บอกตามตรง นางไม่ได้กลัว แต่…แต่ใจมันสั่น อกมันหวิว หัวมันหมุน…อ๊ะ เพราะว่าเขาเข้ามาใกล้เกินไปนั่นแหละ นางถึงได้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง!
“จะ…เจ้าเอาหน้าไปห่างๆ หน่อย!” นางยกมือดันหน้าเขาออกไป “ข้าจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว”
หร่วนชิงเฟิงไม่อยากเชื่อเลยว่าใบหน้างดงามคมคายที่กระชากหัวใจหญิงสาวในเมืองหลวงมานับไม่ถ้วนของตนจะต้องมาถูกเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่ง ‘ผลักไส’ โดยแรงอย่างไร้ความลังเลและไร้เยื่อใย
เพราะมัวแต่ตกตะลึงจังงัง เมื่อซูเสี่ยวเตาพูดทิ้งท้ายว่า “ไม่ใช่คนปัญญาอ่อนแต่ดันมาหลอกคนปัญญาอ่อนอย่างข้าให้เลี้ยงเกี๊ยว เจ้ามันทุเรศจริงๆ” และสะบัดหน้าเดินจากไป เขาเลยไม่ทันได้เหนี่ยวรั้งนางไว้แล้วอธิบายให้ฟัง จนกลายเป็นปัญหายุ่งยากในกาลต่อมาที่ทำให้ความเข้าใจผิดยิ่งร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ
แต่นั่นเป็นเรื่องราวในภายหลัง
ที่สำคัญก็คือเมื่อเขาได้สติกลับมาก็พบว่าตอนนี้ดึกมาก ประตูเมืองปิดไปแล้ว ไม่สามารถกลับไปที่ค่ายนอกเมืองได้ และคืนนี้เขาก็ไม่อยากกลับจวนแม่ทัพสงบประจิมไปผจญกับ ‘นางบำเรอ’ ที่บิดายัดเยียดให้ติดตามมาด้วย สายตาของหญิงสองคนนั้นหิวกระหายราวกับหมาป่าเห็นเนื้อก็ไม่ปาน
“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วดึงพัดสีขาวจากในอกเสื้อมาเคาะไหล่เล่นอย่างอ่อนใจ พลางพึมพำ “หนทางแห่งการรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องยังอีกยาวไกลนัก…”
คืนนั้นซูเสี่ยวเตาแอบปีนกำแพงกลับเข้าบ้าน โชคดีซูเถี่ยโถวผู้ดื่มจนเมามายถูกทหารในกองกำลังส่วนตัวหามกลับบ้านมาเรียบร้อยแล้ว ป้าอาฮวาเลยสาละวนอยู่กับการต้มน้ำแกงสร่างเมากับต้มน้ำสำหรับอาบให้เจ้านายจนปลีกตัวไม่ได้ ยังผลให้ไม่อาจสานต่อแผนการจับคุณหนูของตนมา ‘อบรมวิถีกุลสตรี’
พอกลับเข้าห้องตนเองแล้วนึกถึงคนทุเรศที่ได้เจอในวันนี้ขึ้นมา นางก็โมโหจนต้องวิ่งโร่ออกไปห้องเก็บฟืน หาฟืนท่อนยาวที่มีส่วนคอดส่วนโค้งมาปิดกระดาษขาวลงไป วาดเป็นรูปเต่าใส่เสื้อคลุมขนฟูแล้วจับวางพิงผนังห้อง จากนั้นก็เขวี้ยงมีดบินใบหลิวใส่อยู่ประมาณครึ่งชั่วยามถึงค่อยพอหายโมโห สามารถไปอาบน้ำเข้านอนได้อย่างสบายใจ
เมื่อตื่นนอนในเช้าวันถัดมา ซูเสี่ยวเตาผู้มีความคิดเรียบง่ายมาแต่ไหนแต่ไรก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปเกือบหมดแล้ว นางไปนั่งกินข้าวเช้ากับท่านพ่อของตนอย่างเริงร่า ซดโจ๊กข้าวฟ่างร้อนๆ กินกับต้นกระเทียมผัดเนื้อและไช้เท้าดองรสเผ็ดอย่างเอร็ดอร่อย
ซูเถี่ยโถวผู้มีรูปร่างบึกบึนกำยำราวกับราชาภูเขามองลูกสาวสุดที่รักด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู พลางถามอย่างอารมณ์ดี “ลูกพ่อจะกินหมั่นโถวอีกสักสองสามลูกหรือไม่ หรือจะให้อาฮวานึ่งซาลาเปาไส้เนื้อมาสักเข่งดี?”
วันนี้ซูเสี่ยวเตาถูกป้าอาฮวาบังคับแต่งตัวเสียอ่อนหวาน ผมทำเป็นทรงหงส์เหิน สวมชุดสีเหลืองอ่อนตัดกับผ้าคาดเอวสีเขียวใบหลิว ขับเน้นใบหน้าดวงเล็กให้ยิ่งดูน่ารักน่าชังราวกับดอกบัวตูม น่าเสียดายที่ใบหน้าดวงนั้นแทบฝังอยู่ในชามโจ๊ก มือซ้ายถือหมั่นโถวขนาดใหญ่ที่กินไปเป็นลูกที่สาม ส่งเสียงเคี้ยวหงับๆ แตกต่างกับรูปลักษณ์ภายนอกราวฟ้ากับเหว
แต่ในสายตาของซูเถี่ยโถว ไม่ว่ามองอย่างไรลูกสาวของตนก็ยังน่ารักมากๆ อยู่ดี
“ท่านพ่อ” นางเคี้ยวหมั่นโถวหมดลูกภายในไม่กี่คำก็ยกชามโจ๊กซดจนเกลี้ยงและใช้มือเช็ดปาก ก่อนจะบอกอย่างเริงร่า “วันนี้รอข้าด้วยนะ ข้าจะไปค่ายกับท่าน เมื่อวานแข่งประลองยุทธ์กับพวกพี่โจวจื่อยังไม่เสร็จเลย”
“จะมีปัญหาอะไร…เอ่อ…” ซูเถี่ยโถวหัวเราะพลางตอบรับ แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่านายใหญ่แห่งกองทัพผู้ถืออำนาจปกปักรักษาชายแดนอย่างเป็นทางการมาถึงแล้วเมื่อวาน ช่วงนี้ทุกคนจึงระวังตัวแจ รักษากฎระเบียบในค่ายอย่างเคร่งครัด จึงไม่อาจให้ลูกสาวเข้านอกออกในตามใจชอบอย่างที่แล้วมาอีก หนำซ้ำ…
เห็นบิดามีสีหน้าลำบากใจ นางก็ใจหายวาบ รีบถามขึ้นทันที “เกิดอะไรขึ้น หรือว่าพวกเผ่าอี๋ตะวันตกเคลื่อนไหวอีกแล้ว จะรบกันแล้วหรือ”