X
    Categories: ความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักทดลองอ่านรักเดียวที่กลางใจ

ทดลองอ่าน รักเดียวที่กลางใจ บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 4

งานเลี้ยงฉลองการแต่งงานของผู้จัดการสวนส้มสารัณที่เป็นถึงหลานชายเจ้าของสวนมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีคับคั่ง ผู้คนทั้งจากแม่อาย ฝาง และท่าตอนมากันพร้อมหน้า แทบจะเรียกได้ว่าผู้หลักผู้ใหญ่มากับครบ บางคนมาจากเชียงรายหรือตัวเมืองเชียงใหม่ ทั้งนี้ส่วนใหญ่ก็เพื่อให้เกียรติคุณภวิชเป็นสำคัญ

คู่บ่าวสาวยิ้มรับคำอวยพร คอยต้อนรับแขกเหรื่อหน้าชื่นสดใสไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยที่บริเวณซุ้มดอกไม้หน้างาน ลัลน์มองหาแล้วขยับเข้าไปใกล้เพื่อส่งแก้วน้ำสองแก้วในมือไปให้

“น้ำหน่อยไหมพี่เมธิ พี่หยา”

“ขอบใจนะหนูลัลน์” เมธิเอื้อมมือไปรับแก้วมายื่นส่งให้หยาได้จิบก่อน ลัลน์ไล่สายตาตามพี่ชายที่ทอดมองเจ้าสาวอย่างอ่อนโยนแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้ม

“วันนี้พี่หยาสวยเหมือนเจ้าหญิงเลย จริงไหมพี่เมธิ”

“วันไหนๆ ก็สวย ไม่ใช่เฉพาะวันนี้หรอก”

“แหม หวานนะคะท่านผู้จัดการเมธิ” ท่าทางของพี่ชายทำให้ลัลน์อดหมั่นไส้ไม่ได้จนต้องทำเสียงล้อ “แต่พูดแบบนี้แสดงว่าวันนี้ที่พี่หยาเหนื่อยให้ช่างจัดการแต่งโน่นนี่ไม่มีบ่นสักคำไม่มีประโยชน์งั้นสิ”

“โธ่หนูลัลน์ อย่ามาทำเสียเรื่องน่า วันนี้หยาสวยที่สุดเลยจ้ะ ยิ่งอยู่ในชุดนี้ยิ่งสวยกว่าใครๆ”

“งั้นคืนนี้พี่หยาก็ใส่ชุดนี้นอนนะ อย่าถอดเลย ให้คุณเจ้าบ่าวได้ดูนานๆ” ลัลน์รีบแกล้งต่อทันทีเมื่อสบช่อง ในขณะที่เจ้าสาวได้แต่ยิ้มเขิน

“หนูลัลน์ เดี๋ยวเหอะ อย่ามาทำชี้โพรงนะ” เมธิโวยวายกลับรวดเร็ว โดยมีเจ้าสาวและลัลน์ประสานเสียงหัวเราะเข้าคู่

“หัวเราะอะไรกัน” มินที่ก้าวเข้ามาใกล้ถาม เขามองหาลัลน์อยู่พักใหญ่จนได้เห็นว่าเธออยู่ตรงนี้กับพี่ชายนั่นเอง

“อ้าวมิน…มาถ่ายรูปหน่อยสิ ยังไม่ได้ถ่ายรูปพี่น้องเลย” เมธิชวนพร้อมกับเรียกช่างภาพ แต่มินก็ไม่ยอมถ่ายรูปกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเพียงลำพัง กลับรั้งให้ลัลน์มายืนใกล้จนได้

“สวยจัง นานๆ จะเห็นลัลน์สวมกระโปรงสักที” มินกระซิบบอกเมื่อต้องถอยห่างจากคู่บ่าวสาวเพื่อให้แขกคนอื่นได้มีโอกาสถ่ายรูปบ้าง

ลัลน์ก้มลงมองตัวเอง ร่างระหงในชุดกระโปรงเนื้อผ้าพลิ้วยาวเพียงระดับเข่า และขาเรียวยาวบนรองเท้าสานส้นสูงบนเนื้อตัวเธอเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยอย่างที่มินเกริ่น ก็มันไม่มีโอกาสอะไรให้สวม และงานในสวนส้มจะให้เธอแต่งอย่างนี้ไปให้หกล้มหรือยังไงกัน

“ชมแล้วถ้าเห็นพี่เดินหกล้มเพราะไอ้ส้นสูงนี่ก็อย่าแซวล่ะ” ลัลน์กระซิบกลับ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากร่างกายเธอทำให้มินยิ้ม…น้ำหอมที่เขาเคยซื้อมาฝาก

“พี่นพ พี่นาย พี่ธารณ์ สวัสดีค่ะ” แขกกลุ่มใหม่ที่เพิ่งมาถึงทำให้ลัลน์ส่งเสียงทักอย่างร่าเริงแล้วยกมือไหว้ทำความเคารพ ไม่ทันได้หันไปมองว่าชายหนุ่มข้างตัวสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน

“โอ้โห หนูลัลน์สวมกระโปรงสวยจัง” นภางค์ทักตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึงตัว

“นานๆ ทีน่ะค่ะ อย่าทักมากสิคะ เดี๋ยวลัลน์เขินได้วิ่งกลับเข้าบ้านไปเปลี่ยนกันพอดี” ลัลน์ตอบน้ำเสียงร่าเริงเปิดเผยตามนิสัย

“งั้นต้องถ่ายรูปไว้ด้วยกันหน่อยนะหนูลัลน์ นานๆ ที มาๆ” นพวินทร์ชักชวนให้ลัลน์ก้าวเข้าไปถ่ายรูปร่วมกับคณะของท่านพร้อมกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว ธารณ์ก้าวเข้าไปยืนข้างๆ เธอพร้อมกับรอยยิ้มอย่างสุภาพอบอุ่น

“ยืนระวังนะคะ เดี๋ยวลัลน์เผลอเหยียบเท้าเข้าให้ ไม่ค่อยคุ้นกับส้นสูงสักเท่าไรน่ะค่ะ”

“ให้เกาะแขนเอาไหมครับ แต่อย่างที่พี่นายบอก หนูลัลน์ใส่กระโปรงสวย” น้ำเสียงของธารณ์อ่อนโยนสุภาพ ไม่มีวี่แววเกี้ยวพาราสีให้อึดอัดใจสักนิด แต่ลัลน์ก็อดไม่ได้ที่จะเขินและรู้สึกวูบวาบในทรวงอกเพราะไม่คุ้นเคยกับคำชม โดยเฉพาะคำชมจากชายหนุ่ม

เธอเอียงหน้าไปยิ้มน้อยๆ แล้วหันกลับไปมองกล้องรวดเร็ว แก้มที่แดงระเรื่ออย่างเป็นธรรมชาติและรอยยิ้มของหญิงสาวที่เขินอายซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นนักจากลัลน์ทำให้มินที่ยืนห่างกำมือแน่น แววตาขุ่นมองอย่างไม่ชอบใจนัก

“พี่มิน”

มินหันตามเสียงเรียกแล้วก็เห็นต่ายโผเข้ามาหา มุมปากของเขายกน้อยๆ เพื่อส่งรอยยิ้มสุภาพ แม้จะเพียงนิดเดียวแต่คนที่ได้รับก็พอใจ เด็กสาวในชุดกระโปรงสายเดี่ยวสีหวานผมยาวประบ่า ใบหน้าแต้มเครื่องสำอางสดใสขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับเอื้อมมือมาเกาะแขนมินด้วยความดีใจ

“พี่มินนั่งตรงไหนคะ ขอต่ายไปนั่งด้วยคนได้ไหม”

“อ้อ…พี่เป็นพิธีกร ไม่นั่งโต๊ะไหนเป็นเรื่องเป็นราวหรอก คงต้องอยู่ใกล้เวที” มินตอบ ขบวนของนพวินทร์ที่ทำท่าจะขยับไปหาที่นั่งโดยมีลัลน์รับดูแลทำให้เขาชะเง้อมองตาม

“งั้นต่ายไปอยู่ด้วยนะ” ต่ายยังคงพยายาม

“อย่าเลย ต่ายมากับใคร ที่บ้านหรือเปล่า ไปนั่งกับที่บ้านเถอะนะ” มินตอบทั้งๆ ที่ไม่ได้หันมามองต่าย ได้แต่นึกห่วงว่าลัลน์จะคลาดสายตาไปกับคนที่เขาไม่ชอบใจ คิ้วขมวดเข้าหากันมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าธารณ์กำลังคุยอะไรบางอย่างกับลัลน์ แล้วเธอก็หัวเราะรับเสียด้วย

“ไม่เป็นไร ต่ายอยากอยู่กับพี่มิน” ต่ายยังพยายาม สายตาของมินที่ไม่มองเธอเลยสักนิดและเอาแต่ทอดมองไปทางอื่นทำให้ต่ายตัดสินใจขยับไปยืนดักสายตาของเขาเอาไว้ทันที

“อย่าเลย พี่ไม่มีเวลาดูแลต่ายหรอก ไปนั่งกับที่บ้านน่ะดีแล้ว นั่นที่บ้านต่ายจะถ่ายรูปกับพี่เมธิพี่หยาแล้ว ไปสิ” มินพยายามสะกดใจไม่ให้ส่งเสียงรำคาญออกไป ตามองเป็นเชิงบังคับ

“งั้นพี่มินถ่ายรูปพร้อมบ้านต่ายนะ…นะ” ต่ายรั้งแขนของมินให้ก้าวเดินตาม แต่ครั้งนี้มินฝืนเอาไว้แล้วดึงออกอย่างสุภาพ เบี่ยงตัวให้ห่างออกมาจากการเกาะประชิด

“ไม่ล่ะ ไปเถอะ พ่อกับแม่ต่ายคอยแล้วนะ” มินบอก ท่าทางปักหลักแน่นของเขา อีกทั้งดวงตาที่ตอนนี้เหมือนจะฉายแววดุน้อยๆ ทำให้ต่ายยอมรามือแม้ไม่เต็มใจนัก

“งั้นรอต่ายตรงนี้นะพี่มิน” เด็กสาวยังไม่วายอยากร้องขอ

มินไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เบือนหน้าไปยังทิศที่เห็นลัลน์ยืนอยู่เมื่อครู่แล้วก็ตกใจเพราะเธอหายไปไม่อยู่ที่เดิมแล้ว เขาแทบไม่มีต่ายอยู่ในความคิด มัวแต่พะวงมองหาลัลน์ที่หายไปพร้อมคณะของนพวินทร์ หัวใจร้อนรุ่มราวกับมีใครสักคนโยนถ่านฟืนที่ติดไฟแดงทั้งก้อนมาตกอยู่

“ต่ายๆ มาเร็ว” เสียงเรียกของพ่อทำให้ต่ายหันรีหันขวาง

“พี่มิน…” ท่าทางกวักไม้กวักมือของแม่ทำให้ต่ายจำต้องก้าวห่างมินออกไปเพื่อถ่ายรูป

ในช่วงเวลาที่เป็นอิสระได้อยู่ตามลำพัง มินก็มองเห็นหญิงสาวที่อยู่ในหัวใจของเขาเสมอ ร่างสูงก้าวไวเข้าไปหาทันที ในขณะที่ดวงตาจับจ้องราวกับกลัวว่าหากพลาดสักชั่วพริบตาเธอจะหายไปอีก

ลัลน์ อย่าอยู่ห่างสายตามินได้ไหม

ลัลน์พากลุ่มของนพวินทร์ไปนั่งที่โต๊ะซึ่งจัดรอไว้ใกล้ด้านหน้าเวทีมากที่สุด เธอหันไปมองหาเด็กให้มาช่วยบริการเครื่องดื่มแล้วก็ได้เห็นมินก้าวเข้ามายืนชิด ลัลน์ส่งยิ้มที่มุมปากเพียงนิดเดียวไปให้ แล้วเบือนหน้าไปหาบริกรเพื่อสั่งเครื่องดื่มให้แขกวีไอพีของเธอ

“ทำไมไม่รอมินเลย” แม้อยากตัดพ้อออกไปแต่มินก็ต้องฝืนข่มใจ พยายามปรับน้ำเสียงที่เอ่ยให้เรียบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ก็เห็นมีสาวๆ มาเกาะ เลยนึกว่าคงไม่อยากให้กวน” น้ำเสียงของลัลน์ติดแววหมั่นไส้…เจ้าน้องชายโตขึ้นทุกวัน…

“ทำไม ไม่ชอบให้มีสาวๆ อยู่ใกล้มินเหรอ” คราวนี้มินรู้สึกราวกับหัวใจพองโต แต่เพียงไม่นานก็คล้ายจะฟีบแผ่ว

“ไม่รู้สิ โตแล้วนี่ จะอยากมีหรือไม่มีก็ไม่ใช่เรื่องของพี่แล้วมั้ง”

“ลัลน์…”

“อย่ามาทำเสียงอ่อยน่า พี่ไม่ได้ดุมินสักหน่อย นี่แขกมาพร้อมหมดแล้วมั้ง มินไปเตรียมขึ้นเวทีเถอะ…ดีไหม” ลัลน์ถอนหายใจน้อยๆ ชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง พยายามผลักไสอารมณ์ขุ่นแปลกๆ ของตัวเองไปให้ไกลเมื่อนึกขึ้นได้ว่างานในคืนนี้เป็นงานมงคลของพี่เมธิ และเธอควรจะยิ้มแย้มสดชื่นมากกว่า

“ไปอยู่ใกล้ๆ กันข้างเวทีได้ไหมลัลน์” มินถาม

“ไม่ได้หรอก พี่ต้องคอยดูแขกเหมือนกันนา อีกอย่าง ไปอยู่ข้างเวทีก็เห็นไม่ชัดสิ วันนี้พี่เมธิหล่อออก พ่อกับมินก็เหมือนกัน พี่นั่งข้างหน้าจะได้เห็นชัดๆ ไง แล้วมินเองถ้ามองลงมาจากเวทีก็จะเห็นพี่ชัดๆ ด้วย ดีไหม” ลัลน์ปรับน้ำเสียงให้แจ่มใส

“ลัลน์จะอยู่ในที่ที่มินมองเห็นได้ชัดเจนเสมอ…ใช่ไหม” คำถามของมินทำให้ลัลน์หันไปมอง แววตาจริงจังที่มองมาทำให้อดขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้

…หมู่นี้ท่าทางของมินแปลกๆ จนลัลน์รู้สึกประหลาดบอกไม่ถูก…จะว่าไปมันแปลกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เขากลับบ้านครั้งนี้ก็ว่าได้…

“ถามแปลกจังนะ เป็นอะไรเหรอหมู่นี้ เรียนหนัก…เหนื่อย อยากได้กำลังใจหรือเปล่า”

“ได้ไหมล่ะ มินขอจากลัลน์ได้ไหม” น้ำเสียงของเขาจริงจัง ดวงตาแน่วแน่มองอย่างรอคอย

“ขอจากพี่ระวังจะไม่ชื่นใจเท่าสาวๆ นะ” ลัลน์ยังไม่วายอยากจะขอค่อนขอด ภาพของต่ายที่ส่งยิ้มเอียงอายให้มินผ่านเข้ามาในใจ ปลายเสียงของลัลน์แผ่วเบาเพราะราวกับหัวใจมีอะไรมาสะกิดให้หงุดหงิดโดยไม่มีสาเหตุ

“ลัลน์อย่าพูดเล่นสิ มินถามจริงๆ นะ ได้ไหม…มินขอจากลัลน์ได้หรือเปล่า”

ท่าทางจริงจังของเขาทำให้ลัลน์อดคิดไม่ได้ว่าน้องชายน่าจะหนักใจเรื่องเรียนในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจบ มันทำให้ลัลน์นึกถึงบทบาทความเป็นพี่ของตัวเองที่มีให้เขาเสมอมา จึงส่งยิ้มพร้อมกับเอื้อมไปบีบกระชับมืออีกฝ่ายหวังจะส่งกำลังใจให้เขา

“ได้สิ ได้เสมอ พี่เป็นกำลังใจให้มินเสมอนั่นแหละไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม ว่าแต่มินดีกว่า จะอยากได้กำลังใจจากพี่นานแค่ไหนก็ไม่รู้ อีกไม่นานขี้คร้านจะอยากได้จากคนอื่น” แม้จะพยายามทำตัวเป็นพี่ที่ดี แต่ประโยคสุดท้ายลัลน์ก็ยังไม่วายขอดักคอเขาสักหน่อย

“ไม่มีวันนั้นหรอก ยังไงมินก็จะขอแค่ลัลน์คนเดียวตลอดไป”

ถ้าจะมีความขุ่นข้องใดๆ ค้างอยู่ในใจลัลน์ น้ำเสียงหนักแน่นที่ได้ยินจากมินก็ราวกับจะปัดเป่าให้มันจางหาย รอยยิ้มของเธอจึงกระจ่างบนสองแก้มส่งให้แววตาอ่อนละมุน

“จ้า จะคอยดูนะ เอ้าไปๆ ไปทำหน้าที่พิธีกร…น้องชายที่ดีของพี่เมธิได้แล้ว อยากได้กำลังใจก็มองมานะ พี่จะส่งให้จากหน้าเวทีเลย” ลัลน์รุนหลังเขาให้ออกเดิน

มินยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากแล้วก้าวไปทำหน้าที่ของตัวเองแต่โดยดี บิดาที่เห็นอยู่ไม่ไกลทำให้ลัลน์ตัดสินใจเดินไปหาอีกฝ่ายบ้างเพื่อจะได้ดูแลท่านก่อนจะขึ้นเวทีไปทำหน้าที่ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว

ภาพเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ยืนเคียงกันบนเวที มีมินเป็นพิธีกรคอยซักถามและเล่าเรื่องราวความรักของทั้งคู่แบบสั้นๆ แต่ก็ติดแซวหน่อยๆ เรียกเสียงหัวเราะและโห่ล้อได้เป็นพักๆ จากแขกร่วมงาน บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุขสมหวังในความรักของคู่บ่าวสาวกลายเป็นซึ้ง จนลัลน์ต้องแอบกรีดน้ำตาเมื่อเมธิเอ่ยถึงความรักของเขา ต่อด้วยการเอ่ยให้คำมั่นสัญญาว่าจะรักและเอาใจใส่ดูแลภรรยาหมาดๆ ข้างกายตลอดไปจนชั่วชีวิต

“เป็นฝั่งเป็นฝาสักทีนะ นึกว่าจะเป็นโสดไปอีกนานเสียแล้ว” นภางค์ขยับมากระซิบ

“ค่ะ ไม่ได้เป็นพี่ชายอย่างเดียวแล้ว ตอนนี้เป็นหัวหน้าครอบครัวด้วย” ลัลน์ตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มทั้งๆ ที่ตายังมองบนเวที บิดาของเธอยืนข้างคู่บ่าวสาวเช่นเดียวกับบิดาของหยา มีมินอยู่อีกมุมหนึ่งเป็นพิธีกร ทำให้ช่วงเวลานี้ข้างบนนั้นคือครอบครัวทั้งหมดที่เธอมี

สายตาของมินที่คอยหันมามองสบตาเสมอทำให้รอยยิ้มของลัลน์ติดสองแก้ม เพื่อส่งกำลังใจกลับไปให้ตามที่สัญญาไว้กับเขา

“แล้วหนูลัลน์ล่ะ ไม่เห็นมองใครสักที พ่อนายหวงหรือก็เปล่า” พันตำรวจเอกนพวินทร์เย้าญาติเจ้าบ่าวคนเดียวที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะ

“ลัลน์แต่งงานแล้วค่า แต่งกับสวนส้ม” ลัลน์ตอบหน้าตาเฉยแต่ดวงตาเป็นประกาย ทำเอาแขกผู้ใหญ่รอบตัวหัวเราะอย่างเอ็นดู

จะว่าไปภาพของลัลน์ที่ทุ่มเทอยู่ในสวนส้มสารัณก็นับเป็นความคุ้นเคยของผู้คนละแวกนี้ทั้งนั้น ลูกสาวที่ขยันขันแข็งเอาใจใส่กับงานของครอบครัวทำให้ใครๆ พูดกันว่าถ้าคุณภวิชจะเคยโชคร้ายเพราะความล้มเหลวทางธุรกิจในอดีต วันนี้ท่านก็ได้รับโชคดีเป็นการทดแทนกลับมาให้ชื่นใจแล้ว เพราะทั้งลูกและหลานเรียกได้ว่าต่างเป็นอภิชาตบุตร

เสียงพูดคุยกระเซ้าเย้าแหย่อย่างสนุกสนานในคืนที่ผู้คนต่างมาร่วมแสดงความยินดีในงานมงคลดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แก้วน้ำที่พร่องไปไม่น้อยทำให้ลัลน์มองหาบริกร แล้วก็ได้เห็นแก้วใบหนึ่งวางมาให้ตรงหน้า

“ขอบคุณค่ะพี่ธารณ์” ร่างสูงที่นั่งลงข้างตัวทำให้เธอหันไปส่งยิ้มให้

“พรุ่งนี้ว่างไหมครับ พี่อยากไปเที่ยวสวนส้ม จะขอถ่ายรูปสำหรับประกอบบทสัมภาษณ์ รบกวนหนูลัลน์หรือเปล่าครับ หลังงานทันทีแบบนี้”

“ได้สิคะ ยังไงลัลน์ก็ต้องเข้าสวนอยู่แล้ว พี่ธารณ์ตื่นเช้าไหวไหมล่ะคะ”

“เช้านี่กี่โมงน้า ตีสี่เหรอ” สีหน้าร่าเริงสดใสทำให้ธารณ์กล้าต่อปากต่อคำกับเธอ

“ก็ได้นะคะถ้าพี่ธารณ์อยากตื่น แต่ว่าตื่นแล้วก็รอลัลน์หน่อยนะคะ เพราะว่าท่าทางลัลน์อาจจะยังฝันดีอยู่เลยตอนนั้น” ลัลน์ตอบพร้อมกับหัวเราะ

“ตกลงธารณ์จะอยู่ต่อนะหนูลัลน์ พ่อนายชวนน้องพี่ไว้แล้ว หนูลัลน์ต้องช่วยรับผิดชอบล่ะ” นพวินทร์บอกแผนของธารณ์ที่ได้รู้มา

“ได้สิคะพี่นพ ดีเลยนะคะเพราะพี่ธารณ์จะได้อยู่เที่ยวยี่เป็งที่บ้านเราด้วยเลย” งานบุญใหญ่ที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันทำให้ลัลน์นึกได้ว่าธารณ์น่าจะอยากอยู่ชม

“ยี่เป็ง…ลอยกระทงของคนเหนือใช่ไหมครับ ได้ยินว่าสวยมาก” ธารณ์หันไปหาคนหน้าตาสดใสข้างตัว

“ก็คล้ายๆ กับลอยกระทงของภาคกลางล่ะค่ะ แต่ว่าทางหนือเรามีความหมายเกี่ยวกับบรรพบุรุษด้วย คือมีตำนานเล่ากันว่าเมื่อก่อนนี้ทางล้านนา โดยเฉพาะทางหริภุญไชยหรือลำพูนในตอนนี้เคยเกิดอหิวาตกโรคระบาดค่ะ ผู้คนเลยอพยพขึ้นเหนือย้ายถิ่นฐานกัน เล่ากันว่าเดินทางไปถึงหงสาวดีแล้วอาศัยอยู่ที่นั่นหลายปีกว่าจะย้ายกลับมา แต่มากันได้ไม่ครบเหมือนตอนไปหรอกนะคะเพราะมีล้มตายกันไปบ้าง พอคืนขึ้นสิบห้าค่ำเดือนยี่ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นช่วงเวลาที่เคยละทิ้งถิ่นฐานไปและตรงกับประเพณีลอยกระทง ชาวล้านนาก็จะทำกระถางไม่ก็แพกระทงใส่เครื่องสักการบูชาและดอกไม้ธูปเทียนนำไปลอยตามลำน้ำ หวังจะทำเพื่อส่งไปเคารพสักการะและระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับในหงสาวดีค่ะ” ลัลน์อธิบายยาวอย่างใจเย็นและยิ้มเมื่อเห็นท่าทางตั้งอกตั้งใจฟังของธารณ์

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่ตอนนี้ยังทำแบบเดิมอยู่ใช่ไหมครับ เหมือนลอยกระทงของทางภาคอื่นๆ ไหม”

“รอดูสิคะ อีกไม่กี่วันเองค่ะ แล้วถ้าพี่ธารณ์ยังมีเวลา เราจะไปเที่ยวดอยผาหลวงกันต่อก็ได้นะคะ”

“ดอยผาหลวง จริงสิ…เคยได้ยินมาว่าที่ฝางมีดอยผ้าห่มปกที่สวยมากๆ ด้วย สวยพอกันไหมครับ” ธารณ์เอ่ยแล้วก็ทำหน้างงเมื่อเห็นหลายคนหัวเราะอีก

“ก็ที่เดียวกันแหละค่ะ ชาวบ้านเรียกว่าดอยผาหลวง พี่ธารณ์ชอบอากาศหนาวไหมคะ ไม่ใช่แค่เย็นนะคะ แต่หนาวจับใจเลย เพราะดอยผาหลวงมีความสูงเป็นอันดับสองของประเทศ รองจากดอยอินทนนท์ค่ะ” ลัลน์รับเป็นคนเฉลยเสียเอง

“อ๋อ…ได้ยินมาว่าถ้าได้ไปกางเต็นท์นอน มีโอกาสชมวิวพระอาทิตย์ตกดินแล้วจะติดใจ เพราะสวยโรแมนติกมากใช่ไหมครับ”

“ค่ะ ว่าไงคะ สนไหม”

“ถ้าหนูลัลน์ยอมพาไปแล้วนั่งดูพระอาทิตย์เป็นเพื่อนล่ะก็โอเค ถึงไหนถึงกัน” น้ำเสียงของธารณ์อบอุ่นในขณะที่สายตาทอดมองหญิงสาวข้างกาย

แววตาของเขาทำให้ลัลน์เริ่มวางสีหน้าไม่ค่อยถูก ได้แต่ยิ้มเก้อๆ ตอบ ท่าทางไม่รุ่มร่ามของเขาแต่เปิดเผยและสุภาพทำให้ลัลน์รู้สึกว่าตัวเธอไม่ปกติเหมือนที่เคยเป็นมาเสมอ

“แน่ะ! เจ้าธารณ์จะจีบหนูลัลน์หรือยังไง อย่าน่า พี่ขี้เกียจโดนพ่อนายไล่เตะ” นพวินทร์ท้วงรวดเร็วทำเอาลัลน์ยิ่งพูดไม่ออกได้แต่ยิ้ม สถานการณ์แบบนี้เธอไม่คุ้นเอาเสียเลยจริงๆ

“ผมได้ยินที่ตลาดคุยกันอยู่นะว่าท่านนพจะดองกับพ่อนาย หน่วยก้านก็พอไหวนี่นาน้องชายท่านนพเนี่ย รับพิจารณาไหมหนูลัลน์” ณัฐวัฒน์เจ้าของสวนส้มใกล้เคียงถามบ้าง ทำให้ลัลน์รู้ว่าข่าวลือจากวัดท่าตอนไปไกลแล้วตอนนี้

“อ้าว ใครคุยเหรอพี่วัฒน์” นภางค์ถามในขณะที่มือหันไปเปลี่ยนแก้วเหล้าให้กับสามี

“ก็หลายคน ว่าไงพ่อหนุ่ม ทำงานเป็นหลักเป็นฐานแค่ไหนเรา ทำฝ่ายหญิงเขาเสียหายแบบนี้ต้องรับผิดชอบรู้ไหม” ณัฐวัฒน์หันกลับไปหาธารณ์

“ช่างมันเถอะค่ะพี่วัฒน์ ปากคนน่ะอย่าไปฟังมากเลย พี่ธารณ์เค้ามาทำข่าวแล้วก็เป็นแขกของพ่อเท่านั้นเอง ถ้าจะสนิทสนมถูกชะตากันก็เพราะพี่นพกับพี่นายด้วย เรารู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว” ลัลน์เกลื่อนสีหน้าให้เป็นปกติเอ่ยให้เป็นเรื่องไม่ซีเรียส

“พี่วัฒน์ก็พูดเข้า ไปๆ มาๆ ตัวเองกลับมาพูดล้อน้องเสียเอง” ภรรยาของณัฐวัฒน์ส่ายหน้าให้กับความขี้เล่นของสามี

เสียงของมินจากบนเวทีที่ร้องชวนให้ทุกคนไชโยให้กับคู่บ่าวสาวทำให้ความสนใจต่อหัวเรื่องที่ลัลน์ปรับสีหน้าไม่ค่อยถูกเปลี่ยนไปอยู่ที่คู่บ่าวสาวอย่างพร้อมเพรียงทั้งงาน แต่อาจจะยกเว้นธารณ์

“ขอโทษที่ทำให้หนูลัลน์เสียหาย แต่พี่ยินดีรับผิดชอบนะครับ ทั้งชีวิตเลยก็ได้ถ้าหนูลัลน์ไม่รังเกียจ” คำพูดของเขาที่ดังขึ้นจะมีใครได้ยินบ้างหรือเปล่าลัลน์ไม่รู้ ที่รู้คือหัวใจเธอเหมือนจะวูบไหวแปลกๆ

“ไชโย ไชโย” เสียงแขกทั้งงานร้องขึ้นพร้อมกัน แก้วในมือถูกยกชู ลัลน์เสกลบเกลื่อนความรู้สึกไม่ปกติของตัวเองร้องประสานไปเป็นส่วนหนึ่งด้วย ดวงตามองตรงไปยังคู่บ่าวสาว แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหัวใจตัวเองกำลังเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในเวลานี้

คู่บ่าวสาวที่ตอนนี้คือสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมายและประเพณีพนมมือไหว้ลาแขกและญาติผู้ใหญ่ บิดาและมารดาของหยาอดไม่ได้ที่จะขอไปส่งลูกสาวอีกครั้งที่ห้องหอทั้งที่ผ่านพิธีส่งตัวเข้าหอไปแล้วเมื่อตอนสายๆ ของวัน โดยมีคุณภวิช ลัลน์ และมินตามไปด้วย

รอยยิ้มของลัลน์แทบจะไม่จางหายเลยตั้งแต่หัวค่ำยามมองเมธิและหยา…จากนี้ไปจะเป็นเวลาที่พี่ชายคนโตแห่งสวนส้มสารัณจะได้เริ่มต้นสร้างครอบครัวของเขาเอง…

“เหนื่อยไหม” มินที่ยืนใกล้ๆ กระซิบถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่หรอก มินล่ะเหนื่อยหรือเปล่า พูดเยอะเลยคืนนี้ คอแห้งไหม กลับไปนอนพักเลยก็ได้นะ ไม่ต้องไปคุมเด็กเก็บของหรอก เดี๋ยวพี่ไปดูให้เอง” ลัลน์หันไปหาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน

“ลัลน์นั่นแหละกลับไปนอน มินไปดูเองดีกว่า พรุ่งนี้จะเข้าสวนแต่เช้าไหม มินขับรถให้นะ”

“เข้าสิ พรุ่งนี้พี่นัดพี่ธารณ์ไว้ด้วย พี่ธารณ์เค้าอยากไปถ่ายรูปที่สวนส้ม” พอเอ่ยชื่อของชายหนุ่มจากกรุงเทพฯ ลัลน์ก็ต้องยอมรับว่าหัวใจกลับมาวูบไหวประหลาดอีก นอกจากคำพูดที่ทำเอาใจลัลน์เต้นแรงแล้ว เขาก็ยังคงรักษาท่าทีสุภาพเป็นปกติอย่างที่เคย มันทำให้ลัลน์ไม่กล้าคิดหรือแสดงท่าทีอะไรให้ต่างไปจากเดิมมากนัก

คณะผู้ใหญ่ที่ตั้งท่าจะออกจากห้องหอเพื่อให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้เริ่มต้นช่วงเวลาเป็นส่วนตัวเสียทีทำให้ลัลน์ขยับตัว

“มินยังอยู่ จะพาไปให้เอง ลัลน์ไม่ต้องเข้าสวนหรอกพรุ่งนี้”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไปได้ สัญญากับพี่ธารณ์ไปแล้วด้วย ว่าแต่มินดีกว่า ถ้าห่วงเรื่องเรียนจะกลับเชียงใหม่ก่อน ไม่ต้องอยู่จนหลังยี่เป็งอย่างที่บอกก็ได้นะ” ลัลน์พูดเรื่อยๆ

…ยี่เป็ง ประเพณีที่นอกจากจะสวยงามแล้วยังโรแมนติกอ่อนหวานด้วยมนตร์เสน่ห์ของดวงจันทร์กลมโต และธารณ์…ผู้ชายจากแดนไกลที่เอ่ยปากแสดงความในใจทำให้ลัลน์รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะยามคิดถึง

ลัลน์เดินเงียบ ไม่ทันได้สังเกตคนข้างกายเพราะมัวจมอยู่ในความรู้สึกแปลกประหลาดของหัวใจ จึงไม่เห็นสีหน้าและแววตาของมินที่ขุ่นเครียด

“มินยังไม่กลับหรอก จะอยู่สวนอีกหลายวัน ลัลน์อย่ามาหาทางไล่มินเลย” มินพูดด้วยน้ำเสียงสะบัดไม่พอใจก่อนจะเดินผละห่าง สาวเท้าเร็วไม่รอให้ลัลน์เดินเคียงอีก

ท่าทางของเขาทำให้ลัลน์เลิกคิดถึงธารณ์ ได้แต่มองตามด้วยความไม่เข้าใจกับอาการลมเพลมพัดเป็นพายุหมุนของเขา

เป็นอะไรอีกล่ะ คนยิ่งกำลังนึกไม่ออกว่าจะวางตัวกับพี่ธารณ์ยังไงต่อไปดีก็มาทำตัวเจ้าอารมณ์อีกคน แต่มินอยู่ก็จะได้เป็นเพื่อนคอยรับรองพี่ธารณ์นี่นา แล้วลัลน์ก็เริ่มรู้สึกสบายใจ…มีมินอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่ามีเรื่องอะไรเธอก็จะอุ่นใจได้เสมอ

“มีอะไรลูก” คุณภวิชถามลูกสาวเมื่อเดินมาใกล้

“ไม่มีอะไรค่ะ พ่อเหนื่อยไหม ขายังปวดอยู่หรือเปล่า” ลัลน์พักความสนใจกับท่าทางประหลาดของมิน ถามถึงอาการปวดที่ต่อเนื่องมาจากการล้มเมื่อวันก่อนของบิดาด้วยความเป็นห่วง

“ดีขึ้นเยอะแล้วลูก”

“แน่นะคะ เดี๋ยวพ่ออาบน้ำแล้วลัลน์ขึ้นไปทายานวดให้ก่อนนอนเอาไหมคะ”

“ไม่ต้องหรอก หนูลัลน์เองก็เหนื่อยมาทั้งวัน” คุณภวิชยกมือลูบผมของลูกสาวอย่างอ่อนโยน

“พ่อนาย พวกผมกลับก่อนนะครับ” บิดาและมารดาของหยาเดินมาสมทบ ทำให้คุณภวิชต้องหันไปหาท่านทั้งสอง ลัลน์ขยับถอยห่างอย่างรู้กาลเทศะให้ผู้ใหญ่ได้พูดคุยกัน

“จะกลับกันแล้วเหรอครับ ขับรถไหวก่ ค้างที่นี่ก่ได้นะ ผมจะให้หนูลัลน์จัดห้องให้ บ่เมินหรอก”

“บ่ต้องหรอกครับ ขับรถไปก่ใช่ว่าจะไกลอะไรนักหนา ฝากลูกสาวด้วยเน้อพ่อนาย ขอให้ถือเป็นลูกเป็นหลานนะครับ” บิดาของหยาเอ่ย

“บ่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้หนูหยาก่เท่ากับเป็นลูกเป็นหลานผม เมธิน่ะผมรักเหมือนลูกชายคนโตเลยนา”

“ได้ยินพ่อนายพูดแบบนี้ก่วางใจ ขอบคุณนะเจ้า”

มารดาของหยามีสีหน้าสดชื่นยินดีอย่างเห็นได้ชัด ความสุขในวันพิเศษทำให้หลายคนยิ้ม แต่คงไม่ครอบคลุมถึงพ่อหนุ่มที่ยืนหน้าบูดอยู่ตรงลานหน้าเรือนหอ

ลัลน์ได้แต่มองแล้วก็ยิ้มไม่พูดอะไร เธอเดินไปส่งแขกผู้ใหญ่ที่ล่ำลากันอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วจึงเดินไปส่งบิดาขึ้นบ้าน

“ลัลน์ขอไปดูมินนะคะ ป่านนี้คงกำลังดูเด็กเก็บของ”

“อืม งั้นพ่อจะอาบน้ำเข้านอนแล้วนะ หนูลัลน์ก็อย่าดึกนักนะลูก พรุ่งนี้จะเข้าสวนตามปกติไม่ใช่เหรอ”

“ค่ะพ่อ”

 

งานเลี้ยงที่เลิกราไปแล้วเหลือไว้เพียงคนงานบางส่วนซึ่งกำลังเก็บข้าวของทำให้บรรยากาศต่างจากเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนอย่างเห็นได้ชัด ร่างสูงใหญ่ของมินทำให้มองหาเขาได้ไม่ยาก ท่าทางเอาการเอางานคอยกำกับการเก็บกวาดเท่าที่พอจะทำได้ของเขาทำให้ลัลน์ต้องยิ้มออกมา ความเป็นผู้นำฉายชัด แม้จะอ่อนโยนกับเธอเสมอ แต่เวลาทำงานเขาจะเด็ดขาดหนักแน่นและกล้าตัดสินใจ

…โตขึ้นมากแล้วจริงๆ เป็นผู้ใหญ่…ไม่ใช่เด็กชายตัวเล็กๆ อีกแล้ว…

ลัลน์ก้าวเข้าไปเกือบใกล้ เสียงและมือของมินที่ชี้สั่งงานก่อนจะหันไปลงมือช่วยราวกับไม่รับรู้การมาของเธอทำให้ลัลน์ถามออกไป

“เก็บเก้าอี้ด้วยเลยไหมคะ ท่านรองผู้จัดการ”

มินหันมามองด้วยแววตาประหลาดครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปสนใจงานของตัวเอง ไม่ยอมตอบอะไรลัลน์สักคำเดียว ริมฝีปากเม้มน้อยๆ จนเกือบจับสังเกตไม่เห็น แต่ในระยะที่ใกล้จนเกือบชิดอีกทั้งความคุ้นเคย มีหรือลัลน์จะไม่รู้ว่าเขากำลังงอนเรื่องที่เธอบอกให้กลับไปเรียน

“เป็นอะไร งอนเหรอ ไหนว่าโตแล้วไง” คราวนี้เธอเห็นมินสูดลมหายใจแล้วกลั้นไว้ชั่วครู่ก่อนจะหันมาหา

“ทำยังไงลัลน์ถึงจะเห็นว่ามินโตแล้ว ไม่ใช่เด็ก ไม่ใช่น้องชาย” น้ำเสียงและสีหน้าของมินจริงจังจนลัลน์อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้…ถึงเวลาที่เธอจะต้องเลิกล้อว่าเขาเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ แล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ…

“ก็โตแล้ว อันนั้นรู้น่า ทำไม กลัวใครเขาไม่ให้ความเชื่อถือเหรอ น่า…อีกไม่นานพอมินเรียนจบ กลับมาทำงานเป็นเรื่องเป็นราวเต็มตัว พิสูจน์ฝีมือให้ดูแล้ว ใครๆ ก็ยอมรับได้แน่ น้องชายพี่เมธิกับพี่ลัลน์เสียอย่าง”

“ไม่เคยเข้าใจมินเลยนะลัลน์” มินบ่นแล้วหันกลับไปสนใจงาน ไม่ยอมต่อล้อต่อเถียงอะไรลัลน์อีก

“โธ่มินก็ ไหนให้พี่ช่วยอะไรได้บ้าง” ลัลน์อ้อนกึ่งง้อ แล้วเดินตามแหย่เขาไปเรื่อยๆ แม้จะพยายามทำใจแข็งแต่สุดท้ายมินก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อนกับลัลน์ หันไปส่งยิ้มนิดๆ ที่มุมปากและยอมตอบรับเป็นคำๆ

…ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาไม่เคยใจแข็งกับลัลน์ได้เลย…

อากาศที่เย็นจัดและชื้นน้ำค้างทำให้มินเริ่มไม่สบายใจเพราะเป็นห่วงคนที่เขารัก

“ดึกแล้ว น้ำค้างลง…หนาวด้วย ขึ้นบ้านไปนอนเถอะลัลน์”

“ขึ้นสิ แต่รอมินก่อนไง” ลัลน์ตอบโดยไม่หันไปมอง มือขยับช่วยคนงานเก็บของ

เสื้อกันหนาวตัวใหญ่หนาถูกคลุมลงมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คุ้นเคยโอบล้อมเธอเอาไว้อย่างอบอุ่นเช่นเดียวกับกระไอที่หลงเหลืออยู่ของเจ้าของเสื้อ ลัลน์อมยิ้มอยู่คนเดียวโดยไม่รามือจากงานที่ทำอยู่แม้แต่น้อย

“เจี๊ยบๆ ตรงนั้นน่ะเอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้” เสียงของมินที่ตะโกนบอกคนงานทำให้รู้ว่าเขาขยับก้าวห่างออกไปพอสมควร

ลมหนาวกลางดึกที่ปะทะจนแก้มเย็นทำให้ลัลน์นึกห่วงคนใจดีที่สละเสื้อให้ แต่ก็รู้ดีว่าเสียเวลาจะส่งคืน…บางครั้งก็ต้องยอมรับว่ามินดื้อยิ่งกว่าเธอ…ทางที่ดีเธอควรเร่งมือช่วยเขาทำงานจะดีเสียกว่า เพราะไม่ว่าเธอหรือน้องชายต่างก็ไม่มีใครยอมทิ้งใครให้ทำงานคนเดียวแล้วตัวเองหนีไปนอนสบายแน่ๆ

ฮัดชิ้ว! เสียงจามของลัลน์เรียกให้มินหันกลับมามองอย่างไม่ชอบใจ ข้าวของที่เก็บเกือบเรียบร้อยแล้วทำให้เขาตัดสินใจจะรามือเสียทีเพราะห่วงเธอมากกว่า แม้ไม่อยากทิ้งให้คนงานต้องทำงานกันเองแล้วตัวเองหนีไปนอนสบายก่อนก็ตาม

ลัลน์จะเป็นหวัดเอาได้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ก็แล้วกัน

“พี่คำตาจดโน้ตบอกป้าแสงทีว่าพรุ่งนี้ขอข้าวต้มหมูสับเป็นมื้อเช้าเน้อ” มินวานคำตาให้ช่วยบอกแม่ครัวสูงวัยประจำบ้านใหญ่ซึ่งตอนนี้เข้านอนเรียบร้อยแล้ว

“อ้าว น้องมินอยากกินข้าวต้มหรือเจ้า เมินๆ จะอยากกินเนาะ” คำถามของคำตาทำให้ลัลน์หัวเราะเบาๆ

“ขำอะไร ตัวเองน่ะไปนอนได้แล้ว” มินหันไปเอ็ดเบาๆ พร้อมกับเอื้อมมือมาแย่งตะกร้าที่ลัลน์ถือไปส่งให้คนงานที่อยู่ใกล้ๆ

…มินไม่ชอบข้าวต้ม…ไม่ชอบน้ำซุปร้อนๆ แล้วก็ชอบบ่นว่าเวลากินแต่ละทีต้องเป่ารอให้เย็นเสียเวลา จะกินเลยก็ปากพอง แต่ลัลน์ชอบที่สุด…

ฮัดชิ้ว! ลัลน์ไม่ทันได้ตอบอะไรก็ต้องจามอีกครั้ง เธอยกหลังมือขยี้จมูกตัวเอง

“จามอีกแล้ว หวัดเรียกหาแน่ๆ ไปเถอะ มินง่วงแล้ว” ท่าทางไม่ยอมเลิกทำงานง่ายๆ ทั้งที่สภาพร่างกายเริ่มไม่ไหวของลัลน์ทำให้มินตัดใจหาเหตุให้เธอวางมือเสียที

ลัลน์มองไปรอบๆ แล้วก็เห็นว่าน่าจะรามือได้แล้วจึงตัดสินใจพยักหน้า เธอรู้ว่าน้องชายเป็นห่วงเธอและรู้อีกเหมือนกันว่ามินเองก็เป็นห่วงคนงาน…นิสัยอย่างหนึ่งของครอบครัวเธอคือเวลาทำงานจะเป็นคนลงมือก่อน และเวลาเสร็จให้เป็นคนสุดท้าย จะไม่ทิ้งคนที่ล่มหัวจมท้ายทำงานกับเรา…

“พี่ไปนอนแล้วก็ได้ คนไม่ง่วงอย่ามาทำเป็นอ้างเลย แต่ว่าต้องเอาเสื้อคืนไป หนาวจะแย่ เดี๋ยวไม่สบาย ไม่งั้นพี่ไม่เข้าบ้านนะ” ลัลน์ดักคอแล้วถอดเสื้อคืนให้กับมินที่ยิ้มแล้วพยักหน้ารับกลายๆ

“อย่าดึกนักนะมิน อีกนิดเดียวก็พอได้แล้ว ที่เหลือไว้เก็บพรุ่งนี้เช้าเถอะ”

“ครับผม ราตรีสวัสดิ์นะลัลน์” มินบอกโดยที่ลัลน์ก็บอกกลับไปเช่นกัน เขามองส่งจนร่างของเธอหายลับเข้าไปในบ้าน แล้วหันไปรีบลงมือจัดการทำงานให้เสร็จอย่างรวดเร็ว

 

ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: