X
    Categories: ความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักทดลองอ่านเก็บหัวใจไว้เพื่อรัก

ทดลองอ่าน เก็บหัวใจไว้เพื่อรัก บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 2

หลับไปนานเท่าไหร่ชารีฟไม่อาจรู้ได้ หากเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบกับดวงตาสีน้ำตาลใสจ้องมองเขาอยู่โดยไม่กะพริบ และดูเหมือนเจ้าของใบหน้าสวยนั้นจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าถูกจับได้

เงียบกันไปในลักษณะนั้นอยู่เสี้ยววินาทีชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นมาก่อน “ถึงแล้วหรือครับ”

ฮะจิน่าพยักหน้าโดยไม่ตอบคำถาม แต่เปิดประตูฝั่งของตัวเองลงจากรถไปยืนรออยู่ด้านนอกทำให้ชารีฟก้าวลงจากรถบ้าง

ชายหนุ่มมองไปโดยรอบก็พบว่ารถยุโรปคันหรูได้ขับผ่านประตูใหญ่ด้านหน้าเข้ามาตามถนนที่ขนาบข้างด้วยสนามหญ้าเขียวขจีและมีต้นปาล์มปลูกอยู่อย่างเป็นระเบียบ มาจอดอยู่ในลานจอดรถด้านหน้าของตัวตึกสไตล์ฝรั่งเศสขนาดใหญ่โอ่อ่าสีน้ำตาลอมชมพู มีป้ายบอกชัดเจนว่า ‘Atlas Hotel’

พนักงานหนุ่มในเครื่องแบบสีครีมขลิบน้ำเงินเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา ก้มศีรษะทำความเคารพหญิงสาวก่อนจะยืนรอรับคำสั่งอย่างเรียบร้อย

ฮะจิน่าเดินไปเปิดประตูด้านหลังซึ่งมีกระเป๋าเดินทางใบย่อมของชารีฟวางอยู่แล้วจึงหันไปออกคำสั่งเสียงเรียบ…ทรงอำนาจ “ช่วยเอากระเป๋าของคุณผู้ชายไปไว้ในห้องชุดที่จัดเตรียมเอาไว้ที”

คนรับคำสั่งตอบรับอย่างนอบน้อมก่อนจะยกกระเป๋าเดินจากไปก่อน

หญิงสาวผายมือให้แขกของเธอเป็นเชิงให้เขาเดินนำไปก่อนพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ปิดความภาคภูมิใจเอาไว้ไม่มิด “โรงแรมแอตลาสยินดีต้อนรับค่ะ”

ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าเรียบเฉย ริมฝีปากดูเหมือนพอจะฝืนเรียกว่าเป็นรอยยิ้มได้นิดหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในโดยที่ไม่รู้ว่ามีสายตาจากดวงตากลมโตมองตามหลังไปอย่างไม่ถูกอารมณ์

 

เมื่อเดินผ่านประตูกระจกใสเข้าไปก็มองเห็นเคาน์เตอร์ต้อนรับทำด้วยไม้ลงลายสีน้ำตาลเข้มตัวใหญ่ ซึ่งมีพนักงานเข้าเวรอยู่สี่คน

“คุณไม่ต้องเข้าไปเช็กอินหรอกค่ะ” ฮะจิน่ารั้งชายหนุ่มเอาไว้เมื่อเห็นเขาเดินตรงไปทางเคาน์เตอร์นั้น “เชิญทางนี้ค่ะ”

‘ทางนี้’ ของหญิงสาวคือการเดินผ่านประตูกระจกคนละฝั่งกับทางเข้าไปยังลานกว้าง ตรงหน้าเป็นตัวตึกสูงโอบส่วนในเอาไว้หมด มองไปทางฝั่งซ้ายจะเห็นสระว่ายน้ำรูปคล้ายหยดน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบไปด้วยต้นปาล์มที่ประดับด้วยไฟหลากสี การตกแต่งดูคล้ายกับบ่อน้ำในโอเอซิสกลางทะเลทราย เสียงเพลงที่เน้นจังหวะกลองเร้าใจลอยมาตามสายลม

“เรามีการแสดงเป็นประจำทุกคืน ส่วนมากเป็นการเต้นรำแบบพื้นเมือง เป็นการเอ็นเตอร์เทนแขกน่ะค่ะ” ฮะจิน่าหันมาอธิบายเมื่อเห็นชารีฟหยุดยืนดูด้วยความสนใจ “ด้านขวาที่คุณเห็นปิดเงียบอยู่เป็นห้องอาหารกับส่วนร้านค้า…ที่พักนั้นอยู่ข้างหน้าค่ะ”

ห้องพักที่จัดไว้ให้ชายหนุ่มเป็นห้องชุดขนาดใหญ่บนชั้นสิบ ทั้งห้องนอนและห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ประดับด้วยพรมทอซึ่งเป็นสินค้ามีชื่อของโมร็อกโกอย่างงดงาม ห้องน้ำปูด้วยหินอ่อนสีขาวสะอาด ฮะจิน่าบอกรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับห้องพักแล้วก็หันมานัดแนะเกี่ยวกับวันรุ่งขึ้น

“อาหารเช้าของทางโรงแรมเริ่มตั้งแต่หกโมงครึ่งจนถึงสิบโมงครึ่งนะคะ ตอนแรกคุณพ่ออยากจะเชิญคุณมารับประทานอาหารเช้ากับเรา แต่เห็นว่าคุณเพิ่งมาถึงอาจจะอยากพักผ่อน คุณพ่อนัดพบพูดคุยรายละเอียดพรุ่งนี้ตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง ไม่ทราบว่าคุณสะดวกรึเปล่าคะ”

“สิบเอ็ดโมงครึ่งดีแล้วครับ”

“อย่างนั้นก็ดีค่ะ คุณพ่อคงจะให้คนมารับคุณที่ห้อง งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวกลับก่อนละค่ะ คุณจะได้พักผ่อน”

“ขอบคุณมากครับที่ลำบากไปรับผมจากสนามบิน และต้องขอชมว่าโรงแรมแอตลาสดูน่าประทับใจมากในส่วนที่ได้เห็น”

ฮะจิน่ายิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อย “นึกว่าคุณจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับโรงแรมของเราเสียอีกค่ะ ขอบคุณที่ฝืนชม”

แม้ว่าสีหน้าของชารีฟจะยังคงเรียบเฉยเหมือนเดิมหากน้ำเสียงเน้นหนัก “ผมไม่ใช่คนประเภทที่ชอบฝืนทำอะไร ถ้าพูดอะไรออกไปนั่นก็แปลว่าผมหมายความอย่างนั้น” เว้นไปนิดหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวสบดวงตาสีน้ำตาลใสนิ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ผมไม่ชอบเล่นละครครับคุณฮะจิน่า”

คำพูดนั้นทำให้พวงแก้มของหญิงสาวร้อนขึ้นมา ดวงตาทอประกายแวววับ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องทันที เสียงปิดประตูดังปังแทนคำเอ่ยลา

 

ชารีฟโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ มองดูเวลาจากนาฬิกาบนฝาผนัง

สี่ทุ่มกว่า ที่อียิปต์ก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว ดึกเกินไปที่จะโทรศัพท์หาการีม…

ชายหนุ่มจึงเปิดกระเป๋าเสื้อผ้า จัดข้าวของทุกอย่างเข้าที่จนเรียบร้อย หยิบเอกสารขึ้นมาอ่านส่วนที่ยังค้างอยู่

อันที่จริงแล้วการขยายกิจการของโรงแรมเครือข่ายฟารัวห์มาที่โมร็อกโกนี่เป็นโครงการของการีมมาตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งคนคิดก็ควรจะมาสานต่อด้วยตัวเอง หากแพทย์ที่ดูแลไมล์…ภรรยาสาวไทยของการีมบอกว่า อาจจะมีเหตุให้คลอดลูกชายคนแรกของพวกเขาก่อนกำหนด แผนการทุกอย่างจึงถูกเปลี่ยน การีมขอร้องให้เขาเป็นคนมาติดต่อแทนด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ฉันไม่ไว้ใจใครนอกจากนาย’

ชารีฟจำได้ว่าตัวเองหรี่ตามองลูกผู้น้องหนุ่มอย่างสงสัย ‘แน่ใจนะว่าไม่มีใครวางแผนอะไรเอาไว้เบื้องหลังที่จะส่งฉันไปติดต่องานกับคุณประฮิม พ่อของฮะจิน่า’

‘เรื่องมันก็ตั้งสองปีกว่าไปแล้วน่า ถ้านายไม่พูดฉันก็ลืมไปแล้วเนี่ย เรื่องงานน่าชารีฟ’ การีมโวยเสียงเข้มหากไม่ยอมสบตาเขา ‘นัดผู้ใหญ่เขาเอาไว้แล้วจะเลื่อนไปเลื่อนมาได้ยังไง ถ้าไม่ติดเรื่องไมล์ฉันก็จะไปเอง เอาแค่ไปติดต่อเบื้องต้นก็ได้ชารีฟ ไปแค่อาทิตย์เดียว พอจบจากตรงนี้แล้วฉันจะทำต่อเอง ตอนนี้ไม่อยากทิ้งไมล์เอาไว้คนเดียว นายคงจะเข้าใจนะ’

ในที่สุดเขาก็ใจอ่อนรับปากมาจนได้

เมื่ออ่านทบทวนเอกสารอีกทีจนมั่นใจแล้วชารีฟก็ปิดแฟ้มงานลง อดนึกถึงหญิงสาวคนที่เขาเคยดูตัวด้วยไม่ได้ เธอเปลี่ยนเป็นคนละคนจนเขางง ฮะจิน่า…สาวเรียบร้อย พูดน้อย ขี้อาย กับฮะจิน่า…สาวที่ดูปราดเปรียว ดื้อรั้น เอาแต่ใจ แล้วก็ฤทธิ์มาก

คนไหนเป็นตัวจริงของเธอกันแน่

คิดแล้วก็ได้แต่หัวเราะในลำคอ

จะคนไหนก็ช่างเถอะ หวังว่าเขาคงจะไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเธออีกก็แล้วกัน ชีวิตของเขาหลีกเลี่ยงเรื่องที่ต้องทำให้ปวดหัววุ่นวายมาตลอด และเขาก็ยังไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนเส้นทางเดินของตัวเองในตอนนี้

ชายหนุ่มปัดความคิดที่เขาบอกตัวเองว่าไร้สาระทิ้งไป ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำและกลับมาสอดตัวระหว่างผ้าห่มอ่อนนุ่มกับเตียงด้วยความเหนื่อยล้า

 

แสงแดดยามเช้าของต้นเดือนธันวาคมสาดส่องผ่านช่องว่างระหว่างม่านหนาเข้ามากระทบกับเปลือกตาที่ปิดสนิทปลุกร่างที่นอนอย่างเป็นสุขให้ตื่นจากนิทรารมณ์ ชายหนุ่มลืมตาขึ้นก่อนจะลูบหน้าขับไล่ความง่วงงุน เขาหลับสนิทเต็มตาเป็นคืนแรกในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หันไปมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้วจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงเข้าไปทำธุระส่วนตัวให้เสร็จอย่างรวดเร็ว

ร่างสูงในชุดสูทสีเทาเนี้ยบไปทั้งตัวดูเหมือนจะเป็นจุดสนใจอย่างย่อยๆ เมื่อเดินเข้าไปในห้องอาหารขนาดใหญ่ซึ่งมีคนนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่พอสมควร ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรปในเครื่องแต่งกายแบบง่ายๆ อย่างเสื้อยืดกางเกงยีน อยู่ในอารมณ์พักผ่อนแบบสบายๆ อย่างแท้จริง

อาหารเช้าที่ทางโรงแรมแอตลาสเสนอให้เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ส่วนใหญ่เป็นขนมปังหลากหลายชนิด ผลไม้พื้นเมืองอย่างส้ม อินทผลัม แล้วก็สารพัดไข่ มุมหนึ่งมีสาวหน้าแฉล้มกำลังนั่งทอดแพนเค้กในกระทะใบเล็ก เครื่องดื่มมีทั้งชา กาแฟ และน้ำผลไม้

ชารีฟเลือกขนมปังปิ้งรับประทานกับเนย แถมด้วยแพนเค้กที่เพิ่งทอดใหม่ๆ อีกสองชิ้นและกาแฟหนึ่งแก้ว เมื่ออิ่มท้องดีแล้วก็เดินออกไปดูร้านค้าขนาดย่อมของทางโรงแรม ของที่ขายล้วนเป็นของที่ระลึกมีคำว่า ‘มาร์ราเคช’ ติดอยู่ไม่ส่วนใดก็ส่วนหนึ่ง มีโปสการ์ดพร้อมกับบริการขายแสตมป์ด้วย

ชายหนุ่มดูโปสการ์ดสีสดบนชั้นพลาสติกแบบหมุนได้ ขยับจะดึงออกมาสองสามใบหนึ่งใบสำหรับการีมและไมล์ เขาจำได้ว่าน้องสะใภ้สะสมโปสการ์ด อีกหนึ่งใบสำหรับพิณ…เพื่อนสาวคนพิเศษชาวไทย เธอจะต้องงอนแน่นอนหากเขาไม่ส่งโปสการ์ดให้ เพราะหญิงสาวอยากมาเที่ยวโมร็อกโกเสียหนักหนา…แต่ว่าอันที่จริงแล้ว ที่ไหนเธอก็อยากไปทั้งนั้นละ

หากเขาก็เปลี่ยนใจ ปล่อยมือที่แตะอยู่ปลายขอบของโปสการ์ดออก สำหรับการีมและไมล์…เขายังไม่ได้ไปเห็นอะไรสักอย่าง คงไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร สำหรับพิณ…เลยเวลามาตั้งนานแล้วที่เขาควรจะถอยออกมาให้มากกว่าเดิมเสียที

ผ่านมาหลายปีแล้วที่เขาและพิณเคยเป็นคนที่รู้ใจกันและกัน เขากับเธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่กลาสโกว์ ความสนิทสนมก่อให้เกิดความรู้สึกพิเศษโดยที่ไม่ทันรู้ตัว แต่มันเป็นข้อแม้ของเขาเองที่ต้องการมีภรรยานับถือศาสนาอิสลาม ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอจึงไม่ก้าวหน้าไปมากกว่าเพื่อนที่ดีต่อกัน และในขณะนี้เธอก็มีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้วด้วย เขาเองก็เพิ่งไปร่วมงานแต่งงานของเธอที่เมืองไทยเมื่อกลางปีที่ผ่านมา…

แม้ว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอในขณะนี้จะมีแค่ความเป็นเพื่อนที่พิเศษสุด แต่ความเจ็บปวดปลาบของอดีตภายในใจก็ไม่เคยจางหายไป แต่ดูเหมือนจะกลับมาเด่นชัดทุกครั้งที่นึกถึง…

ชารีฟถอนหายใจออกมา เดินเถลไถลดูอะไรอีกครู่ใหญ่ก็ถึงเวลานัดที่จะไปพบกับคุณประฮิมเสียที

 

อาลิ…เลขาฯ หนุ่มของคุณประฮิมเป็นคนมารับชารีฟที่ห้องและนำเขาเข้าไปยังห้องประชุมขนาดเล็กซึ่งอยู่ในส่วนที่ติดกับด้านหน้าของโรงแรมแอตลาสนั่นเอง ที่นั่นชายวัยปลายรูปร่างสูงใหญ่นั่งรออยู่แล้วที่หัวโต๊ะ ด้านซ้ายและขวามีชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขากำลังนั่งคุยกันอยู่ ทั้งหมดลุกขึ้นยืนและยิ้มทักเมื่อประตูเปิดออกและชารีฟก้าวเข้าไปด้านใน

“ชารีฟ…สบายดีหรือหลานลุง” คุณประฮิมเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรกหลังจากสวมกอดผู้มาใหม่เต็มอ้อมแขน ดวงตาสีเทามองผู้อ่อนวัยกว่าด้วยสายตาอ่อนโยน เขาเคยเห็นชารีฟมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจึงรู้สึกกับชายหนุ่มเหมือนเป็นลูกหลานคนหนึ่ง ในใจยังนึกเสียดายอยู่เสมอที่การดูตัวระหว่างชารีฟกับฮะจิน่าเมื่อสองปีที่แล้วไม่ได้ผลดังหวังจึงไม่ได้หนุ่มลูกครึ่งมาเป็นลูกเขยอย่างที่ตั้งใจเอาไว้

“สบายดีครับ คุณลุงก็ดูไม่เปลี่ยนไปเลย” ชารีฟตอบรับอย่างเรียบร้อยก่อนจะหันไปทักทายชายหนุ่มทั้งสอง “สวัสดี อาเดย์…เรียอาร์ท”

“ทำเป็นมากพิธีไปได้น่าชารีฟ” อาเดย์เข้ามาตบไหล่ชายหนุ่มอย่างถือสนิท สมัยที่เขาเรียนปริญญาโทอยู่ที่ฝรั่งเศสนั้นก็เคยข้ามไปเที่ยวสก็อตแลนด์และไปพักอยู่กับชารีฟที่กลาสโกว์เกือบอาทิตย์ทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันพอสมควร จะเรียกว่าเป็นเพื่อนเก่าก็คงจะไม่ผิดนัก

“นั่นสิครับ เราคนกันเองทั้งนั้น” เรียอาร์ทเสริมขึ้นอย่างร่าเริงพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้ให้

เมื่อนั่งลงกันเรียบร้อยแล้วคุณประฮิมก็ถามขึ้นตามประสาผู้ใหญ่ใจดี “หนูไมล์เป็นยังไงบ้าง เห็นการีมโทรมาบอกลุงว่าเขามาเองไม่ได้เพราะภรรยาอาจจะคลอดก่อนกำหนด”

“ผมก็ไม่ทราบรายละเอียดเหมือนกันครับ ได้ยินว่าไมล์ปวดท้อง การีมเลยพาไปหาหมอเท่านั้นเอง เท่าที่ทราบผลการตรวจก็บอกว่าเด็กสมบูรณ์ดี”

“งั้นก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก” คนถามสรุปเองแล้วหัวเราะออกมานิดหนึ่ง “อับดุลบ่นอุบว่าอิจฉาไอชา เขาเองก็อยากมีหลานเหมือนกัน เมื่อไหร่เราจะแต่งงานแต่งการสักทีล่ะชารีฟ”

ผิวแก้มที่ค่อนข้างขาวของชารีฟมีสีเรื่อๆ ขึ้นมานิดหนึ่ง ตอบอย่างเคยชินกับคำถามทำนองนี้เป็นอย่างดีก็จะไม่ชินได้อย่างไร พ่อกับแม่ของเขาก็ถามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน “ผมไม่รีบร้อน ยังสนุกกับงานอยู่ครับ และสงสัยว่าคู่บุญคู่กรรมของผมคงจะยังไม่แผ้วผ่านทางมา”

คุณประฮิมยิ้มออกมาอย่างพอใจ มีแววหมายมาดฉายขึ้นในดวงตาเพียบแวบเดียวก่อนจะพูดต่อ “ของลุงที่หมดห่วงก็มีแต่อาเดย์ที่แต่งงานไปเมื่อปีที่แล้ว…”

เรียอาร์ทที่นั่งนิ่งฟังบทสนทนาอยู่นั้นแอบหัวเราะอยู่ในใจคู่บุญชารีฟอาจจะยังไม่เจอก็จริง แต่คู่กรรมน่ะไม่แน่น่าจะเจอไปแล้ว เพิ่งจะเจอไปอีกรอบเมื่อคืนนี้มั้ง และอาจจะต้องเจอไปอีกหลายวัน…แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อบิดาเริ่มเอ่ยพาดพิง

“…ยังมีห่วงก็แต่เจ้าสองหน่อเล็กเนี่ยแหละ ฮะจิน่าก็ไม่เห็นจะสนใจผู้ชายที่ไหน ส่วนเรียอาร์ทก็ลอยไปลอยมาหาสาวทุกวันไม่ซ้ำหน้า”

“อ้าว…พ่อ ไหงมาลงที่ผมได้ล่ะ” คนที่ยัง ‘ลอยไปลอยมา’ โวย

“เห็นล้อน้องอยู่ทุกวัน แต่พอเจอใครแทงใจดำล่ะก็โวยทุกที เมื่อไหร่จะโตเป็นผู้ใหญ่สักทีล่ะเนี่ยเรียอาร์ท” อาเดย์ขัดขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

“แหม…ก็ผมยังไม่เจอสาวที่แสนดี ทั้งสวย ทั้งหวาน ทั้งเรียบร้อย เป็นกุลสตรีเหมือนพี่สะใภ้ผมนี่ เลยยังไม่ต้องเป็นผู้ใหญ่มากก็ได้ เดี๋ยวจิน่าจะน้อยใจที่ไม่มีใครในบ้านเป็นเด็กเหมือนเธอ” ชายหนุ่มผู้น้องตอบกลับอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน

ชารีฟเพียงแต่มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาอบอุ่นครอบครัวของเขา แม้จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแต่ก็ไม่เคยมานั่งคุยเล่นเรื่องส่วนตัวของกันและกันอย่างนี้ ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียวจึงไม่เคยมีพี่น้องสนิทสนมเช่นนี้ จะมีก็แต่การีมลูกผู้น้องนั่นแหละที่ใกล้เคียงกับคำว่าน้องชายมากที่สุด แม้ว่าในวัยเด็กจะสนิทสนมกันมากพอสมควร แต่เพราะการีมชอบเอาแต่เล่นซน ส่วนเขาเป็นเด็กเรียบร้อยจึงไม่ค่อยได้ร่วมกิจกรรมด้วยกันบ่อยมากนัก มาใกล้ชิดกันมากขึ้นก็เมื่อต่างฝ่ายต่างโตเข้าวัยรุ่นกันแล้ว…ชายหนุ่มจึงนั่งมองการโต้แย้งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างพี่น้องเสียเพลิน

“พอ…พอได้เลยทั้งสองคน ไม่เกรงใจชารีฟบ้าง” คุณประฮิมเป็นคนห้ามทัพ ลืมไปเสียแล้วว่าใครเป็นคนเริ่มพูดเรื่องนี้ขึ้นก่อน “ลุงต้องขอโทษด้วย เชิญมาคุยเรื่องงานก็มาเป็นแบบนี้”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ชารีฟยิ้มออกมาบางๆ

“เอาๆ อาเดย์ เรียอาร์ท มานั่งแล้วก็คุยเรื่องงานกันเสียที” บอกกับลูกชายแล้วก็หันไปพยักหน้าให้อาลิที่ยืนอยู่ไปหยิบเอกสารในตู้ออกมา

ชารีฟจึงเปิดเอกสารที่เตรียมมา เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วทั้งหมดก็เริ่มต้นปรึกษากันเรื่องงานที่เกี่ยวกับการเข้าหุ้นเปิดโรงแรมกึ่งรีสอร์ตขึ้นอีกหลายสาขาระหว่างสองบริษัทกันอย่างจริงจัง

 

ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: