หร่วนชิงเฟิงก้มหน้ามองมือเล็กดำปิ๊ดปี๋…ที่เปรอะเปื้อนจากการปีนกำแพงเมื่อครู่…ทิ้งคราบสกปรกไว้บนเสื้อคลุมขนเตียวม่วง มุมปากกระตุกริกๆ นิสัยรักความสะอาดทำให้เขาอยากดึงเสื้อคลุมออกจากอุ้งมือมารยิ่งนัก แต่พอเห็นสีหน้าร้อนรนเห็นอกเห็นใจของนางแล้วก็ทำไม่ลง
“ใช่ อาหารอร่อยใช้ได้” เขาพยักหน้า “เนื้อตงพัว พระกระโดดกำแพง น้ำแกงข้นนกเป็ดน้ำแปดทรัพย์ แล้วก็ถาดสำรับร้อยบุปผาทำได้รสชาติเทียบเคียงกับมาตรฐานเมืองหลวงเลยทีเดียว”
“ซี้ด…” นางสูดหายใจเข้าลึก
หร่วนชิงเฟิงขบขันกับท่าทางเสียดายสุดซึ้งของนาง “แม่นางสงสารถุงเงินข้าอย่างนั้นหรือ”
“ข้าสงสารพ่อแม่เจ้าต่างหาก” นางถอนหายใจเฮือก มีลูกโง่อีกทั้งยังใช้เงินล้างผลาญอีก ช่างน่าสงสารแท้ๆ
“แม่นาง เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าสายตาที่เจ้ามองข้ามันแปลกชอบกล”
“เจ้าหนุ่ม เจ้ามาจากเมืองหลวงหรือ” นางตบบ่าเขาพลางถามด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“ถูกต้อง”
“ออกเดินทางคนเดียว?”
“ใช่” ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าแปลก “แล้วอย่างไรหรือ”
“พกเงินติดตัวมาด้วยเท่าไร”
“แม่นางคิดจะทำอะไรหรือ” เนตรหงส์ของเขาหรี่ลงทันที
“เหตุใดจึงได้ทำสายตาเช่นนั้น นึกว่าข้าจะปล้นเงินเจ้าหรือไร” ซูเสี่ยวเตากลอกตาหนึ่งตลบใหญ่ แล้วเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าจะเตือนด้วยความปรารถนาดีหรอกว่าให้ระวังถุงเงินไว้ให้ดีๆ อย่าทำเซ่อซ่าจนถูกหลอกไปหมดเนื้อหมดตัว ทีนี้แม้แต่ค่าเดินทางกลับเมืองหลวงก็ไม่เหลือ อีกอย่างชายแดนตะวันตกนี่ไม่มีอะไรให้เที่ยวชมนักหรอกนะ มีแต่ทหารแล้วก็ทหาร ถ้าเที่ยวเสร็จก็รีบกลับบ้านโดยเร็วดีกว่า เข้าใจหรือไม่”
อย่างนี้นี่เอง
เขาหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นัยน์ตาเรียวยาวพราวระยับด้วยรอยยิ้ม
“หัวเราะบ้าอะไร นี่ข้าจริงจังนะ!” นางนึกฉุน แม้ถ้อยคำจะขึงขังเกรี้ยวกราด แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานใสของเด็กสาวกลับฟังแล้วน่าขบขันแทน
“ฮ่าๆ” เขากลั้นเสียงหัวเราะต่อไปไม่ไหวแล้ว
“เชื่อหรือไม่ว่าข้าต่อยจมูกเจ้าให้หักในหมัดเดียวได้”
เสียงหัวเราะสะดุดลงทันที พอเห็นว่านางดูเสียความรู้สึกก็รีบอธิบาย “ขออภัยๆ ที่หัวเราะเมื่อครู่เป็นเพราะผู้น้อยซาบซึ้งใจ นึกไม่ถึงว่าจะถูกแม่นางเข้าใจผิด ผู้น้อยเสียมารยาทแล้วจริงๆ”
“นึกว่าข้าก็โง่หรือไร ถึงจะเชื่อคำพูดพรรค์นี้ของเจ้า” นางแค่นเสียงหึขึ้นจมูกเคืองๆ
คำว่า ‘ก็’ หมายความว่าอย่างไร
หร่วนชิงเฟิงหางตากระตุกอีกครั้ง แล้วพลันฉุกคิดได้ว่าดูเหมือนตนเองจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดตั้งแต่ต้นจนจบ…ช้าก่อน อย่าบอกนะว่านางนึกว่าเขา…
สมองสว่างวาบ นึกอยากแกล้งนางขึ้นมาทันใด เลยแกล้งลูบท้องทำหน้านิ่ว
“เป็นอะไร”
“เมื่อครู่ยังกินไม่อิ่ม…”
สายตาน่าเวทนาที่จ้องมองมาทำเอาซูเสี่ยวเตาขนลุกซู่ไปทั้งตัว “เอ่อ…กะ…กินไม่อิ่มแล้วอย่างไร”
“อาหารทั้งหมดที่สั่งมากินเมื่อครู่ เจ้าของร้านคิดเงินข้าหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง” ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่ดูใกล้เคียงกับความอับอาย “ข้า…ตอนนี้ไม่มีเงินติดตัวแล้ว”
“หนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง…” นางเบิกตาโพลงพร้อมยกมือขึ้นกระชากคอเสื้อเขาเข้ามาใกล้ จนน้ำลายกระเซ็นใส่ใบหน้าคมคายไร้ที่ติดวงนั้น “เจ้าโง่จริงๆ ใช่หรือไม่!”
ใช่ เขาจะต้องโง่แน่นอน ไม่เช่นนั้นจะยอมให้น้ำลายคนอื่นกระเซ็นใส่หน้าโดยไม่เช็ด ทั้งที่เป็นโรครักความสะอาดได้อย่างไรกันเล่า
สีหน้าของหร่วนชิงเฟิงดูน่าสงสารขึ้นทุกที “แม่นางวางใจเถิด ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากไปด้วยหรอก…โรงจำนำที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ใดหรือ”
“ชายแดนตะวันตกไม่มีโรงจำนำ!” นางลากเขาเดินออกมาข้างนอกอย่างหัวเสีย “ทั้งเนื้อทั้งตัวเจ้าเหลือของมีค่าแค่เสื้อคลุมขนเตียวม่วงตัวนี้แหละ ต่อให้จำนำแลกเงินได้ ก็น่ากลัวว่าไม่ถึงพรุ่งนี้คงถูกผลาญหมดแล้ว ไม่ได้ๆ ข้ารับไม่ได้!”
“แม่นางอย่าได้ดูถูกกันเกินไป ด้วยคุณสมบัติอย่างข้า…”
“หากยังพูดมากอีกข้าจะจับเจ้าไปส่งหอชายบำเรอชายแดนตะวันตก มีข้าวให้กิน มีที่ให้อยู่ อีกทั้งยังได้…” ในที่สุดนางก็นึกขึ้นได้อย่างทันท่วงทีว่าถึงอย่างไรตนก็เป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องวัยเพียงสิบหก และยังเป็นถึงลูกสาวของนายทัพแนวหน้าปีกขวา เลยกลืนคำว่า ‘ขายตัว’ ลงคอไปเสีย “แค่กๆ”
เฮ้อ…วิถีชีวิตชาวเมืองชายแดนตะวันตกช่างโผงผางเสรีโดยแท้