X
    Categories: My Little Happiness... ขอเรียกเธอว่าความสุขWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน My Little Happiness… ขอเรียกเธอว่าความสุข บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 24

บทที่ 2

“เวินเซ่าชิง คนสารเลว!”

 

เวินเซ่าชิงไม่เห็นฉงหรงต่อไปอีกหลายวัน หลังเลิกงานเขาตั้งใจไปซื้อเต้าหู้สักก้อน พอไปเคาะประตูห้องตรงข้ามก็ไม่มีเสียงตอบรับ

พักนี้พอมีเวลาว่างเวินเซ่าชิงจะแวะไปแผนกทันตกรรม กลุ่มนักศึกษาของเขาสุมหัวกันดราม่า

“อาจารย์เวินไปแผนกทันตกรรมอีกละ”

“อืมๆ”

“พักนี้ทำไมเขาไปแผนกทันตกรรมอยู่เรื่อย”

“ปวดฟันมั้ง”

“ไม่นะ เมื่อวานเห็นเขาที่ห้องผ่าตัด กินข้าวกล่องก็ยังปกติดี ท่าทางอร่อยมาก”

“หรือว่าอยากจะย้ายไปแผนกทันตกรรม?”

“คงไม่หรอก ฉันยังเรียนไม่จบนะ”

“เมื่อกี้ยังเห็นเขาคุยกับหมอเหอคนหล่อ”

จงเจินฟังไปฟังมาก็เกิดความคิด หรือว่าคนที่อาจารย์เวินชอบก็คือหมอเหอ?! ครั้งก่อนอาจารย์เวินบอกว่าหมอเหอเป็นรุ่นน้องของเขา รุ่นพี่กับรุ่นน้องมักจะแอบชอบกันเป็นประจำนี่นา

เวินเซ่าชิงเดินเกะกะอยู่ในคลินิกผู้ป่วย เหอเหวินจิ้งรักษาคนไข้รายสุดท้ายเสร็จแล้วก็ถอดหน้ากากออก ถามเขาว่า “รุ่นพี่ ปวดฟันเหรอ”

“ไม่ปวด”

“ไม่ปวดฟันแล้วมายืนเกะกะอะไรที่นี่”

“ช่วงนี้มีคนไข้ชื่อฉงหรงมั้ย”

“มีสิ เมื่อวานตอนบ่ายมาถอนฟันคุด สัปดาห์หน้ามาตรวจอีกที”

“เธอรับเองหรือ ถอนเสร็จแล้ว?”

“ใช่ มีปัญหาอะไรมั้ย”

เวินเซ่าชิงส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ไปก่อนละ”

เหอเหวินจิ้งมองเงาหลังของเวินเซ่าชิง ทำหน้างงพลางพึมพำว่า “ก็แนะนำฉงหรงมาเองไม่ใช่หรือ บอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของนักศึกษาตัวเอง ทำไมทำเหมือนไม่รู้ว่าเป็นคนไข้ของฉันล่ะ”

 

ตั้งแต่ฉงหรงถอนไอ้ตัวร้ายออกไปแล้วก็ต้องกินโจ๊กอยู่หลายวัน ทุกครั้งที่กินโจ๊กก็จะคิดถึงแกงจืดไข่น้ำที่เวินเซ่าชิงทำ เธอมองโจ๊กเปล่าข้างหน้าแล้วรู้สึกว่าไร้รสชาติ ยังดีที่หน้าครึ่งซีกที่เคยบวมเป่งตอนนี้หายเป็นปกติแล้ว แต่เธอยังพักอยู่ที่บ้านจงเจิน ยังไม่อยากกลับบ้านตัวเอง

ฉงหรงรู้สึกว่าเธอกับเวินเซ่าชิงอย่างมากก็เป็นแค่เพื่อนบ้าน ตอนนี้เธอพักอยู่ที่บ้านจงเจิน เธอกับเขาก็ไม่นับเป็นเพื่อนบ้านกันแล้วสินะ แต่คิดไม่ถึงว่าเธอกับเวินเซ่าชิงจะเป็น ‘เจ้ากรรมนายเวร’ หนักหนาสาหัสถึงระดับที่เธอรับมือไม่ทัน

หลังจากจงเจินเช่าบ้านเรียบร้อยแล้วก็คิดจะเชิญเพื่อนๆ มาสนุกกันที่บ้าน แต่เพราะงานยุ่งมากก็เลยไม่ได้ทำตามแผนเสียที จนช่วงนี้มีวันหนึ่งที่เรียนไม่มากและเวินเซ่าชิงก็ไม่มีผ่าตัด จึงนัดเพื่อนๆ มากินข้าวที่บ้านกัน

ตอนใกล้เที่ยง เวินเซ่าชิงกับกลุ่มนักศึกษาก็มาถึง จงเจินยิ้มแย้มเปิดประตูต้อนรับพวกเขาเข้ามา

มีคนเห็นรองเท้าส้นสูงที่ข้างประตูจึงหัวเราะแซวจงเจิน “อ้าว แฟนอยู่เหรอ”

“ไม่ใช่ๆ! ยังไม่มีแฟน” จงเจินชี้ไปที่ประตูห้องนอนที่ปิดงับไว้ “พี่สาวน่ะ เตรียมเอกสารว่าความนอนดึกมาหลายคืนแล้ว วันนี้ศาลเลิกก็กลับมานอน เบาๆ หน่อยนะ ถ้าเสียงดังจนเธอตื่น ภูเขาไฟระเบิดแน่!”

เวินเซ่าชิงไม่แปลกใจกับ ‘พี่สาว’ ที่จงเจินพูดถึงแล้ว ยิ้มพลางรับปากว่า “โอเค”

จงเจินหัวเราะอย่างสบายใจ “อาจารย์เวิน พวกคุณนั่งพักก่อน ผมไปยกน้ำมาให้” พูดจบก็เดินเข้าห้องครัว แต่ในใจกลับคิดว่าในที่สุดวันนี้ก็ทำให้พี่ได้พบหน้าบอสจนได้! ถ้าบอสได้เจอรับรองว่าจะไม่ชอบหมอเหออีกแน่ๆ!

นักศึกษากลุ่มนี้เรียนปริญญาโทกับเวินเซ่าชิง อยู่ด้วยกันตลอดเวลาจนสนิทกันมาก เซ้าซี้ให้จงเจินพาพวกเขาชมห้อง

ห้องนี้เวินเซ่าชิงเป็นคนให้จงเจินเช่า เขาจึงไม่คิดเดินดู ชายหนุ่มไปนั่งที่โซฟา เพิ่งนั่งลงก็ได้ยินเสียงเรียกเบาๆ จากในห้องนอน “จงเจิน เทน้ำมาให้แก้วนึงที”

เวินเซ่าชิงมองไปที่ห้องนอนแวบหนึ่ง ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะลุกไปห้องครัวรินน้ำมาหนึ่งแก้ว หลังผลักประตูเข้าไปก็เห็นคนบนเตียงพยายามลุกขึ้นนั่ง สีหน้าซึมเซา เอามือขยี้ผม แต่สุดท้ายก็หัวทิ่มลงไปนอนต่อ

ชายหนุ่มส่งแก้วน้ำให้ “น้ำ”

ฉงหรงพยายามตะกายลุกขึ้นอีก ตาปรือจนขี้เกียจลืมตา ตอนที่ยกมือคลำหาแก้วก็กระทบถูกมือเวินเซ่าชิง แต่เธอไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ดื่มน้ำหมดแล้วก็หลับตาจับมือเขา ลากเขามานั่งข้างเตียงแล้วยีหัวเขาเบาๆ พลางเอ่ยเสียงงัวเงีย “พักนี้ฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลาดูแลนาย รองานหายยุ่งจะพาไปหาของดีๆ กินนะ”

แม้ว่าเธอยังงัวเงียอยู่ แต่มือไวมาก เวินเซ่าชิงยังไม่ทันได้ทำอะไร เธอก็ยัดแก้วใส่มือเขาแล้วซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่มนอนต่อ

จงเจินได้ยินเสียงก็เดินมาดู กลุ่มนักศึกษายืนอยู่ที่ข้างประตูแอบดูอย่างตื่นเต้น เมื่อเวินเซ่าชิงยกแก้วน้ำออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย จงเจินก็เดินเข้าไป เอ่ยตะกุกตะกักว่า “อาจารย์เวิน ขอโทษครับ พี่สาวของผมไม่เจตนา…”

สีหน้าเวินเซ่าชิงแปลกไปเล็กน้อย ใจลอยรับคำว่า “อือ ไม่เป็นไร…”

ทุกคนมองสีหน้าแปลกๆ ของอาจารย์เวิน แล้วก็มองจงเจินอย่างเห็นใจ ปกติถ้าบอสพูดว่าไม่เป็นไร แปลว่าจะมีเรื่องใหญ่แน่

จงเจินทำหน้าจะร้องไห้ ยืนขวางหน้าเวินเซ่าชิง พยายามจะอธิบาย

แต่อาจารย์เวินกลับจ้องหน้าเขาแล้วถามว่า “เธอคือพี่ของคุณสินะ พี่สาวคนที่เคยบอกอยู่ตลอดว่าจะแนะนำให้ผมใช่ไหม”

จงเจินพยักหน้า “ใช่ครับ พวกคุณรู้จักกันเหรอ”

เวินเซ่าชิงไม่ตอบ เขาเดินไปทางห้องครัว

แววตาเห็นใจบนหน้ากลุ่มนักศึกษาเปลี่ยนเป็นสายตาเหยียดหยามทันที จงเจิน แกมันน่าขายหน้าจริงๆ ถึงกับใช้วิธีนี้ติดสินบนศาสตราจารย์!

“อืม ใช่” เวินเซ่าชิงเดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมาเสริมว่า “ต่อไปเวลาแนะนำก็อย่าลืมบอกชื่อก่อน”

“เอ่อ” จงเจินยืนเหวอ “พี่ผมชื่อฉงหรง”

เวินเซ่าชิงจ้องหน้าอีกฝ่ายครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าห้องครัวไป

วินาทีต่อมาจงเจินก็พุ่งเข้าไปในห้องนอนเขย่าตัวฉงหรงอย่างแรง ร้อนใจจนเต้นเร่าๆ “พี่อ่าาาา! ไปยีหัวบอสของผมทำไม”

ฉงหรงถูกเขย่าจนตื่น ทำหน้ารำคาญพลางผลักน้องชายออกไปจะนอนต่อ เธอถามพร้อมสีหน้างงๆ กลบเกลื่อนว่า “บอสของนายคือใครกัน”

เวินเซ่าชิงยืนตกใจอยู่ในห้องครัว เทน้ำใส่แก้วที่เมื่อครู่ฉงหรงดื่ม เขาดื่มน้ำไปหลายคำสีหน้าจึงเป็นปกติ แล้วก็ก้มหน้าหัวเราะเงียบๆ

ที่แท้จงเจินก็คือญาติผู้น้องของเธอนี่เอง

มีละครตอนพิเศษแบบนี้แทรกเข้ามา มุมปากบอสมีรอยยิ้มแปลกๆ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าอยู่ในบ้านอีก พอจงเจินบอกว่าจะออกไปซื้อของกิน ทุกคนก็ขอตามไปด้วยทันที ทิ้งเวินเซ่าชิงทำอาหารอยู่ในห้องครัวคนเดียว

ฉงหรงถูกกลิ่นหอมๆ ของอาหารยั่วยวนจนตื่น เดินออกมาจากห้องนอนเห็นมีคนอยู่ในห้องครัวก็เข้าใจว่าเป็นจงเจิน จึงเปิดประตูถามโดยไม่คิดว่า “อาหารกลางวันกินอะไรกัน”

พอเห็นหน้าคนผู้นั้นชัดเจนก็ตกตะลึง เธอแค่นอนไปครู่เดียว ทำไมถึงย้อนเวลากลับไปวันที่เจอเวินเซ่าชิงครั้งแรกล่ะ

ห้องชุดแบบเดียวกัน ห้องครัวแบบเดียวกัน แม้แต่ความสูงของแขนเสื้อที่เวินเซ่าชิงพับขึ้นมาก็แบบเดียวกัน เธอถูกอาถรรพ์เข้าแล้วหรือนี่

เวินเซ่าชิงมองท่าทางสับสนงวยงงของเธอแล้วก็รู้สึกตลก กระแอมเบาๆ เรียกเธอ “ฉงหรง?”

ฉงหรงรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็รีบปิดหน้าไม่อยากเผชิญกับโลกแห่งความจริง เธอถามอย่างงงๆ ว่า “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

เพิ่งถามเสร็จประตูบ้านก็ถูกเปิดจากด้านนอก จงเจินกับกลุ่มนักศึกษาปรากฏตัวขึ้นที่ข้างประตู จงเจินเห็นพี่สาวกำลังคุยกับเวินเซ่าชิงก็ตื่นเต้นมาก เอ่ยแนะนำว่า “พี่ นี่คืออาจารย์ผม เวินเซ่าชิง วันที่ไปรับพี่ก็ยืมรถอาจารย์ไป พี่ยังจำได้มั้ย” พูดจบก็หันไปทางกลุ่มเพื่อนที่ด้านหลังแล้วแนะนำ “พวกนี้คือเพื่อนร่วมคลาสผมเอง นี่พี่สาวน่ะ ชื่อฉงหรง”

กลุ่มนักศึกษาทั้งชายหญิงทักทายพร้อมกันอย่างมีมารยาท “สวัสดีครับ/ค่ะ”

ฉงหรงทักทายกลับอย่างยากลำบาก มองเวินเซ่าชิงแล้วหันไปมองจงเจิน แล้วก็หันกลับมามองเวินเซ่าชิงอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มเหม่อลอย

ไม่ใช่เธอคิดมากไปเอง รถคันนั้นเป็นรถเขาจริงๆ ‘บอส’ ที่จงเจินพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้กี่ครั้งก็คือเขานี่เอง มิน่าล่ะจงเจินถึงเช่าบ้านหลังนี้ได้แบบบังเอิญขนาดนี้ ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างมีเบาะแสให้สาวถึง แต่เธอกลับละเลยไป…

ตอนนี้ในหัวเธอไม่ได้คิดเพียงเรื่องพวกนี้ ยังมี…เธอเพิ่งลุกมาจากเตียง ผมไม่ได้หวีหน้าไม่ได้ล้าง ไม่ได้แต่งหน้า แม้แต่เสื้อผ้าก็ยับยู่ยี่ เมื่อกี้ตอนที่นอนอยู่ จงเจินบอกว่าอะไรนะ ฉันยีหัวใคร แล้วฉันดึงมือของใครอีก

พระเจ้า! แล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไงกัน!

ถึงแม้ในใจจะปั่นป่วนเหมือนคลื่นยักษ์ แต่สีหน้าฉงหรงกลับไม่แสดงอารมณ์แม้แต่น้อย ประสบการณ์บอกเธอว่าแพ้อะไรแพ้ได้ แต่ท่าทางเยือกเย็นสง่างามจะแพ้ไม่ได้ เธอยิ้มทักทายเวินเซ่าชิงทันที “สวัสดีค่ะศาสตราจารย์เวิน” จากนั้นก็หันไปโบกมือให้กลุ่มนักศึกษา “สวัสดีเพื่อนๆ ของจงเจิน”

ฉงหรงยังใส่ชุดเสื้อขาวกางเกงดำที่ขึ้นว่าความ เป็นชุดที่สะอาดภูมิฐาน เข้ากับรูปร่างสูงเพรียวของเธอเป็นอย่างดี ถึงจะสวมรองเท้าแตะ หน้าตายิ้มแย้มก็ยังดูน่าเกรงขาม

กลุ่มนักศึกษาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับพูดเจื้อยแจ้ว “จงเจิน พี่สาวนายเท่สุดๆ”

“สไตล์คุณพี่ในฝัน แบบที่ชอบเลย!”

“เป็นทนายความเหรอ วันหน้าถ้าฉันถูกญาติคนไข้ทำร้ายร่างกาย จะเรียกเงินค่าชดเชยได้หลายล้านมั้ย”

จงเจินทำท่าครุ่นคิดจริงจัง “พี่สาวทำคดีอาญา ประเภทฆ่าคนปล้นทรัพย์ จับตัวประกันเรียกค่าไถ่ ค้ายาเสพติด คอร์รัปชันอะไรพวกนี้ ถ้ารักษาคนไข้ตายหรือพิการก็น่าจะได้ใช้บริการ”

“เท่สุดๆ เลย!”

“แต่คดีอย่างอื่นก็รับบ้างนะ” จงเจินเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ “สรุปว่าพี่รับว่าความคือปิดทางแพ้!”

ทางด้านนั้นกลุ่มเด็กนักศึกษาคุยกันสนุกสนาน ทางด้านนี้ไม่เห็นความผิดปกติจากสีหน้าเวินเซ่าชิงอีกแล้ว ท่าทางเขาผ่อนคลาย หยิบมือถือออกมา “แอดวีแชตกันหน่อยสิ”

ฉงหรงขมวดคิ้วแน่น “แอดวีแชตทำไม”

เวินเซ่าชิงอ้างไปเรื่อย “ต้องมีช่องทางติดต่อกับผู้ปกครองนักศึกษา ปรึกษาสภาพจิตใจของนักศึกษาได้ทุกเวลา เพื่อการเรียนที่ดีขึ้นของเขา”

ฉงหรงแสดงความรังเกียจเหยียดหยามต่อข้ออ้างอ่อนด้อยนี้ “จงเจินเรียนชั้นประถมหรือ เขาโตขนาดนั้นแล้ว รับผิดชอบตัวเองได้”

เวินเซ่าชิงส่งสัญญาณให้ฉงหรงดูอีโมจิที่กำลังเต้นดุ๊กดิ๊กที่ห้องรับแขก “แน่ใจนะ?”

ฉงหรงสูดลมหายใจลึกมาก ครั้งก่อนนามบัตรใบนั้นถูกเธออาศัยจังหวะชุลมุนชิงกลับมาได้ แต่สงสัยว่าครั้งนี้คงหนีไม่พ้น

สุดท้ายก็ยังคงต้องแอดวีแชตกันอยู่ดี หนีไม่รอด เป็นสัญลักษณ์ว่าฉงหรงกับเวินเซ่าชิงฟื้นฟูความสัมพันธ์กันอีกครั้งแล้ว มีความหมายยิ่งใหญ่นัก

หลังกินอาหารเสร็จ กลุ่มนักศึกษาที่มีพลังไม่รู้หมดก็ล้อมวงเล่นเกมฆ่าคนอยู่ที่ห้องรับแขกส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ‘คนแก่’ สองคน คนหนึ่งล้างจานอยู่ในห้องครัว คนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูห้องครัวดูอีกคนล้างจาน ภาพนี้เป็นภาพที่คุ้นเคยมาก ทำให้ฉงหรงรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปอีกโลกหนึ่ง

ฉงหรงมองมือสวยๆ คู่นั้นเคลื่อนไหวไปมาอยู่ใต้สายน้ำไหล สายตาเลื่อนจากมือไปที่ใบหน้าด้านข้าง

เทพเจ้าแห่งกาลเวลาต้องเมตตาผู้ชายคนนี้แน่นอน นอกจากความหนักแน่นและความอ่อนโยนที่หว่างคิ้วชัดเจนขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว ใบหน้าที่อยู่ด้านหน้าของเธอเหมือนกับที่พบครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน แนวเส้นชัดเจนสวยงาม หูตาจมูกสมส่วน ไม่มีร่องรอยของกาลเวลาทำร้ายแม้แต่น้อยนิด หล่อเท่จนชวนให้ขนลุก นี่สินะที่เขาว่าไว้ ปราชญ์ผู้ได้รับการศึกษา ท่วงท่าสง่า บริสุทธิ์ดั่งหยกงาม

เวินเซ่าชิงปล่อยให้เธอจับจ้องตามสบาย ล้างจานเก็บเข้าที่เรียบร้อยแล้วก็เงยหน้ามาทางเธอ ยิ้มมุมปากแบบอารมณ์ดีถามว่า “งานยุ่งมาก ก็เลยนอนที่สำนักงานทนายความหรือ”

ฉงหรงมองใบหน้านั้น ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่สุภาพมีมารยาทซ่อนความร้ายกาจบีบคั้นคนเอาไว้ เธอเถียงไม่ออก ก็เหมือนในอดีตที่เขายืนอยู่ที่เดิมพูดกับเธอ ‘ฉงหรง พวกเราเคยเจอกันมาก่อน’

 

ช่วงเวลาต่อมาฉงหรงไม่ค่อยมีสมาธินัก จนกระทั่งส่งแขกกลับหมดแล้ว เธอก็รีบจับจงเจินมาสอบสวนทันที “จำได้ว่าตอนนั้นนายตั้งใจจะสอบโทไปเรียนกับศาสตราจารย์แก่ๆ ไม่ใช่เหรอ ทำไมอยู่ดีๆ กลายเป็นนักศึกษาของเวินเซ่าชิงล่ะ”

ตอนนั้นเธออุตส่าห์หาข้อมูลของศาสตราจารย์คนนั้น เพราะเหตุนี้เธอจึงเข้าใจว่า ‘บอส’ ที่จงเจินพูดถึงคืออาจารย์สูงวัยคนนั้น ไม่ได้คิดไปถึงเวินเซ่าชิงแม้แต่น้อย

จงเจินหยุดทำหน้ายิ้มทะเล้นทันที เปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง “ตอนยังเรียนปริญญาตรีอยู่ ทีแรกผมไม่สนิทกับอาจารย์เวินเท่าไหร่ ช่วงหลายปีมานี้ฝ่ายหมอกับฝ่ายคนไข้มีปัญหากันบ่อย บางทีมีญาติคนไข้หรือนายหน้า* มาหาเรื่อง วันนั้นอาจารย์ส่วนใหญ่มีคิวผ่าตัด เหลือผมกับเพื่อนนักศึกษาไม่กี่คน ตอนนั้นเจอเรื่องแบบนี้ครั้งแรก ผมกลัวมากเลย พอดีอาจารย์เวินเพิ่งออกจากห้องผ่าตัด ผ่าตัดสิบกว่าชั่วโมง ยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดผ่าตัดก็รีบวิ่งมาช่วย ชุดผ่าตัดยังเปื้อนเลือดอยู่เลย เขายืนขวางด้านหน้าเรา พูดกับผมว่า ‘เด็กๆ ยืนข้างหลังผมนี่’ วันนั้นเขายืนอยู่ข้างหน้าปกป้องพวกเรา…

“ต่อมาพอเขาได้เป็นศาสตราจารย์อายุน้อยที่สุดก็มาบรรยายที่ ม. ด้วย ผมไปสาย ตอนไปถึงใกล้จะจบงานแล้ว เขาบรรยายเรื่องเกี่ยวกับจริยธรรมทางการแพทย์อะไรพวกนี้ให้เราฟัง แล้วยังบอกว่า ‘ผู้เรียนหมอ ต้องเรียนรู้การเป็นมนุษย์ที่ดีก่อน จากนั้นจึงค่อยเรียนหมอเพื่อรักษาคน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไงก็ต้องรับผิดชอบคนไข้ให้ถึงที่สุด ตัวเองต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด อย่าทำผิดต่อคนไข้ ไม่ว่าอย่างไรอาชีพหมอนี้ก็ต้องมีคนสืบสาน ปู่ของผมเคยพูดว่ายึดมั่นหลักการ มุ่งมั่นฟันฝ่าอุปสรรค’ ” บนใบหน้าหนุ่มน้อยจงเจินปรากฏแววศรัทธา พูดตามเบาๆ รอบหนึ่ง “ยึดมั่นหลักการ มุ่งมั่นฟันฝ่าอุปสรรค พี่ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยมีความรู้สึกว่าการเรียนหมอจะมีแรงกระตุ้นมากมายมหาศาลขนาดนี้ วินาทีนั้นผมเห็นแสงเจิดจ้าจากตัวเขา อยากเป็นหมอที่ดีแบบเขา ปีนั้นก็เลยสมัครเรียนปริญญาโทกับอาจารย์เวิน”

ฉงหรงฟังเงียบๆ ย้อนคิดไปถึงวันที่เธอกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมาทำงาน พ่อของเธอยืนอยู่ในห้องหนังสือบอกเธอว่า ‘กฎหมายมีเพื่อสนับสนุนคนดีกำราบคนพาล บทบัญญัติคือศรัทธายิ่งใหญ่แห่งปวงชน ทนายความส่วนใหญ่ทำคดี ในขณะที่ทนายความที่ดีทำตัวเป็นมนุษย์ที่ดี จากทนายความธรรมดาไปถึงทนายความที่ดีก็คือขั้นตอนการไปสู่การเป็นมนุษย์ที่ดี กวัดแกว่งดาบแห่งกฎหมาย ถือตาชั่งแห่งความยุติธรรม ทนายความมิใช่เป็นตัวแทนของคุณธรรม ทนายความก็เป็นคน มีเลือดมีเนื้อ ไม่อยากให้ถูกทำร้ายเพราะคำว่าคุณธรรม แต่ในช่วงเวลาที่มีความสามารถทำการทำงานได้ สมควรยืนอยู่ฝ่ายคุณธรรม’

‘ยึดมั่นหลักการ มุ่งมั่นฟันฝ่าอุปสรรค’ ประโยคนี้สำหรับทนายความแล้วนับว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า ฉงหรงไม่พูดอะไรอยู่นาน ยืนอยู่ที่ระเบียงมองรถคันนั้นค่อยๆ ลับหายไปจากสายตา ก่อนจะเอ่ยว่า “แล้วเป็นยังไงต่อ วันนั้น…ต่อยกันเลยมั้ย”

จงเจินมาคลุกคลีกับฉงหรงตั้งแต่เด็ก เธอสั่งสอนฝึกเขาด้วยวิธีข่มและแกล้ง เห็นเขาค่อยๆ โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แต่เด็กผู้ชายที่ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยต่อยตีกับใคร เธออดรู้สึกไม่ได้ว่าน่าเสียดายอยู่บ้าง

“ไม่ได้ต่อยกันหรอก” จงเจินลูบอกราวกับยังไม่หายกลัว “เจอวาทะลิ้นงูพิษของอาจารย์เวินพูดจนอีกฝ่ายยอมแพ้ไปเอง ชนะโดยไม่ต้องรบ”

ฉงหรงยิ้ม “ชนะโดยไม่ต้องรบ สุดยอดของสุดยอด เวินเซ่าชิงเก่งมาก นายตั้งใจเรียนรู้จากเขานะ”

“ผมก็รู้สึกว่าบอสของผมเก่งมาก” จงเจินเห็นรอยยิ้มของฉงหรงจึงกล้าถาม “พี่รู้จักบอสมาก่อนเหรอ”

ฉงหรงรีบปรับสมองเข้าโหมดทำงาน สมองทำงานอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที หยั่งเชิงถามเรื่องสำคัญ “บอสของนายย้ายบ้านแล้ว นายรู้มั้ย”

จงเจินพยักหน้า “รู้สิ ก่อนหน้านี้เขาพักที่นี่ นอนบนเตียงที่พี่นอนทุกคืนนั่นแหละ พอย้ายไปก็ให้ผมเช่าต่อ”

ฉงหรงได้ยินก็พยายามข่มหัวใจที่เต้นระทึก สีหน้ายังคงเรียบเฉย “เขาตอนนี้เป็นเพื่อนบ้านของฉัน พักอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม”

จงเจินได้ยินก็ตาวาวเป็นประกาย ตื่นเต้นวาดไม้วาดมือ “บังเอิญขนาดนี้เชียว?! มีบุญวาสนาต่อกันขนาดนี้ พี่ต้องทำให้สำเร็จนะ!” แต่พูดจบแล้วก็ไม่รอฉงหรง จู่ๆ เจ้าตัวก็ทำหน้าสิ้นหวัง “ว้า คงไม่ได้ละ! บอสบอกว่าเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

หางตาฉงหรงกระตุก “เขา…มีคนที่ชอบอยู่แล้ว?”

จงเจินพยักหน้ารัวๆ “ใช่ๆ เขาพูดเองกับปาก”

ฉงหรงรู้สึกเหมือนหัวใจหายไปหนึ่งห้องทันใด ไม่ถึงกับปวดร้าวใจ เพียงรู้สึกเวิ้งว้าง หวิวๆ สักครู่ก็เป็นปกติ เวินเซ่าชิงจะมีคนที่เขาชอบอยู่แล้วก็เป็นเรื่องปกติมาก

แต่จงเจินยังทำใจไม่ได้ “จริงๆ แล้วเขาชอบใครกันแน่นะ คงไม่ใช่หมอในโรงพยาบาลผมหรอกนะ หมอเหอเป็นของพยาบาลสาวพวกนั้น ไม่น่าจะเป็นหมอเหอ หรือว่าเป็นหมอฉิน?”

ฉงหรงฟังจงเจินเอาแต่พึมพำกับตัวเอง ทนไม่ไหวต้องถามว่า “หมอฉินคือใคร”

จงเจินกระแอมเบาๆ ปรับเสียงลงต่ำเริ่มต้นแนะนำอย่างเป็นทางการ “ในโรงพยาบาลผมฝีมือผ่าตัดของอาจารย์เวินสุดยอดที่สุด จัดอยู่อันดับหนึ่ง ตารางอันดับสุดยอดหมอผ่าตัดเรียงแบบนี้ หนึ่งเวินสองฉู่ อาจารย์เวินยังมีฉายาว่า ‘มีดชายงาม’ แผลผ่าตัดสวยประณีต เย็บแผลสวยกริบ ทุกครั้งที่ดูเขาผ่าตัดก็เหมือนชมการแสดงชั้นดี”

ทุกครั้งที่จงเจินพูดถึงเวินเซ่าชิงสีหน้าจะเปี่ยมความศรัทธานับถือ ฉงหรงอดไม่ไหวตัดบท “แล้วสองฉู่ล่ะ”

“ฉินฉู่ แผนกมะเร็ง กับฉู่ชิวหมิงแผนกสมอง หมอฉินเป็นผู้หญิงที่สวยมากเลย”

“อ้อ” อยู่ดีๆ ฉงหรงก็หมดความอยากรู้ เดินกลับจะไปนอนต่อ แต่เดินเข้าห้องนอนแล้วคิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของจงเจิน ‘นอนบนเตียงที่พี่นอนทุกคืนนั่นแหละ’ ก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจ ทำใจนอนไม่ได้ เธอจ้องมองเตียงอยู่นาน ก่อนจะถอนหายใจแล้วขยับตัวเริ่มเก็บของ

จงเจินได้ยินเสียงก็เข้ามาถาม “อ้าว พี่จะไปแล้วเหรอ”

ฉงหรงเก็บของไปพร้อมกับตอบว่า “อื้ม เดี๋ยวยังต้องไปสำนักงานทนายความอีก วันนี้จะย้ายกลับไปอยู่บ้านละ นายย้ายกลับมานอนห้องนี้ได้”

จงเจินยืนงง “ทำไมพออาจารย์เวินมา พี่ก็ไม่อยู่ละ พวกพี่เป็นเพื่อนบ้านกันด้วยนะ หรือว่า…ก่อนหน้านี้พี่หลบหน้าเขา?”

ฉงหรงพยักหน้ารับลูก “ใช่เลย หลบหน้าเขา ฉันแอบรักเขา แต่ความลับแตก อยู่บ้านนั้นเดี๋ยวก็เจอๆ รู้สึกไม่ดีก็เลยหลบมาอยู่กับนาย ในที่สุดนายก็รู้หมดทุกอย่างแล้ว”

ฉงหรงยอมรับตรงๆ แบบนี้กลับทำให้จงเจินรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อ “ฮ่าๆๆ เป็นไปได้ยังไง พี่เนี่ยนะจะไปแอบรักคนอื่น แล้วก็พวกพี่รู้จักกันไม่นานเท่าไหร่เอง”

มือฉงหรงหยุดชะงัก พูดซ้ำเงียบๆ ในใจ รู้จักกันนานเท่าไหร่ ถึงอย่างไรก็รู้จักนานกว่านายล่ะ

ฉงหรงถือกระเป๋าเดินทางจะไปแล้ว จงเจินยืนอยู่ที่ข้างประตูคว้ากระเป๋าเดินทางไม่ยอมปล่อย นิ้วมือฉงหรงแตะที่ตู้รองเท้าหันมามองเขา “มีอะไรก็รีบพูดมา”

สีหน้าจงเจินอาลัยอาวรณ์ “ผมไม่อยากให้พี่ไปเลยอะ”

ฉงหรงทำสีหน้ารังเกียจแบบรู้ทางเขา แค่นเสียงบอก “มีอะไรว่ามาตรงๆ!”

จงเจินหยุดทำหน้าอาลัยอาวรณ์ ถามอย่างน่าสงสารว่า “ยังจะซื้อแอร์ให้มั้ย”

ฉงหรงนิ่งอึ้ง ก่อนจะค้อนใส่ “ซื้อ!”

“แล้วค่าเช่าครึ่งหนึ่งที่ตกลงกันไว้ล่ะ”

“ออกให้!”

จงเจินหัวเราะฮี่ๆ หน้าบานทันทีแล้วรีบเปิดประตูให้เธอ “โอเค เชิญไปได้เลย”

ฉงหรงหันมามองน้องชายอย่างเหยียดหยาม ลากกระเป๋าเดินทางจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับ

 

ฉงหรงมาถึงสำนักงานทนายความ บังเอิญเจอถานซือเจ๋อซึ่งเป็นหุ้นส่วนตรงประตูสำนักงานพอดี ถานซือเจ๋อเป็นรุ่นพี่ของเธอ ช่วงที่เธอไปอยู่ต่างประเทศหลายปีก็ยังติดต่อกับเขา ตอนที่กลับจีน พอดีมีหุ้นส่วนของสำนักงานทนายความคนหนึ่งจะถอนตัว ถานซือเจ๋อถามว่าสนใจไหม เธอจึงได้โอกาสร่วมหุ้น

ถานซือเจ๋อจ้องมองกระเป๋าเดินทางของฉงหรงแล้วลูบคาง “จะไปต่างเมืองเหรอ ไม่ใช่นี่ พักนี้ไม่มีลูกความที่จำเป็นต้องไปต่างเมืองเลย”

ฉงหรงเปลี่ยนมืออีกข้าง “ไม่มี มีงานอะไรของฉันมั้ย”

สีหน้าถานซือเจ๋อจริงจังทันที “เรื่องงาน งานนี้ลูกค้ารายใหญ่” พูดจบก็ส่งเอกสารให้เธอ

ฉงหรงรับมาดูผ่านๆ แล้วยัดกลับคืนใส่อกถานซือเจ๋อ “ไม่รับ”

“ไม่นะ” ถานซือเจ๋อชูเอกสารขึ้นตรงหน้าหญิงสาว “ดูดีๆ สิ ราคาที่เขาเสนอมาดีงามมากๆ”

ฉงหรงผลักประตูสำนักงาน รับแก้วน้ำมากินหนึ่งอึก “ไม่ใช่ว่าไม่รู้นี่ ฉันไม่รับคดีทางการแพทย์ ถ้าเสียดายพี่ก็รับเองสิ!”

ถานซือเจ๋อทำหน้าเสียดาย “ก็อยากรับนะ แต่ว่าลูกความระบุตัวเธอ”

ฉงหรงนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ปฏิเสธไปเถอะ”

ถานซือเจ๋อเหลือบมองตัวเลขในเอกสารอีกแวบหนึ่ง รู้สึกเจ็บปวดใจ แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก เขานั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม จับจ้องมองหญิงสาวอยู่นาน “คุณทนายฉง บอกมาซิว่าทำไมถึงไม่รับคดีทางการแพทย์”

ฉงหรงตอบแบบไม่ใส่ใจ “เพราะว่าคดีทางการแพทย์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับชีวิตคน ฉันกลัว”

“อะฮ้า ทนายความคดีอาญาอย่างเธอยังมีสถานการณ์อะไรที่ยังไม่เคยเจอมาก่อนอีกล่ะ!”

“เพราะคดีทางการแพทย์ต้องไปโรงพยาบาล ฉันเกลียดกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ”

“แล้วไม่เกลียดกลิ่นห้องเก็บศพหรือ เปลี่ยนเหตุผลใหม่เถอะ”

“เพราะน้องชายเป็นหมอ วงการหมอใหญ่มาก ฉันกลัวว่าอีกหน่อยจะต้องขึ้นศาล ฟ้องคนที่รู้จักกับเขา เขาจะรู้สึกไม่ดี”

“พอมีเหตุผลอยู่บ้าง” ถานซือเจ๋อเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มองดูเธอ “แต่ปฏิเสธเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้ไป เธอก็ต้องรับคดีอื่นๆ มาชดเชยนะ”

ฉงหรงค้อนขวับ “รุ่นพี่ หลายวันก่อนฉันเจอเฒ่าจ้าวที่ศาล พี่รู้มั้ยว่าเขาพูดถึงพี่ยังไง”

ถานซือเจ๋อรู้สึกสนใจ “ว่ายังไง”

ฉงหรงตอบด้วยน้ำเสียงเสียดสี “เขาบอกว่า ‘ฉงหรงเอ๊ย หุ้นส่วนของเธอคนนั้นมีแผนเปลี่ยนอาชีพเป็นนักบัญชีหรือเปล่า ดูเขาคำนวณละเอียดยิบแบบนั้น ผมว่าเขามีศักยภาพทำได้นะ’ ตอนนั้นฉันตั้งใจช่วยพี่ยืนยันเป็นพิเศษ ตอบผู้เฒ่าจ้าวไปว่า ‘ลุงจ้าวคะ ถานซือเจ๋อไม่ได้มีแผนเปลี่ยนอาชีพเป็นนักบัญชี เขาเป็นนักบัญชีมาแต่แรกแล้วเปลี่ยนสายมาเป็นทนายความทีหลังต่างหาก’ ”

ถานซือเจ๋อถูกฉงหรงแซะจนหน้าหงิก ลุกขึ้นยืนเดินไปถึงข้างประตูก็หยุดแล้วหันมาพูดเสียงเขียว “ไปเป็นนักบัญชีจริงๆ ก็ได้! จะไปสอบเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตละ”

ฉงหรงผายมือทำท่า ‘เชิญ’ ทำเอาถานซือเจ๋อหัวเสียเดินออกไป

“รุ่นพี่!” ฉงหรงตะโกนเรียกถานซือเจ๋อ “ฉันวางแผนว่าอีกสองปีจะเปลี่ยนไปทำสายไม่ว่าความ ได้ยินว่าตอนนี้พี่รับงานบริษัทในตลาดหุ้น ช่วยสอนงานฉันด้วยนะ”

“ทำไมล่ะ เป็นทนายความหญิง ทำคดีอาญาใครๆ ก็เกรงขาม ใครๆ ก็กลัว เธอไม่เห็นหรือ ทุกครั้งที่เธอขึ้นว่าความ แม้แต่หัวหน้าคณะผู้พิพากษายังให้เกียรติมากกว่าปกติ”

ฉงหรงมองเขา “พี่ไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะค่าจ้างทนายความคดีอาญาสูงสินะ ความจริงงานคดีอาญาก็มีเยอะแยะที่ไม่ต้องขึ้นว่าความ เช่นปีที่แล้วโปรเจ็กต์ป้องกันความผิดทางอาญาของบริษัทนั้น พี่โกยเงินไปเยอะเลยไม่ใช่หรือไง”

ถานซือเจ๋อติดกับดัก “เธอก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนระดับสูงนะ ฉันได้กำไรก็เท่ากับเธอได้กำไร!”

เธอรวบปากแหช้าๆ “พี่ยังจำได้เหรอว่าฉันเป็นหุ้นส่วน”

ถานซือเจ๋อเถียงไม่ออก “เธอคือทนายมือทองด้านคดีอาญาของสำนักงานเรา เธอไม่ทำไม่ได้นะ”

“พี่มาทำเองสิ พี่ก็เติบโตมาจากสายคดีอาญา”

“ไม่ได้หรอก น้องฉงจ๋า หัวใจน้อยๆ ของฉันเปราะบางมาก เธออย่าให้ฉันต้องไปสัมผัสกับสิ่งดำมืดมากๆ เลยนะ ฉันอาจปล่อยวางทุกสิ่งในโลกีย์ หนีไปบวชชี!”

“พี่ออกบวช อย่างมากก็เป็นได้แค่หลวงจีน”

“ฉันยังชอบผู้หญิง”

ฉงหรงคร้านจะสนใจเขา

“จะเปลี่ยนไปทำสายไม่ว่าความจริงๆ หรือ” ถานซือเจ๋อได้รับคำยืนยันก็ส่ายหน้าถอนหายใจแล้วเดินออกไป “เฮ้อ ทนายความหญิงที่รับว่าความคดีอาญาน้อยไปอีกคน…”

 

ประตูสำนักงานปิดแล้ว ฉงหรงจึงหันมองเอกสารชุดหนึ่งบนโต๊ะ ตั้งแต่เธอเข้าวงการมาก็ไม่รับคดีทางการแพทย์ คนในวงการรู้กันดี ความจริงคดีทางการแพทย์มีโอกาสชนะง่าย ด้วยกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันกับสภาพสังคม บุคลากรทางการแพทย์จัดว่าเป็นกลุ่มอ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดทางการรักษาหรือไม่ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีโอกาสชนะ โรงพยาบาลจะชดใช้เงินให้เพื่อยุติเรื่อง เธอไม่สามารถห้ามคนอื่นรับคดี แต่อย่างน้อยเธอบอกตัวเองไม่ให้รับคดีได้ เพราะว่า…เวินเซ่าชิงเป็นหมอ เขาเป็นคนที่มีชีวิตอยู่บนคมมีด เสี่ยงอันตรายทุกวัน พลาดเมื่อไหร่…

ทุกครั้งที่เธอเห็นคดีทางการแพทย์ เธอจะรู้สึกต่อต้านจากก้นบึ้งหัวใจ ไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแม้แต่น้อย

ฉงหรงทำงานล่วงเวลาอยู่ในสำนักงานจนพ้นชั่วโมงเร่งด่วนค่อยขับรถกลับบ้าน หลังจอดรถในที่จอดรถของชุมชนคอนโดมิเนียมเสร็จแล้วจึงเห็นรถของเวินเซ่าชิงจอดเยื้องกับรถของเธอ เธอนั่งอยู่ในรถ จ้องมองรถคันนั้น เกิดความรู้สึกเหมือนหนีเคราะห์ร้ายไม่พ้น

ฉงหรงเดินในซูเปอร์มาร์เก็ตได้แค่ครึ่งรอบก็เจอเวินเซ่าชิงเหมือนที่คิดไว้ไม่ผิด

เขากำลังก้มหน้ามองวันผลิตของโยเกิร์ตที่ถืออยู่ในมือ รถเข็นข้างๆ มีผักผลไม้หลายถุง

ฉงหรงเคยเจอหนุ่มรูปงามมาไม่น้อย หนุ่มรูปงามส่วนใหญ่มีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จอยู่ในวงอาชีพของตัวเอง แต่ผู้ชายที่ชอบดูแล ชอบทำงานบ้าน…เธอเจอมาน้อยมากๆ

เขาคงจะเพิ่งเลิกงาน ไม่ได้ใส่ชุดอยู่บ้านอย่างที่เคยใส่หลายครั้งก่อน

ฉงหรงยืนอยู่กับที่ กำลังลังเลว่าจะเดินหลบไปอีกทางหรือเข้าไปทักทาย เวินเซ่าชิงก็เงยหน้า

คราวนี้เธอได้แต่แข็งใจเดินเข้าไปทักทาย “ไฮ…”

ฉงหรงเพิ่งยกมือทักไปก็ชะงักค้างกลางอากาศ เพราะเธอไม่รู้ว่าจะเรียกเขาอย่างไรดี

ศาสตราจารย์เวิน เรียกเขาแบบนี้ดูแก่ไปเรียกบอสตามจงเจิน ก็ประหลาดเรียกชื่อเวินเซ่าชิงตรงๆ ก็ดูเหมือนไม่ค่อยมีมารยาท

หลังจากชั่งใจอยู่หลายวินาที เธอก็ตัดสินใจเด็ดขาดเรียก “หมอเวิน”

การเรียกแบบนี้ประกายตาเวินเซ่าชิงฉายแววตกใจวูบหนึ่ง แล้วถูกแววขำขันเข้าแทนที่อย่างรวดเร็ว เหมือนตั้งใจเอาคืน เขาเรียกเลียนแบบเธอ “บังเอิญมาก คุณทนายฉง”

ฉงหรงฟังแล้วหน้าแดงวูบ เขาเจตนาเลียนแบบเธอแน่นอน! คุณทนายฉงก็คุณทนายฉงสิ! ก็ไม่ได้เรียกผิดนี่นา!

เธอขยับไปยืนอยู่หน้าตู้แช่แล้วเลือกโยเกิร์ต ดูไปดูมาก็พบว่ายี่ห้อที่ตัวเองกินอยู่ประจำเหลือขวดสุดท้ายแล้ว และขวดนั้นก็อยู่ในมือเวินเซ่าชิงนั่นเอง

นอกจากฉงหรงจะมีนิสัยชอบเจาะลึกถึงรายละเอียดแล้ว ยังมีนิสัยยึดติดอีกด้วย ยี่ห้ออื่นเธอกินไม่ได้ เธอจึงหยิบขึ้นมาขวดหนึ่งส่งให้เขา แกล้งแนะนำว่า “ยี่ห้อนี้ก็อร่อยนะ”

เวินเซ่าชิงมองเธอนิ่งๆ รับเอาโยเกิร์ตในมือหญิงสาวมาแล้ววางลงในรถเข็นพร้อมกับขวดที่ถืออยู่เมื่อครู่

ฉงหรงห้ามเขาเอาไว้ “อย่าซื้อเยอะ เก็บไว้นานแล้วไม่สด ซื้อขวดเดียวก็พอ”

ชายหนุ่มส่งขวดที่เธอแนะนำคืนให้ ฉงหรงทำท่าไม่อยากรับ

เวินเซ่าชิงประหลาดใจเล็กน้อย “เป็นอะไรไป”

เธอชี้ไปที่ในรถเข็นของเขา “อยากได้ขวดนั้น”

เวินเซ่าชิงหันหน้ามามอง ก่อนจะหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น “อ่อ คิดแผนได้ดี”

ฉงหรงดึงโยเกิร์ตขวดนั้นจากมือชายหนุ่มแล้วเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์เก็บเงิน โดยมีเวินเซ่าชิงตามติดอยู่ข้างหลัง

หลังออกจากซูเปอร์มาร์เก็ต เวินเซ่าชิงมองดูเธอไปเอากระเป๋าเดินทางจากตู้ฝากแล้วก็ยังยิ้มอ่อนโยน แต่คำถามยังคงวอนโดนทุบ “ไม่นอนสำนักงานทนายความต่อแล้วหรือ”

ฉงหรงปั้นสีหน้าเรียบเฉย แต่งเรื่องไปเรื่อย “ตอนกลางคืนสำนักงานทนายความปิดเครื่องทำความร้อน หนาวมาก”

อยู่ดีๆ เวินเซ่าชิงก็หัวเราะ “กินอาหารค่ำด้วยกันมั้ย”

คงเพราะว่ารอยยิ้มของเขาดูดีเกินไป ฉงหรงจึงถูกมอมยา ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านเขา รอเขาเปิดประตู ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกอยากเปลี่ยนใจ

หน้าหนาวฟ้ามืดเร็ว พอเปิดประตูก็เห็นเงาดำพุ่งเข้ามา ฉงหรงรีบหลบไปอยู่ด้านหลังชายหนุ่ม

เวินเซ่าชิงหัวเราะเบาๆ พลางเปิดไฟ เขาก้มตัวลูบหัวรั่งอี๋รั่ง “มันฉลาดว่านอนสอนง่าย ไม่กัดคน”

ฉงหรงยังคงหลบอยู่ที่ข้างประตู “ฉันรู้ว่ามันไม่กัดคน…”

เวินเซ่าชิงกระแอมเบาๆ กลั้นหัวเราะ “รั่งอี๋รั่ง ไปเล่นที่ระเบียง”

ฉงหรงมองออกไปข้างนอก ลมกลางคืนกำลังพัดแรง เธอจึงบอกกับเขาว่า “ให้มันอยู่ในนี้เถอะ ดูเหมือนระเบียงจะหนาวมาก…”

เวินเซ่าชิงเลิกคิ้วมองเธอ “แน่ใจนะ”

ฉงหรงกัดฟัน “ให้มันไปห้องหนังสือเถอะ”

ตอนที่เวินเซ่าชิงทำอาหาร ฉงหรงยืนอยู่ข้างๆ มองหน้าเขาอย่างเกรงใจ นึกถึงครั้งก่อนเห็นตำราการแพทย์ที่เขียนด้วยมือที่บ้านจงเจิน กำลังคิดจะไปดูห้องหนังสือ แต่พอนึกถึงรั่งอี๋รั่งที่อยู่ในนั้น เธอก็เปลี่ยนใจอย่างเฉียบขาด สุดท้ายได้แต่ไปนั่งเบื่ออยู่บนโซฟาห้องรับแขก

หญิงสาวกำลังคิดว่าคนมากินฟรีอย่างเธอนั่งเฉยๆ รอกินอย่างเดียวดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาก็สั่นขึ้นมา

ฉงหรงเหลือบมอง หน้าจอมือถือโชว์สายเข้าจาก ‘ฉินฉู่’ พอเห็นชื่อนี้ในใจเธอก็รู้สึกไม่ค่อยดี แล้วคิดไปถึงว่าโรงพยาบาลอาจมีคนไข้ฉุกเฉินต้องการเรียกเขากลับไป จึงตะโกนไปทางห้องครัวเรียกเวินเซ่าชิง “มือถือดัง เพื่อนร่วมงานติดต่อหาคุณ!”

เวินเซ่าชิงคงปลีกตัวมาไม่ได้ จึงตอบมาว่า “ช่วยเอามาให้ที”

ฉงหรงเพิ่งหยิบมือถือขึ้นมาก็เห็นรั่งอี๋รั่งพุ่งมาที่ด้านหน้า จ้องเขม็งมาที่เธอ

ฉงหรงตกใจสะดุ้งโหยง รีบหมุนตัวกลับเดินเข้าห้องครัว จิตใต้สำนึกบอกเธอว่าอยู่ข้างๆ เวินเซ่าชิงถึงจะปลอดภัย

เวินเซ่าชิงเช็ดมือแล้วรับโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรบ้าง เขารีบตอบว่า “ไม่ดีกว่า กำลังทำอยู่ ทำเสร็จก็จะกินละ”

ดูเหมือนเสียงผู้หญิงที่ด้านนั้นหัวเราะแล้วพูดอะไรอีก คราวนี้สายตาเวินเซ่าชิงจ้องนิ่งที่ฉงหรง ก่อนจะตอบว่า “ไม่เป็นไร ผมมีเพื่อนอยู่กับผมที่นี่ ไม่ค่อยสะดวก” จากนั้นก็รีบกดตัดสายแล้วส่งมือถือให้เธอ ก่อนจะหันไปล้างมือ เริ่มใส่เกลือลงหม้อ

ฉงหรงรู้สึกได้ว่าเวินเซ่าชิงรักษามารยาทกับฉินฉู่ เหมือนไม่สนิทกันมาก ไม่เหมือนที่จงเจินเดาไว้ เธอถามหยั่งเชิงว่า “ต้องกลับโรงพยาบาลไปทำงานต่อหรือ”

“ไม่ต้อง เพื่อนร่วมงานชวนผมออกไปกินเลี้ยงกัน ได้ยินว่าผมกำลังเตรียมอาหารก็จะมากินบ้านผมแทน ผมปฏิเสธไปแล้ว”

ชายหนุ่มอธิบายสั้นๆ ได้ใจความ เสร็จแล้วก็ย้อนถาม “รู้ได้ยังไงว่าฉินฉู่เป็นเพื่อนร่วมงานผม”

“เอ่อ…” ฉงหรงไม่รู้จะตอบอย่างไร อ้ำอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ก็ได้แต่พูดตามจริง “จงเจินบอก”

“อยู่ดีๆ เขาบอกทำไม”

“ไม่มีอะไร ตอนคุยเล่นกัน เขาบอกว่าคุณผ่าตัดเก่งมาก แล้วบอกเรื่องอันดับอะไร ‘หนึ่งเวินสองฉู่’ นั่นด้วย”

เวินเซ่าชิงจับประเด็นสำคัญเก่งมาก “พวกคุณคุยเรื่องผมบ่อยหรือ”

“เปล่านะ” ฉงหรงรู้สึกว่าถ้าไม่รีบเปลี่ยนเรื่องคุยต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ เธอพบว่าเจ้าหมาที่ตามเข้ามากำลังมองเธอด้วยสายตาไม่ค่อยเป็นมิตร จึงขยับเข้าชิดเวินเซ่าชิง “มันเป็นอะไรหรือเปล่า”

เวินเซ่าชิงมองรั่งอี๋รั่ง แล้วหันกลับมามองเธอ “คงเพราะว่า…คุณแย่งงานของมัน ปกติเวลามือถือดังมันจะคาบมาให้”

ฉงหรงนิ่งงัน เธอกลายเป็นศัตรูแย่งความรักกับหมาโดยไม่ได้ตั้งใจไปเสียแล้ว

เวินเซ่าชิงดับไฟ ยกอาหารมาวางบนโต๊ะอาหารที่ด้านนอกพร้อมกับแนะนำฉงหรงว่า “ที่มันกระโจนเข้าใส่หลายครั้งเพราะอยากเล่นกับคุณ แสดงว่ามันจำคุณได้ เป็นการแสดงการยอมรับแบบหนึ่ง มันซนมาก ถ้ามันรู้ว่าทุกครั้งที่กระโจนเข้าหาคุณ คุณจะกลัว มันก็จะสนุก ก็จะ…คุณไม่ได้สังเกตหรือว่าทุกครั้งที่เจอ มันอยากกระโจนเข้าหา พอมันรู้ว่าคุณกลัวมัน มันก็จะยิ่งเอาใหญ่ แต่ถ้าอยู่เฉยๆ มันก็ไม่สนุกแล้ว”

ฉงหรงมองรั่งอี๋รั่ง แล้วมองเวินเซ่าชิง มีความรู้สึกว่าคำพูดของเขามีบางอย่างแฝงอยู่

เวินเซ่าชิงยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะอาหารเรียกเธอ “มากินข้าวเถอะ”

มาครั้งก่อนฉงหรงไม่ได้สังเกต แต่ครั้งนี้เธอพบแล้วว่าเวินเซ่าชิงเป็น…คนโรคจิตจอมลีลา

เธอชี้ไปที่ลวดลายบนตะเกียบแล้วถามว่า “ตะเกียบนี่พิเศษมากเลย แกะสลักลายด้วย ซื้อจากไหน”

ชายหนุ่มตักน้ำแกงให้เธอ อธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตะเกียบธรรมดาที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ซื้อมาแล้วผมแกะเอง”

คราวนี้ฉงหรงเชื่อจริงๆ แล้วว่าเทคนิคการใช้มีดของเวินเซ่าชิงดีมาก ดีถึงระดับเสียสติ เขาต้องเบื่อไม่มีอะไรทำถึงขนาดไหนนะ ถึงคิดเรื่องสลักลายบนตะเกียบออกมาได้

ฉงหรงนินทาเขาอยู่ในใจ พอใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากก็เปลี่ยนท่าที

“มะเขือจานนี้อร่อยนะ! ทำยังไงน่ะ”

“อืมๆ…ซานเย่า* นี่ก็อร่อย!”

“ซี่โครงก็อร่อย แต่ว่าเผ็ดมาก ฉันไม่กินเผ็ด”

ฉงหรงยกตะเกียบคีบจานนี้จานนั้นจานโน้นอย่างออกรสชาติ ไม่มีแววเคร่งขรึมจริงจังในเวลาปกติแม้แต่น้อย เวินเซ่าชิงจ้องหน้าเธออยู่นานมาก สีหน้าค่อนข้างสับสน “ทำไมก่อนหน้านี้ผมถึงไม่ได้สังเกตนะว่า…คุณนี่เป็นพวกช่างกินกับเค้าด้วย”

คนช่างกินแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทที่หนึ่งคือจักรวาลของเขาไม่มีของไม่อร่อย กินเยอะกินได้หลากหลายชนิด ประเภทที่สองก็น่าจะเป็นแบบฉงหรง วิจารณ์เก่ง เลือกมากสุดๆ พรางตัวเก่งมาก เวลาปกติดูไม่ออกแม้แต่น้อย แต่พอได้กินของอร่อยสองตาจะแผ่ประกาย คืนสู่ร่างเดิม

ฉงหรงชะงัก พยายามดิ้นรนแก้ตัว “ความจริงก็ไม่หรอก…ก่อนหน้านี้ฉันปวดฟันใช่มั้ย กินโจ๊กอยู่ตั้งนานแล้วก็ทำอาหารไม่เป็นอีก ร้านขายของกินรอบๆ นี้สั่งอาหารมาส่งให้กินเกือบหมดแล้ว กินจนเบื่อ นานๆ จะมีโอกาสได้กินกับข้าวบ้านสักครั้งก็เลยเป็นแบบนี้ อย่าถือสาเลยนะ”

พอพูดถึงเรื่องปวดฟัน เวินเซ่าชิงก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาวางตะเกียบ พูดอย่างเป็นงานเป็นการ “เราสองคนรู้จักกันมาหลายปีแล้วนะ ตอนนี้เป็นเพื่อนบ้านกันก็ควรสนิทสนมกันให้มากๆ ใช่มั้ย”

ฉงหรงเหมือนก้างปลาติดคอ กินไม่ลง “เราสองคนแค่รู้จักกันนานแล้ว แต่ขาดการติดต่อกันไปนานมาก ใช้มือข้างเดียวก็นับจำนวนครั้งที่เราเจอกันได้ ความจริงเราไม่สนิทกันเลย”

เวินเซ่าชิงได้ข้อสรุปว่า “เพราะว่าไม่สนิท คุณจึงเอาแต่หลบหน้าผม?”

อาการปากกับใจไม่ตรงกันติดตัวผู้หญิงมาตั้งแต่เกิด ฉงหรงปฏิเสธตามจิตใต้สำนึก “เปล่านะ”

ชายหนุ่มไม่สนใจ ยังพูดต่อไป “ก็แค่ผมรู้ว่าคุณชอบผมเท่านั้นเอง ชายโสดหญิงโสด ผมว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ไม่ใช่เรื่องน่าขายหน้า…”

เวินเซ่าชิงเจอจุดอ่อนก็ปักมีดฉึกเข้าที่สีข้างของฉงหรง เธอขนพองทันที “เงียบเลย! อย่าพูดอีก!”

ถึงตอนนี้ฉงหรงจึงรู้ตัวว่าอาหารค่ำคืนนี้ความจริงคืองานเลี้ยงลวงมาเชือดชัดๆ

เวินเซ่าชิงไม่สนใจอาการโมโหของเธอ สีหน้าเขาจริงจัง เลือกใช้ศัพท์วิชาการเริ่มต้นร่ายเหลวไหล “โดยทั่วไปแล้ว ก่อนที่คนไข้จะยอมรับว่าตัวเองป่วยจะมีอาการทางจิตใจห้าระยะ อาการแบบเดียวกับที่คุณไม่สามารถยอมรับว่าชอบผม”

ฉงหรงอัดอั้นจนหน้าแดงก่ำ “ฉันชอบคุณที่ไหนกัน!”

เวินเซ่าชิงเลิกคิ้วสรุปว่า “อาการระยะแรก ระยะปฏิเสธ ไม่ยอมรับความจริง”

ฉงหรงโกรธจัด “เหลวไหล!”

เวินเซ่าชิงพอใจมากกับการตอบสนองของเธอ “ระยะที่สอง ระยะโกรธ หลักๆ แล้วผู้ป่วยจะแสดงอาการโกรธ โมโห ระบายอารมณ์ต่อคนใกล้ชิดรอบตัวของเขา”

ฉงหรงชูสองมือ “ก็ได้ ฉันถอนคำพูดเมื่อกี้ ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย”

เวินเซ่าชิงพยักหน้า “ระยะประนีประนอม ผู้ป่วยที่ยอมรับความจริงจะแสดงท่าทีเป็นมิตร”

“…” ฉงหรงปิดหน้า พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

ชายหนุ่มกล่าวต่อ “ระยะวิตกกังวล ผู้ป่วยจะแสดงอาการท้อแท้อย่างรุนแรง รู้สึกเศร้า หดหู่ เฉยเมย”

ฉงหรงสูดหายใจลึกมาก เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยประกายตาซึมเซาก่อนจะลุกขึ้นยืน “คุณจะพูดอะไรก็ตามใจคุณ ฉันกินเสร็จแล้ว เหนื่อยมาก กลับก่อนล่ะ”

เวินเซ่าชิงมองเธอแล้วก็สรุปของเขาต่อไป “ระยะสุดท้าย โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยจะยอมรับความจริง ชอบอยู่คนเดียว ชอบนอน”

ฉงหรงหันกลับมาถลึงตาใส่ “คุณจะเอายังไงกันแน่?!”

“ผู้ป่วยบางคนจะแสดงอาการสติแจ่มใสก่อนตาย พยายามดิ้นรนครั้งสุดท้าย”

“…”

ฉงหรงรู้สึกอ่อนแรงไปทั้งตัว เธอไม่รู้ว่าการพูดอย่างคล่องแคล่ว พูดจาฉะฉานมีเหตุมีผลที่เธอใช้ในเวลาทำงานหายไปไหนหมด ทั้งๆ ที่รู้ว่าตอนเรียนหนังสือเธอเป็นกำลังหลักของทีมโต้วาทีมหาวิทยาลัย ระบบความคิดชัดเจน ปฏิกิริยาว่องไว มีตรรกะเป็นระเบียบแบบแผน แล้วทำไมตอนนี้ทุกครั้งถึงพ่ายแพ้หมดรูปอยู่ในมือคนฆ่าสัตว์มืออาชีพ?

เวินเซ่าชิงพูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง ถ้าเธอเยือกเย็นนิ่งเฉยสักหน่อย แบบนี้เขาก็ไม่รู้สึกสนุกที่จะเย้าเธอ ไม่ว่ารั่งอี๋รั่งหรือเวินเซ่าชิง หลักข้างต้นใช้ได้จริง

พอคิดได้แบบนี้ฉงหรงก็รีบย้อนกลับมาที่โต๊ะอาหาร ถือตะเกียบกินข้าวต่อ

ช่วงเวลาต่อมาไม่ว่าเวินเซ่าชิงพูดอะไร เธอก็ไม่รับลูกต่อ ตั้งรับด้วยการยิ้มและการเงียบตลอดเวลา

เวินเซ่าชิงก็รู้ดีว่าไม่ควรต้อนคนจนตรอก ในที่สุดอาหารมื้อนี้จึงนับว่ากินเสร็จอย่างสงบ ไร้เหตุรุนแรง

ซี่โครงจานที่ใส่พริกเผ็ดๆ ถูกฉงหรงคน ‘ไม่กินเผ็ด’ กินจนเกลี้ยงจาน เธอกรอกน้ำเข้าปากหนึ่งแก้วเต็มๆ แล้วก็ยังแลบลิ้นร้องว่าเผ็ดไม่หยุด

เวินเซ่าชิงดูท่าเธอแลบลิ้นก็รู้สึกเหมือนรั่งอี๋รั่งมากเหลือเกิน จึงอดหัวเราะไม่ได้ แล้วแหย่เจ้าหมาที่อยู่ข้างเท้า “แลบลิ้นให้ดูหน่อยซิ”

รั่งอี๋รั่งแลบลิ้นทันที เวินเซ่าชิงดูเจ้าหมาแล้วดูฉงหรง ยิ่งรู้สึกน่าขำ

“เหมือนมากจริงๆ”

ฉงหรงหันหน้าไปอีกทาง ค้อนไปทีหนึ่ง ไม่เหลือมาดทนายความผู้เยือกเย็นสุดเท่ในเวลาทำงานแล้ว พอเห็นเวินเซ่าชิงลุกขึ้นเก็บชามเก็บตะเกียบ เธอก็รีบกดมือเขา “ให้ฉันล้างเถอะ มากินข้าวฟรีแล้วยังจะให้คุณล้างจานอีก รู้สึกเกรงใจจัง”

ขณะที่ฉงหรงล้างจานในห้องครัว เวินเซ่าชิงก็อยู่ข้างๆ ล้างผลไม้ ปอกผลไม้ ฉงหรงเข้าใจว่าเขากำลังเตรียมจัดจานผลไม้รวม แต่พอเขาล้างเสร็จก็ดึงของที่เหมือนกระทะแบนออกมาจากตู้เก็บของ เสียบปลั๊ก เปิดตู้เย็นหยิบโยเกิร์ตที่ซื้อมาเมื่อครู่เทลงแก้ว ใส่ผลไม้ที่ล้างเสร็จแล้วลงไปในโยเกิร์ต โรยชิ้นผลไม้แห้งลงไปเล็กน้อย สุดท้ายก็เอาทั้งหมดเทลงในกระทะ

เธอหยุดล้างชาม ขยับเข้าไปดู “นี่อะไร”

เวินเซ่าชิงหยิบตะหลิวมาเกลี่ยโยเกิร์ตให้กระจายออก “ไม่เคยเห็นหรือ เครื่องผัดไอศกรีม”

ฉงหรงประกายตาสุกใสทันที “โยเกิร์ตผัดเหรอ ฉันอยากกินมากเลย แต่หน้าหนาวไม่มีขาย”

เวินเซ่าชิงรออยู่ไม่กี่วินาที โยเกิร์ตก็จับตัวแข็งอย่างรวดเร็ว เขาโรยงาลงไปเล็กน้อย “ทีหลังซื้อโยเกิร์ตไม่ต้องซื้อที่ผสมเนื้อผลไม้ ซื้อแบบธรรมดากลับมาผสมผลไม้เองดีกว่า”

หญิงสาวรับคำอย่างใจลอย “อ้อ”

เวินเซ่าชิงเปิดโปงเธอด้วยเสียงเนิบนาบ “ความหมายของ ‘อ้อ’ ก็คือ ‘พูดไปเหอะ แต่ฉันจะไม่ทำหรอก’ ชัดๆ”

“เอ่อ…” ฉงหรงกระแอมเบาๆ “ฉันไม่ชอบกินผลไม้”

“โดยทั่วไปคนที่บอกว่าไม่ชอบกินผลไม้ส่วนใหญ่เพราะขี้เกียจล้างผลไม้หรือขี้เกียจปอกเปลือก”

ฉงหรงตาโตอ้าปากค้าง เป็นผู้ชายปากร้ายจริงๆ!

เวินเซ่าชิงตัดโยเกิร์ตที่แข็งตัวเป็นชิ้นใหญ่แล้วนำออกมาวางไว้ในชามเล็ก ส่งให้ฉงหรง มุมปากยังมีรอยยิ้มค้างอยู่ “ขอโทษด้วยนะ รักษาผู้ป่วยเยอะ ฟังข้ออ้างมาเยอะ ก็สรุปได้แบบนี้”

ฉงหรงมองมือเขาที่ถือชามเล็กค้างไว้ ไม่ได้รับเอามา

มือเวินเซ่าชิงสามารถเรียกได้ว่าเป็นมือที่สวย สะอาดเรียวยาว ข้อนิ้วชัดเจน เธอเคยเห็นมือแบบนี้น้อยมาก

ไม่สวยเนียนนุ่มแบบผู้หญิง คงเพราะว่าจับมีดผ่าตัดทั้งปี ดูแล้วหยาบเล็กน้อย เป็นความหยาบที่ทำให้รู้สึกสบายใจมีพลัง

เธอรู้สึกว่าไม่สามารถปล่อยใจให้ถูกรูปลักษณ์ภายนอกสวยงามยั่วยวนอีกต่อไป ลีลาฟาดหนึ่งกระบองแล้วให้ลูกจ๊อหวานหนึ่งลูก จากนั้นฟาดอีกหนึ่งกระบองแล้วให้ผลไม้อีกหนึ่งลูกแบบของเวินเซ่าชิงนี่ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เธอก็เลิกคบไปนานแล้ว แต่เพราะว่า ‘ลูกจ๊อหวาน’ ที่เวินเซ่าชิงให้มานั้นถูกปากเธอ จึงทำให้เธอหมดท่าคามือเขาทุกครั้ง

“ไม่กินเหรอ” เวินเซ่าชิงยื่นชามเล็กไปข้างหน้าเธออีกครั้ง “เป็นคนช่างกินก็ไม่มีอะไรน่าขายหน้า มีคำกล่าวว่าชื่นชอบรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามเป็นเรื่องปกติของปุถุชน”

เธอไม่รับ เขาก็ชูค้างไว้แบบนั้น

ทั้งรสชาติ ทั้งรูปลักษณ์ เวินเซ่าชิงมีสองอย่างนี้ครบถ้วน เธอจึงถูกเชือดอย่างเต็มใจ

ฉงหรงขมวดคิ้วแล้วรับชามไป

เวินเซ่าชิงผัดอีกชามหนึ่งอย่างรวดเร็ว แล้วเอาไปวางไว้หน้ารั่งอี๋รั่ง ก่อนจะหันกลับไปทำความสะอาดเครื่องผัดไอศกรีมแล้วเก็บเข้าที่ จากนั้นก็ล้างพวกชามกับตะเกียบที่ฉงหรงยังล้างไม่เสร็จต่ออีก

ฉงหรงถือชามเล็กกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย เห็นเขาก็รีบวางชามลงแล้วร้องห้าม “ให้ฉันล้างเถอะ! ตกลงกันแล้วว่าฉันล้างนะ”

เวินเซ่าชิงชะงัก เงยหน้าจ้องเธอ “หมอส่วนใหญ่ติดนิสัยรักสะอาด รู้ใช่มั้ย”

ฉงหรงทำหน้างง “รู้”

ชายหนุ่มชี้ไปที่พวกชามกับตะเกียบ “ชามที่คนอื่นล้างเสร็จ คนที่ติดนิสัยรักสะอาดจะไม่ค่อยสบายใจ จะล้างเองซ้ำอีกหนึ่งรอบ คุณรู้สินะ”

ฉงหรงรู้สึกไม่ค่อยดี ค่อยๆ วางชามลงแล้วเช็ดมือตัวเอง “เหมือนเคยได้ยิน…”

เวินเซ่าชิงเห็นเธอเบี่ยงตัวถอยออกไปอย่างว่านอนสอนง่ายก็หัวเราะพอใจ “แต่ว่าไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้”

ฉงหรงงงไปหมดแล้ว “อะไรนะ”

“คุณไม่ใช่คนอื่น” นิ้วมือเวินเซ่าชิงที่ยังมีน้ำหยดวาดวงกลมกลางอากาศหนึ่งวง รวมเอาฉงหรงกับรั่งอี๋รั่งไว้ด้านใน น้ำหยดนั้นพุ่งตามแรงเหวี่ยงจากปลายนิ้วของเขามาตกบนหลังมือเธอ ฉงหรงก้มหน้าดู น้ำหยดนั้นไหลจากหลังมือไปที่ใจกลางฝ่ามือ

ฉงหรงกำมือแน่นทันที ไม่รู้ว่าคิดจะจับอะไรเอาไว้ รู้สึกเพียงใจกลางฝ่ามือชุ่มชื้น เขาพูดลอยๆ แค่นี้เธอถึงกับเข้าใจทั้งหมด หัวใจเต้นรัวๆ ทันที

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกขีดวงอยู่รวมกับหมาแล้วไม่โมโห เธอก้มหน้ามองรั่งอี๋รั่งที่หมอบอยู่บนพื้นกินโยเกิร์ต ท่ากินคงจะเหมือนกับท่าที่เธอกินเมื่อครู่สินะ

บรรยากาศขัดเขินอีกครั้ง ทั้งสองคนไม่พูดอะไรอีก เวินเซ่าชิงล้างชามเสร็จพอดี เขาเช็ดมือช้าๆ มองมาทางฉงหรง

ฉงหรงสูดหายใจลึกๆ คนคนนี้ไม่รู้จักคำว่าเขินเลยหรือ ไม่รู้จักล้างชามช้ากว่านี้หน่อยหรือไง เธอถูกเวินเซ่าชิงจ้องจนหัวใจว้าวุ่น หัวเราะแหะๆ อย่างเก้อๆ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “คุณชอบกินโยเกิร์ตผัดเหรอ”

เวินเซ่าชิงเชิดหน้าชี้ไปยังสัตว์เลี้ยงที่หมอบอยู่บนพื้น “รั่งอี๋รั่งชอบกิน ผมทำให้มันกินเป็นประจำ”

“…” ฉงหรงถือชามเล็กอยู่ในมือ ไม่รู้ว่าควรกินต่อหรือไม่ เขาคงมองเธอเป็นสัตว์เลี้ยงตัวที่สองสินะ

ฉงหรงถูกเวินเซ่าชิงที่จะจีบก็ไม่จีบทำให้หัวใจว้าวุ่น กินโยเกิร์ตเสร็จก็กลับบ้านไป

หลังจากอยู่ด้วยกันอย่างสงบสันติหลายวัน ฉงหรงพบว่าเป็นเพื่อนบ้านกับเวินเซ่าชิงก็ไม่ใช่เรื่องน่าอึดอัดลำบากใจปานนั้น

บางครั้งตื่นเช้าจะเจอเวินเซ่าชิงในลิฟต์ เขากลับมาจากออกกำลังกายตอนเช้า ตื่นสายหน่อยจะเจอเขากลับมาจากเวรดึก ตอนค่ำถ้าเลิกงานเร็วจะเจอเขาเลิกงานตามปกติ กลับมาดึกหน่อยจะเจอเขาพาหมามาเดินเล่น บางครั้งเจอเวินเซ่าชิงมาซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในชุมชน สุดสัปดาห์ออกจากบ้านบางครั้งก็พบ

ทุกครั้งที่เธอออกจากบ้านจะมองประตูฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว จะคิดว่าเขาอยู่หรือไม่ หรือจะเปิดประตูเดินมากะทันหัน

ก็เหมือนเพื่อนบ้านปกติทั่วไป…เพิ่มความคิดเกินเลยที่จับต้องไม่ค่อยได้เข้าไปนิดๆ

ความเคยชินเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ใช้เวลาเพียงเจ็ดวันก็ติดนิสัยแล้ว เมื่อเคยชินที่ได้พบกับใครบางคนบ่อยๆ วันใดที่ไม่ได้เจอคนผู้นี้ก็จะไม่สบายใจ เหมือนสูญเสียอะไรบางอย่างไป

ฉงหรงไม่ได้เจอเวินเซ่าชิงหลายวันแล้ว ประตูฝั่งตรงข้ามไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เธอไม่สะดวกที่จะถามจงเจินตรงๆ จึงข่มความสนใจใคร่รู้ไว้ในใจ

ความสนใจใคร่รู้ยังพอจะข่มได้ แต่ความอยากกินที่ถูกเวินเซ่าชิงกระตุ้นกลับข่มยาก

พอถึงสุดสัปดาห์ ฉงหรงเตรียมตัวลงไปหาของกินก็พบว่าประตูฝั่งตรงข้ามเปิดอยู่ ได้ยินเสียงรั่งอี๋รั่งแว่วๆ

ฉงหรงไปเคาะประตูโดยสมองไม่ทันได้คิดอะไร แล้วเปิดประตูออกเป็นช่องเล็กๆ เห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามรั่งอี๋รั่ง กำลังป้อนของกินให้มัน ดูเหมือนรั่งอี๋รั่งก็รู้จักพวกเขา

ผู้ชายท่าทางมีสง่าราศี ผู้หญิงสุภาพนุ่มนวลภูมิฐาน นั่งอยู่ด้วยกันดูเข้าคู่กันอย่างดี

เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู สองคนหนึ่งหมาก็มองมาพร้อมกัน ฉงหรงกระแอมเบาๆ “ขอโทษค่ะ ไม่ทราบเวินเซ่าชิงอยู่มั้ยคะ”

รั่งอี๋รั่งเห็นฉงหรงก็รีบวิ่งมาหาจะนัวเนียกับเธอ วิ่งมาจนห่างออกไปไม่กี่ก้าวก็ถูกเธอห้ามไว้ “อย่าๆๆ! ฉันรู้ว่าแกรู้จักฉัน นี่เป็นการยอมรับแบบหนึ่ง แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้ขนาดนี้นะ!”

เซียวจื่อยวนลุกขึ้นยืนทักทาย “เวินเซ่าชิงไม่อยู่ ผมเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา นี่ภรรยาของผม เขาถูกกักตัว เลยขอให้พวกผมมาให้อาหารรั่งอี๋รั่ง”

ฉงหรงตกใจ เธอเข้าใจว่าเขาแค่ไปธุระต่างเมืองเท่านั้น “ถูกกักตัว? เพราะอะไรคะ”

เซียวจื่อยวนไม่ตอบ แต่กลับย้อนถามว่า “คุณคือ?”

“ฉันเป็น…” ฉงหรงหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบพูดว่า “เพื่อนบ้านของเขา”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นในแววตาเซียวจื่อยวน “เพื่อนบ้าน?”

“ค่ะ!” ฉงหรงพยักหน้าอย่างหนักแน่น เธอพักอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านของเขาจริงๆ ตรงกับคำนิยามของเพื่อนบ้าน!

ดีที่เซียวจื่อยวนไม่ได้ถามต่ออีก “สองวันก่อนเขาผ่าตัดคนป่วยที่เป็นตับอักเสบบี ระหว่างการผ่าตัดเกิดอุบัติเหตุที่มือ มือมีแผล มีความเป็นไปได้ว่าจะติดเชื้อ ฉีดวัคซีนแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างกักตัวสังเกตอาการ”

ฉงหรงได้ยินก็ขมวดคิ้ว จากนั้นรีบยิ้มบอกลากับพวกเขา เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เซียวจื่อยวนก็เรียกเธอเอาไว้

“ขอโทษนะครับ พวกเรามีเรื่องหนึ่งคิดจะรบกวนคุณ ไม่รู้ว่าสะดวกไหม เราอยู่ไกลจากที่นี่มาก แล้วต้องทำงานด้วย มาที่นี่ไม่ค่อยสะดวก ถ้าคุณสะดวก ผมจะฝากกุญแจไว้ที่คุณ คุณช่วยมาให้อาหารรั่งอี๋รั่งทุกวันได้ไหม”

ฉงหรงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รับปากทันที “ไม่มีปัญหา แต่ว่าพวกคุณกล้าฝากกุญแจไว้กับคนแปลกหน้าหรือคะ”

เซียวจื่อยวนหัวเราะแล้วย้อนถามว่า “แล้วทำไมคุณถึงเชื่อใจคนแปลกหน้าอย่างพวกเราด้วยล่ะ เราบอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเวินเซ่าชิง คุณก็เชื่อเลยหรือ ถ้าเราเป็นขโมยงัดบ้านเข้ามาล่ะ”

ฉงหรงมองรั่งอี๋รั่งที่กำลังแกว่งหางประจบสองสามีภรรยา แกไม่มีทักษะการเฝ้าบ้านเลยหรือไงนะ

“คนที่เป็นขโมยงัดบ้านไม่ใส่เสื้อโค้ตขนแกะตัดเย็บด้วยมือหรอก” ฉงหรงหัวเราะ ชี้ไปที่เสื้อโค้ตแบบเข้าคู่ที่พาดอยู่บนพนักโซฟา จากนั้นก็หันไปมองผู้หญิงท่าทางนุ่มนวลที่ยังไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว “ปิ่นปักผมอันนี้เป็นสินสอดใช่ไหมคะ ใจป้ำมากจริงๆ ของชิ้นนี้แพงกว่าห้องนี้อีก”

ไม่พูดตรงๆ แต่พูดแบบนี้ก็เข้าใจทันที ขโมยงัดบ้านงั้นหรือ ขโมยชั่วชีวิตก็ยังไม่ได้เงินเท่าของที่อยู่บนตัวสองท่านนี้หรอก

ไม่เปิดโอกาสให้ทั้งสองคนพูดอะไร สายตาฉงหรงกวาดมองไปที่แหวนหมั้นที่นิ้วกลางมือซ้ายของผู้หญิง จากนั้นหันไปมองมือซ้ายเกลี้ยงเกลาของเซียวจื่อยวน มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม “บอกว่าเป็นภรรยา ความจริงยังไม่จดทะเบียนตามกฎหมายใช่ไหมคะ แต่ว่าแหวนหมั้นสวยเชียว”

ผู้หญิงคนนั้นก็หัวเราะ สบตากับผู้ชายร่างสูงใหญ่ทันที “คุณเป็น…ทนายความใช่ไหม”

มือที่กำลังรับกุญแจของฉงหรงชะงัก มองดูตัวเอง “ดูจากไหนหรือคะ”

ผู้หญิงสบตากับผู้ชาย แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะพร้อมกัน ‘แค่เดา’ ฉงหรงรู้สึกว่าท่าทางของสองคนนี้แปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอีก รีบบอกลาออกมา เธอคุ้นๆ ว่าเคยเจอญาติของเวินเซ่าชิงที่ไหนมาก่อน

เมื่อเห็นประตูปิดแล้ว สุยอี้ก็หัวเราะถามเซียวจื่อยวน “เธอใช่คนที่…ชอบหมอไม่ชอบทนายความคนนั้นหรือเปล่านะ”

แววตาเซียวจื่อยวนเห็นด้วย “เคยเจอคนที่พอรู้ว่าเพื่อนอาจจะติดเชื้อตับอักเสบบีแล้วสีหน้าท่าทางเป็นห่วงขนาดนี้มั้ย ตอนที่เวินเซ่าชิงวานเรามาให้อาหารหมา ยังบอกว่าถ้าเจอเพื่อนบ้านก็เอากุญแจให้เธอเลย คิดว่าทำไมล่ะ”

“ทำไมเหรอ”

“โอบล้อมวงกว้าง กระชับวงล้อมจากภายนอก”

“รุ่นพี่เวินชอบผู้หญิงสไตล์นี้สินะ”

“ไม่ใช่แค่เวินเซ่าชิงชอบ หลินเฉินก็ชอบเหมือนกัน คิดว่าเราควรบอกหลินเฉินมั้ยว่าตอนนี้สองคนนี้เป็นเพื่อนบ้านกัน”

สุยอี้มองหน้าเซียวจื่อยวนตัวแสบ อดตอกกลับไม่ได้ “รุ่นพี่เซียว คุณนี่แสบมากเลยนะ!”

 

ฉงหรงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกนินทา กลับถึงบ้านก็รีบโทรหาจงเจิน ถามถึงเวินเซ่าชิงตรงๆ คุยผ่านมือถือก็รู้ว่าจงเจินกำลังเหนื่อยล้า

“เป็นผ่าตัดด่วน คนไข้ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นตับอักเสบบี หลังผ่าตัดถึงรู้ ดีที่เป็นตับอักเสบบี ยังฉีดวัคซีนตามทีหลังได้ แต่ยังต้องสังเกตอาการอีกระยะหนึ่งถึงจะแน่ใจว่าติดเชื้อหรือเปล่า”

“รุนแรงขนาดนี้เลยหรือ ไหนนายชมว่าเขาเก่งสุดยอดอย่างงั้นอย่างงี้ ทำยังไงถึงบาดถูกมือล่ะ”

เสียงจงเจินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง “ถ้าเจ๊ต้องผ่าตัดข้ามคืน อยู่ในห้องผ่าตัดสิบกว่าชั่วโมง มือไม่สั่นก็เก่งแล้ว ถูกเข็มแทงถูกมีดบาดเป็นเรื่องปกติมาก มีบุคลากรทางการแพทย์ได้รับบาดเจ็บระหว่างผ่าตัดทุกวัน”

ฉงหรงเครียดเอาการ ทุกครั้งที่เธอเจอเวินเซ่าชิง ท่าทางเขาเยือกเย็นตลอดเวลา ไม่เคยคิดเลยว่าเขาต้องเสี่ยงอันตรายแบบนี้ทุกวัน

ความเงียบของฉงหรงทำให้จงเจินเสียงอ่อนลง “ความจริงก็ไม่รุนแรงมาก อาจารย์เวินอยู่บ้านคนเดียว กลับไปพักที่บ้านก็ได้ เขาคงคิดว่าพักอยู่ที่โรงพยาบาลสะดวกกว่าหน่อย พี่ไม่ต้องห่วงนะ”

ฉงหรงอยากจะแย้งว่าตัวเองไม่ได้ห่วง แต่ก็รู้สึกว่าอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง นึกขึ้นได้ว่ารับปากดูแลรั่งอี๋รั่งไว้ จึงถามจงเจินว่า “นายรู้มั้ยว่าอาจารย์เวินเลี้ยงหมาซามอยด์ มันชอบอะไร”

จงเจินดีดนิ้วอย่างภาคภูมิใจ เปิดโน้ตบุ๊กอ่านเอกสารชิ้นหนึ่งแล้วเริ่มต้นอ่านเสียงฉะฉานชัดเจน “ข้อมูลพื้นฐาน หมวดสัตว์เลี้ยง เรียบเรียงโดยเวินเซ่าชิงสุดหล่อแห่งโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย X สายพันธุ์ซามอยด์ ชื่อรั่งอี๋รั่ง ชื่อเล่นกุ่น อายุสองขวบ อาหารที่ชอบคือโยเกิร์ต ผลไม้ที่ชอบแคนตาลูป เกมที่ชอบคือโยนลูกบอล ของเล่นที่ชอบ…”

ฉงหรงตัดบทเขา “พอแล้วๆ ไม่ต้องอ่านแล้ว อะไรของนาย ไปเอาข้อมูลอะไรพวกนี้มาจากไหน”

เสียงจงเจินมั่นใจมาก “ผู้หญิงในโรงพยาบาลต้องมีติดมือหนึ่งเล่ม! ทั้งหมอทั้งพยาบาลที่จะจีบอาจารย์เวินต้องหาตัวช่วย แน่นอนว่าต้องเข้าทางรั่งอี๋รั่ง เอาใจมันไว้ก่อน!”

ฉงหรงจำได้อย่างเดียวคือโยเกิร์ต ดูเหมือนว่าเธอกับรั่งอี๋รั่งมีรสนิยมเดียวกัน

จงเจินถามเสียงทะเล้น “เจ๊ก็จะใช้แผนโอบล้อมวงกว้างหรือไง”

ฉงหรงอ้ำอึ้ง เปิดโปงเจตนาชั่วร้ายของเขาตรงๆ “ไม่ล่ะ จะทิ้งเมืองหนี”

คิดไม่ถึงว่าจงเจินจะเห็นด้วย “ก็ดีนะ เขาเขียวยังคงอยู่ มิต้องกลัวไร้ฟืนเผา”

ฉงหรงตัดสายทิ้งทันที แล้วแตะเปิดวีแชต ลังเลอยู่นานมากก่อนจะปิดทิ้ง

 

ตกกลางคืนเธอไปให้อาหารรั่งอี๋รั่ง หลังจากเปิดประตูก็เห็นมันหมอบอยู่ข้างประตู พอเห็นประตูเปิดมันก็วิ่งพรวดพราดมาหมอบอยู่นอกประตู มองตาละห้อย

ฉงหรงถามหยั่งเชิงว่า “อยากออกไปเล่นข้างนอกเหรอ”

รั่งอี๋รั่งยังคงจ้องหน้าเธอ ฉงหรงเจรจากับมัน “ฟ้ามืดขนาดนี้แล้ว ข้างนอกหนาวมาก อย่าออกไปดีกว่านะ บ้านเดิมแกอยู่ไซบีเรีย แต่ฉันไม่ใช่ ฉันกลัวหนาวมาก”

รั่งอี๋รั่งรีบวิ่งกลับมา เขี่ยบานตู้ที่ข้างประตูเปิดออกแล้วคาบปลอกคอกับสายจูงมาวางไว้ตรงหน้าฉงหรง แลบลิ้นตื๊อเธอสุดฤทธิ์

ฉงหรงจนปัญญา คิดว่าจะถ่ายรูปไปถามเจ้าของหมาว่าควรทำอย่างไร พอเปิดกล้องเตรียมถ่าย รั่งอี๋รั่งก็มองกล้องทำคอเอียง

ฉงหรงมองรูปหมาขี้ประจบเอียงคอยิ้มก็ใจอ่อนระทวย ส่งวีแชตไปหาเวินเซ่าชิง

 

ลูกพี่ลูกน้องของคุณกับภรรยาวานให้ฉันดูแลมัน ตอนนี้มันงอแงมาก ดื้อจะให้พาออกไปเดินเล่น

 

เวินเซ่าชิงตอบเร็วมาก เป็นข้อความเสียง มันติดนิสัยแล้ว ต้องออกไปแก้ปัญหาทางกายภาพ ตู้ข้างประตูมีกระดาษหนังสือพิมพ์ ถ้ามันทำท่าโก่งก้น เอากระดาษหนังสือพิมพ์ปูรอง เสร็จแล้วโยนลงถังขยะ

ได้ยินแบบนี้ฉงหรงก็จินตนาการถึงฉากในอนาคตอันใกล้ ใจที่อ่อนระทวยก่อนหน้านี้ก็กระด้างขึ้นมา พิมพ์ใส่มือถืออย่างโมโห

 

ทำไมไม่ฝึกให้มันใช้ชักโครก

ฝึกแล้ว มันใช้ไม่เป็น

 

ฉงหรงข่มความโมโห พิมพ์กลับไปอีกหลายคำ

 

ฉันคิดค่าใช้จ่ายตามเวลา ตามเรตทนายความ คุณต้องจ่าย!’

ค่ำคืนในฤดูหนาว อุณหภูมิค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว แถมยังมีลมอีก ฉงหรงเปิดหน้าต่างทดสอบอุณหภูมิข้างนอก ก่อนจะใส่เสื้อขนเป็ดพันผ้าพันคอแล้วก็พารั่งอี๋รั่งลงไปข้างล่าง

พอลงมาถึงข้างล่าง ฉงหรงก็เสียใจที่พามันลงมา ไม่ใช่เธอพาหมามาเดินเล่น แต่เป็นหมาพาเธอมาเดินเล่นต่างหาก รั่งอี๋รั่งคงจะไม่ได้ลงมาเดินเล่นนานมาก มันเลยเชิดคอหูตั้งวิ่งเหมือนหมาบ้าในเขตชุมชนสามรอบ ฉงหรงถือสายจูงถูกลากจนขาแทบหลุด หยิบมือถือมาก็ขี้เกียจจะพิมพ์ตัวหนังสือ จึงส่งข้อความเสียงพร้อมหอบแฮกๆ

เมื่อกี้พูดผิดไป ต้องจ่ายเรตค่าปรึกษาคูณสามให้ฉัน!”

 

เวินเซ่าชิงฟังแล้วหัวเราะร่า เสียงเธอมีเสียงลมแทรกเข้ามาด้วย ไม่เยือกเย็นระวังตัวเหมือนเวลาปกติ เหมือนกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนจบยังได้ยินเสียงเห่าของรั่งอี๋รั่ง ดูท่าเธอกับมันเข้ากันได้ดี

เซียวจื่อยวนวางผลไม้ลง มองชายหนุ่ม “เป็นขนาดนี้แล้วยังหัวเราะออกอีก”

เวินเซ่าชิงวางมือถือ “ทำไมถึงมีเวลาว่างมาเยี่ยมได้”

เซียวจื่อยวนหัวเราะหึๆ “อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง วันนี้อาอี้อยู่เวรดึก ฉันเอาซุปมาให้เธอ ก็เลยแวะมาเยี่ยมนายแป๊บนึงต่างหาก”

เวินเซ่าชิงตอบไปสองคำว่า “เหอะๆ” เขาถือมีดปอกผลไม้ไว้ในมือแต่ไม่ปอก เอาแต่จับเล่นอยู่ในมือแล้วถามขึ้นมาลอยๆ “คิดว่าเธอเป็นยังไงบ้าง”

สายตาของเซียวจื่อยวนเบนจากหน้าจอทีวีมาที่ใบหน้าญาติผู้น้อง “ใคร เพื่อนบ้านน่ะเหรอ ไม่ค่อยได้สังเกต ตามีไว้มองแต่อาอี้”

เวินเซ่าชิงเอียนจนขว้างส้มใส่อีกฝ่าย “รู้ใช่มั้ยว่าเธอคือใคร”

เซียวจื่อยวนรับส้มเอาไว้แล้วย้อนคิดแบบจริงจัง “ดูแล้วก็เป็นแบบคนที่คลุกคลีในวงการกฎหมาย ฉลาดเฉลียวเป็นตัวของตัวเอง ความคิดเปิดกว้างมีเหตุผล เท่มาก ทัศนะที่มีต่อปัญหาไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงทั่วไป เป็นทนายสายว่าความสินะ รู้สึกว่าปากคอไม่เบาเลย อีกหน่อยเวลานายสองคนทะเลาะกันแล้วจะรู้สึก”

เวินเซ่าชิงยกมุมปาก “กับเธอน่ะ ไม่ทะเลาะกันหรอก”

“อย่าเพิ่งมั่นใจขนาดนั้น” เซียวจื่อยวนเอียงคอหรี่ตามอง “หลินเฉินรู้มั้ยว่าตอนนี้นายเป็นเพื่อนบ้านกับเธอ”

“ก็อยากบอกเขานะ แต่เขาไม่ให้โอกาสเลย” เวินเซ่าชิงขมวดคิ้ว “ทำไมชอบพูดถึงหลินเฉิน”

เปลือกส้มบางๆ ลื่นหลุดจากมือเซียวจื่อยวน เขาตอบเสียงเนิบนาบ “หลินเฉินรู้จักกับอาอี้ตั้งแต่เด็ก อาอี้เป็นคนให้ความสำคัญกับอดีต แม้เธอจะเข้าใจดีว่าเรื่องความรักฝืนใจกันไม่ได้ แต่หลินเฉินเอาแต่พเนจรอยู่ข้างนอกแบบนี้ เธอก็เป็นห่วง”

เวินเซ่าชิงทำเสียงจึ๊กจั๊กเดาะลิ้นพลางทำหน้าประหลาดใจ “เมียตัวเองห่วงผู้ชายอื่น แหม หัวหน้าเซียว ใจกว้างจริงๆ”

เวินเซ่าชิงตอนเด็กๆ ใสซื่อบริสุทธิ์ น่าเสียดายที่เขาต้องกลายเป็นคนปากร้ายเพราะญาติผู้พี่คนนี้ คนหนึ่งเย็นชาหน้านิ่ง อีกคนสง่าภูมิฐาน ต่างกลายเป็นตัวแสบปากร้ายไปหมด

เซียวจื่อยวนได้ยินก็ไม่โมโห เขาอมยิ้ม “ใช่เลย เมียฉันเป็นคนใส่ใจมิตรภาพน้ำใจไมตรี ไม่รู้ว่าเพื่อนบ้านของนายมีน้ำใจต่อหลินเฉินด้วยหรือเปล่า ฟังชัดๆ นะ เป็นเพื่อนบ้าน ไม่ใช่เมีย และก็ไม่ใช่แฟนด้วย”

มือที่ถือมีดปอกผลไม้ของเวินเซ่าชิงหยุดชะงัก ปิดปากอย่างรู้สถานการณ์

ดูเหมือนเซียวจื่อยวนจะยังไม่หนำใจ “คิดถึงชีวิตในอนาคตของนาย มันคงยากลำบากน่าดู ทนายความเชี่ยวชาญอะไรที่สุด หาช่องโหว่ ขยี้จุดอ่อน จุดระเบิด เชี่ยวชาญการรบแบบประวิงเวลาที่สุด รู้เรื่องราวต่างๆ ในโลกดี รู้จังหวะรุกรับ เวลาปะทะคารมก็เจอแต่ของแข็ง ไม่มียอมๆ หยวนๆ ไม่รู้ว่าวิชาแพทย์ของหมอเวินรับมือไหวมั้ย นายเจอคนที่ฝีมือทัดเทียมกันแล้ว”

เวินเซ่าชิงครุ่นคิดอย่างละเอียด พบว่าตอนที่ฉงหรงอยู่กับเขา เธอไม่มีท่าทางแบบนั้นเลย กลับเป็นฝ่ายถูกเขาบีบจนหน้าแดงขมวดคิ้ว โอนอ่อนว่านอนสอนง่าย คิดแบบนี้เขาก็สบายใจมาก

เซียวจื่อยวนเห็นอีกฝ่ายยิ้มแย้มอารมณ์ดีก็อดแดกดันไม่ได้ “ถูกกักตัวยังหัวเราะได้อีก ไม่รู้ว่ามีความสุขอะไรนักหนา”

เวินเซ่าชิงไม่แยแสแม้แต่น้อย “เซียวจื่อยวน นายแก่แล้ว ไม่เข้าใจหัวใจของคนที่กำลังมีความรักหรอก”

เซียวจื่อยวนทำหน้าล้อเลียน “ความรัก? รักข้างเดียวล่ะสิไม่ว่า วันนั้นทนายความคนนั้นประกาศสถานะกับนายอย่างชัดเจนว่าเป็นแค่เพื่อนบ้านเท่านั้นนะ”

เวินเซ่าชิงไม่ให้ความสำคัญ “ตอนนั้นสุยอี้ก็บอกว่านายเป็นแค่รุ่นพี่เท่านั้นเหมือนกันนะ ตอนนี้เป็นไงล่ะ ถูกหลอกพากลับบ้านแล้วใช่มั้ย”

พอพูดถึงชื่อนี้เซียวจื่อยวนก็หน้าบานยิ้มแฉ่ง เวินเซ่าชิงทนเลี่ยนไม่ไหว ไล่เขาออกไปจากห้องคนไข้

 

ตอนนี้คุณทนายฉงที่ถูกผู้ชายสองคนพาดพิงถึงกำลังนั่งหอบแฮกๆ อยู่บนเก้าอี้ยาวในสวนชุมชน จ้องตากับรั่งอี๋รั่ง เธอโบกโยเกิร์ตที่เพิ่งซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตไปมาต่อหน้ามัน “อยากกินมั้ย”

รั่งอี๋รั่งเห่าหนึ่งที ฉงหรงฉีกฝาออกวางไว้ตรงหน้าเจ้าหมาขาว ถอนหายใจมองดูมัน “เจ้าของกำลังถูกกักตัว แต่แกยังกินอย่างมีความสุขขนาดนี้”

รั่งอี๋รั่งยังคงตั้งหน้าตั้งตาเลียโยเกิร์ตจนขนข้างปากเลอะเทอะ ฉงหรงรอจนมันกินเสร็จแล้วก็ลุกขึ้น “เอาล่ะ กินเสร็จแล้วก็กลับบ้านกันเถอะ!”

ฉงหรงส่งรั่งอี๋รั่งกลับบ้าน จัดน้ำกับอาหารให้มันแล้วก็จะกลับบ้าน แต่พอเดินมาถึงข้างประตูก็นึกอะไรขึ้นได้ “ต้องเปิดไฟให้ด้วยมั้ย”

เจ้าหมาเห่าหนึ่งที ฉงหรงไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร “ต้องหรือไม่ต้อง?”

เธอพูดพร้อมกับปิดไฟแล้วก็เปิดไฟอย่างเร็ว ทดสอบปฏิกิริยาของรั่งอี๋รั่ง แต่เจ้าหมาโง่ตัวนี้เอาแต่นั่งนิ่งๆ ดูเธอ

ฉงหรงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นปิดไฟนะ ประหยัดพลังงานรักษาสิ่งแวดล้อม พรุ่งนี้เจอกัน”

คืนนั้นฉงหรงนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา เห็นญาติผู้พี่ของเวินเซ่าชิงในรายการข่าวจึงรู้ว่าทำไมรู้สึกคุ้นตามาก!

อายุน้อยแค่นี้ก็ได้ตำแหน่งนี้แล้ว เส้นสายของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ถ้าอย่างนั้นแล้วเวินเซ่าชิงญาติผู้น้องของเขาล่ะ คงไม่ใช่เด็กครอบครัวธรรมดาด้วยสินะ

ทันใดนั้นเธอก็พบว่าตัวเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเวินเซ่าชิงเลย นอกจากรู้ชื่อของเขา รู้ว่าเขาเป็นหมอ เรื่องอื่นๆ ไม่รู้อะไรเลย ความคิดแบบนี้ทำให้ฉงหรงจิตตกเล็กน้อย

เธอเปิดวีแชต แตะเปิดข้อความเสียงที่เมื่อครู่เวินเซ่าชิงส่งมา เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เสียงนั้นทุ้มสะอาด พูดพร้อมกับกลั้วหัวเราะเหมือนตัวจริงของเขา ฟังเสียงก็ดูเหมือนเขาไม่กลุ้มใจกับการต้องถูกกักตัว

เธอฟังซ้ำหลายรอบแล้วนึกขึ้นได้ว่าต้องไปดูหน้าเพจของเขา เขาไม่ค่อยได้โพสต์ไทม์ไลน์ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับรั่งอี๋รั่ง นิ้วมือเธอเลื่อนลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดกึก นั่นเป็นไทม์ไลน์กรุ๊ปเพื่อนกลุ่มแรกของเขา โพสต์เมื่อหลายปีก่อน มีตัวหนังสือไม่กี่ตัวกับรูปหนึ่งรูป เขียนว่า

 

คิดถึงเธอเหลือเกิน ไม่ใช่ไม่คิดถึงเธอ

รูปใบนั้นมีเพียงเงาคนรางๆ พอจะมองออกว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เหมือนแอบถ่าย

‘คิดถึงเธอเหลือเกิน… (เฟยปู้ซือทา)’ ชื่อบัญชีวีแชตของเวินเซ่าชิงคือเฟยปู้ซือทา แต่เขียนด้วยอักษรอีกตัวที่ออกเสียงเหมือนกัน ภาษาอังกฤษหมายถึง Febuxostat (เฟบบูโซสตัส) ชื่อประหลาดมาก ฟังดูเหมือนชื่อยา ฉงหรงเคยถามเรื่องนี้กับจงเจิน จงเจินบอกเธอว่าเป็นชื่อยาจริงๆ รักษาภาวะกรดยูริกเกินในเลือดที่มีอาการปวดเกาต์ ตอนนั้นเธอไม่ได้คิดอะไรมาก เห็นว่าหมอเอาชื่อยามาใช้เป็นชื่อบัญชีวีแชตเป็นเรื่องปกติ

ตอนนี้ดูแล้ว มีเจตนาอื่นแฝงสินะ เธอนึกถึงที่จงเจินเคยบอกว่าเขามีคนที่ชอบแล้ว ผู้หญิงในรูปก็คือคนคนนั้นสินะ

ฉงหรงซึมไปทันที

 

ใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว อากาศหนาวมากกว่าเดิม อุณหภูมิลดลงอย่างต่อเนื่อง ทุกเช้าก่อนออกจากบ้านฉงหรงจะไปให้อาหารรั่งอี๋รั่ง กลางคืนเลิกงานแล้วจะพามันลงไปเดินเล่นหนึ่งรอบ บางครั้งก็ส่งวีแชตไปถามเวินเซ่าชิงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เป็นห่วงว่าเขาจะติดเชื้อ วันเวลาผ่านไปเร็วมาก เร็วจนฉงหรงเข้าใจว่าเธอกลับไปสู่วันเวลาที่ไม่มีเวินเซ่าชิงอีกครั้ง

วันศุกร์เป็นวันที่ยุ่งจนแทบไม่มีเวลาพัก ฉงหรงงานยุ่งทั้งวัน พูดจนปากแห้งลิ้นแห้ง เมื่อเธอจัดการเอกสารเสร็จเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ในสำนักงานทนายความก็เหลือเธอคนเดียวแล้ว พื้นที่ทำงานที่ใหญ่มากมีเพียงส่วนของเธอที่ไฟยังเปิดอยู่ เธอรู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมาทันที ความอ่อนล้าก็บุกโจมตีตามมา

ฉงหรงขับรถออกจากลานจอดรถ ตอนเปิดหน้าต่างแตะบัตรเปิดที่กั้น ลมเย็นกระโชกเข้ามาจนเธอไอ

ยามที่ประตูสำนักงานทนายความยื่นหน้าเข้ามาถาม “คุณทนายฉง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ฉงหรงโบกมือ เลื่อนกระจกขึ้นแล้วรีบขับออกไป

คงเพราะว่าคืนนี้ลมแรง คนเดินเท้าจึงน้อยกว่าปกติหลายเท่า ฉงหรงกลับมาถึงประตูชุมชนก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้กินอาหารเย็น เธอมองซูเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงครู่หนึ่ง ไม่มีความรู้สึกอยากกินอะไรเลยสักนิด จึงถอนหายใจแล้วเดินออกจากที่จอดรถ

เพิ่งจะออกจากลิฟต์เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ประตูฝั่งตรงข้ามก็เปิดออกจากด้านใน เวินเซ่าชิงปรากฏตัวขึ้นที่ข้างประตู ถือฝักข้าวโพดที่มีไอร้อนกรุ่นอยู่ในมือ รั่งอี๋รั่งก็ตามออกมา มันยืดคอมองเธอ ปากคาบฝักข้าวโพดเหมือนกัน

เวินเซ่าชิงยิ้มให้เธอพลางโบกฝักข้าวโพดในมือ “อยากกินมั้ย”

กลิ่นหอมหวานของเมล็ดข้าวโพดผิวกรอบปะทะจมูกในทันที กระตุ้นต่อมรับรสของเธอ เขายืนห่างออกไปไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง ใส่เสื้อยืดกางเกงลำลอง คลุมเสื้อคาร์ดิแกนผ่าหน้าไว้แบบง่ายๆ ท่าทางอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่เจอ เหมือนไม่เคยไปจากที่นี่

วินาทีที่เธอเห็นเขา ไม่รู้ว่าทำไมความรู้สึกโกรธจึงหายไป จากนั้นก็ไม่พูดอะไร หันเดินกลับไปทางบ้านตัวเอง หลังจากหยิบลูกกุญแจออกมาก็ถอนหายใจ หมุนตัวกลับแต่หลุบตาไม่มองเขา “เอาของไปเก็บแล้วจะเข้าไป”

เธอทั้งหนาวทั้งหิว เมื่อประตูฝั่งตรงข้ามเปิดออก กลิ่นหอมและไออุ่นแผ่ออกมา ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับบ้านที่มีแต่กลิ่นอายเย็นเยียบของตัวเอง มันหลอกล่อให้เดินไปด้านนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อครู่เธอใช้พลังแค่ไหนเพื่อห้ามตัวเองไม่ให้เดินไปด้านนั้น เดิมทีฉงหรงคิดจะปฏิเสธ แต่โดยเนื้อแท้แล้วเธอไม่มีความกล้าที่จะเปิดประตูเผชิญกับความอ้างว้าง

ดูเหมือนเวินเซ่าชิงจะมองออกว่าฉงหรงมีอะไรบางอย่างผิดปกติ เขาไม่พูดอะไร หันมาสั่งรั่งอี๋รั่งว่า “แกรออยู่ตรงนี้ก่อน” แล้วถือฝักข้าวโพดเดินกลับเข้าบ้าน

รั่งอี๋รั่งเชื่อฟังมาก เดินไปสองสามก้าวแล้วหมอบอยู่กลางทางเดิน ปัดหางไปมาอย่างอารมณ์ดี

ฉงหรงเก็บของ ล้างหน้าเสร็จแล้วเดินออกมาก็เห็นรั่งอี๋รั่งหมอบอยู่ข้างประตูกำลังรอ ประตูด้านหลังมันเปิดแง้มไว้ พอจะเห็นแสงไฟอบอุ่นกับเงาร่างของเวินเซ่าชิงอยู่ด้านใน

เธอเข้ามาก็ตรงไปนั่งที่หน้าโต๊ะอาหารเอง เวินเซ่าชิงเดินออกจากห้องครัวยกฝักข้าวโพดแสนอร่อยมาหนึ่งจาน เลือกฝักที่ปิ้งสวยๆ ให้เธอ “วันนี้ตอนออกจากโรงพยาบาลเห็นขายอยู่ริมถนนก็เลยซื้อกลับมาลองทำดู ชิมดูแล้วรสชาติดีนะ”

ฉงหรงรับมาแต่ไม่ได้กินทันที รั่งอี๋รั่งหมอบอยู่ข้างเท้าเวินเซ่าชิง คายข้าวโพดออกจากปากลงบนพื้นแล้วก็เอาแต่จ้องหน้าหญิงสาว

ฉงหรงงงงวย เธอเหนื่อยและหิวซ่ก สมองมึนเบลอ ถือฝักข้าวโพดเหม่อค้างอยู่ในมือพลางถามว่า “ฝักของฉันอร่อยกว่าหรือ”

นานทีปีหนที่เวินเซ่าชิงจะไม่ยั่วโมโห เขาหัวเราะเบาๆ ตอบว่า “มันรอกินพร้อมคุณ”

“จริงหรือ” ฉงหรงกัดหนึ่งคำแล้วมองรั่งอี๋รั่ง เห็นมันก้มหน้ากินทันที

เวินเซ่าชิงหัวเราะ “ดูท่าหลายวันนี้คุณกับมันอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนม”

ฉงหรงไม่รับรู้ กัดไปหลายคำ ในที่สุดก็เงยหน้ามองเขา “คุณไม่มีปัญหาอะไรแล้วใช่มั้ย”

“อืม” เวินเซ่าชิงพยักหน้า “วันนี้ผลตรวจออกมาแล้ว ไม่ติดเชื้อ”

“ดีแล้ว” ฉงหรงตอบเสียงเบาๆ สั้นๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้ากินข้าวโพดเงียบๆ

ดูเหมือนเวินเซ่าชิงจะพบว่าเธอค่อนข้างซึมเซาจึงเย้าว่า “คุณยังไม่แน่ใจว่าผมติดเชื้อหรือเปล่าก็กล้ากินของของผมด้วยเหรอ”

ฉงหรงเหนื่อยจนไม่อยากใช้สมอง เธอพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาแบบเครื่องจักร “ฉันฉีดวัคซีนตับอักเสบบีแล้ว ยังค้นข้อมูลเพิ่มเติมด้วย การสัมผัสกับผู้เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีก็ไม่แน่ว่าจะติดเชื้อ คุณดูสามีภรรยาสิ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โอกาสที่จะแพร่เชื้อให้คู่สมรสต่ำมาก ต่อให้ติดเชื้อจริงๆ…” ฉงหรงขมวดคิ้วทันที หลุบตาเหมือนกำลังครุ่นคิดปัญหานี้อย่างจริงจัง แต่สมองเธอสับสนมาก เธอจึงเลิกคิด เม้มปากพูดต่อว่า “ตับอักเสบบีก็ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่เวลามีลูกอาจจะเจอปัญหา…”

เธอยิ่งพูดยิ่งออกทะเล เวินเซ่าชิงกลั้นหัวเราะ “คิดไปไกลมากจริงๆ คิดถึงปัญหาการมีลูกด้วย”

ทันใดนั้นความฮึกเหิมอย่างเด็ดเดี่ยวก็ปรากฏขึ้นในใจฉงหรง เธอขยับมุมปาก แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็ถูกกลืนกลับลงไป

สายตาของเวินเซ่าชิงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าเธอตลอดเวลา ความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของเธอก็ไม่พ้นจากสายตาเขา “อยากจะพูดอะไร”

ฉงหรงเงยหน้า เหม่อมองใบหน้าเขา อยู่ดีๆ สมองก็ไม่ทำงาน เพราะความคิดชั่วแล่นทำให้คำพูดซึ่งอยู่ที่ก้นบึ้งของหัวใจหลุดออกมาอย่างไหลลื่น

“แค่นี้ธรรมดามาก กระทั่งชื่อเด็กฉันก็ตั้งเรียบร้อยแล้ว”

เวินเซ่าชิงไม่ตกใจแม้แต่น้อย ยิ้มน้อยๆ ปลอบเสียงเบาๆ คล้ายกลัวจะทำให้เธอตกใจตื่น “ชื่ออะไร”

“ชื่อ…” ฉงหรงมองรอยยิ้มของเขาแล้วก็ตกใจสะดุ้ง เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังพูดอะไร จึงรีบพูดแก้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ลูกฉันจะชื่ออะไร ทำไมต้องบอกคุณด้วย”

แววตาเวินเซ่าชิงฉายความรู้สึกเสียดาย แต่ก็ไม่เซ้าซี้อีก เปลี่ยนไปถามว่า “แล้วไม่ทราบว่าลูกของคุณทนายฉงแซ่อะไร”

ฉงหรงรู้สึกว่าเรื่องที่ลึกซึ้งที่สุดไม่ใช่แต่งงานแล้วใช้แซ่คุณนำหน้าชื่อฉัน ต่อให้ฉันกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉันก็จะจินตนาการถึงทารกในครรภ์เป็นของคุณกับฉัน เข้าใจตามจิตใต้สำนึกว่าเด็กแซ่เดียวกับคุณ

ฉงหรงก้มหน้านวดหัวคิ้ว เอียงคอยิ้มภายใต้แสงไฟสลัวสีส้ม แขนปิดบังใบหน้าส่วนใหญ่ของเธอ ทำให้เห็นรอยยิ้มของเธอไม่ชัดนัก “ก็น่าจะแซ่…ฉงก็แล้วกัน”

เวินเซ่าชิงได้ยินเธอกลบเกลื่อนแบบนี้ก็ไม่โกรธ ลุกขึ้นยืนยิ้ม “ในครัวต้มซุปเนื้อแพะไว้ ผมตักให้คุณชิมสักชามนะ”

ฉงหรงมองเงาหลังในห้องครัว ก้มหน้าพลางนวดหว่างคิ้ว เธอเป็นคนประสาทไวมาก ทำไมจะมองเจตนาดีของเขาไม่ออก ช่วงเวลาที่เธอรู้จักกับเวินเซ่าชิงไม่นับว่านาน ตอนเธออารมณ์ดีเขาก็ทำตัวแสบปากร้ายเย้าเธอ อารมณ์ตกต่ำอย่างคืนนี้เขาก็จะอ่อนโยนเอาใจใส่ ความอบอุ่นนุ่มนวลจากปลายนิ้วถึงปลายคิ้วอัดแน่นอยู่ภายในตัวเขา โดยภาพรวมแล้วถูกต้องแล้วที่เขาแซ่เวิน (อบอุ่น)

ซุปใสในชามกระเบื้องมีหยดน้ำมันเล็กน้อย มีเครื่องเคียงสีเขียวมรกตกับแครอตสีแดงส้มประดับทำให้ไม่รู้สึกรังเกียจมัน ซุปร้อนๆ ลงสู่กระเพาะอาหาร ฉงหรงถอนหายใจเบาๆ อย่างพึงใจ คิดว่าหมอนี่รู้จักการบำรุงร่างกายจริงๆ!

ค่ำคืนในฤดูหนาวได้ซดน้ำซุปร้อนๆ สักชามเป็นเรื่องที่มีความสุขมาก จากเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเวินเซ่าชิงเป็นคนที่เข้าใจการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข รสนิยมการใช้ชีวิตอยู่ในระดับสูง สิ่งนี้สำหรับคนที่อยู่แบบพอถูไถอย่างเธอแล้วเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม

ฉงหรงลูบขอบชามกระเบื้อง แอบถามตัวเองเงียบๆ อยู่ในใจ คนคนนั้นที่เขาชอบคงมีความสุขมากสินะ

เขากับเธอนั่งคุยกันอยู่บนโซฟา รั่งอี๋รั่งหมอบอยู่ข้างเท้าเวินเซ่าชิง คงเพราะว่าไม่ได้เจอเขามานานจึงคลอเคลียนัวเนียมากเป็นพิเศษ ฉงหรงดูชายหนุ่มลูบตัวเจ้าหมา เธอชี้ไปที่มัน “ทำไมพอคุณกลับมาก็รู้สึกว่ามันอ้วนขึ้นปุบปับ”

“เพิ่งจับมันอาบน้ำ เอาไดร์เป่าผมเป่า ขนเลยฟูฟ่อง” เวินเซ่าชิงพูดพลางผลักรั่งอี๋รั่งไปข้างหน้า “ตอนนี้ไม่กลัวมันแล้วใช่มั้ย ลองลูบตัวมันสิ”

ฉงหรงหดตัว “ที่จริง…ไม่ใช่ฉันกลัวหมาเฉยๆ ฉันไม่ชอบความรู้สึกเวลาแตะถูกขนอุ่นๆ ด้วย จะเกิดความรู้สึกกลัวจากใจ ขนลุกไปทั้งตัว”

เวินเซ่าชิงจับมือเธอโดยไม่บอกกล่าว ดึงมือเธอมาลูบหลังรั่งอี๋รั่ง “จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรน่ากลัวใช่ไหมล่ะ”

ฉงหรงหยุดหายใจ แข็งทื่อไปทั้งตัว ผ่านไปครู่ใหญ่จึงคิดจะชักมือกลับแต่ก็ดึงไม่ออก เธอชำเลืองมองชายหนุ่ม มันไม่มีอะไรน่ากลัว ที่น่ากลัวก็คือคุณต่างหาก คุณนี่มันน่ากลัวกว่าขนสัตว์อุ่นๆ ซะอีก

เวินเซ่าชิงเสนอว่า “เรามาถ่ายรูปคู่กันหน่อย รู้จักกันนานขนาดนี้แล้ว ดูเหมือนยังไม่เคยได้ถ่ายรูปคู่กันเลยนะ”

ไม่ใช่แค่ไม่เคยได้ถ่ายรูปคู่กัน กระทั่งรูปเขา เธอก็ไม่มีแม้แต่รูปเดียว บางทีฉงหรงก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีความรักแบบยาวไกลจริงๆ ไม่มีการติดต่อ ไม่มีรูป ไม่มีข่าวแม้แต่น้อย ลำพังเพียงพบหน้ากันช่วงสั้นๆ ในตอนนั้น เธอก็สามารถชอบคนคนหนึ่งได้นานขนาดนี้

พูดจบเวินเซ่าชิงก็ไม่เปิดโอกาสให้เธอปฏิเสธ ยกมือถือขึ้นทันที เลือกมุม แตะปุ่มถ่ายรูปอย่างรวดเร็ว ถ่ายเสร็จแล้วก็เปิดรูปขึ้นมาดู ยังทำท่าพยักหน้าอย่างพอใจด้วย ก่อนจะยื่นมือถือมาให้ฉงหรงดู

ในรูป…เขากับเธอกำลังก้มตัวลูบรั่งอี๋รั่งที่อยู่บนพรม เธอยังไม่ทันได้มองกล้อง คงเพราะว่าแสงไฟนุ่มนวลมากทำให้เส้นแนวคอของเธอดูอ่อนโยนงดงาม ฉงหรงก้มหน้าสายตาจับอยู่ที่มือของเขากับเธอซึ่งซ้อนกันอยู่บนตัวรั่งอี๋รั่ง เขาก็ไม่มองกล้องเช่นกัน มุมปากยิ้มน้อยๆ เอียงตัวเล็กน้อยเหมือนกำลังมองเธอ มีเพียงรั่งอี๋รั่งที่ให้ความร่วมมือมองกล้อง เป็นหมาที่รู้จักการมองกล้อง

ฉงหรงดูนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็สะดุ้ง ออกแรงดึงมือตัวเองกลับ ในที่สุดครั้งนี้ก็สามารถหลุดพ้นจากเขาได้ แต่ในเวลาเดียวกัน…ในมือก็มีขนหนึ่งกระจุกติดมา

เธอมองขนสีขาวในมือแล้วมองรั่งอี๋รั่ง เลื่อนมือที่ค้างแข็งวางขนกระจุกนั้นกลับไปที่คอของมันอย่างระมัดระวังพลางพูดขอโทษ “ไม่เจ็บนะ…ไม่เจ็บนะ…ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” พูดจบก็หันไปโวยวายกับเวินเซ่าชิงแบบคนผิดชิงลงมือฟ้องก่อน “คุณแกล้งฉัน!”

เวินเซ่าชิงมองดูเธอตั้งแต่ต้นจนจบ หัวเราะตัวงอ “ไม่เป็นไร ช่วงนี้มันกำลังผลัดขน ขนร่วงก็เป็นเรื่องปกติ”

ด้านนอกลมแรงมาก ค่ำคืนในฤดูหนาว ในห้องที่อบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ฉงหรงมองใบหน้าที่ยิ้มกว้างตรงหน้าเธอ แล้วก็นึกถึงใบหน้าด้านข้างที่ยิ้มกว้างในรูปเมื่อครู่อีก รู้สึกว่านี่คือความอบอุ่นที่เธอเฝ้าปรารถนารอคอย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขามีคนที่ชอบแล้ว แต่เธอกลับโลภมากปรารถนาความอบอุ่นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

เวินเซ่าชิงเห็นเธอเอาแต่จ้องหน้าเขาจึงเลิกคิ้ว เปรยอย่างแฝงความนัย “ผมว่านะ คุณไม่ต้องเอาแต่หลบหน้าผมหรอก ผมกับคุณมีมิตรภาพที่ดีต่อกันได้ คุยกัน ล้อเล่นกันเหมือนเพื่อนบ้านทั่วๆ ไป”

ฉงหรงมองชายหนุ่ม พยักหน้าด้วยความรู้สึกซับซ้อน คำว่า ‘เพื่อนบ้าน’ ติดแน่นอยู่ในสมอง

เธอมองว่าตัวเองไม่ใช่คนโลภ แต่ความคิดที่จะครอบครองเวินเซ่าชิงเป็นความคิดที่โลภมากที่สุดเท่าที่เธอเคยมีมา พบกันครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนก็คิดครอบครอง หลายปีให้หลังมองหน้าเขาอีกหลายครั้งก็พบว่าความคิดนั้นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจมาตลอด มีโอกาสมองอีกหลายครั้ง ความคิดนั้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

ฉงหรงเข้าใจว่าเธอไม่มีความรู้สึกเฝ้าหวังอะไรกับเวินเซ่าชิงแล้ว แต่ห้วงเวลาทุกคืนก่อนนอนกับตื่นนอนตอนเช้า ความรู้สึกต้องการครอบครองรุนแรงถึงขั้นตัวเองก็ตกใจมาก ในใจเธอรู้ชัดเจนว่าที่จริงแล้วไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เธอยังคงคิดที่จะครอบครองผู้ชายคนนั้นเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมา

แต่เขาบอกว่าเขากับเธอเป็นเพื่อนบ้าน ใช่แล้ว สาเหตุเพราะว่าหลินเฉิน เขากับหลินเฉินคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกแล้วสินะ

ไอร้อนในแววตาฉงหรงเย็นลงไปทีละน้อยๆ จริงๆ แล้วเวินเซ่าชิงไม่ได้คิดอย่างที่เธอเข้าใจ คำพูดที่เขาพูดในคืนนี้ทั้งหมดเพื่อทำให้ฉงหรงสงบสติอารมณ์ ไม่ให้เธอหลบหน้าทุกครั้งที่เห็นเขา เพื่อนบ้านงั้นหรือ นี่คงจะเป็นแผนขั้นที่หนึ่งของเขา แผนขั้นที่หนึ่งสู่เป้าหมายเอาชนะใจฉงหรง เกลี้ยกล่อมให้ยอมแพ้ จากเพื่อนบ้านมาเป็นเพื่อนก็ง่ายขึ้นเยอะ จากเพื่อนค่อยขยับไปสู่ความสัมพันธ์ระดับที่เขาเฝ้าหวัง นั่นก็คือแสดงความในใจออกมาอย่างอิสระ

เวินเซ่าชิงโตมากับเซียวจื่อยวนตั้งแต่เล็ก วิธีคิดวิธีลงมือได้รับอิทธิพลจากญาติผู้พี่คนนี้ ช่วงที่เซียวจื่อยวนตามจีบสุยอี้ สุยอี้มักย้ำว่าต้องขีดเส้นแบ่ง ‘รุ่นพี่’ อย่างชัดเจน ทุกครั้งที่เซียวจื่อยวนได้ยินก็จะทำสีหน้าเย็นชา แต่เวินเซ่าชิงกลับรู้สึกว่าเป็นรุ่นพี่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดี รุ่นพี่ดีออกจะตาย แต่ก็นะ ‘พึงระวังไฟไหม้ ระวังโจรขโมย และระวังรุ่นพี่’* โบราณว่ารุ่นพี่กับรุ่นน้องก็เป็นความสัมพันธ์ที่มักมีลับลมคมในต่อกัน เป็นกลุ่มที่มีโอกาสมีปัญหาสูง สุยอี้ทำแบบนี้เพื่อบอกเป็นนัยๆ ต่อเซียวจื่อยวนนั่นเอง

จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าในด้านความเป็นตัวแสบเวินเซ่าชิงยังไม่ถึงระดับญาติของเขา แต่เขาเกเรกว่าเซียวจื่อยวน

รั่งอี๋รั่งหมอบอยู่ข้างเท้านิ่งๆ ได้ครู่เดียวก็เริ่มอยู่นิ่งไม่ไหว เริ่มถูกเวินเซ่าชิงเล่นงาน ฉงหรงมองชายหนุ่มหัวเราะหยอกล้อกับเจ้าหมาก็รู้สึกว่าผู้ชายที่ดีกับสัตว์เลี้ยงได้ขนาดนี้ต้องมีจิตใจอบอุ่นใสสะอาดแน่ๆ

เธอมองไปที่ผนังแขวนรูปข้างประตู มีแต่รูปเขาถ่ายคู่กับรั่งอี๋รั่ง ตั้งแต่ลูกหมาจนมาถึงตอนนี้ รูปเขายิ้มกอดรั่งอี๋รั่ง รูปรั่งอี๋รั่งกระโดดอยู่ข้างๆ เขา รูปหนึ่งคนหนึ่งหมาเล่นกัน รูปเขาแกล้งรั่งอี๋รั่งเต็มไปทั้งผนัง ครั้งแรกที่เธอมาบ้านเขาก็สังเกตเห็นแล้ว วันนี้เดินผ่านประตูก็พบว่ามีรูปเพิ่มมาอีกหนึ่ง ดูจากเสื้อผ้าน่าจะเพิ่งถ่ายวันนี้แล้วเอามาแขวนเลย

เธอจ้องรูปนั้น ถามเสียงเบาๆ ว่า “ทำไมคิดจะเลี้ยงมัน ปกติหมอมักรักสะอาด ไม่ชอบเลี้ยงสัตว์ไม่ใช่หรือ”

เวินเซ่าชิงเงยหน้ามองหญิงสาว รู้สึกว่าคืนนี้อารมณ์ของเธอแปลกไปจากปกติ เขาก้มหน้ามองรั่งอี๋รั่ง ตอบอย่างจริงจังว่า “ตอนแรกเพราะกินข้าวแล้วรู้สึกเบื่อ เลยคิดจะเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนกินข้าวด้วยกัน ทีแรกจะเลี้ยงบอร์เดอร์ คอลลี่ เพราะมันฉลาด เลี้ยงง่าย แต่พอไปดูที่ร้านสัตว์เลี้ยงหลายรอบก็ยังไม่เจอตัวที่ถูกใจ กลับไปถูกใจเจ้านี่ ต่อมาถึงรู้ว่านี่ไม่ใช่บอร์เดอร์ คอลลี่ คิดว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ มันก็ฉลาดมาก ไม่เลือกกิน เชื่อฟังดี กลางวันเฝ้าบ้าน กลางคืนเดินเล่นเป็นเพื่อน ตอนอ่านหนังสือก็ใช้เป็นหมอนรองขา”

ฉงหรงเงยหน้ามองเขา “คุณเชื่อความประทับใจแรกพบด้วยเหรอ”

เวินเซ่าชิงหัวเราะ “ทำไมผมจะไม่เชื่อล่ะ”

ฉงหรงส่ายหน้า ไม่ตอบเขา กลับพึมพำ “ตอนแรกจะเอาบอร์เดอร์ คอลลี่ แต่ไม่มีตัวที่ชอบ…เจอที่ชอบแต่พบว่าไม่ใช่บอร์เดอร์ คอลลี่…” เธอพูดซ้ำเบาๆ สีหน้าหมองไปเล็กน้อย

ความรักก็คงเป็นแบบนี้สินะ

เขาเชื่อความประทับใจแรกพบ ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ เขากับฉันไม่มีบุญวาสนาต่อกันล่ะมั้ง

ค่ำคืนเหน็บหนาวอันยาวนาน อยู่ดีๆ ความน้อยเนื้อต่ำใจจางๆ ที่เธอซ่อนไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยก็พลุ่งพล่านโดยไม่มีลางบอกเหตุ ส่งผลให้หลุดปากออกไปว่า “เพราะฉะนั้น…คุณบอกว่าชอบคนคนนั้น ก็เพราะความประทับใจแรกพบสินะ”

เวินเซ่าชิงชะงัก “อะไรนะ”

ฉงหรงประจุความกล้าถึงระดับสูงสุด “จงเจินบอกว่าคุณบอกเขาว่าคุณมีคนที่ชอบแล้ว”

“อ๋อ หมายถึงเรื่องนี้” เวินเซ่าชิงหัวเราะ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ใช่”

ฉงหรงยังไม่ยอมแพ้ “ทำไม”

แต่ชายหนุ่มไม่ตอบแล้ว กลับย้อนถามเธอว่า “แล้วคุณล่ะ ทำไมถึงชอบผม”

ฉงหรงถูกยั่วมาตลอดทั้งคืน ในที่สุดก็ปรอทแตก เพลิงโทสะเผาไหม้อยู่ในใจแผ่ขึ้นมาถึงดวงตา เขาหมายความว่าอะไร ทั้งๆ ที่มีคนที่ชอบแล้วยังชอบมายั่วเธอครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นเธอเป็นอะไร

ฉงหรงโกรธจัด ลุกขึ้นยืนจะกลับบ้าน

เวินเซ่าชิงมองดูเธอ จากสีหน้าไร้ความรู้สึกกลายเป็นโกรธภายในวินาทีเดียว โกรธจนหน้าแดงก่ำถลึงตามองเขา เขาได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจ ผู้หญิงต่อให้มีเหตุผลเยือกเย็นแค่ไหนก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี บทจะตัดไมตรีก็ตัดไมตรีทันที เขาตบรั่งอี๋รั่งเบาๆ “ไปห้ามเธอไว้ก่อน”

รั่งอี๋รั่งรีบวิ่งไปขวางฉงหรงเอาไว้ที่หน้าประตู ทำหน้าดุร้ายแบบนานทีปีหนจะมีสักครั้ง

ปกติฉงหรงก็กลัวมันอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งไม่กล้าเดินหน้า เธอถอยหลังหลายก้าวแล้วหันไปถลึงตาใส่เวินเซ่าชิงซึ่งนั่งสีหน้าเยือกเย็นอยู่บนโซฟา “มีหมาแล้วแน่มากใช่มั้ย?!”

“งั้นก็เลี้ยงสักตัวสิ” เวินเซ่าชิงเสนอแนะด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมจะช่วยคิดให้นะ สัตว์อะไรที่ไม่มีขน…อา นึกออกแล้ว หมู! คุณเลี้ยงหมูก็แล้วกัน!”

ฉงหรงโมโหสุดขีด “บอกให้มันหลีกทาง!”

ท่าทางเวินเซ่าชิงจะสนุกกับการที่เธอกลัว เอ่ยอย่างเฉยเมย “บอกมันเองสิ”

“เวินเซ่าชิง! กักขังหน่วงเหนี่ยว! ฉันจะส่งจดหมายแจ้งจากสำนักงานทนายความ!”

“ทำไมทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องชอบผม คุณจะต้องเดือดขนาดนี้นะ”

“ฉันเปล่า!”

“ดูสิ”

ฉงหรงหายใจลึกๆ หลายครั้ง พยายามสงบสติอารมณ์ บอกตัวเองอยู่ในใจ คุณทนายฉงใจเย็นก่อน

เวลาทะเลาะกับคนอื่นสำคัญที่สุดคือห้ามสูญเสียความเยือกเย็น ห้ามโมโห ห้ามโมโหเด็ดขาด เรื่องทะเลาะกัน ประสบการณ์ของเธอทิ้งเวินเซ่าชิงไม่เห็นฝุ่น เขาก็แค่คนฆ่าสัตว์ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ

หญิงสาวหันขวับทันที ยิ้มให้ชายหนุ่ม พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตอนนั้นยังเด็กเกินไป เข้าใจว่าความรู้สึกแบบนั้นก็คือชอบ ตอนนี้มาคิดดู มันก็แค่หัวใจเต้นไม่ปกติแวบเดียว ฉันเข้าใจผิดคิดว่าหวั่นไหว หมอเวินเป็นผู้เชี่ยวชาญ อยู่ดีๆ หัวใจเต้นไม่ปกติหลายวินาทีแบบนี้ก็เป็นปฏิกิริยาปกติทางร่างกายงั้นหรือ เวลาผ่านมานานขนาดนี้ ความรู้สึกอะไรต่างๆ ก็จืดจางไปแล้ว ส่วนหมอเวินก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว ต่อไปพวกเรายังคงเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันได้นะ”

พูดจบเธอก็เจตนายิ้มมุมปากให้ลึกขึ้น แสดงท่าทีผ่อนคลายสงบนิ่งมองอีกฝ่าย

เวินเซ่าชิงหลุบตาไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร ครู่ใหญ่ก็เหลือบมองเธออย่างเกียจคร้าน หัวเราะน่าสงสัย

ฆ่าศัตรูหนึ่งพัน ตัวเองสูญเสียแปดร้อย เธอถูกบีบจนไม่มีทางออกแล้วสินะถึงพูดอะไรแบบนี้

ไม่รู้ว่าทำไมตอนที่ฉงหรงเห็นแววยิ้มในดวงตาเขาก็รู้สึกว่าหนีความซวยไม่พ้นแน่ๆ ทั้งๆ ที่ยังเป็นใบหน้าเดิม ความโค้งของรอยยิ้มมุมปากก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก แต่รอยยิ้มตอนนั้นที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาเป็นคนนิสัยดี อ่อนโยน บัดนี้กลับพบว่าผู้ชายคนนี้ซ่อนความแสบระดับสูงไว้ เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระยะนี้ทำให้เธอค่อยๆ รู้ว่าเขาไม่ใช่คนอ่อนโยนเรียบง่ายเหมือนที่เคยเข้าใจ

คราวนี้เขาสั่งทันทีว่า “รั่งอี๋รั่ง หลบไป” รั่งอี๋รั่งแกว่งหาง เปิดทางให้

ฉงหรงรีบเปิดประตูเดินออกไป ขณะกำลังจะปิดประตู เวินเซ่าชิงก็ร้องเรียก “ฉงหรง!”

หางตาฉงหรงกระตุกอย่างแรง รู้สึกไม่ใช่เรื่องดี “เรียกทำไม”

สายตาของเขาจับจ้องอยู่บนใบหน้าเธอนานมาก สุดท้ายก็จ้องตาเธอ เอ่ยเบาๆ ว่า “คราวหน้าเวลาจะพูดว่าไม่ชอบใคร อย่าลืมมองตาด้วย อย่ามองร่องใต้จมูก ดูแล้ว…จะได้จริงใจขึ้นมาหน่อย” พูดจบก็ยิ้มให้เธออีกครั้ง

ในรอยยิ้มนั้นมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมกับแววยั่วเย้า ทำให้ฉงหรงรู้สึกเลือดฉีดพุ่งอย่างแรง ร้องตวาดโดยไม่ต้องคิด “เวินเซ่าชิง คนสารเลว!”

เธอเพิ่งพูดจบ รั่งอี๋รั่งก็เห่าโฮ่งใส่สองที ทำเอาฉงหรงตกใจสะดุ้ง ปิดประตูหนีทันที แต่ยังไม่ลืมทิ้งคำท้าทายแบบหวาดๆ ว่า “มีหมาแล้วแน่มากใช่มั้ย!”

 

ฉงหรงหนีกลับบ้านอย่างใจหาย นั่งจมโซฟาด่าเวินเซ่าชิงไม่หยุด ตอนนั้นสมองตัวเองน้ำเข้าไปหรือไงถึงได้รู้สึกว่าเขาท่วงท่าโอ่อ่าสง่างาม อ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพอ่อนโยน อะไรพวกนี้ทั้งหมดก็แค่เอามาใช้ขู่คนอื่นเล่นๆ เท่านั้น! ต้องเป็นเพราะตอนนั้นเขาใส่ยากล่อมประสาทในอาหารแน่นอน!

ฉงหรงนึกถึงเมื่อครู่ถูกรั่งอี๋รั่งเห่าใส่ เธอก็หนีหมดรูปกลับมาด้วยใจหวาดหวั่น ยิ่งคิดยิ่งโมโหจนปวดสมอง ก่อนจะคว้ามือถือโทรหาจงเจิน

“นายไปหาซื้อตุ๊กตาหมีตัวใหญ่สุดมาให้ฉันที คืนพรุ่งนี้ส่งมาที่บ้านฉัน! ห้ามปฏิเสธ ไม่อย่างนั้นเดือนหน้าตัดค่าขนมครึ่งหนึ่ง!”

จงเจินกำลังเค้นสมองเขียนเปเปอร์ ฟังแล้วก็งง “ตุ๊กตาหมี? วันเกิดใคร”

“ไม่มีงานวันเกิดใคร ฉันจะเลี้ยง!” พูดจบก็ตัดสายโทรศัพท์ทันที

จงเจินมองมือถือพลางขมวดคิ้ว ผู้หญิงพอถึงวัยแล้วแต่ยังไม่มีแฟนล้วนไม่ค่อยปกติ

พรุ่งนี้ไปโรงพยาบาลต้องลองหาดูว่ามีผู้ชายสักคนไหมที่เหมาะกับพี่

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 64)

หน้าที่แล้ว1 of 24

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: