“ถึงไม่มีใครเก็บไปลือก็ไม่มีคนกล้ามาสู่ขอข้าอยู่ดี” นางพูดอย่างหลงตนเอง “ข้าเป็นใคร ข้าน่ะลูกสาวของซูเถี่ยโถวเชียวนะ ต่อไปจะเป็นแม่ทัพหญิงที่สร้างคุณงามความดีเข่นฆ่าศัตรู แต่งงานไปไม่เท่ากับปล่อยให้ฝีมือยุทธ์ที่ข้ามีสูญเปล่าหรอกหรือ”
“คุณหนู…” ป้าอาฮวาแทบกระอักเลือดอยู่รอมร่อ
“อีกอย่างท่านพ่อก็เคยพูดไว้ ถ้าเป็นบุรุษที่สู้ข้าไม่ได้ แต่งงานไปก็เปล่าประโยชน์ ถ้าเป็นบุรุษที่สู้ข้าได้ ต่อไปเวลาสามีภรรยามีปากเสียงแล้วเกิดลงไม้ลงมือกันขึ้นมาข้าก็แย่สิ ดังนั้นท่านพ่อจึงเลือกให้ข้าไม่ต้องแต่งงานเช่นกัน” นางยิ้มระรื่นปลอบอีกฝ่าย “แม่นมอย่ากังวลไปเลย ต่อไปข้าจะรับหน้าที่เลี้ยงดูท่านกับท่านพ่อจนถึงบั้นปลายชีวิตเอง จะไม่ให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่นิดเดียว”
“คุณหนู…” ป้าอาฮวาอยากจะร้องไห้โฮ “อย่าพูดเช่นนี้สิเจ้าคะ…”
“ก็ได้ๆ ข้าไม่พูด ไม่พูดแล้วก็ได้” นางรีบประคองแม่นมไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว “โห เย็นนี้ทำอะไรกินเนี่ย หอมยิ่งนัก เดี๋ยวจะกินข้าวสักสามชามใหญ่ๆ ไปเลย”
ป้าอาฮวารู้สึกว่าอนาคตเบื้องหน้าดำมืดเหลือเกิน…
หลังกินข้าว แม่นมที่รวบรวมกำลังใจขึ้นมาใหม่เก็บล้างถ้วยชามจนเสร็จเรียบร้อยก็เข้าห้องไปรื้อ ‘บัญญัติสตรี’ กับ ‘จรรยาสตรี’ ที่ซุกไว้ก้นหีบนานเป็นโกฏิปีออกมา ตั้งใจว่าจะจับคุณหนูของตนมาค่อยพูดค่อยจาเกลี้ยกล่อมกันดีๆ ทว่าหาหน้าบ้านสามรอบ หาหลังบ้านอีกสามรอบก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคุณหนู
ในเวลาเดียวกันนั้น ซูเสี่ยวเตาแอบปีนกำแพงออกมาเรียบร้อยแล้ว กำลังมุ่งหน้าไปหากองหนุนที่หอบานสะพรั่ง รอท่านพ่อออกจากงานเลี้ยงแล้วกลับบ้านพร้อมกัน ทีนี้ต่อให้แม่นมไม่เต็มใจสักเพียงใดก็ต้องปล่อยนางไป
ถนนตะวันตกอันจอแจมีหอสุราร้านอาหารตั้งเรียงกันแน่นขนัด พอล่วงเข้ายามราตรี โคมแดงก็ส่องสว่างเป็นสาย ฉายแสงให้เห็นค่ำคืนอันสนุกสนานคึกคัก
นางเดินมาถึงประตูหน้าของหอบานสะพรั่งที่มีคนเดินเข้าออกไม่ขาดระยะ กำลังจะก้าวเข้าไปข้างในก็นึกถึงเงินในถุงเงินขึ้นมาเสียก่อน จึงคิดว่าช่างเถิด นั่งรออย่างอดทนอยู่ตรงเสาด้านหน้าก็แล้วกัน
“ไม่รู้ว่าเป็นงานเลี้ยงของขุนนางระดับสูงคนใดกันนะ รวยเหลือเกินจริงๆ ถึงกับมาจัดที่หอบานสะพรั่งเชียว” นางเอามือเท้าคาง กลิ่นหอมของสุราและอาหารเลิศรสจากข้างในลอยออกมากระทบจมูก ทั้งที่เพิ่งกินข้าวอิ่มเมื่อครู่ยังอดน้ำลายสอไม่ได้ “จะว่าไป ได้ยินว่าอาหารกับสุราของหอบานสะพรั่งรสชาติยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเนื้อตงพัว* กับพระกระโดดกำแพง* คีบใส่ปากแล้วแทบกลืนลิ้นตามลงไปด้วย จุ๊ๆๆๆ”
หร่วนชิงเฟิงสวมเสื้อคลุมขนเตียวม่วง* เดินทอดน่องออกมาจากหอบานสะพรั่งแล้วเห็นร่างอ้อนแอ้นในเสื้อนวมลายดอกไม้ตัวหนาที่นั่งยองๆ เอามือเท้าคางตรงโคนเสาอย่างองอาจผ่าเผยได้ทันที
เอ๋? ความรู้สึกขัดแย้งที่แสนคุ้นเคยนี้…นี่มันเด็กสาวที่เขาเจอเมื่อตอนเที่ยงไม่ใช่หรือ
“แม่นาง เหตุใดถึงเป็นเจ้าได้”
เสียงทุ้มกังวานที่ดังขึ้นคุ้นหูอย่างยิ่ง ซูเสี่ยวเตาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “หา? เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ที่นี่? ข้าก็ต้องมากินข้าวอยู่แล้วสิ” เขาตอบยิ้มๆ “แม่นางเล่า”
ใต้ความมืดสลัวของรัตติกาลและแสงสว่างของโคมแดง ท่านั่งยองๆ ในตอนนี้ของเด็กสาวดุดันเมื่อตอนกลางวันกลับดูน่ารักขึ้นอย่างบอกไม่ถูก น้ำเสียงของเขาจึงพลอยนุ่มนวลขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
“ข้ามารอ…” เด็กสาวพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบลุกพรวดขึ้นมาดึงเขาไปยืนหลบอยู่ด้านข้าง ท่าทางกระวนกระวายอย่างยิ่ง “ช้าก่อน นี่เจ้าคงไม่ได้เซ่อซ่าเข้าไปกินข้าวในหอบานสะพรั่งจริงๆ หรอกนะ”