บทที่หนึ่ง
นานแสนนานมาแล้ว ตอนที่ท่านเจ้าบ้านสกุลซูยังเป็นเพียงทหารเฝ้าประตูเมือง ก่อนนอนในแต่ละคืนจะต้องพูดคุยตามประสาพ่อลูกกับลูกสาวสุดที่รัก ซูเสี่ยวเตา…
‘โอ๋ๆ ลูกพ่อ ไม่ต้องกลัวๆ สกุลซูเรามีคำสอนประจำตระกูลอยู่ว่าปัญหาใหญ่แก้ได้ด้วยหมัดใหญ่! เสยหมัดตะบันหน้าเจ้าเด็กบ้าพวกนั้นน่ะถูกต้องแล้ว พ่อจะหนุน…หลังเจ้าเอง!’
…นายท่าน คราวหน้ารบกวนเว้นวรรคให้ถูกหน่อยได้หรือไม่
ป้าอาฮวาแม่นมที่อยู่ข้างนอกได้ยินแล้วสะดุ้งเฮือก
ต่อมาเมื่อท่านเจ้าบ้านสกุลซูอาศัย ‘หมัดใหญ่’ ทวนอสรพิษจั้งแปด ตลอดจนวิชาป้องกันตัวอย่างวิชาสิบสามองครักษ์ วิชาระฆังทอง วิชาเสื้อเกราะเหล็ก ไต่เต้าขึ้นมาดำรงตำแหน่งหนึ่งในนายกองของสิบแปดกองกำลังพิทักษ์ชายแดนตะวันตก บทสนทนาก่อนนอนตามประสาพ่อลูกกับลูกสาวสุดที่รักก็เปลี่ยนเป็น…
‘โอ๋ๆ ลูกพ่อ อย่าโมโหๆ เป็นหญิงแล้วอย่างไรเล่า ทีหลังเจ้าก็ถามไอ้เด็กนั่นสิว่า ‘แม่เจ้าไม่ใช่หญิงหรือไรกัน’ พอถามเสร็จก็ถีบหว่างขามันเลย พ่อจะหนุนหลังเจ้าเอง!’
…นายท่าน แน่ใจหรือว่าสั่งสอนเช่นนี้เหมาะแล้ว
ป้าอาฮวาแม่นมที่อยู่ข้างนอกได้ยินแล้วพลันหน้ามืดตาลาย
แต่ในบ้านมีคนน้อย ขาดแคลนบ่าวไม่มีสาวใช้ ป้าอาฮวายุ่งตัวเป็นเกลียว ไหนจะต้องหุงข้าวซักผ้า ไหนจะต้องเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ อยากหาโอกาสจับคุณหนูมาอบรม ‘หลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม*ของสตรี’ เพื่อหักล้างแนวคิดผิดเพี้ยนที่นายท่านสั่งสอนเอาไว้ทีไร คุณหนูเป็นต้องตามนายท่านไป ‘ชม’ ขั้นตอนการฝึกทหารที่ค่าย หรือไม่ก็นำพวกเด็กๆ แถวบ้านออกไปก่อเรื่อง…ไม่สิ…ออกไปเล่นสนุก ป้าอาฮวาเลยทำได้แค่มองตามแผ่นหลังคุณหนูแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่เท่านั้น
ไม่ได้การ จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ปีนี้คุณหนูก็อายุแปดขวบแล้ว หากยังไม่สั่งสอนอีกจะสายเกินไป
ในที่สุดคืนนี้ป้าอาฮวาก็รวบรวมความกล้า ตั้งใจว่าจะเข้าไปในห้องแล้วปฏิบัติหน้าที่แม่นมของตนให้เต็มกำลัง
แต่เพิ่งจะก้าวเท้าแล้วเห็นนายท่านนอนคว่ำอยู่บนเตียงราวกับหมีตัวใหญ่ ลูบหัวคุณหนูอย่างรักใคร่ทะนุถนอมเพื่อกล่อมลูกสาวให้หลับ หัวใจนางก็อ่อนยวบลงทันใด
ช่างเถิดๆ ไม่ต้องสนใจหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมอะไรนั่นหรอก ขอเพียงนายท่านกับคุณหนูมีความสุขก็พอแล้ว…
“ท่านพ่อร้องเพลงนั้นกล่อมอาเตานอนอีกได้หรือไม่” ดวงตาเป็นประกายสุกใสบนใบหน้าจิ้มลิ้มสีชมพูระเรื่อของซูเสี่ยวเตามองบิดาอย่างชื่นชมบูชาพลางแย้มยิ้ม “อาเตาอยากฟัง”
“หา? เอ่อ…ดะ…ได้สิ” ซูเถี่ยโถวทำท่าเก้อเขินเล็กน้อย ก่อนจะกระแอมให้คอโล่ง โดยไม่ลืมหันไป ‘เหลือบ’ ตามองป้าอาฮวาทีหนึ่ง “อ่ะแฮ่ม!”
ป้าอาฮวาสะดุ้งโหยง รีบร้อนปิดประตูถอยออกมาโดยไม่รอช้า
ดวงตาซูเถี่ยโถวฉายแววพอใจ มือใหญ่ดุจพัดใบลานตบร่างลูกน้อยเบาๆ จากนั้นก็ส่งเสียงร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี
“น้องสาวอยู่บนเขาฝั่งโน้น ตัวพี่อยู่บนเขาฝั่งนี้ หน้าน้องงามดังดวงจันทร์ ส่วนพี่นั้นสูงสง่าดุจต้นสน เอิงเอยๆ เรียกเจ้าว่าน้องสาวเจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธเคือง พี่จะข้ามเขาไปหาโอบเอวเจ้ามาเคียงคู่ครองเรือน รักมั่นสมัครสมานเนิ่นนานจนผมหงอกขาว เอิงเอยๆ…”
ท่ามกลางเสียงร้องเพลงภูเขาเก่าแก่ของชายแดนตะวันตกที่คนแถบนี้คุ้นหูและร้องได้ทุกคน ซูเสี่ยวเตาตัวน้อยค่อยๆ เข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันอย่างเป็นสุข
กิจวัตรเช่นนี้ดำเนินไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า จวบจนเด็กหญิงตัวน้อยมีอายุครบสิบหกปีที่สามารถออกเรือนได้ ไม่เหมาะให้ซูเถี่ยโถวขึ้นไปนอนร่วมเตียงร้องเพลงกล่อมลูกที่เป็นสาวเต็มตัวอีกต่อไป เสียงร้องมรณะที่ดังขึ้นในบ้านสกุลซูทุกคืนถึงได้สิ้นสุดลง
“อมิตาภพุทธ ครานี้จะได้นอนสบายเสียที”
ป้าอาฮวารู้สึกขอบคุณสวรรค์เหลือเกิน