บทที่ 3
สายลมพัดแผ่วเบาช่วยบรรเทาความร้อนในช่วงเวลาบ่ายจัด สวนหลังบ้านที่มีเปลนอนแขวนอยู่มุมหนึ่งยามนี้มีร่างระหงยึดครอง ดวงตาปิดสนิทแม้จะถือหนังสือนิยายอยู่ในมือ สายสีดำเส้นเล็กๆ จากหูทั้งสองข้างบอกให้รู้ว่าเวลานี้สิ่งที่เจ้าตัวล่องลอยความนึกคิดไปกับมัน น่าจะเป็นเสียงเพลงมากกว่าเรื่องราวในหนังสือ
มินค่อยๆ ผ่อนจังหวะการเดินให้เบาลง เพราะไม่อยากรบกวนคนที่ยังไม่มั่นใจว่าเพียงแค่นอนพักสายตาหรือว่าหลับไปแล้ว เขาก้าวเข้าไปจนใกล้ ดวงตามองใบหน้าที่ยังคงหลับพริ้ม หลังกลับมาจากเที่ยววัดท่าตอนทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน และเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงฉลองแต่งงานที่จะมีขึ้นในช่วงเย็นของวันนี้ ทั้งฝ่ายเจ้าภาพคือที่บ้านของคุณภวิช และผู้ที่จะมาเป็นแขกอย่างครอบครัวของพันตำรวจเอกนพวินทร์
ลัลน์นั้นหลังจากเอ็ดมินที่ทำท่าทางเสียมารยาทกับธารณ์ไปแล้วก็แยกไปดูเมธิและหยาอีกครั้ง ปล่อยให้มินไปตรวจความพร้อมของสถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองแต่งงานในตอนเย็นเพียงลำพัง
ความเรียบร้อยที่น่าพอใจของสถานที่ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องเสียงรวมถึงรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ทำให้มินวางใจ เมื่อธุระเรียบร้อยเขาก็เริ่มมองหาลัลน์เหมือนที่เป็นมาเสมอ ผู้คนจากฝ่ายเจ้าสาวเต็มบ้านตัวเองบอกให้มินรู้ตั้งแต่ยังไม่ก้าวเข้าไปว่าลัลน์น่าจะปลีกตัวออกมาแล้วเหมือนกัน เพราะเธอไม่ชอบความวุ่นวาย เขาจึงเปลี่ยนทิศทางมายังที่นี่ ที่ซึ่งเขารู้ดีกว่าเป็นสถานที่โปรดของเธอ แล้วก็พบลัลน์จริงๆ อย่างที่คิด
“หลับหรือเปล่าลัลน์” มินเรียกเบาๆ แต่เมื่อไม่มีทีท่าว่าหญิงสาวจะรู้สึกตัวก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปหาหนังสือที่ลัลน์ถือเอาไว้ เพียงออกแรงขยับเบาๆ หนังสือนั้นก็เลื่อนออกมาได้โดยง่าย บอกให้รู้ว่าเธอคงเพลียและน่าจะหลับสนิท
“ลัลน์…” มินลองเรียกอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมา เขาจึงหันไปหาเก้าอี้ไม้ใกล้ๆ ยกมาวางแล้วนั่งอยู่อย่างนั้นโดยที่สายตายังคงไม่เคลื่อนจากใบหน้าของเธอ
ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อตามธรรมชาติที่คล้ายยกมุมน้อยๆ ของลัลน์ทำให้ใบหน้าของเธอดูอ่อนละมุนราวกับกำลังยิ้ม และคนมองที่อ่อนวัยกว่าก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม มือเอื้อมไปไล้ไรผมที่สายลมพัดปรกแก้มให้อย่างอ่อนโยน
“ทำไมถึงชอบย้ำนักนะว่าตัวเองเป็นพี่…หาทางเสือกไสไล่ส่งให้มินมีผู้หญิงอื่น อยากให้มินมีใครแล้วไปห่างๆ หรือเปล่าลัลน์” มินพูดเบาๆ ราวกับรำพันอยู่กับตัวเอง
ตั้งแต่เล็กจนโตเขาผูกพันกับเธอ ต่อให้หญิงสาวอายุมากกว่า แต่ตลอดมาลัลน์คือผู้หญิงที่สวยที่สุด ดีที่สุดในสายตาเขา มันเป็นความรู้สึกที่มินได้แต่เก็บไว้เงียบๆ ในใจเพราะไม่รู้ว่าจะมีใครยอมรับได้แค่ไหน มินไม่ได้กลัวอะไรมากไปกว่าทุกคนจะกีดกันไม่ให้เขามีโอกาสใกล้ชิดเธออีกต่อไป แต่ก็หวังว่าสักวันจะมีโอกาสบอกให้เธอได้รู้…เพียงแต่เขาจะพร้อมกว่านี้อีกสักนิด
เหตุการณ์ในวันนี้ที่วัดท่าตอนสร้างความไม่พอใจให้กับมิน ยิ่งได้ยินคำของชาวบ้านและท่าทางไม่ใส่ใจของผู้เป็นลุงก็ยิ่งไม่ชอบใจ ท่าทางคุยกันถูกคอของลัลน์และนายนักข่าวจากกรุงเทพฯ นั่นอีก ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่าธารณ์อาจจะกลายเป็นศัตรูหัวใจที่น่ากลัว
“เอ็ดมินเพราะผู้ชายคนอื่น…โกรธมินเหรอลัลน์ มินหวงลัลน์…หาทางป้องกันไม่ให้คนอื่นเอื้อมมือมาแตะต้องคนที่มินรักไม่ได้อย่างนั้นเหรอ ทำไมไม่รู้ใจมินบ้างนะ”
นับตั้งแต่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง มินจะตามติดไม่เคยยอมให้ลัลน์ห่างสายตา เขาไม่ต้องการให้เธอมีโอกาสไปสร้างความผูกพันกับใคร และพอใจกับอุปนิสัยของลัลน์ที่ไม่ชอบพบปะผู้คน มินเริ่มวางใจในตัวลัลน์ที่จะไม่มีวันหันไปมองใครง่ายๆ แล้วเริ่มวางแผนชีวิตสร้างความมั่นคงเพื่อให้ตัวเองเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดสำหรับเธอ และยุ่งอยู่กับมันทั้งๆ ที่ไม่เคยอยากห่างลัลน์ไปไหนไกล ทุ่มเทเต็มที่ด้วยความหวังเดียวที่หล่อเลี้ยงหัวใจคือเพื่อจะได้มีสิทธิ์กลับไปยืนข้างลัลน์ชั่วชีวิต
ระยะทางห่างไกลในช่วงเวลาปีกว่าๆ อาจดูไม่นานสำหรับใครๆ แต่สำหรับมินมันเนิ่นนานและทรมานทุกเสี้ยววินาที เพราะหัวใจโหยหาและคิดถึงลัลน์เสมอ ได้แต่อาศัยความหวังและความเชื่อว่าลัลน์จะอยู่ที่นี่…ที่สวนส้มสารัณรอเขาปลุกปลอบหัวใจให้อดทน มีกำลังใจที่จะทำทุกอย่างให้ลุล่วงจนตัวเองพร้อมที่จะมาหา…มาบอกเธอถึงความรู้สึกทั้งหมดในหัวใจ
“อือ…” เสียงคล้ายละเมอจากริมฝีปากบางทำให้มินชะงักกลั้นลมหายใจ แต่เมื่อเห็นว่าลัลน์ยังคงหลับใหลอย่างเป็นสุข ปลายนิ้วของเขาก็ขยับอีกครั้ง ค่อยๆ แตะแผ่วเบาบนริมฝีปากของลัลน์ ดวงตาของเขาทอประกายอ่อนโยน แม้กระนั้นก็มีแววหวาดหวั่น
“รอมินอีกหน่อยเถอะนะลัลน์ อย่ารักใคร…อย่าผูกพันกับใคร ได้โปรด…”
“ลัลน์” เสียงเรียกชื่อแทนเสียงเพลงที่เธอหลับใหลไปพร้อมกับมันทำให้ลัลน์ขยับตัวน้อยๆ ก่อนปรือตาขึ้น มือของมินที่ลูบเบาๆ บนแขนบอกให้รู้ว่าเขาตั้งใจปลุกเธอให้แผ่วเบาที่สุด
“มิน…กี่โมงแล้ว” ลัลน์ถามพร้อมกับขยับตัวยิ้มรับรอยยิ้มของมิน หูฟังเครื่องเล่นเพลงที่น่าจะหลุดตอนเผลอหลับตกอยู่ข้างตัว ปลายสายตามองเห็นหนังสือที่จำได้ว่าตัวเองกำลังอ่านเพลินก่อนผล็อยหลับไปวางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ
“จะห้าโมงแล้ว ไปอาบน้ำแต่งตัวดีไหม จะไปทำผมที่ฝางด้วยหรือเปล่า มินขับรถให้นะ” มินบอกพร้อมกับยื่นแก้วน้ำผลไม้ปั่นเย็นจัดมาให้
“ไปทำไม ไม่ต้องหรอก พี่ไม่ใช่เจ้าสาวสักหน่อย” ลัลน์เหวี่ยงขาจากเปลลงไปแตะพื้น มือยื่นไปรับแก้วมาดื่ม ความเย็นจัดที่ปรี๊ดขึ้นศีรษะทำให้เธอนิ่วหน้าน้อยๆ เพราะร่างกายปรับตัวไม่ทัน
“อย่ารีบสิ”
“จ้ะพ่อแก่ขี้บ่น อร่อย…ขอบใจนะมิน ไม่มีใครรู้ใจพี่เท่ามินจริงๆ” ลัลน์บอก น้ำแอปเปิ้ลเขียวบีบมะนาวปั่นเป็นเครื่องดื่มที่เธอโปรดปรานมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ออกจะผิดวิสัยลูกสาวเจ้าของสวนส้มสักหน่อย แต่หากเป็นส้มแล้วลัลน์ชอบแกะเปลือกทานจากลูกเลยมากกว่า ไม่จำเป็นต้องคั้นน้ำหรือปรุงแต่งให้เปลี่ยนไปหรอก
“หายโกรธมินหรือยัง” น้ำเสียงเอาใจและประโยคนี้ของมินทำให้ลัลน์ขมวดคิ้ว แววตาง้องอนที่ทอดมองทำให้ยิ่งสงสัย
“โกรธ? อะไรเหรอ อ้อ เรื่องพี่ธารณ์”
ชื่อของคนที่ไม่ถูกชะตาทำให้มินเกือบชักสีหน้า ดีว่ายังพอมีสติเตือนตัวเองว่าที่อยากได้ตอนนี้คือให้เธอหายโกรธ ท่าทางเหมือนลืมไปแล้วของลัลน์ทำให้เขานึกโล่งใจ…ผู้ชายคนนั้นไม่ได้สำคัญพอให้เธอจำได้ตลอดเวลา…
“ไม่โกรธแต่ไม่อยากให้ทำแบบนั้น มันดูเสียมารยาทและจะเสียน้ำใจกันกับพี่นพ เข้าใจไหมมิน”
“มินจะอยู่บ้านอีกสักพักนะ อาจจะอยู่จนเลยยี่เป็ง” แม้จะอยากเถียงใจแทบขาดเรื่องมารยาทกับคนที่เขาไม่เห็นว่าควรได้รับ แต่มินก็เลือกที่จะคุยเรื่องอื่นแทน ความรู้สึกหวั่นไหวหวาดระแวงทำให้มินตัดสินใจจะอยู่บ้านอีกสักพัก อย่างน้อยก็จนกว่าจะมั่นใจว่าธารณ์จะกลับไปเสียก่อน
“หือ อยู่ได้แน่เหรอ จะอยู่เที่ยวยี่เป็งกับต่ายเหรอ” ลัลน์อดไม่ได้ที่จะถาม สีหน้าระแวงสงสัยของเธอทำให้มินถอนหายใจ มองตอบด้วยแววตาขุ่นกึ่งตัดพ้อ
“ไม่เกี่ยวกับต่าย บอกว่าไม่มีอะไรๆ จะไม่เชื่อกันเลยใช่ไหม เดี๋ยวนี้คำพูดของมินเชื่อไม่ได้แล้วสำหรับลัลน์หรือเปล่า”
“โธ่…มินก็ พี่ก็ถามไปอย่างนั้นเอง ไหนบอกว่ายุ่งนี่นา อยู่ได้…ไม่เป็นไรแน่นะ” ลัลน์เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นง้อ นึกดีใจที่เขาจะอยู่บ้านนานอีกสักหน่อยแต่ก็เป็นห่วง
มินถอนหายใจ หันมามองสบตาลัลน์แล้วก็แพ้ใจเหมือนทุกที
“อยู่ได้สิ มินจะอยู่ปล่อยโคมกับลัลน์ก่อนแล้วค่อยกลับไปเรียน ว่าแต่ลัลน์ไปอาบน้ำแต่งตัวดีไหม มินต้องไปช่วยพี่เมธิดูเรื่องสถานที่อีกรอบก่อนแขกมา”
“พี่ไปช่วยดีกว่า แล้วใกล้ๆ เวลางานเริ่มค่อยไปอาบน้ำก็ได้” ลัลน์บอกแล้วก้มลงดูดน้ำผลไม้ปั่นอีก ส่งมือข้างที่ว่างไปให้มินช่วยฉุดเธอลุกจากเปล
“โธ่ ห่วงอะไรล่ะ มินดูแลเองได้น่า ไปอาบน้ำแต่งตัวสวยๆ ดีกว่า มินอยากเห็น”
“คงมีแต่มินคนเดียวล่ะมั้งที่อยากเห็นพี่สวยวันนี้ เพราะใครๆ เค้าก็มาดูเจ้าสาวทั้งนั้น ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่หยาเค้าแต่งตัวเสร็จหรือยัง มินแวะไปดูมาบ้างหรือเปล่า” ลัลน์ถามถึงนางเอกของงานฉลองในค่ำคืนนี้
“ปล่อยเค้าเถอะน่า อย่าไปห่วงนักเลย ญาติๆ ของพี่หยาเยอะแยะ เค้าดูแลกันเองได้” มินบอก
“แล้วตัวเองล่ะเอาข้าวของไปไว้ที่บ้านใหญ่หรือยัง คืนนี้กลับเข้าไปนอนที่บ้านตัวเองไม่ได้แล้วนะรู้ไหม” ลัลน์ถามต่อด้วยความเป็นห่วง คืนนี้บ้านที่มินและเมธิอาศัยร่วมกันมาตลอดจะถูกจัดให้เป็นเรือนหอ คุณภวิชจึงชวนหลานชายคนเล็กให้มาพักด้วยกันที่บ้านใหญ่ เพื่อให้คู่บ่าวสาวได้มีเวลาเป็นส่วนตัวในคืนพิเศษนี้
“เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก แค่คืนเดียวไม่ต้องมีอะไรมาก พรุ่งนี้พี่เมธิไปฮันนีมูน มินก็กลับไปนอนที่บ้านได้เหมือนเดิมแล้ว”
“พี่เมธิบอกว่ามินจะขอปลูกบ้านที่สวน เอาจริงเหรอ”
“จริงสิ พี่เมธิเค้ามีครอบครัวของเขาแล้ว มินก็อยากแยกไปให้พี่เมธิได้มีพื้นที่สำหรับครอบครัวตัวเองเป็นเรื่องเป็นราวน่ะ อีกไม่กี่เดือนมินก็เรียนจบ…เลยว่ากลับมาอยู่บ้าน หลังจากนั้นจะขอไปปักหลักที่สวนเลยด้วย” มินเปรยถึงโครงการในอนาคตอันใกล้อย่างมีความสุข
…นอกจากจะแยกไปให้พี่ชายได้มีพื้นที่สำหรับตัวเองแล้ว มินเองก็จะได้มีพื้นที่สำหรับครอบครัวของเขาที่เฝ้าหวังรอคอยมาตลอดเช่นกัน…
“มีครอบครัวไปแล้วเนาะพี่ชายคนโตของเรา เหงาไหมมิน”
“ไม่เหงาหรอก มินยังมีลัลน์นี่นา ทำไมต้องกลัวว่าจะเหงา ลัลน์ต่างหาก เวลามินไปเรียนในเมืองเหงาไหม คิดถึงมินบ้างไหม” มินตั้งคำถามโดยไม่หันมามอง ยังคงก้าวเดินรักษาจังหวะแม้ในใจจะรอฟังคำตอบของเธออย่างใจจดใจจ่อ
ลัลน์ปรายสายตาไปมอง ตัวเองทิ้งบ้าน เอาแต่อยู่ในเมืองไม่ยอมกลับ คราวนี้ทำเป็นมาถามหาความคิดถึง สีหน้าของคนเดินเคียงที่แม้จะนิ่งเรียบเหมือนเป็นปกติ แต่คนที่โตมาด้วยกันรู้ดี…มินกำลังรอฟังคำตอบ…แล้วรอยยิ้มเหมือนเด็กซนก็ฉายขึ้นมาในแววตาของลัลน์
“ก็มีบ้างนะ เพราะเวลามินไม่อยู่ไม่มีคนขับรถให้ ไม่มีคนคอยตามไปกินข้าว ไม่มีคนปั่นน้ำผลไม้ให้กิน แล้วก็ไม่มี…” น้ำเสียงของลัลน์เรื่อยเอื่อยสบายๆ
“พอเลยๆ เห็นมินมีประโยชน์แค่เรื่องแบบนั้นอยู่ได้” น้ำเสียงคล้ายติดน้อยใจของเขาทำให้ลัลน์หัวเราะน้อยๆ พลางเอื้อมมือไปคล้องแขนเขาเอาไว้ แม้ปากจะแกล้งไปอย่างนั้นแต่ลัลน์รู้ดีแก่ใจว่าเขามีความหมายกับเธอมากกว่านั้น
…คนที่เติบโตมาด้วยกัน…ใกล้ชิด…ผูกพัน…
“คิดถึงสิ เรามีกันแค่นี้เอง มีพ่อ มีพี่เมธิ มีพี่ แล้วก็มิน ถ้าไม่คิดถึงกันแล้วจะให้คิดถึงใครจริงไหม” ลัลน์พูดอย่างอารมณ์ดีโดยไม่สะกิดใจเลยว่าคนฟังจะรู้สึกและมีความหวังเพียงใดกับคำพูดของเธอ
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.