“จะดื่มน้ำสักถ้วยหรือไม่” ท่านปู่ปาเข้ามาถามอย่างใจดี
“ขอบคุณ แต่ไม่ต้องจริงๆ” เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวอีกผืนออกมาปิดปากได้อย่างทันท่วงที พอหยุดไอแล้วก็ใช้ผ้าซับปากเบาๆ ก่อนจะเก็บเข้าไปในแขนเสื้อใหม่
คราวนี้ซูเสี่ยวเตาจะค่อนขอดเขาว่านุ่มนิ่มก็กระไรเลย…เพราะนางไม่เคยเห็นบุรุษคนใดเช็ดปากได้นุ่มนวลแต่ไม่กรีดกรายตุ้งติ้งเลยสักนิดเช่นนี้มาก่อน…นางงึมงำ “กินเผ็ดไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร บอกกันตรงๆ ก็จบเรื่อง ใช่ว่าข้าจะชกเจ้าเสียหน่อย”
“ขอบคุณแม่นางที่เมตตายั้งมือ” มุมปากเขากระตุกเล็กน้อย
“พูดได้ดีๆ” นางยิ้มกว้าง “ถ้าเช่นนั้นให้ท่านปู่ปาทำแบบไม่เผ็ดให้เจ้าอีกสักชามดีหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก ข้าอิ่มแล้วจริงๆ” เขาอมยิ้มตรงมุมปาก
“แต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหิวไม่ใช่หรือ”
หร่วนชิงเฟิงกระแอม แล้วตอบยิ้มๆ “ตอนแรกหิว แต่ตอนนี้ท้องอืดแล้ว”
“นี่! เจ้าหนุ่ม เจ้าหยอกข้าเล่นอยู่อย่างนั้นหรือ” นางทำหน้าง้ำจ้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ผู้น้อยไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น…” เขาอธิบายอย่างร้อนตัวนิดๆ
ซูเสี่ยวเตาถลึงตาดุดันจ้องมองเขาอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็โบกมืออย่างใจกว้าง “ช่างเถิดๆ ข้าก็แค่อยากสอนให้เจ้ารู้ว่าชายแดนตะวันตกเรายังมีอย่างอื่นให้กินนอกเหนือจากอาหารแพงลิบลิ่วที่หอบานสะพรั่ง อีกอย่างคนหนุ่มจากบ้านเดินทางมาไกลแต่ใช้เงินมือเติบไม่ใช่นิสัยที่ดี อย่างน้อยก็ควรเก็บเงินไว้เป็นค่าเดินทางกลับบ้านบ้าง เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว” เขาตอบด้วยสีหน้าจริงใจ แต่รู้สึกผิดอยู่ลึกๆ
นางพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วหันไปจัดการเกี๊ยวชามโตต่อจนหมดเกลี้ยง จากนั้นยังช่วยเอื้อเฟื้อจัดการชามของเขาต่อ
หร่วนชิงเฟิงเห็นแล้วปากอ้าตาค้าง ตกตะลึงจังงังอยู่นาน
นะ…นางเอาเกี๊ยวชามโตๆ ถึงเพียงนี้ตั้งสองชามไปยัดไว้ตรงไหนกัน
“เอิ้ก!” สุดท้ายซูเสี่ยวเตาก็เรอเสียงดังแล้วลูบท้องพลางยิ้มอย่างอิ่มเอม “สบายพุงยิ่งนัก”
“แม่นาง…” นี่ขั้นเซียนแล้วจริงๆ
“เอาล่ะ ข้าเองก็กินอิ่มแล้ว ควรกลับบ้านเสียที” เด็กสาวใช้แขนเสื้อเช็ดคราบมันแผล็บบนปากจิ้มลิ้มลวกๆ แล้วล้วงเงินหกอีแปะจากถุงใบน้อยที่ร้อยติดผ้าคาดเอวออกมาวางบนโต๊ะ “ท่านปู่ปา ไว้เจอกันใหม่”
“เจ้า…จะไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ” เขาเงยหน้ามองคนที่ลุกขึ้นปัดก้นทำท่าจะเดินจากไป
“อ้อ จริงสิ ลืมไปเลยว่ายังมีเจ้าอีกคน” นางหันมามองอีกฝ่าย แล้วลูบคางครุ่นคิด “ถ้าอย่างไรคืนนี้ข้าจะหาโรงเตี๊ยมถูกๆ ให้เจ้าอาศัยนอนก่อนสักคืน ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาช่วยสอบถามให้ว่ามีขบวนพ่อค้าไปเมืองหลวงบ้างหรือไม่ ถ้าเจ้าได้ไปกับพวกเขาก็จะประหยัดค่าเดินทางไม่น้อย ดีหรือไม่”
“ขอบใจแม่นางที่มีน้ำใจ แต่ผู้น้อยยังไม่คิดจะกลับเมืองหลวง”
“ไม่กลับไปเจ้าจะอยู่ทำอะไรที่ชายแดนตะวันตกกัน” นางผงะ เงินสองพวงที่เขามีจะใช้ได้นานเพียงใดกันเชียว
หร่วนชิงเฟิงอมยิ้ม ดวงตาโชนแสงแวววาว มือใหญ่เรียวยาวปัดมุมหนึ่งของเสื้อคลุมขนเตียวม่วงเบาๆ ด้วยกิริยารุ่มรวยเสเพลอย่างบอกไม่ถูก “แม่นางวางใจได้ ผู้น้อยมีแผนการอยู่แล้ว”
“คนที่เหลือเงินแค่สองพวงติดตัวยังจะมีแผนการใดได้” ซูเสี่ยวเตากวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วปรามาสอย่างไม่เกรงใจ
“แม่นางดูเบาผู้น้อยเกินไปแล้ว” เขาติงยิ้มๆ
“เจ้าแปลกที่แปลกถิ่น อีกทั้งยังขัดสนเงินทอง อย่าให้สุดท้ายกลายเป็นต้องขายเสื้อผ้าหรือไม่ก็ขายตัวแล้วกัน…เอ่อ เรื่องหอชายบำเรอเมื่อครู่ข้าก็แค่พูดส่งเดชไปอย่างนั้นเอง อย่าได้คิดอะไรสั้นๆ เป็นอันขาดเชียว” สีหน้านางเปลี่ยนไปถนัดตา ขณะพยายามเกลี้ยกล่อม “แม้ว่าด้วยหน้าตาของเจ้า หากพามาเปิดตัวจะต้องกลายเป็นดาวเด่นอย่างแน่นอน แต่ศักดิ์ศรีกับมโนธรรมก็สำคัญนะ ต่อให้ไม่ได้เป็นคนฉลาดเฉลียวอะไรก็อย่าได้ขายก้น…อื๊อ!”
สวรรค์ โลกนี้ยังมีสตรีที่พูดจาไม่สำรวมปากได้เท่านางอีกหรือไม่!
หร่วนชิงเฟิงใช้มือตะปบปากเล็กๆ ไว้ได้อย่างทันท่วงที เขาตกใจเสียจนเหงื่อผุดซึมไปทั้งตัว สายตาคมกริบกวาดมองไปโดยรอบ ด้วยกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินคำพูดแผลงๆ อันน่าตกใจของนางเข้า
โชคดีที่ท่านปู่ปากับลูกค้าโต๊ะอื่นกำลังส่งเสียงคุยกัน
“มากับข้านี่!” นัยน์ตาที่ทอยิ้มอยู่เป็นนิตย์เปลี่ยนเป็นเฉียบขาดเย็นชา ขณะลากนางออกจากที่เกิดเหตุอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง