ซูเสี่ยวเตาไม่คิดเลยว่าบุรุษที่ดูป้อแป้อ่อนแอเช่นเขาจะแรงเยอะถึงเพียงนี้ มือใหญ่บีบแน่นราวกับคีมเหล็กจนนางขยับมือไม่ได้ พยายามสลัดอยู่หลายครั้งก็สลัดไม่หลุด
แต่ใจที่อยากช่วยบิดา ‘เกณฑ์ทหาร’ ก็ยิ่งกระตือรือร้นขึ้นมาเช่นกัน ขนาดมือถูกบีบจนเจ็บนิดๆ ยังไม่โกรธเคือง อีกทั้งยังถามด้วยความตื่นเต้น
“นี่ ในเมื่อเจ้าชอบชายแดนตะวันตกถึงเพียงนี้ แล้วเคยคิดหางานทำอย่างจริงจังหรือไม่ จะได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขมั่นคงอย่างไรเล่า”
“เหตุใดแม่นางถึงได้ถามเช่นนี้” เขาปล่อยมือออก ทำหน้าหวาดระแวงมองเด็กสาวที่ตาเป็นประกาย พลางสะท้านใจน้อยๆ
“คืออย่างนี้” พูดไปได้ไม่ทันไร นางก็ยกมือขึ้นโอบไหล่เขาอย่างถือวิสาสะ พร้อมหัวเราะหึๆ “ภาษิตว่าเหล็กดีต้องเอามาทำตะปู บุรุษที่ดีต้องเป็นทหาร เคยคิดจะเข้ากองทัพรับใช้ราชสำนัก แล้วเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรผู้ปกป้องผืนแผ่นดินในอนาคตบ้างหรือไม่”
“…” เขาอึ้งไปโดยสิ้นเชิง
“พี่สาวมีเส้นสายที่ช่วยเจ้าได้ รับประกันความสำเร็จเต็มร้อย” นางใช้คำพูดล่อลวงเด็ก…เอ๊ย หาทหารใหม่ๆ มาให้กองทัพสกุลหร่วนต่อไป “ทหารเกณฑ์ใหม่ยังจะได้รับเบี้ยหวัดขั้นต่ำสองตำลึง มีอาหารให้กินสามมื้อ อีกทั้งยังมีกิจกรรมรื่นเริงนอกสถานที่อย่างล่าสัตว์หรือหาของป่า นอกจากนั้นหากได้รับคัดเลือกให้เข้ามาอยู่ใต้การบังคับบัญชาของนายทัพแนวหน้าปีกขวาซูเถี่ยโถว ยังจะได้รับภาพเหมือนหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครเหมือนของนายทัพซูอีกใบ เป็นอย่างไร”
“…” เขายังคงเงียบอึ้งอยู่เช่นนั้น
“เป็นอย่างไรๆ น่าสนใจมากเลยใช่หรือไม่”
“ไม่ทราบว่านายทัพซูเป็นอะไรกับแม่นาง…”
“เขาเป็นท่านพ่อของข้า” นางรับอย่างเปิดเผยพลางหัวเราะหึๆ
ที่แท้ก็อย่างนี้ หร่วนชิงเฟิงเข้าใจในทันที
มิน่าเล่า เขาถึงได้รู้สึกว่าเด็กสาวตรงหน้ามีบุคลิกคล้ายนายทัพแนวหน้าบางนายในงานเลี้ยงคืนนี้อย่างยิ่งยวดทีเดียว ล้วนแต่โผงผางตรงไปตรงมาด้วยกันทั้งคู่ ที่แท้ก็ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น…
หร่วนชิงเฟิงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
“เฮ้อ…” เขานวดหว่างคิ้ว ทั้งที่ปวดเศียรเวียนเกล้า แต่ไม่รู้เหตุใดมุมปากถึงได้ยกขึ้นนิดๆ
“ตัดสินใจได้หรือยัง” นางจ้องเขาเขม็ง
“ขอขอบใจความปรารถนาดีของแม่นาง แต่ผู้น้อยเป็นลูกโทนของบ้าน ต้องสืบทอดกิจการวงศ์ตระกูล น่ากลัวว่าจะเข้าเป็นทหารใต้อาณัติของนายทัพซูไม่ได้”
“คนปัญญาอ่อนอย่างเจ้าก็สืบทอดกิจการวงศ์ตระกูลได้ด้วยหรือ” นางถึงกับตาค้าง
“ใครบอกแม่นางว่าข้าปัญญาอ่อน” เขาเลิกคิ้ว เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“หา? เจ้าไม่ได้ปัญญาอ่อนหรือ”
“ข้าแสดงหลักฐานมากพอให้แม่นางแน่ใจว่าข้าปัญญาอ่อนตั้งแต่เมื่อไรกัน หือ?”
บรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไปแทบเป็นคนละคน จากคุณชายหยิบโหย่งเจ้าสำราญกลายเป็นชายหนุ่มองอาจทรงอำนาจน่าเกรงขาม โดยเฉพาะคิ้วหนาตวัดหางเฉียงขึ้นและนัยน์ตาสีดำแวววาว หัวใจนางดีดตัวทีหนึ่ง แล้วเต้นแรงขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ซูเสี่ยวเตาพลันพบว่าหัวสมองมีแต่ความว่างเปล่า เค้นคำพูดไม่ได้แม้แต่คำเดียว สักพักใหญ่ถึงค่อยพึมพำออกมา “เอ่อ…ก็ที่เจอกันเมื่อตอนกลางวันเหมือนมากเลยนี่นา…”
“เช่นนั้น…” เขาคลี่ยิ้ม แล้วโน้มร่างสูงใหญ่เข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบชนกัน แผ่ความกดดันและกลิ่นอายห้าวหาญสมชาย น้ำเสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์อย่างยากจะบรรยาย “ตอนนี้เล่า”
นางสัมผัสได้ว่าใบหูทั้งสองข้างร้อนวูบวาบไปหมด ดวงตาสุกใสกะพริบถี่ๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก “ตะ…ตะ…ตอนนะ…นี้…”
รอยยิ้มในนัยน์ตาลึกล้ำชัดเจนขึ้น ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ากระทบใบหูเล็กเบาๆ “เจ้ากลัวหรือ”
เรื่องอะไรข้าต้องกลัวด้วย! นางอยากย้อนกลับไปเช่นนี้ แต่หัวใจเต้นเร็วเหลือเกิน อีกทั้งไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้แข้งขาอ่อนยวบ