นับจากสงครามใหญ่บนเขาซีอู่เมื่อสิบปีก่อนเป็นต้นมา กองทัพสกุลหร่วนอันเกรียงไกรก็ขับไล่พวกเผ่าอี๋ตะวันตกให้ถอยร่นไปถึงหนึ่งพันลี้ หลายปีมานี้พวกเผ่าอี๋ตะวันตกจึงทำได้แค่ก่อความวุ่นวายและศึกเล็กๆ ไม่ได้ทะเยอทะยานอยากยึดครองชายแดนตะวันตกอีกต่อไปแล้ว
แต่ถึงอย่างไรซูเสี่ยวเตาก็คลุกคลีอยู่ในค่ายมานานปี พอจะรู้ข่าวทางการทหารที่ไม่ใช่ข่าวลับอยู่บ้าง เห็นว่าปีนี้ชนเผ่าอี๋ตะวันตกแล้งหนัก เก็บเกี่ยวพืชผลได้น้อย ม้าวัวขาดแคลน หากชาวเผ่าอี๋ตะวันตกเลือกที่จะเคลื่อนไหวในเวลานี้ก็ไม่แปลก
“ลูกพ่อไม่ต้องกังวลไป” ซูเถี่ยโถวเกรงลูกสาวจะเสียขวัญ ประกอบกับไม่อาจแพร่งพรายข่าวทางการทหารที่แท้จริง จึงเลือกอ้างอิงเรื่องที่เชื่อถือได้ “แค่ว่าช่วงนี้แม่ทัพสงบประจิมเพิ่งมารับช่วงกองทัพสกุลหร่วนอย่างเป็นทางการ สิบสองค่ายใหญ่ทางตะวันออกและตะวันตกต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด ท่านแม่ทัพใหญ่กล่าวว่าอีกเจ็ดวันให้หลังจะมาดูการซ้อมรบของทหารกองต่างๆ ในค่าย เพื่อคัดเลือกสามกองที่มีฝีมือเก่งกาจที่สุด…แค่กๆ สรุปก็คือต่อจากนี้เจ้าหนุ่มนั่นคงประลองยุทธ์กับเจ้าอีกไม่ได้แล้ว”
ไม่รู้ว่าพูดอ้อมเสียขนาดนี้ ลูกสาวจะฟังเข้าใจหรือไม่
“ท่านพ่อ ท่านกลัวว่าข้าเข้าไปในค่ายแล้วท่านแม่ทัพใหญ่เจอเข้าจะถูกลงโทษตามกฎทหารอย่างนั้นหรือ” ความคิดของนางแล่นวาบแล้วถามอย่างรู้ทัน
“โถ นึกอยู่แล้วเชียวว่าลูกสาวของพ่อฉลาดเฉลียวเป็นที่สุด พูดแค่นี้ก็เข้าใจ” ซูเถี่ยโถวยิ้มแย้มอย่างยินดีปรีดา
“ท่านพ่อ ถ้าอย่างไรข้าจะหาโอกาสเข้าพบท่านแม่ทัพ ขอร้องให้เขาพิจารณาฝีมือข้าดู หากผ่านเกณฑ์จะได้เข้าเป็นทหารหญิงในกองทัพสกุลหร่วน” เด็กสาวตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “โธ่เอ๊ย เหตุใดข้าถึงไม่คิดได้ให้เร็วกว่านี้นะ โง่จริงๆ เลย!”
ซูเถี่ยโถวตกใจจนหัวใจแก่ๆ แทบจะกระเด้งออกจากปาก “ไม่ๆ ไม่ได้ๆ กองทัพไม่ใช่ที่ที่น่าอยู่แต่อย่างใด มองไปทางไหนก็มีแต่ทหารตัวเหม็นหึ่ง หากเจ้าได้กลิ่นแล้ววิงเวียนจะทำอย่างไร”
อีกอย่างกองทัพสกุลหร่วนใช่ว่านึกจะเข้าก็เข้าได้ง่ายๆ เสียเมื่อไรเล่า หากไม่ได้ฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างหนัก บากบั่นจนข้ามภูเขาศพมาได้ จะไม่มีทางยืนในนั้นได้อย่างมั่นคงแม้แต่วันเดียว!
ลูกสาวตัวเล็กนุ่มนิ่มหอมกรุ่นของเขาจะเดินบนเส้นทางมหาภัย รับมือกับความลำบากยากเข็ญเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า
“ลูกพ่อ ฟังนะ ปกติเจ้าทำตัวเป็นยอดหญิงข่มเหงบุรุษ…แค่กๆ…ข้าหมายความว่าปกติเจ้ารำดาบควงทวนให้ร่างกายแข็งแรงนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่การศึกสงครามไม่ได้น่าสนุกแต่อย่างใด หากเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ แล้วเจ้าออกรบร่วมกับกองทัพ ต่อให้พ่อมีหัวใจสักร้อยดวงก็แตกสลายจนไม่เหลือหรอก” ใบหน้าคร้ามเข้มของซูเถี่ยโถวซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
“แต่ท่านพ่อเคยพูดเสมอว่าการปกป้องบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของคนทุกผู้ไม่ใช่หรือ” นางทักท้วง “อีกอย่างท่านก็สั่งสอนข้ามาเองกับมือ หรือว่าท่านไม่มั่นใจใน ‘สามสิบหกกระบวนท่าดาบเบิกภูผา’ ของสกุลซูเรา”
ผู้เป็นพ่ออับจนด้วยคำพูดในทันใด
“ข้าไม่กล้าพูดว่าศึกษาเคล็ดวิชาดาบชุดนี้จนเข้าใจถ่องแท้ แต่อย่างน้อยๆ ก็เรียนรู้มาสักหกถึงเจ็ดส่วนล่ะน่า” นางทำหน้าห้าวหาญ ก่อนจะตบหน้าขาตนเองอย่างฮึกเหิม “ท่านพ่อ ชายชาตรีจะได้ทดแทนคุณแผ่นดินและสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลก็ขึ้นอยู่ที่ได้ออกรบนี่แหละ!”
“ประเด็นคือ…เจ้าเป็นสตรี” ซูเถี่ยโถวพึมพำเบาๆ
นางตวัดตามองมาอย่างดุดันทันที “อะไรนะ”
“ปะ…เปล่า…” ผู้เป็นพ่อกลืนน้ำลาย แล้วรีบยิ้มประจบ “เหตุใดพ่อจะไม่รู้ว่าลูกสาวพ่อมีปณิธานยิ่งใหญ่ ทั้งยังมั่นใจในเพลงดาบสกุลซูเราอย่างมาก…”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเอาดาบมาเดี๋ยวนี้เลย” เด็กสาวพูดพลางลุกพรวด ทำท่าจะวิ่งออกไปข้างนอกอย่างตื่นเต้น
ซูเถี่ยโถวตกใจจนเหงื่อท่วม ร้อนใจดังไฟลนจนทำอะไรไม่ถูก โชคดีป้าอาฮวายกหม้อพุทราแดงต้มลำไยเข้ามาทันการณ์ นางเอ่ยถามว่า “นั่นคุณหนูจะไปที่ใดเจ้าคะ”
เท้าของซูเสี่ยวเตาชะงักอยู่กลางทาง ความคิดในใจต่อสู้กันหนึ่งยก สุดท้ายก็เดินไหล่เหี่ยวคอตกกลับมายิ้มแหยๆ “แม่นม ข้ากินจนอิ่มแปล้ ขอออกไปเดินย่อยสักสองรอบ เดี๋ยวก็กลับ”
“อาฮวา เจ้ามาพอดี” ซูเถี่ยโถวทำราวกับหญิงสาวผู้ถึงคราวคับขันแล้วเจอคนผ่านมาช่วยพอดี แทบอยากจับมือแม่นมไว้แล้วหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง “ระยะนี้กองทัพงานยุ่ง เจ้าช่วยอยู่กับคุณหนูให้มากๆ แทนข้าที หากว่างๆ ก็ทำของอร่อยๆ มาบำรุงนาง ดูสิ แขนขานางเล็กจะเท่าไม้เขี่ยไฟอยู่แล้ว น่าสงสารอะไรอย่างนี้ ข้าเห็นแล้วปวดใจยิ่งนัก”
ซูเสี่ยวเตาก้มลงมองแขนขาตนเอง
เล็กมากเลยหรือ ก็ไม่นี่นา เมื่อวานข้ายังใช้ ‘แขนขาเล็กๆ’ นี้จัดการพี่โจวจื่อไปหนึ่งยกก่อนจะเปลี่ยนเป็นดาบเล่มใหญ่…