“คุณชายท่านนี้ ท่านมาผิดที่แล้วล่ะ!” ซูเสี่ยวเตาผู้เหมือนมีเส้นประสาทอยู่ในหัวแค่เส้นเดียวโพล่งออกไปโดยไม่ต้องคิด “หอหมื่นบุปผาซึ่งเป็นหอนางโลมที่ใหญ่และโด่งดังที่สุดของที่นี่อยู่บนถนนต้าตง จากประตูเมืองที่อยู่ด้านหลังท่านสามลี้เจอปากตรอกแรกให้เลี้ยวขวา ร้านที่แขวนโคมแดงเป็นพืด ดูเอิกเกริกสวยงามที่สุดนั่นแหละ อธิบายอย่างนี้จำได้หรือไม่ หรือจะให้ข้านำทางไป”
รอยยิ้มสะกดสายตาของชายหนุ่มรูปงามเจื่อนลงเล็กน้อย โชคดีที่เขาฝึกฝนมาจนแก่กล้า สีหน้าจึงกลับเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจเบาๆ พลางว่า “แม่นางเข้าใจผู้น้อยผิดแล้ว”
“จริงหรือ” นางกวาดตามองเครื่องแต่งกายบนร่างเขาอย่างฉงนสงสัย
เท่าที่นางประสบพบเจอมา บุรุษในชายแดนตะวันตกมักจะแต่งตัวสบายๆ ไม่พิถีพิถัน เมื่อใดที่แต่งตัวเต็มยศหรือพิถีพิถันเป็นพิเศษก็แสดงว่าถ้าไม่ไปร่วมดื่มสุรามงคลงานแต่งงานก็ต้องไปเที่ยวหอนางโลม คนที่อยู่ตรงหน้านางแต่งตัวสำรวยฉูดฉาด หากไม่เตรียมตัวไปเที่ยวสาวงามในหอคณิกาแล้วจะแต่งตัวเช่นนี้ด้วยเหตุใดกันเล่า
ชายหนุ่มรูปงามถูกนางกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าจนขนลุก อดจะกระแอมหนักๆ ไม่ได้ “แค่กๆ แม่นางโปรดสำรวมด้วย ผู้น้อยไม่ใช่คนเช่นนั้นจริงๆ”
“อ้อ” นางยักไหล่ “เอาเถิด”
อะไรคือเอาเถิด อีกทั้งยังใช้น้ำเสียงแบบขอไปทีเช่นนี้ด้วย
ปกติชายหนุ่มรูปงามมีความเป็นตนเองสูง ไม่สนใจไยดีคำพูดและสายตาคนอื่น แต่เด็กสาวอ้อนแอ้นบอบบางที่ประเมินจากสายตาว่าน่าจะสูงไม่ถึงปลายคางเขาคนนี้ เหตุใดสายตาตรงไปตรงมาและคมกริบของนางถึงได้…ถึงได้น่าโมโหเช่นนี้?
“ไม่ทราบว่าแม่นางเป็นใคร อยู่ในฐานะใด เหตุใดถึงมาอยู่ที่สถานที่สำคัญทางการทหารได้” รอยยิ้มของเขาเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย ขณะเลิกคิ้วดกหนาขึ้นสูงพลางเอ่ยถาม
“เกี่ยวอะไรกับท่านด้วยเล่า” นางทำหน้างงงัน
เขายิ้มอีกครั้ง ดวงตาเรียวเฉียงดุจเนตรหงส์เป็นประกายแวบหนึ่ง “ผู้น้อยแค่สงสัยเฉยๆ เลยถามดูเท่านั้น หากแม่นางไม่ประสงค์จะโต้ตอบ ผู้น้อยย่อมไม่บีบบังคับอยู่แล้ว”
“นี่ เป็นบุรุษอกสามศอกเอาแต่พูดเยิ่นเย้อยืดเยื้ออย่างกับเล่นคำพันลิ้นไปไยกัน” นางขมวดคิ้วฟังจนสมองแทบจะผูกปมพันกัน “ช่างเถิดๆ เอาเป็นว่าตามสบายแล้วกัน ข้าไปล่ะ”
ไม่ว่าเขาจะหลงทางแล้วเดินมาถึงค่ายโดยบังเอิญหรือมาที่ค่ายเพื่อทำธุระโดยเฉพาะ พี่ทหารท่าทางดุดันน่าเกรงขามหน้าประตูค่ายก็จะขวางเขาไว้แล้วสอบถามก่อนอยู่ดี
เจอเรื่องยุ่งเหยิงแต่เช้า เลยไม่ได้ยืดแข้งยืดขาตีกับคนให้เต็มที่เลย น่าหงุดหงิดใจเป็นบ้า ท่านพ่อรับคำสั่งเบื้องบนไปปฏิบัติราชการลับ หากนางกลับบ้านตอนนี้ก็มีแต่ต้องไปนั่งแกร่วกับแม่นม ไม่เช่นนั้นก็ถูกแม่นมจับตัวไปเรียนเย็บปักถักร้อย…
เด็กสาวสะท้านเฮือกใหญ่แล้วทำคอหดเมื่อคิดถึงสิ่งที่รออยู่ที่บ้าน
ฮึ เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกให้นานอีกนิดดีกว่า ไว้รอท่านพ่อเสร็จงานตอนเย็นแล้วค่อยกลับบ้านด้วยกัน
ซูเสี่ยวเตาแบกดาบเล่มใหญ่เดินไปทางประตูเมืองชายแดนตะวันตก นึกไม่ถึงว่าเสียงเรียกกลั้วหัวเราะจะดังขึ้นด้านหลัง
“แม่นาง”
“อะไร” นางหันกลับไปมอง
“ไม่ทราบว่าหอสุราที่ดีที่สุดในเมืองชายแดนตะวันตกไปอย่างไรหรือ” ชายหนุ่มรูปงามคลี่ยิ้มทรงเสน่ห์
แต่กลับดูมีจริตในสายตาของซูเสี่ยวเตา
คิ้วโก่งสวยขมวดแน่นขึ้น ขณะถามอย่างไม่เกรงใจ “นี่ท่านเกี้ยวข้าอยู่หรือ”
รอยยิ้มสะกดใจชะงักค้าง เขาถอนหายใจทีหนึ่ง “แม่นาง ผู้น้อยไม่ใช่คนเสเพลเช่นนั้น”
“ดูไม่ออกเลยแฮะ…” นางลูบคาง
“ถูกต้องแล้ว” กำลังจะยิ้มอย่างพึงพอใจก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเสียก่อน “เอ่อ…แม่นางพูดเช่นนี้…”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องมากความ ข้าจะบอกให้เดี๋ยวนี้” สิ่งที่นางกลัวที่สุดในชีวิตคือคนพูดน้ำไหลไฟดับด้วยภาษาปัญญาชน “หอสุราที่ดีที่สุดในเมืองชายแดนตะวันตกมีชื่อว่าหอบานสะพรั่ง เดินเข้าประตูเมืองแล้วเลี้ยวซ้ายตรอกแรกเข้าถนนใหญ่ฝั่งตะวันออก ร้านที่แขวนโคมไฟแดง ดูเอิกเกริกสวยงามที่สุดนั่นแหละ ร้านนี้เจ้าของเดียวกับหอหมื่นบุปผาเลยตกแต่งคล้ายๆ กัน มองปราดเดียวก็รู้แล้ว ข้าอธิบายอย่างนี้จำได้หรือไม่ แต่ถึงจำไม่ได้ข้าก็ไม่พาไปหรอก หอบานสะพรั่งนั่นน่ะ แค่ซาลาเปาธรรมดาๆ เข่งเดียวยังสามตำลึงเข้าไปแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละถึงจะยอมเข้าไปให้โดนโกง!”