด้วยแรงอารมณ์ หากแต่เป็นเพราะแรงบีบในช่องท้องมากกว่า
“ลัลน์ เป็นอะไรมากไหม…ไหวหรือเปล่า กลับบ้านดีกว่านะ” สีหน้าของมินเป็นห่วงชัดเจน เขาลดตัวลงนั่งย่อเข่าให้ใบหน้าอยู่ในระดับเสมอกับเธอ แววตาอาทรร้อนรนที่ได้เห็นทำให้ลัลน์ยิ้มออกมาทั้งๆ ที่ร่างกายยังคงประท้วงรังแกตัวเอง
“ไม่เป็นไรหรอก กินยาแล้วเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องห่วงหรอก” น้ำเสียงของลัลน์อ่อนโยนอยากให้เขาคลายกังวล
“รักษาให้เป็นเรื่องเป็นราวดีกว่าไหมลัลน์ มินเป็นห่วงนะรู้ไหม” สีหน้าร้อนรนและไม่สบายใจของมินยิ่งทำให้ลัลน์ยิ้ม เธอเอียงศีรษะไปพิงเสา หลับตาพริ้มทำเป็นไม่สนใจ
“ทุกทีเลยลัลน์น่ะ ไม่ค่อยจะฟังมินหรอก”
ลัลน์ยิ้มอยู่อย่างนั้น ไม่สนใจจะเปิดตามามองดู แต่ก็รู้ดีว่าสายตาของมินจะไม่ห่างไปไหน น้ำเสียงห่วงใยของน้องชายสร้างความอบอุ่นในหัวใจ กลายเป็นความสุขจนเธอไม่ทันสังเกตว่าตัวเองชอบที่จะมีมินคอยเป็นห่วงเป็นใยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
งานเลี้ยงพระผ่านพ้นไปอย่างเรียบร้อย แขกเหรื่อพากันแยกย้ายกลับบ้านในขณะที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวรวมทั้งญาติสนิทต้องเคลื่อนขบวนไปยังบ้านของเมธิซึ่งถูกจัดให้เป็นเรือนหอ เพื่อดำเนินขั้นตอนที่เรียกว่าจูงเข้าห้องตามฤกษ์ที่วางเอาไว้
บ้านของเมธินั้นอยู่ภายในอาณาบริเวณเดียวกับบ้านใหญ่ที่คุณภวิชและลัลน์อาศัยอยู่ เป็นบ้านที่สองพี่น้องอยู่กันมาตั้งแต่พ่อและแม่ยังมีชีวิต และแม้ว่าท่านจะจากไปแล้ว เมธิกับมินก็ยืนยันที่จะขอพักอยู่ที่บ้านหลังนี้กันสองคนไม่ย้ายขึ้นไปอยู่บ้านใหญ่ ระยะห่างที่เรียกว่าเดินไม่ทันเหนื่อยก็ไปมาหาสู่กันได้สบายทำให้คุณภวิชไม่ติดใจห่วงมากนัก จึงยอมตามใจหลานชาย และจากนี้ไปมันจะเป็นพื้นที่สำหรับเมธิเพื่อก่อร่างสร้างครอบครัวของเขาเองเช่นกัน
เพื่อนๆ ของคุณภวิชรวมถึงธารณ์ได้รับเชิญให้มาทานอาหารกลางวันที่บ้าน และต่างสมัครใจจะไม่ไปรบกวนพิธีการภายในของครอบครัว ลัลน์จึงให้คนช่วยเตรียมอาหารรับรองไปก่อน แล้วรีบตามไปเป็นส่วนหนึ่งของพิธีการ
คู่บ่าวสาวที่นั่งเรียบร้อยกลางเตียงแม้จะนั่งนิ่งแต่ใบหน้ายิ้มละไม ฟังผู้ใหญ่ให้โอวาท สั่งสอนเรื่องการครองเรือน คำสั่งสอนให้ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนั้นมีลัลน์แอบฟังอยู่นอกประตู ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามไปด้วยอย่างอดชื่นใจไม่ได้
มือใหญ่อบอุ่นที่ตามมาวางบนหัวไหล่ทำให้หันไปมองแล้วก็เห็นแววตายิ้มเป็นประกายของมินสบกลับมา ทั้งเธอและน้องชายกำลังปลื้มใจไปกับความสุขของพี่เมธิ อ้อมแขนของมินเลื่อนไปโอบไหล่ลัลน์ในยามที่เมธิโอบกอดเจ้าสาวของเขาเอาไว้แทนคำพูดว่าจะรักและปกป้องคุ้มครองหยาไปชั่วชีวิต
“เป็นหัวหน้าครอบครัวไปแล้วพี่ชายของพวกเรา” ลัลน์พูดเสียงเบาพอให้ได้ยินแค่สองคนกับมิน
“ก็ยังเป็นพี่เมธินั่นแหละ” มินเอ่ยตอบ ดวงตามองพี่ชาย
ทั้งคู่ต้องถอยห่างจากปากประตูเมื่อพิธีการในห้องใกล้สิ้นสุด และผู้ใหญ่ทั้งหมดทำท่าจะขยับออกมา ลัลน์เชิญให้บิดา มารดา และญาติๆ ของหยาไปรับประทานอาหารที่ให้คนจัดเตรียมไว้รับรอง โดยไม่ลืมหันไปบอกมินให้ยกสำรับที่เตรียมไว้ให้เมธิกับหยาเข้าไปในห้อง
คุณภวิชตามไปคอยดูแลแต่ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะนอกจากจะเป็นห่วงเพื่อนๆ ของท่านแล้ว ฝ่ายเจ้าสาวทั้งหลายต่างอยากจะแยกย้ายกันไปเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงฉลองที่จะจัดขึ้นตรงลานใหญ่ภายในอาณาบริเวณบ้านของท่านในตอนเย็นมากกว่า บางส่วนซึ่งนับได้ว่าเป็นส่วนใหญ่ปักหลักเริ่มเตรียมตัวกันที่บ้านของเมธิเลยทีเดียวเพราะสะดวกที่สุด
ช่างแต่งหน้าทำผมที่มาพร้อมหน้าทำให้หยาต้องถูกแยกออกมาเตรียมตัว เวลาที่ยังเหลือนับเป็นค่อนวันทำให้คุณภวิชไล่เมธิที่ตื่นเต้นนอนไม่หลับมาเกือบทั้งคืนให้ไปพักผ่อนที่ห้องรับแขกในบ้านใหญ่ระหว่างที่ฝ่ายเจ้าสาวเตรียมตัว แต่หลานชายของท่านก็ขอจับจองห้องนั่งเล่นในบ้านของตัวเองเป็นที่พักงีบเอาแรงมากกว่า
“พี่เมธิเค้ากลัวพี่หยาหาย ไม่ไปนอนพักที่บ้านใหญ่หรอกครับ” มินแซวพี่ชาย แต่วันนี้เมธิก็อารมณ์ดีเกินกว่าจะอยากเอาคืน เขาหัวเราะน้อยๆ แล้วเดินไปล้มตัวนอนเหยียดยาวบนโซฟาไม่สนใจใครๆ อีก
“พ่อจะไปดูแลพวกท่านนพที่บ้านใหญ่นะหนูลัลน์ ทางนี้สองพี่น้องดูแลความเรียบร้อยแล้วตามไปก็แล้วกันนะ” เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรที่น่าห่วง คุณภวิชก็อยากกลับไปดูแลเพื่อนร่วมก๊วนที่ตามมาบ้าน มือของท่านตบเบาๆ บนไหล่ของหลานชาย
“ครับ/ค่ะ” คนสองคนที่ชอบทำตัวเป็นคู่แฝดต่างสายเลือดตอบรับแทบจะพร้อมกัน
คุณภวิชยิ้มแล้วเดินจากไป ปล่อยให้เป็นธุระของลัลน์กับมินคอยดูแลอำนวยความสะดวกให้กับฝ่ายเจ้าสาว กองทัพผู้ช่วยเจ้าสาวเต็มพิกัด แม้ดูวุ่นวายแต่ก็เป็นความวุ่นวายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม ลัลน์จัดการส่งอาหารและเครื่องดื่มเข้าไปให้ ก่อนจะล่าถอยออกมาเพราะเห็นว่าไม่มีอะไรให้ห่วงอีก
“เข้าบ้านไปพักของเรามั่งดีกว่า ที่ปวดท้องดีขึ้นหรือยังลัลน์” มินชวน
“ดีขึ้นแล้วล่ะ มินหิวหรือเปล่า เลยเที่ยงแล้วดูสิ วันนี้พี่ไม่เห็นมินกินอะไรเท่าไรเลย ระวังเป็นเหมือนพี่นะ”
“กาแฟกับปาท่องโก๋ก็อยู่ท้องแล้ว อย่าบ่นนักเลยน่า มินน่ะยังไงก็หาอะไรรองท้องตามเวลาเสมอ ไม่เหมือนลัลน์หรอก ชอบลืมทุกที” มินบ่น ท่าทางราวกับพ่อแก่ของเขาทำให้ลัลน์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ แล้วก้าวเท้าเดินไปพร้อมกัน
“หัวเราะอะไร”
“หัวเราะมินนั่นแหละ แก่เนาะ ปริญญาโทมันทำให้อายุเพิ่มขึ้นหรือเปล่าเนี่ย” ลัลน์พูดพลางหัวเราะ ยังไม่ทันที่มินจะได้ต่อปากต่อคำเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขัดจังหวะเสียก่อน ลัลน์หยุดเดินเพื่อให้มินรับสายให้เรียบร้อย แต่ก็กลายเป็นว่าเขาก้าวห่างเหมือนอยากคุยโทรศัพท์เป็นการส่วนตัว ท่าทางของเขาทำให้หญิงสาวอดนิ่วหน้าไม่ได้
ทำไมต้องหนีไปคุยไกลๆ ด้วย ไม่อยากให้เธอได้ยินใช่ไหมอาการแบบนี้
แม้พยายามเงี่ยหูฟัง แต่ลัลน์ก็ได้ยินเพียงแค่คำตอบรับ ‘ครับ’ ของเขาเท่านั้น สุดท้ายเลยยอมแพ้ รอกระทั่งเขาวางสายแล้วกลับมาหาเธอ
“ยุ่งเหรอ พรุ่งนี้พี่เมธิไปฮันนีมูนแล้ว มินจะกลับเชียงใหม่เลยก็ได้นะ” แม้จะเหงาเวลาที่เขากลับเชียงใหม่ แต่สีหน้าติดเครียดของเขาก็ทำให้ลัลน์เป็นห่วง
“ไล่เหรอ”
“แล้วกัน คนเค้าเป็นห่วงยังจะมาทำตาขวางใส่อีก เรียนหนักเลยเหรอมิน ไหวไหม” น้ำเสียงของลัลน์อ่อนโยน
“ไหวสิ อีกนิดเดียวก็จบแล้วล่ะ เฮ้อ…ถ้าเรียนแล้วอายุมันเพิ่มขึ้นได้ก็ดีสินะลัลน์ มินอยากอายุมากกว่านี้…สักปีสองปีก็ได้” น้ำเสียงของมินจริงจัง เสี้ยวหน้าที่มองเห็นก็เช่นกัน มันทำให้ลัลน์อดไม่ได้ที่จะมองอย่างสนใจ แต่การเดินเคียงอีกทั้งความสูงของเขาทำให้เธอมองไม่เห็นแววตาที่มองตรงไปตามทางของมินได้ชัดนัก
“ทำไม เป็นน้องเล็กเนี่ยไม่ชอบหรือไง” ลัลน์ล้อหวังจะให้เขาคลายความเคร่งเครียด คราวนี้มินถอนหายใจก่อนจะหันมามองตาขุ่น
“จะให้บอกกี่ทีว่ามินไม่ใช่เด็กเล็กๆ อายุเนี่ยก็ไม่ได้ต่างจากลัลน์เท่าไรหรอก เกิดทีหลังไม่กี่เดือนเนี่ยมันเด็กกว่าสักแค่ไหนกัน”
“ยังไงก็เกิดทีหลัง ยอมรับความจริงดีกว่าว่าพี่เป็นพี่ ว่าไง เมื่อไหร่จะยอมเรียกพี่ดีๆ หือ” ลัลน์เริ่มสนุก
…แม้จะนานจนเป็นความทรงจำที่รางเลือน แต่ลัลน์คิดว่าตัวเองเคยได้ยินเขาเรียกเธอว่าพี่ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะที่เจ้าน้องชายไม่ยอมพูดคำนั้นกับเธออีก…อีโก้ของเด็กผู้ชายหรือเปล่านะ…และแม้จะไม่ติดใจอะไรมากมาย แต่ลัลน์ก็อดไม่ได้ที่จะชอบแกล้งทวงถามเมื่อมีโอกาส
“ไม่มีวัน! จำไว้เลยนะว่าไม่มีวัน” น้ำเสียงมินจริงจังหนักแน่นแล้วสาวเท้าเร็วเดินหนีทันที
ลัลน์หัวเราะเบาๆ กับท่าทางหัวเสียของน้องแล้วเร่งฝีเท้าก้าวตามไปง้อ ทำทีเป็นชวนคุยเรื่องอื่นเพราะรู้ดีว่าไม่ว่าเมื่อไหร่มินก็ไม่เคยโกรธเธอได้จริงจังสักที…ยังคงเป็นมินที่ตามใจลัลน์เสมอ…
เสียงพูดคุยสนุกสนานจากระเบียงข้างบ้านดังแว่วมาขณะที่มินและลัลน์ก้าวเข้าบ้านใหญ่ คุณภวิชที่แยกกลับมาก่อนกำลังนั่งคุยอยู่กับนพวินทร์ นภางค์ ณัฐวัฒน์และภรรยา ซึ่งเป็นสมาชิกก๊วนประจำโดยมีธารณ์เพิ่มมาอีกหนึ่ง
“เรียบร้อยไหมลัลน์ ทางโน้นขาดตกบกพร่องอะไรหรือเปล่า” คุณภวิชหันมาถามลูกสาวเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา
“เรียบร้อยดีค่ะพ่อ ทานข้าวกันเรียบร้อยแล้วเหรอคะ มีอะไรขาดไปบ้างหรือเปล่า” ลัลน์เดินเข้ามาทรุดตัวนั่งข้างบิดา ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงปนเกรงใจที่ไม่ได้คอยรับรองเป็นเรื่องเป็นราวมากนัก
“เพิ่งจะอิ่มกันนี่เอง พ่อมาทันพอดีเลย ว่าแต่หนูลัลน์กับมินล่ะ ได้ทานอะไรหรือยังลูก ไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนไหม แล้วเราจะได้พาธารณ์ไปเที่ยว” คุณภวิชบอก
“นั่นสิหนูลัลน์ ไปจัดการดูแลตัวเองให้เรียบร้อยก่อนไหม หรือว่าเหนื่อย พวกพี่ไปกันเองได้นะ” นภางค์เอ่ย
“ไม่เป็นไรค่ะพี่นาย ลัลน์ไปได้ แต่ขอตัวแป๊บเดียวเท่านั้นเอง อืม…พี่ๆ คุยกันหรือยังคะว่าอยากไปเที่ยวที่ไหน” ลัลน์ถามเป็นเชิงปรึกษา
“ก็ไม่ได้คุยเป็นเรื่องเป็นราวหรอก หนูลัลน์ไปทานข้าวก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยมาว่ากันก็ได้” นพวินทร์บอกด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“นั่นสิหนูลัลน์ ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงหรอก” นภางค์สนับสนุนสามี
“บ่ายนี้เราคงมีเวลาไม่มากเพราะเดี๋ยวจะกลับมาไม่ทันงานเลี้ยงตอนเย็น คงไปไหนไม่ได้ไกล…ไปเที่ยววัดท่าตอนกันดีไหมคะ” ลัลน์ยังอยากเสนอก่อนขอตัว
“อือ ดีเหมือนกันนะ เมื่อเช้าทำบุญนิมนต์รับพระที่บ้านกันแล้ว ตอนนี้พวกเราไปวัดบ้างก็ดี…เป็นมงคล” คุณภวิชรับข้อเสนอของลูกสาว
“แต่เห็นทีผมกับหญิงต้องขอตัวนะพ่อนาย เอาไว้เจอกันตอนงานเย็นดีกว่า” ณัฐวัฒน์ขอตัว ดังนั้นคณะทัวร์วัดท่าตอนหลังจากลัลน์และมินรับประทานมื้อเที่ยงเรียบร้อยจึงเหลือเพียงครอบครัวของคุณภวิชและพันตำรวจเอกนพวินทร์เท่านั้น
ลัลน์รับหน้าที่เป็นไกด์จำเป็นให้กับธารณ์ที่จัดเป็นคนต่างถิ่นมากที่สุดในคณะ ทำให้ข้างกายในวันนี้นอกจากจะมีมินเหมือนที่เคยเป็นเสมอแล้วยังมีธารณ์ขนาบอีกด้าน ความสูงของชายหนุ่มทั้งสองข่มจนลัลน์กลายเป็นเด็กเล็กไปถนัดตาทั้งๆ ที่ตัวเองจัดก็เป็นหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง
คุณภวิชเดินห่างออกไปพร้อมกับนพวินทร์และนภางค์ คนรุ่นเดียวกันคุยถูกคอมีเสียงหัวเราะดังเป็นระยะ และยังพอจับคำพูดได้ว่าเป็นการสนทนาทั่วๆ ไปเท่านั้นเอง
“วัดท่าตอนนี่ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดีมากเลยนะครับ” ธารณ์พูดพร้อมรอยยิ้มพลางกวาดตามองไปรอบๆ
“คุณธารณ์เป็นซินแสหรือเปล่าคะ รู้ไหมคะว่ามีซินแสบางท่านบอกว่าวัดท่าตอนตั้งอยู่บนชัยภูมิที่เรียกว่าภูเขามังกรนะคะ”
“เป็นได้ก็ดีสิครับ ผมจะได้ขอ บ.ก. ทำคอลัมน์ดูดวงเพิ่มอีกหนึ่ง”
“แหม เอาอย่างนั้นเลยนะคะ” ลัลน์หัวเราะเบาๆ ท่าทางคุยเก่งแต่สุภาพของเขาทำให้เธอสบายใจ “วัดท่าตอนมีสถานะเป็นพระอารามหลวงน่ะค่ะ พื้นที่ค่อนข้างเยอะ กินอาณาบริเวณทอดยาวไปตามไหล่เขาเก้าชั้น และแต่ละชั้นตรงบริเวณยอดเขาก็เป็นที่ประดิษฐานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยค่ะ”
ธารณ์มองตาม ไล่สายตาไปยังยอดเขาสูงสุดซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมธาตุรัชมังคลาจารย์สมานฉันท์ หรือพระเจดีย์แก้ว
“พระบรมธาตุรัชมังคลาจารย์สมานฉันท์มีทั้งหมดสามชั้นค่ะ ชั้นที่หนึ่งเป็นชั้นแห่งทานซึ่งจะมีบันทึกรายนามผู้บริจาค ชั้นที่สองเป็นชั้นแห่งศีลหรือสะพานสายรุ้ง จะมีหยดน้ำคริสตัลตั้งอยู่ตรงดุมล้อของธรรมจักร พ้นจากสะพานสายรุ้งก็เป็นชั้นที่สามเรียกว่าชั้นภาวนา…เป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์แก้วซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุค่ะ มีการเปรียบเทียบว่าสะพานสายรุ้งเป็นเส้นทางทอดผ่านจากแดนมนุษย์หรือโลกิยภูมิไปสู่แดนสวรรค์หรือโลกุตรภูมิ ผู้ได้ทำบุญร่วมสร้างพระบรมธาตุรัชมังคลาจารย์สมานฉันท์ก็เหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสะพานสายรุ้งให้แก่เพื่อนมนุษย์สู่แดนสุขาวดี”
ลัลน์อธิบายยาวอย่างเต็มใจ แล้วก็เห็นธารณ์ยกมือจรดหน้าอกก่อนจะก้มศีรษะลงมาบรรจบที่ปลายนิ้ว หันหน้าไปยังพระธาตุซึ่งกำลังก่อสร้างเห็นรูปร่างชัดเจน ภาพของธารณ์ที่สุภาพสำรวม ดวงหน้าสุขุมไม่มีแววขี้เล่นทำให้ลัลน์มองแล้วยิ้มน้อยๆ
“อะไรครับ” ธารณ์ที่หันกลับมามองถาม แต่ลัลน์ก็กลับตั้งคำถามบ้าง
“คุณธารณ์ร้อนไหมคะ ที่นี่ตอนกลางวันค่อนข้างร้อนสักหน่อย”
“ก็มีบ้างครับ แต่พอไหว คุณลัลน์ดูท่าทางไม่กลัวแดดเท่าไรนะครับ”
“กลัวทำไมล่ะคะ แดดแรงๆ อย่างนี้ดีต่อต้นส้มออก แล้วอีกอย่าง ว่าจะขอหลายทีแล้ว…อย่าเรียกคุณเลยค่ะ ฟังแล้วดูสูงวัยยังไงไม่รู้ เรียกลัลน์เฉยๆ ก็ได้” ลัลน์บอกพร้อมส่งยิ้มไปให้
“งั้นก็ต้องไม่เรียกผมว่าคุณธารณ์ด้วยสิครับ ผมก็ยังอยากดูหนุ่มอยู่เหมือนกันนะ เรียกธารณ์ดีกว่าครับ” ธารณ์บอกกลับไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“แหม ให้เรียกชื่อเลยก็แปลกๆ นะคะ อืม งั้นขอเรียกพี่ธารณ์ได้ไหมคะ คุณธารณ์อายุมากกว่าลัลน์นี่นา”
“ได้ครับ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าน้าหรือลุง” คำตอบของธารณ์เรียกเสียงหัวเราะจากหญิงสาวที่เดินอยู่ข้างกาย
“จะให้เรียกน้าธารณ์ก็ได้นะคะ เพราะดีเหมือนกัน”
“โห ไม่ไหวมั้งครับ พี่ก็แล้วกันครับ ผมยังอยากดูหนุ่มนานๆ”
“หัวเราะอะไรกันหือ” เสียงของนพวินทร์ถามมาอย่างสนใจ ท่าทางคุยกันถูกคอระหว่างหนุ่มสาวทั้งสองทำให้อดทักไม่ได้
“ไม่มีอะไรค่ะพี่นพ พอดีคุณธารณ์เค้าใจดี ยอมรับลัลน์เป็นหลานสาวน่ะค่ะ”
“โอ้โห งั้นผมก็ต้องเป็นหลานด้วยสิครับน้าธารณ์ เพราะหนูลัลน์เรียกผมว่าพี่” นพวินทร์หัวเราะเสียงดังในขณะที่ธารณ์รีบปฏิเสธเสียงหลง ทำเอานภางค์และคุณภวิชหัวเราะบ้าง แต่ดูท่ามินจะไม่สนุกไปกับคนอื่นด้วย ได้แต่เดินเงียบไม่พูดไม่จา สีหน้านิ่งเรียบแม้กระทั่งยามที่พากันไปนมัสการท่านเจ้าอาวาส
หยาดน้ำพระพุทธมนต์ที่ซัดมาเย็นสดชื่น ภายในบริเวณวิหารที่ท่านเจ้าอาวาสกำลังต้อนรับเหล่าอุบาสก อุบาสิกาที่มาทำบุญสงบร่มรื่น เสียงกระดิ่งรับสายลมดังแว่วเป็นระยะ ทุกคนก้มลงกราบพร้อมกันอีกครั้งเพื่อรับศีลรับพรจากท่านเจ้าอาวาส แล้วสายสิญจน์ก็ถูกส่งมาให้โดยทั่วหน้า
ธารณ์มีความประสงค์อยากทำบุญร่วมสร้างพระบรมธาตุรัชมังคลาจารย์สมานฉันท์และก็ได้ลัลน์ช่วยอย่างเต็มใจ นิสัยชอบทำบุญทำให้คุณภวิชนึกชมชายหนุ่มในใจ ภาพของลัลน์ที่ช่วยธารณ์ติดต่อวัดเพื่อขอทำบุญดูท่าจะสะดุดตาหลายคนที่มาทำบุญเช่นเดียวกัน
“เมื่อเช้าแต่งหลานชาย อีกบ่เมินจะแต่งลูกสาวใช่ก่พ่อนาย” แม่เฒ่าคนหนึ่งที่นำลูกหลานมาทำบุญอดทักไม่ได้ สองหนุ่มสาวได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก สำหรับธารณ์นั้นแม้คำพูดของแม่เฒ่าจะติดสำเนียงชาวเหนือ แต่เขาก็เข้าใจความหมายที่ถามเป็นอย่างดี ในขณะที่คุณภวิชและพันตำรวจเอกนพวินทร์รีบแก้แทน
“โธ่ แต่งอะไรกันป้า ลูกสาวผมยังโสด”
“นี่น้องชายผมครับ มาเที่ยว”
“แหม บ่ต้องเขินหรอกพ่อนาย ท่านนพ…น้องชายหล่อเนาะ สมกับหนูลัลน์จริงๆ เลยนะเจ้า”
“ไม่ใช่หรอกป้า หนูลัลน์กับน้องผมเพิ่งรู้จักกันนี่แหละ พอดีน้องผมเป็นนักข่าว เค้ามาทำข่าวสวนส้มสารัณน่ะ”
“ใช่แล้วป้า รออ่านข่าวเลยเน้อ คุณธารณ์เนี่ยเป็นนักข่าวเก่งนา” คุณภวิชเสริม แต่เหมือนจะยิ่งทำให้เรื่องวุ่นหนักเข้าไปอีก
“แหม ดีจริงๆ เลยพ่อนาย มีลูกเขยเป็นนักข่าว จะได้ช่วยกันโฆษณาส้มบ้านเราเนาะ ช่วยกันทำมาหากิน”
ท่าทางยิ่งพูดยิ่งเข้าเนื้อทำให้สุดท้ายลัลน์ได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้จะว่ายังไง เมืองเล็กๆ และวิถีชนบทที่เรื่องราวสักเรื่องไม่เคยหยุดที่คนคนเดียว…ไม่นานหรอก เรื่องนี้คงแพร่ไปทั่ว
“เป็นอย่างนั้นไปเสียอีก คนเรานี่ยังไงนะ บอกอะไรก็ไม่ฟัง ทำไมชอบคิดเองเออเองแบบนี้เนี่ย” นพวินทร์บ่น
“ช่างเถอะท่านนพ ยังไงเดี๋ยวอีกไม่กี่วันธารณ์ก็กลับแล้ว ก็คงลือกันได้สักพักแล้วก็หายเพราะคงไม่มีอะไรให้ได้ลือกันมากไปกว่านี้อีก แล้วอีกอย่าง เดี๋ยวก็มีหัวข้อใหม่ให้ลือกันสนุกกว่า” คุณภวิชเอ่ยอย่างเข้าใจโลก ท่านผ่านอะไรมาเยอะ…วันที่ล้มละลาย คนที่สมน้ำหน้าแล้วเหยียบซ้ำก็เจอมามาก ดังนั้นคำคนจึงไม่ใช่อะไรที่จะทำให้ท่านคิดมากได้อีกแล้ว
“ไอ้ผมมันก็ห่วงกลัวจะเป็นข่าวลือนี่แหละ เดี๋ยวได้พูดกันทั่วแน่” นพวินทร์บ่นพึมพำตรงกับใจของธารณ์ ในขณะที่คุณภวิชกลับพูดเป็นเรื่องเล่น
“ไม่เห็นยากเลย น้องชายท่านนพนั่นแหละต้องรับผิดชอบลูกสาวผม”
“อ้าว เดี๋ยวผมเอาจริง ยุธารณ์ขึ้นมา พ่อนายอย่าเอาส้มที่สวนไล่ขว้างหัวน้องผมนะ” แล้วคนรุ่นใหญ่สองคนก็หยอกกันสนุกโดยไม่ได้หันมาสนใจคนหนุ่มสาวที่เดินตามมาอีกเลย
“ขอโทษนะครับ เลยทำให้ลัลน์เสียหาย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่าคิดมากเลย คำคนมันทำร้ายเราเมื่อเราฟังและคิดตามเท่านั้นแหละค่ะพี่ธารณ์” ลัลน์บอก เธอเองก็คิดเหมือนพ่อ
‘อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา’ ข้อความนี้เป็นจริงเสมอ
“ผมว่าทางที่ดีคุณรีบสัมภาษณ์แล้วเก็บข้อมูลให้เรียบร้อยไวๆ ก็ดีนะ ยิ่งอยู่นานลัลน์ยิ่งเสียหายมากขึ้นเท่านั้น” มินพูดด้วยน้ำเสียงแบบที่เรียกว่ามะนาวไม่มีน้ำจนลัลน์ต้องปราม
“มิน ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ เสียมารยาทน่า”
“แล้วมินพูดไม่ถูกตรงไหนล่ะ คอยดูสิ ไม่เกินพรุ่งนี้หรอกจะได้ลือกันทั้งตลาด”
“มิน!” คราวนี้ลัลน์ไม่เพียงทำเสียงดุเท่านั้น ใบหน้าเรียบตึงไม่พอใจชัดเจน เธอรู้ว่าอะไรจะตามมากับคำลือของผู้คน แต่มารยาทที่ดีในฐานะเจ้าบ้านเป็นสิ่งที่ละเลยได้อย่างนั้นหรือ ในเมื่อผู้ชายคนนี้มาเพื่อประโยชน์ส่วนหนึ่งของสวนส้มสารัณ
ธารณ์ยิ้มโดยไม่พูดอะไร แววตาขุ่นขวางอีกทั้งท่าทางหลายอย่างที่แสดงชัดว่าไม่พอใจในตัวเขาทำให้ธารณ์รู้สึกแปลกๆ กับเด็กหนุ่มที่คุณภวิชบอกว่าเป็นหลานชาย…ลูกของเพื่อนรัก และหญิงสาวที่อยู่ข้างกายบอกว่าเป็นน้อง
หลานหรือน้อง…ทำไมเขาถึงได้รู้สึกไม่สนิทใจกับสิ่งที่ได้รับรู้สักเท่าไรเลย สัญชาตญาณของลูกผู้ชายหรือว่าเขาคิดมากไปเองกันนะ…
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.