หลายปีมานี้ท่านเจ้าบ้านสกุลซู ซูเถี่ยโถว ได้เลื่อนตำแหน่งพรวดพราด จากทหารรักษาประตูเมืองตัวเล็กๆ ในอดีตมาเป็นหนึ่งในนายกองผู้ห้าวหาญแห่งชายแดนตะวันตก ได้รับตำแหน่ง ‘นายทัพแนวหน้าปีกขวาประจำกองทัพสกุลหร่วนแห่งชายแดนตะวันตก’ อย่างเป็นทางการ
นายทัพแนวหน้าผู้นี้เก่งกล้าสามารถยิ่งนัก มีทหารห้าพันนายอยู่ใต้บัญชาการ ห้าร้อยนายในนั้นเป็นทหารประจำตัวที่ติดตามซูเถี่ยโถวอย่างจงรักภักดีมานานปี นับเป็นกองกำลังที่ซุ่มโจมตีได้คล่องแคล่วยืดหยุ่นที่สุดในค่าย
ยามนี้ทหารประจำตัวห้าร้อยนายของซูเถี่ยโถวกำลังยืนล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ส่งเสียงกู่ร้องอย่างตื่นเต้น…
“น้องสาวอัดมันเลย!”
“โจมตีเป้ามัน! โจมตีเป้ามัน!”
“วานรขโมยท้อ! ใช้กระบวนท่าวานรขโมยท้อ!”
นกนิสัยตามคนเลี้ยง ทหารนิสัยตามผู้บังคับบัญชาอย่างที่โบราณว่าไว้จริงๆ
“หนวกหู!” จากที่กำลังควงดาบเล่มใหญ่รุกไล่คู่ต่อสู้จนถอยกรูดอย่างคล่องแคล่วดุดัน ซูเสี่ยวเตาทนไม่ไหวอีกต่อไป นางปักปลายดาบลงกับพื้นดังฉึก ยกมือเท้าเอวตวาดลั่นอย่างหงุดหงิด “นี่เป็นการประลองยุทธ์อย่างเคร่งเครียดจริงจังนะ ทำราวกับข้ากำลังอัดคนตามตรอกเล็กๆ ไปได้ ถ้าอย่างไรก็เอากระสอบมาคลุมหัวอีกฝ่ายแล้วค่อยตีไปเลยสิ พวกเจ้าเห็นซูเสี่ยวเตาผู้นี้เป็นคนไร้ความละอายแก่ใจหรือไร!”
รอบตัวพลันเงียบกริบไปทันที ทุกคนไม่กล้าหายใจเสียงดังด้วยซ้ำ ต่างปิดปากเงียบเป็นจักจั่นฤดูหนาวแต่โดยดี
ซูเสี่ยวเตาในวัยสิบหกปีมีใบหน้าขาวเนียนราวกับหยก รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เรือนผมยาวสีดำสนิทขมวดมุ่นเป็นมวยซาลาเปาซ้ายขวาสองข้างอย่างน่าเอ็นดู ใบหูขาวผ่องห้อยต่างหูห่วงหยก ชุดสีเขียวอ่อนที่สวมอยู่ดูสดใสน่ารัก น่าเสียดายที่กิริยายกมือซ้ายเท้าเอว มือขวาปักดาบลงกับพื้นดูดุดันน่ากลัว ทำลายภาพรวมอันสดใสราวกับดอกบัวตูมนี้จนแทบหมดสิ้น
“แค่กๆ น้องสาว พวกพี่ๆ ก็แค่กลัวเจ้าเสียเปรียบเท่านั้นเอง” ทหารร่างกำยำนายหนึ่งลูบหัวตนเองเก้อๆ พลางยิ้มประจบ
“นั่นสิๆ พวกพี่ๆ ไม่มีเจตนาอื่น น้องสาวอย่าโกรธไปเลย!”
“ไอ้เจ้าจินซย่าหลิวคนนี้มันต่ำช้า รู้จักกระบวนท่าสกปรกหมดแหละ พวกพี่ๆ กลัวว่าเจ้าจะมัวแต่ห่วงประลอง แล้วเปิดช่องว่างให้มันใช้กระบวนท่าต่ำช้า ถ้าน้องสาวเพลี่ยงพล้ำจนเกิดบาดเจ็บไปจะทำอย่างไรเล่า”
“นั่นสิๆ จินซย่าหลิว หากน้องสาวผมหลุดแม้แต่เส้นเดียวล่ะก็ ระวังหนังเจ้าไว้ให้ดี!”
ชายร่างบึกบึนที่เป็นคู่ประลองของซูเสี่ยวเตาแทบร้องไห้ “นี่ๆ ไม่ต้องเรียกชื่อข้าบ่อยนักก็ได้ ข้าเองก็ไม่ได้อยากชื่อนี้เหมือนกันนั่นแหละ ข้าชื่อซย่าหลิวก็จริง แต่นิสัยไม่ต่ำช้า* เสียหน่อย!”
แค่ต้องมาประลองยุทธ์กับน้องสาวผู้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทุกคนก็เครียดจะตายอยู่แล้ว เจ้าบ้าพวกนี้ยังมาคอยซ้ำเดิมเขา มีมโนธรรมกันบ้างหรือไม่นะ
“ยังจะมาบอกว่าไม่ต่ำช้าอีก คราวก่อน ‘ภาพวังวสันต์* สิบสองม้วน’ ของอาจารย์ฮวาชุนซินที่ข้าอุตส่าห์ซื้อมาแพงๆ เจ้ายังเอาไปแล้วไม่คืนเลยไม่ใช่หรือ”
“อะไรคือคราวก่อน ข้าเพิ่งจะยืมจากเจ้าไปเมื่อวานซืน…”
“นั่นอย่างไร! ที่แท้เจ้าก็ยังไม่ได้คืน ข้าลงชื่อยืมเป็นคนที่สอง โจวจื่อรับปากไว้แล้วด้วย เร็ว รีบคืนมาเลย!”
“อะไรคือเจ้าเป็นคนที่สอง ข้าบอกกล่าวกับโจวจื่อไว้ตั้งแต่เมื่อแปดร้อยปีก่อนแล้ว คนที่สองคือข้าต่างหาก!”
“โจวจื่อ เจ้านี่มันเหลือเกินเลยจริงๆ หนังสือภาพเล่มเดียวรับปากจะให้ยืมไว้ทั้งหมดกี่คนกันแน่ เจ้าบอกข้าชัดๆ ว่าข้าเป็นคนที่สอง!”
ทหารที่ชื่อโจวจื่อหงอยไปถนัดตา เปลี่ยนสถานะจากชายหนุ่มกลายเป็นเป้าถูกรุมไปในทันที
เสียงเอะอะอึงคะนึงของพวกเขาทำเอาซูเสี่ยวเตาปวดหัว นางกลอกตาตลบใหญ่ ก่อนจะงึมงำกับตนเอง “อะไรกันนี่ เป็นบุรุษแท้ๆ แต่กลับพูดมากยิ่งกว่าสตรี ตอนนี้ยังจะประลองอีกหรือไม่”
ดูท่าคดีเลือดหนังสือภาพเริงโลกีย์จะไม่ยุติลงง่ายๆ นางจึงแบกดาบเล่มใหญ่เดินอาดๆ ออกจาก ‘ที่เกิดเหตุ’ แต่เพิ่งจะเดินออกมาจากค่ายก็เห็นภาพแปลกประหลาดที่ชวนให้ฉงนสงสัยอย่างยิ่งเข้าเสียก่อน…
“หือ?” นางกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็ขยี้ตา เพราะคิดว่าตนเองตาฝาด
ลมพัดแรง เมฆลอยลิ่ว ก้อนหญ้าที่ม้วนกลมๆ กลิ้งไปตามพื้นดิน
บุรุษร่างสูงสง่าผู้หนึ่งยืนปักหลักอยู่ด้านนอกค่าย ผมยาวดกดำมัดรวบไว้ด้วยรัดเกล้าหยก ดวงหน้ายิ้มละไมดูงดงามทรงเสน่ห์สะกดใจ เขาสวมชุดยาวสีน้ำเงิน คาดเอวด้วยเข็มขัดหยกขาว รองเท้าหนังกวางที่ใช้ดิ้นเงินดิ้นทองปักเป็นลวดลายงดงามเหยียบอยู่บนพื้นทรายสีเหลืองอย่างมั่นคงและงามสง่า
ที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้นคือเสื้อคลุมสีดำที่ห่มอยู่บนไหล่กว้าง ปักลายกล้วยไม้ป่าเล็กๆ ไว้ตรงขอบอย่างละเอียดประณีต ประดับคอปกด้วยขนจิ้งจอกเงินหายากที่ราคาแพงลิ่ว
ชายหนุ่มรูปงามยิ้มให้นางกว้างขึ้น เรียวปากสวยขยับน้อยๆ เพื่อเอ่ยอะไรบางอย่าง…