X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักราชันใต้อาณัติ

ทดลองอ่าน ราชันใต้อาณัติ เล่ม 3 บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่ 2

ฮ่องเต้ประหนึ่งกลัวว่าฉินโยวโยวจะเปลี่ยนใจ จึงปล่อยเหยี่ยวส่งสารที่ใช้ติดต่อกับบรรดาผู้อาวุโสที่เขตหวงห้ามหมู่บ้านซือตี้โดยเฉพาะออกไปทันที แจ้งให้พวกเขาขนย้ายปืนใหญ่ภายในถ้ำศิลาใต้น้ำมายังเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด

มีปืนใหญ่ของบรรพบุรุษแล้ว เขาก็มั่นใจเต็มร้อยว่าจะตีแคว้นตัวลี่ให้พินาศย่อยยับได้!

เดิมทีฮ่องเต้ยังสงสัยอยู่บ้างว่าปืนใหญ่มีอานุภาพมากเกินจริงเหมือนที่บรรยายอยู่ในหนังสือสั่งเสียของบรรพบุรุษจริงๆ หรือไม่ ทว่าช่วงที่ผ่านมาเขาได้ประจักษ์ในอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของกลไกตำหนักอักษรอยู่หลายหน อีกทั้งเห็นท่าทีของฉินโยวโยวแสดงชัดว่ากลไกชนิดนี้ยังนับไม่ได้ว่าเป็นสุดยอด แค่คิดก็รู้ว่าอานุภาพของปืนใหญ่ที่เป็นความลับของบรรพบุรุษรวมถึงอาวุธที่อยู่บนแบบร่างกลไกเหล่านั้นน่าตกตะลึงถึงระดับใด

ฉินโยวโยวประหนึ่งว่าไม่ได้รู้สึกถึงความตื่นเต้นเฝ้ารอของเขา นางเพียงตรวจดูกลไกรอบตำหนักอักษรไปเงียบๆ จนเสร็จ จากนั้นก็กลับเข้าห้องข้างไป

นางนั่งอยู่ข้างเหยียนตี้ อาศัยแสงตะเกียงพินิจดูสีหน้าซีดขาวของเขา ก่อนจะค่อยๆ ฟุบลงข้างหมอนเขาแล้วเริ่มร้องไห้เสียงเบาขึ้นมา

ไม่รู้ว่าร้องเพราะเหยียนตี้บาดเจ็บสาหัส ร้องเพราะตนเองไม่เชื่อฟังคำสอนของอาจารย์ หรือว่าร้องให้กับบรรดาคนที่กำลังจะต้องจบชีวิตลงภายใต้อานุภาพของปืนใหญ่

คืนนี้ฉินโยวโยวหลับได้ไม่เป็นสุขอย่างที่สุด ในฝันมีแต่ภาพเลือดเนื้อของผู้คนนับไม่ถ้วนปลิวว่อนภายใต้การระดมยิงของปืนใหญ่ บรรดาแม่ม่ายเด็กกำพร้าร่ำไห้ดื่มน้ำตาต่างน้ำ ยามตื่นมาตอนเช้าคนก็สมองมึนงงเหมือนว่าไม่ได้นอนอย่างไรอย่างนั้น

ไทเฮาใช้เรื่องเป็นห่วงบุตรชายมีราชกิจรัดตัวแล้วจะไม่ได้กินอะไรให้ดีเป็นข้ออ้างมาเยี่ยมที่ตำหนักอักษรแต่เช้าตามเคย

นางเดินเข้าห้องข้างมาก็เห็นสภาพซูบเซียวหน้าซีดของฉินโยวโยวที่เพิ่งตื่นมาล้างหน้าหวีผมเสร็จ จึงอดจะเดินมาลูบแก้มอีกฝ่ายไม่ได้ “ไฉนจึงเคี่ยวกรำตนเองจนเป็นเช่นนี้ หย่งเล่อฟื้นมาเห็นสภาพเจ้าจะปวดใจมากเพียงไร”

ฉินโยวโยวปล่อยให้ไทเฮาดึงตัวมานั่งลงข้างๆ ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “เสด็จแม่ไม่ทรงโทษหม่อมฉันหรือเพคะ หม่อมฉันออกปากว่าจะคุ้มครองหย่งเล่อให้ดี ผลคือเขากลายเป็นเช่นนี้เสียแล้ว”

ไทเฮาถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “เดิมทีก็โทษอยู่ แต่พอเห็นเจ้าเปื้อนเลือดไปทั้งตัว สลบอยู่ข้างหย่งเล่อ…เกิดเรื่องกับหย่งเล่อขึ้น เจ้าก็ไม่ได้เสียใจน้อยไปกว่าข้าสักเท่าไร จึงรู้สึกว่าโทษไม่ลงแล้ว” นางยิ้มพลางตบไหล่ฉินโยวโยว “อีกทั้งเจ้าก็เป็นดวงใจของหย่งเล่อ หากเขาฟื้นมาแล้วรู้ว่าเจ้าถูกข้ากับหย่งคังรังแก ก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้าตึงใส่พวกข้านานเท่าไร”

ฉินโยวโยวก้มหน้าลง ความลังเลในใจถูกกดลงไปอีกครั้ง

สามีปีศาจดีต่อนางเพียงนี้ นางแบกรับความละอายใจนี้เพื่อเขาจะนับเป็นอะไร

ไทเฮาจับตามองฉินโยวโยวกินอาหารเช้าและยาบำรุงร่างกายจนหมดแล้วถึงค่อยลุกขึ้นจากไป

เหลียงลิ่งก้าวมากล่าวอย่างระมัดระวัง “พระชายา ปืนใหญ่ที่มีรับสั่งให้นำมาจากเขตหวงห้ามได้ส่งมาไว้ในห้องข้างอีกฟากแล้วพ่ะย่ะค่ะ จะเสด็จไปตอนนี้หรือว่า…”

ไม่ต้องให้ฮ่องเต้กำชับอธิบาย เหลียงลิ่งก็รู้ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญใหญ่หลวง จึงไม่กล้าเร่งรัดมากเกินไป

ฉินโยวโยวมองเหยียนตี้ที่นอนหลับลึกแน่นิ่งอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง ก่อนสูดหายใจลึกตอบว่า “ไปตอนนี้เลยแล้วกัน”

ภายในห้องข้างอีกฝั่งของตำหนักอักษร สิ่งของทั้งหมดถูกขนออกไปจนเกลี้ยงแล้ว ฮ่องเต้กับนักกลไกวัยกลางคนสามคนกำลังยืนอยู่ข้างแบบจำลองปืนใหญ่สีดำขลับกระบอกนั้น สีหน้าตื่นเต้นพลุ่งพล่านจนระงับไม่อยู่

วันนี้พวกเขาจะได้เป็นพยานในความยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ของสิ่งตกทอดจากบรรพบุรุษด้วยกัน แม้ว่านี่จะเป็นเพียงแบบจำลอง แต่ขอเพียงมีมันช่วยทำความเข้าใจในวิธีประกอบติดตั้ง วันที่จะได้เห็นอานุภาพอันน่ากลัวของมันก็อยู่ห่างไปไม่ไกลแล้ว!

ชั่วพริบตาที่ฉินโยวโยวยกมือแตะปืนใหญ่ก็ได้สลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดทิ้งไป นางจมอยู่กับความรู้สึกพิเศษอันประกอบด้วยความตื่นเต้นและความจดจ่อซึ่งมิอาจใช้ถ้อยคำบรรยายได้ชนิดหนึ่ง

ยามที่นางเห็นปืนใหญ่กระบอกนี้เป็นครั้งแรกในเขตหวงห้ามก็นึกอยากจะประกอบมันแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความทะเยอทะยาน เป็นเพียงความชอบและความเคยชินของนักกลไกเท่านั้น

เฉกเช่นเดียวกับนักชิมยามได้เห็นอาหารชั้นเลิศที่มีแต่ในตำนานอย่างไม่คาดฝัน การจะอดใจไม่ขยับตะเกียบถือเป็นเรื่องยากเหลือเกิน

แต่ต่อให้ปืนใหญ่กระบอกนี้จะถูกประกอบจนเสร็จแล้ว มันก็เป็นเพียงแบบจำลอง ไม่อาจยิงกระสุนสำแดงอานุภาพอันแท้จริงของมันได้ ทว่าเพียงกระบวนการประกอบนี้ก็ยังชวนให้ฉินโยวโยวตั้งตารอเป็นอย่างยิ่ง

ขณะนี้นางคล้ายได้ย้อนเวลาไปสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งหน้ากับปรมาจารย์นักกลไกท่านนั้นเมื่อพันปีก่อน เป็นการสนทนาระหว่างสุดยอดฝีมือที่แท้จริง

ฝ่ายตรงข้ามออกโจทย์ยากมาให้ แต่หลังฉินโยวโยวพิจารณาไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งรอบคอบแล้วก็เริ่มประกอบคำตอบอันสมบูรณ์ออกมาทีละนิด

หลังจากฉินโยวโยวประกอบชิ้นส่วนสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย นางก็เหม่อมองปืนใหญ่อยู่เป็นครู่ใหญ่ถึงได้มีท่าทีดุจตื่นจากฝัน

นักกลไกทั้งสามที่ด้านข้างได้ช่วยกันจดบันทึกกระบวนการทั้งหมดไว้อย่างละเอียดแล้ว

เมื่อพวกเขาหยุดมือลงถึงได้พบว่าที่เบื้องหน้าของแต่ละคนต่างมีกระดาษกองเป็นปึกหนา บนนั้นล้วนแต่เป็นเนื้อหาที่พวกเขาจดบันทึก มีภาพร่างคร่าวๆ มีตัวอักษร มือทั้งสองทั้งเมื่อยทั้งชาประหนึ่งว่าไม่ใช่ของตนเองแล้ว แม้จะอ่อนเพลียถึงขีดสุด แต่ก็ยังอดตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งร่างไม่ได้

คุ้มค่าเหลือเกินแล้ว! บรรพบุรุษกับศิษย์ของมือเทพเนรมิตฉีเทียนเล่อที่ตรงหน้าท่านนี้ถึงจะมีสิทธิ์ได้รับการเรียกขานเป็นยอดปรมาจารย์นักกลไกอย่างแท้จริง!

ฉีเทียนเล่อเองก็น่าจะมีสิทธิ์เช่นกัน จะอย่างไรศิษย์ที่โดดเด่นเพียงนี้ก็ออกมาจากการสั่งสอนของเขา ศิษย์ของเขายังร้ายกาจถึงเพียงนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าวิชากลไกของตัวเขาเองจะเหนือชั้นถึงระดับใด!

คนทั้งหลายเงยหน้ามองเห็นแสงสีแดงส้มที่ลอดผ่านกระดาษกรุหน้าต่างห้องเข้ามาก็พบว่าเวลาครึ่งค่อนวันถึงกับผ่านไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว

ความตื่นเต้นพลุ่งพล่านและความเต็มอิ่มในใจฉินโยวโยวค่อยๆ เหือดหายไป นางมองดูแบบจำลองปืนใหญ่ที่ประกอบเสร็จแล้วกระบอกนี้ ในสมองพลันมีบรรดาภาพเหตุการณ์อันน่ากลัวที่เห็นในฝันร้ายเมื่อคืนผุดขึ้นมาอีก จึงอดจะถอยหลังไปสองก้าวไม่ได้ ไม่กล้ามองมันอีกแม้แต่แวบเดียว นางหันหลังรีบร้อนเปิดประตูเดินออกไปโดยไม่สนใจฮ่องเต้และนักกลไกสามคนที่เหลือในห้องข้าง

ไม่รู้ท้องฟ้ามีหิมะตกลงมาอย่างหนักอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไร ฉินโยวโยวเดินกลับมาถึงห้องข้างที่ตนกับเหยียนตี้พักอยู่ชั่วคราวด้วยอาการเหมือนวิญญาณออกจากร่าง นางนั่งลงในมุมหนึ่ง มองดูหิมะสีขาวนอกหน้าต่าง อย่างเหม่อลอยตลอดทั้งคืน

ที่ฉินโยวโยวตอบตกลงประกอบปืนใหญ่ไปนั้น เรื่องของเหยียนตี้เป็นเพียงเหตุจูงใจหนึ่ง อันที่จริงในใจนางเองก็มุ่งหมายอยากลองประกอบมาโดยตลอด…หากอาจารย์รู้เข้า ด้วยความรักใคร่ตามใจของเขาที่มีต่อนาง คงจะตำหนินางไม่ลงเช่นกัน กระนั้นนางก็ยังอดตำหนิตนเองไม่ได้ นางถึงขั้นไม่กล้าเผชิญหน้ากับผลลัพธ์อันน่ากลัวจากสิ่งที่นางทำลงไปชักนำมา

ข้าควรทำเช่นไรดี ฉินโยวโยวถามตนเองในใจไม่หยุด

พึงสังวรทุกข์ไปไม่เกิดผล…ทว่าตอนนี้นางจะทำใจไม่ให้ทุกข์เหมือนที่อาจารย์ว่ามาได้อย่างไร

เหตุเพราะเคี่ยวกรำมาทั้งวันทั้งคืน รุ่งขึ้นยามที่ไทเฮามาถึง พอมองเห็นสภาพฉินโยวโยวแล้วก็ตกใจเป็นอันมาก สั่งให้คนไปเชิญเหอหม่านจื่อมาดูนางทันที

ร่างกายฉินโยวโยวไม่เป็นอะไรมาก ที่เป็นคือไข้ใจ ไทเฮารู้ว่าเหอหม่านจื่อรู้จักกับฉินโยวโยวมานาน ย่อมได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากนาง ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่สามารถคลายทุกข์ให้นางได้ในยามนี้

เหอหม่านจื่อฟังฉินโยวโยวเล่าความกลัดกลุ้มจบแล้วก็ถอนหายใจกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่เห็นด้วยที่เจ้าช่วยให้แคว้นเซียงเยวี่ยมีอาวุธที่น่ากลัวเพียงนั้น…ทว่าบัดนี้ใต้หล้ามีแคว้นอยู่จำนวนมาก ต่างมีข้อขัดแย้งกันไม่หยุดหย่อน แต่ละครั้งล้วนมีชาวบ้านตายในสงคราม หากวันหน้าพวกเขาสามารถรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งและปฏิบัติต่อเหล่าราษฎรเป็นอย่างดี ทำให้ผู้คนมีสันติสุขได้จริงๆ นี่ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องเลวร้าย”

สิ่งที่คนเป็นหมออย่างเขาไม่อยากเห็นที่สุดก็คือเรื่องจำพวกรบราฆ่าฟัน ทว่าเขาเห็นฉินโยวโยวเป็นดั่งน้องสาวร่วมอุทร ย่อมจะทนเห็นนางทรมานใจไม่ได้ถึงได้ฝืนใจพูดออกมาเช่นนี้

แม้จะพูดเช่นนี้ แต่คนทั้งสองล้วนรู้ดีว่าถ้าได้เห็นภาพปืนใหญ่คร่าชีวิตคนนับไม่ถ้วนในสนามรบกับตาตนเอง พวกเขามิอาจสบายใจได้อย่างแน่นอน

ฉินโยวโยวยิ้มฝาดเฝื่อนก่อนเอ่ยว่า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น…”

เหอหม่านจื่อลังเลเล็กน้อยก่อนยื่นมือไปตบไหล่นางเบาๆ “เจ้าไม่ต้องทรมานใจเกินไป หากท่านอาฉีมาเห็นสภาพเช่นนี้ของเจ้า เขาคงได้ปวดใจตาย”

เขาถอนหายใจเงียบๆ ในใจ เซิ่งผิงชินอ๋องเหยียนตี้ผู้นี้มิใช่คู่ครองที่ดีอย่างที่คิดจริงๆ โยวโยวมีความสุขไร้ทุกข์กังวลตลอดมา เพียงแต่งให้เขาชั่วเวลาสั้นๆ ก็กลายเป็นเช่นนี้เสียแล้ว

น่าเสียดายที่เขาไร้ความสามารถ ได้แต่มองดูนางถลำลึกลงไปเรื่อยๆ โดยไม่มีปัญญาช่วยเหลือแม้แต่น้อย

หวังว่าหลังเหยียนตี้หายเป็นปกติแล้วจะดีต่อฉินโยวโยว มิเช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะคิดหาหนทางทำให้นางจากไปโดยปลอดภัยให้ได้ ไปจากบุรุษที่มีแต่ทำให้นางทุกข์ทรมานและเศร้าเสียใจไม่หยุดผู้นี้…ไปให้ไกลแสนไกล

มีคนแบ่งเบาความกลัดกลุ้มในใจแล้ว ฉินโยวโยวก็อารมณ์ดีขึ้นบ้าง กอปรกับตู้เหวยเหนียงรับคำสั่งจากไทเฮามาให้จับตาดูนางกินอาหารนอนหลับทุกวัน เพียงไม่กี่วันให้หลังสภาพอาการของนางก็กลับมาค่อนข้างเป็นปกติ

ฉินโยวโยวพยายามปิดหูปิดตาบังคับให้ตนเองลืมเรื่องปืนใหญ่ คอยอยู่เป็นเพื่อนเหยียนตี้ทุกวัน หมกตัวอยู่ในห้องข้าง ทำของเล่นจำนวนหนึ่งออกมาฆ่าเวลา เป็นต้นว่าทำอาวุธลับป้องกันตัวหลายชิ้นให้ไทเฮากับฮ่องเต้ ทำกล่องดนตรีแสนประณีตกล่องหนึ่งให้เสี่ยวถิงฮวา ยามไขลานแล้วจะสามารถส่งเสียงดนตรีอันไพเราะออกมาได้ ทำหุ่นไม้ที่ช่วยทุบเอวทุบขาได้ตัวหนึ่งให้ตู้เหวยเหนียง ทำ ‘ตู้กันภัย’ ที่ไม่มีใครสะเดาะได้หลายใบให้เหลียงลิ่ง

นางจงใจไม่ฟังไม่ดูเรื่องที่เกิดขึ้นภายนอก เพียงจดจ่ออยู่กับโลกเล็กๆ ของตนเอง โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว

ไม่รู้ว่าคนของสำนักเฟิ่งเสินคิดว่าเหยียนตี้ตายไปแล้วหรือกำลังวางแผนร้ายที่น่ากลัวกว่าเดิมอยู่ ถึงได้ไม่มีความเคลื่อนไหวพิเศษใดๆ เช่นเดียวกัน

วันนี้เหอหม่านจื่อมาตรวจชีพจรให้เหยียนตี้ บอกว่าร่างกายเขาจะฟื้นตัวเต็มที่แล้ว สามารถฟื้นขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ฉินโยวโยวตื่นเต้นดีใจจนเฝ้าอยู่ข้างกายเขาไม่ยอมนอนตลอดทั้งคืน ทว่าน่าเสียดายที่เขายังคงไม่ฟื้น

ใกล้ฟ้าสางตู้เหวยเหนียงมาเห็นเข้าถึงได้ประคองฉินโยวโยวไปนอนบนตั่งนุ่มด้านข้าง

อันที่จริงฉินโยวโยวเหนื่อยแล้ว เพียงเอนร่างนอนบนตั่งได้ไม่นานก็ผล็อยหลับไป ตื่นมารู้สึกอุ่นบนร่าง นางก็หยีตาคิดจะบิดขี้เกียจ เพิ่งจะขยับก็พบว่าข้างกายมีเรือนร่างอบอุ่นเพิ่มมาร่างหนึ่ง!

นางสมองมึนงงยังไม่ทันไตร่ตรองอะไรได้ ลืมตาเงยหน้ามองก็เห็นใบหน้าที่ดูจะทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้าอยู่บ้างใบหน้าหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากนางเพียงไม่กี่ชุ่น

เป็นเหยียนตี้? หย่งเล่อ? สามีปีศาจของข้า?!

“เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเจ้าจำข้าไม่ได้แล้ว” เสียงอันคุ้นเคยดังมาอย่างอ่อนใจอยู่บ้าง

ฉินโยวโยวกะพริบตา ภาพตรงหน้าพร่าเลือน “ท่านหลับตามาสิบกว่าวันแล้ว!” ในถ้อยคำมีแววคับข้องใจและกล่าวโทษอย่างเข้มข้น

ความหมายในคำพูดคือเห็นสภาพตอนเหยียนตี้หลับตาจนชิน จึงได้ลืมสภาพยามเขาลืมตาไปแล้วอย่างนั้นหรือ เหยียนตี้โน้มหน้าลงจุมพิตดวงตาและพวงแก้มฉินโยวโยวอย่างอ่อนโยน จูบซับหยาดน้ำตาบนใบหน้านางทีละนิด จากนั้นก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากนาง

ทำเช่นนี้นางน่าจะจำได้แล้วกระมัง ผู้ที่สนิทชิดใกล้กับนางได้เพียงนี้ก็มีแค่เขา

ฉินโยวโยวกอดคอเขาไว้แน่น ตอบสนองเขากลับไปอย่างเร่าร้อน

นี่คือสามีปีศาจของข้า ข้าไม่ได้กำลังฝัน ในที่สุดเขาก็ฟื้นแล้ว!

ไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ หลังจากฉินโยวโยวหลับไปได้ไม่นาน เหยียนตี้ก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว

เขาลูบแก้มฉินโยวโยวพลางถอนหายใจ “ไฉนจึงผอมลงมากเพียงนี้ สภาพเหมือนวันที่ข้าช้อนเจ้าขึ้นมาจากแม่น้ำไม่มีผิด”

เขาไปพบฮ่องเต้และไทเฮาแล้ว ทั้งยังได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่เขาบาดเจ็บสาหัสสลบไสลอยู่จากปากของพวกตู้เหวยเหนียงกับเหลียงลิ่งแล้วเช่นกัน พอได้เห็นสภาพอ่อนแอของฉินโยวโยวในยามนี้ก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ

สภาพมีน้ำมีนวลที่ประคบประหงมออกมาในเวลาเกือบครึ่งปีถูกทำให้กลับไปมีสภาพเดิมในเวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว

ฉินโยวโยวขยี้ตาแค่นเสียงพูดว่า “ท่านเป็นเช่นนี้แล้วข้ายังกินอิ่มนอนหลับ อ้วนท้วนสมบูรณ์อยู่ได้ ท่านควรต้องโมโหจนจะฆ่าคนแล้ว!”

เหยียนตี้หลุดขำ ขยี้ศีรษะนางพลางกล่าว “ก็ได้ ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว นับแต่วันนี้ไปเจ้าต้องกินข้าวนอนหลับอย่างว่าง่าย ขุนเนื้อหนังกลับมาในเร็ววัน”

“แผลของท่าน…” หลายวันมานี้ฉินโยวโยวใส่ยาให้เขาโดยตลอด นางย่อมรู้ถึงการฟื้นตัวของบาดแผลเขา

จำต้องกล่าวว่าถึงราชันยุทธ์ขั้นสิบแปดจะมิใช่ปีศาจ แต่ก็ใกล้เคียงแล้ว อาการบาดเจ็บหนักหนาสาหัสเพียงนั้นถึงขั้นไม่เป็นอะไรได้ภายในเวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่าวัน กระทั่งไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็น ความสามารถในการรักษาตนเองของเขาช่างกล้าแข็งจนชวนให้คนทอดถอนใจว่าได้เห็นเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

อีกทั้งเหอหม่านจื่อก็เคยบอกไว้ว่าการที่เหยียนตี้สลบไสลไม่ได้มีสาเหตุจากบาดแผลสาหัส แต่เป็นการใช้วิธีที่แทบเหมือนกับการจำศีลมาฟื้นฟูร่างกายและชีพจรที่ได้รับความเสียหายซึ่งได้ผลดียิ่ง

เหยียนตี้ฟื้นขึ้นมาเมื่อไรก็หมายความว่าเขาหายเป็นปกติแล้ว…ปกติจนมากไปกว่านี้ไม่ได้อีก

เพียงแต่ฉินโยวโยวยังคงอดจะระแวงไม่ได้ ฉากเหตุการณ์สยองขวัญเมื่อสิบกว่าวันก่อนยังฝังใจนางมากเกินไป นางไม่อาจเชื่อได้ว่าเหยียนตี้จะแข็งแรงได้เร็วเพียงนี้จริงๆ

“หายดีแล้ว เจ้ากินอาหารเย็นก่อนเถอะ กินอิ่มแล้วข้าจะให้เจ้าตรวจดูอย่างละเอียด” ตอนแรกยังพูดคุยดีๆ มาถึงตอนท้ายกลับเปลี่ยนเป็นกำกวมยิ่ง

ฉินโยวโยวถลึงตาใส่เขา ฉับพลันก็รู้สึกมันเขี้ยวอยากลับฟันลับเล็บกับตัวเขายิ่งนัก ทว่านางรอให้แน่ใจในสภาพร่างกายของเขาก่อนค่อยว่ากันจะดีกว่า

เพียงไม่นานตู้เหวยเหนียงกับเหลียงลิ่งก็ยกอาหารมาส่ง ทีนี้ฉินโยวโยวถึงพบว่าด้านนอกมืดสนิทแล้ว นางถึงกับหลับตั้งแต่ฟ้าเพิ่งสางยันฟ้ามืด!

ตู้เหวยเหนียงมองดูท่าทางเอนซบพิงกันอันแสนอบอุ่นของฉินโยวโยวกับเหยียนตี้แล้วก็ให้เบิกบานเหลือประมาณ นางเอ่ยกระเซ้าขึ้นว่า “อย่างที่คิดจริงๆ พอมีท่านอ๋องทรงอยู่เป็นเพื่อน พระชายาถึงหลับสนิทเป็นพิเศษได้ หลายวันมานี้ไม่เคยหลับเป็นสุขถึงเพียงนี้เลย”

ฉินโยวโยวใบหน้าแดงก่ำ มือของเหยียนตี้ที่โอบอยู่บนเอวนางอดจะกระชับรัดแน่นขึ้นไม่ได้

ในใจเขาคิดมาตลอดว่าฉินโยวโยวไม่ใส่ใจเขาเท่าไร แต่พอได้เห็นนางซูบซีดจนเป็นเช่นนี้เพราะเขาจริงๆ ก็อดละอายและทรมานใจขึ้นมาไม่ได้

แค่ครั้งนี้เพียงครั้งเดียว ชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่มีวันทำให้นางต้องเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง หรือหวั่นกลัวปวดใจอีกแล้ว

เหยียนตี้ปลอดภัยไร้อันตรายแล้ว ฉินโยวโยวก็นึกเป็นห่วงต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยที่อยู่ในคลังสมบัติใต้สวนในจวนอ๋องขึ้นมา หลายวันมานี้นางล้วนถามข่าวอาการของพวกมันจากจู้อวิ๋นเฟยทั้งสิ้น หากนางไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง อย่างไรก็รู้สึกไม่สบายใจ

ในวังทำอะไรได้ไม่สะดวก เหยียนตี้เองก็อยากกลับจวนอ๋องโดยเร็วเช่นกัน คนทั้งสองกินอาหารเย็นเสร็จก็ไปลาไทเฮายังวังชิ่งชุน แล้วกลับจวนอ๋องในคืนเดียวกันทันที

เมื่อยืนยันมั่นใจแล้วว่าต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยปลอดภัยดีเหมือนที่จู้อวิ๋นเฟยบอก เมฆดำที่กดทับอยู่ในใจฉินโยวโยวก็สลายไปกว่าค่อนในที่สุด

กลับถึงหอนอน เหล่าขันทีได้เตรียมน้ำผสมเครื่องหอมไว้ให้เหยียนตี้อาบแล้ว เหยียนตี้โบกมือไล่ขันทีที่เตรียมจะปรนนิบัติออกไป ก่อนกอดฉินโยวโยวพลางกระซิบถามเสียงกลั้วหัวเราะข้างหูนาง “เจ้ามิใช่อยากตรวจดูอาการบาดเจ็บของข้าหรือไร ระหว่างที่พวกเราอาบน้ำ เจ้าก็ดูให้ละเอียดชัดเจนไปด้วยเลยสิ”

“เอาสิ!” ฉินโยวโยวมีท่าทีเปิดเผยใจกว้างอย่างน่าอัศจรรย์ ปล่อยให้เขาลากตัวนางไปถึงห้องอาบน้ำ และยังเป็นฝ่ายถอดเสื้อผ้าให้เขาด้วย

ภายใต้แสงตะเกียงสว่างจ้า ผิวหนังตรงหน้าอกเหยียนตี้เรียบลื่นเกลี้ยงเกลา มองไม่เห็นรอยแผลเป็นจากการถูกกระบี่แทงแม้แต่นิด

ฉินโยวโยวลองส่งลมปราณเข้าไปตรวจดูอาการภายในตรงบริเวณใกล้บาดแผลเขา เหยียนตี้เองก็สลายปราณคุ้มกายอย่างให้ความร่วมมือ ปล่อยให้ลมปราณของนางโคจรตรงตำแหน่งสำคัญของเขา

ควรต้องรู้ว่าหากฉินโยวโยวมีเจตนาหมายทำร้ายเขา ยามนี้ขอแค่คิดเพียงนิดก็สะบั้นชีพจรหัวใจของเขา ทำให้หัวใจเขาแหลกเป็นชิ้นๆ ได้แล้ว เว้นแต่จะเป็นคนที่สนิทและไว้เนื้อเชื่อใจที่สุด มิเช่นนั้นคงไม่มียอดฝีมือชาวยุทธ์คนใดยอมให้ผู้อื่นทำเช่นนี้เด็ดขาด

ฉินโยวโยวแน่ใจเต็มร้อยว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้วในที่สุด นางถึงได้ค่อยๆ เก็บมือกลับไป

“วางใจแล้ว?” เหยียนตี้กอดเอวนางไว้พลางถามยิ้มๆ

ฉินโยวโยวพยักหน้า ยิ้มแฉ่งให้เขาก่อนเอ่ยว่า “วางใจแล้ว…” จากนั้นก็กัดกร้วมลงตรงหน้าอกเขาอย่างแรง กรงเล็บทั้งสองก็ไม่ได้ว่างเว้นเช่นกัน ข่วนไหล่และแขนเขาจนเลือดออกซิบๆ ทันควัน

นางออกแรงกัดอย่างหนัก ทิ้งรอยประทับปนเลือดบนล่างสองแถวไว้บนอกเขา

เหยียนตี้ถูกจู่โจมกะทันหันกลับเพียงแค่กอดนางไว้นิ่งๆ โดยไม่ขัดขืน ทั้งไม่ส่งเสียงห้ามปราม ปล่อยให้นางระบายอารมณ์ไปเช่นนี้

“หากเจ้ายังรู้สึกไม่หายโมโหก็กัดก็ข่วนหลายๆ ที” เหยียนตี้ลูบเรือนผมยาวของนางอย่างอ่อนโยน ราวกับกำลังปลอบเด็กน้อยที่อารมณ์เสีย

“ท่านมันคนเลว!” ผู้เคราะห์ร้ายยังไม่ร้องไห้ ‘คนร้าย’ ที่กัดข่วนคนกลับชิงร้องขึ้นมาก่อน

“อืม”

“ท่านทำข้าตกใจแทบตาย! เห็นมือสังหารโผล่ออกมากะทันหัน ไฉนจึงไม่ส่งเสียงสักนิด!”

“อืม”

“รู้ทั้งรู้ว่าตนเองไม่มีตบะเหลือแล้ว เรื่องร้ายแรงเพียงนี้ไฉนจึงไม่บอกข้าแต่เนิ่นๆ”

“อืม”

“ท่านบอกว่าช่างฝีมือกับนักกลไกเหล่านั้นเชื่อใจได้ แล้วทำไมถึงมีเกลือเป็นหนอน”

“อืม”

“เรื่องท่านเป็นพวกหัวใจอยู่ผิดตำแหน่งก็ไม่บอกข้า!”

“อืม”

“ข้าบอกจะคุ้มครองท่าน ผลคือท่านเกือบเสียชีวิต เหตุใดท่านไม่ว่าอะไรข้าสักคำ”

“อืม”

“นอกจากอืมๆๆ ท่านปลอบข้าไม่เป็นแล้วหรือ!” คนร้ายร้องไห้พลางทุบผู้เคราะห์ร้ายอย่างแรงอีกหลายที

เหยียนตี้ยกมือกุมหมัดของฉินโยวโยวไว้ก่อนจับมาจูบ “ไม่ต้องร้องแล้ว หากร้องอีกจะกลายเป็นแมวหน้าลายแล้วนะ”

“ฮึ!” ฉินโยวโยวไม่สนใจเขา กระทั่งร้องจนสาแก่ใจแล้วถึงค่อยๆ หยุดลง

ฉินโยวโยวปล่อยให้เหยียนตี้เช็ดน้ำตาจนสะอาดแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าการอาละวาดนี้ของตน ทำให้น้ำร้อนที่เดิมเตรียมให้สามีปีศาจอาบกลายเป็นน้ำเย็นไปแล้ว

นางเบะปาก ยืนตัวตรงก่อนเอ่ยว่า “ท่านสวมเสื้อผ้ารอสักครู่ก่อน ข้าจะไปสั่งให้คนต้มน้ำมาใหม่”

“ไม่ต้องยุ่งยากเพียงนั้น น้ำเย็นน้ำร้อนไม่มีความแตกต่างอะไรสำหรับข้า” ตบะของเหยียนตี้ทำให้เขาอาบน้ำเย็นเฉียบกลางฤดูหนาวได้อย่างไม่มีปัญหา

“เช่นนั้นก็รีบอาบให้สะอาดเถอะ…หากรู้ก่อน ข้าน่าจะรอให้ท่านอาบจนสะอาดแล้วค่อยกัด ฮึ!” ฉินโยวโยวผลักเขาออกแล้วคิดจะวิ่งหนี

เหยียนตี้ใช้มือหนึ่งดึงตัวฉินโยวโยวพลางเอ่ยว่า “เจ้ามิใช่ตอบตกลงจะอาบกับข้าหรือไร ข้าจำได้ว่าตอนที่อยู่ที่เขตหวงห้ามเจ้ายังเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้ข้าร่วมอาบด้วยอยู่เลย ตอนนี้ก็ยังไม่สาย อ่างน้ำนี้ใหญ่พอ”

ฉินโยวโยวขึงตาใส่เขาก่อนเอ่ยว่า “ข้าไม่อาบน้ำกับท่านหรอก!”

เหยียนตี้อุ้มนางมาถึงข้างอ่างอาบน้ำแล้วพูดยิ้มๆ “ข้าจะกล้าให้ภรรยารักอาบน้ำเย็นได้อย่างไร” เขาใช้มือหนึ่งโอบเอวฉินโยวโยวไว้ อีกมือก็จุ่มลงแกว่งช้าๆ ในน้ำ เพียงประเดี๋ยวเดียวน้ำผสมเครื่องหอมทั้งอ่างก็มีไอร้อนลอยขึ้นมา

ผลลัพธ์นี้ฉินโยวโยวใคร่ครวญกับตนเองก็รู้ว่าพอจะทำได้เช่นกัน ทว่านางไม่มีทางทำได้ง่ายและเร็วเท่าเขาแน่

ระหว่างที่นางปากอ้าตาค้าง นึกอิจฉาริษยาชิงชังต่อตบะของเจ้าปีศาจอยู่นี้เอง เจ้าปีศาจก็กลายร่างเป็นมารราคะแล้ว

อาภรณ์บางค่อยปลดลง แนบอนงค์กลางธารหอม คลอเคลียเล่นน้ำเช่นยวนยาง…

 

แคว้นเซียงเยวี่ยเร่งรีบเตรียมตัวสำหรับการเปิดศึกใหญ่ต่อแคว้นตัวลี่ที่จะมีขึ้นหลังช่วงเตรียมดินเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ เรื่องที่เจียงหรูเลี่ยนบุกเข้าวังหลวงอย่างเปิดเผย ทั้งยังใช้ให้คนในสำนักเข้าวังลอบสังหารหลายครั้งได้แพร่กระจายไปทั่วหล้าแล้ว แคว้นใหญ่น้อยใกล้ๆ กันล้วนแต่รู้ว่าศึกใหญ่ครานี้มิอาจหลีกเลี่ยง

พวกเขาเป็นแคว้นที่ต้องพึ่งพาสองแคว้นใหญ่ในการอยู่รอด ย่อมมิอาจมีวันเวลาที่ดีได้เช่นกัน บรรดาทูตแต่ละแคว้นพากันหาลู่ทางสืบข่าวจะได้คิดหาแผนการเอาตัวรอด

แต่ไหนแต่ไรมาแคว้นใหญ่ทำศึกกัน ผู้ที่เคราะห์ร้ายที่สุดล้วนแต่เป็นพวกเขา หากไม่ระวัง การจะถูกสองแคว้นใหญ่หรือแคว้นเพื่อนบ้านฉวยโอกาสกลืนกินแคว้นก็มิใช่เรื่องแปลก

ฮ่องเต้ของแคว้นตัวลี่กับแคว้นเซียงเยวี่ยเป็นห่วงเช่นเดียวกันว่าแคว้นรอบข้างจะฉวยโอกาสยามพวกเขาสู้รบกันใช้อุบายก่อกวน

ฮ่องเต้กับเหล่าขุนนางใหญ่กำลังยุ่งกับการรับมือทูตจากแต่ละแคว้น รวมถึงการเตรียมเสบียงและอาวุธของกองทัพ บรรยากาศในเมืองจื่อเยี่ยจึงดูตึงเครียดอยู่บ้าง

สายสืบที่แฝงตัวอยู่ทางแคว้นตัวลี่ส่งรายงานลับมาว่าเจียงหรูเลี่ยนกับเมธาจารย์ซวี่กวงไม่ได้กลับสำนักเฟิ่งเสินเลย บัดนี้ความเคลื่อนไหวเป็นเช่นไรยังไม่แน่ชัด เรื่องนี้ยิ่งทำให้ฉินโยวโยวรู้สึกประหวั่นพรั่นใจ

ตามหลักแล้วยอดฝีมืออย่างเจียงหรูเลี่ยนไม่สมควรกระทำเรื่องเสื่อมเสียเกียรติอย่างการเข้าวังมาลอบสังหาร ทว่าเขาก็ได้ทำไปแล้ว ถึงขั้นยังส่งคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชามาอีกครั้งด้วย

สุดยอดฝีมือผู้สง่าผ่าเผยคนหนึ่งกระทำการไม่เห็นแก่หน้าตาเช่นนี้ช่างชวนให้คนปวดหัวยิ่งนัก ทั้งยามนี้เหยียนตี้เองก็ไม่อาจหาข่าวของพวกเขาศิษย์อาจารย์ได้อีก จึงได้แต่ให้ฉินโยวโยวอยู่ใกล้ตัว คอยป้องกันระแวดระวัง

“เจียงหรูเลี่ยนที่สมควรตาย ไม่มีวิธีล่อเขาออกมาจัดการกำจัดให้สิ้นซากเลยหรือ” ฉินโยวโยวรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านยิ่ง แม้นางจะชอบที่ได้อยู่กับสามีปีศาจ แต่ไม่ต้องถึงขั้นตัวติดกันตลอดตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็ได้

นางจะทำอะไรก็ทำไม่ได้สักอย่าง เขาจะออกไปตระเวนตรวจกองทหารประจำการก็ต้องพานางไป จะเข้าวังไปพบฮ่องเต้เพื่อหารือข้อราชการก็ต้องพานางไปอีก ยามได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงของทางการหรือต้องต้อนรับทูตจากแคว้นอื่นก็ยังต้องพานางไปด้วย

ผู้คนในเมืองหลวงต่างกำลังลือกันว่าเซิ่งผิงชินอ๋องรักภรรยายิ่งชีพ ไม่อาจห่างจากพระชายาหมาดๆ ผู้นี้ได้สักเสี้ยวเวลา และก็มีลือด้วยว่าพระชายามีใจทะเยอทะยานอย่างมาก อยากจะสอดมือยุ่งเรื่องของเซิ่งผิงชินอ๋องไปเสียทุกเรื่อง

ไม่มีผู้ใดรู้เลยสักนิดว่าฉินโยวโยวหงุดหงิดจนจะไม่ไหวแล้ว และยิ่งแค้นเจียงหรูเลี่ยนศิษย์อาจารย์ที่ทำให้นางไร้อิสระเข้ากระดูกดำยิ่งกว่าเดิม

เหยียนตี้นอกจากเรื่องไม่ชอบแววตาแฝงความมุ่งหมายที่บางคนใช้พินิจมองฉินโยวโยวแล้ว อันที่จริงเขาก็รู้สึกว่าเช่นนี้ไม่เลวเลย

“เจียงหรูเลี่ยนหลบอยู่ในที่ลับไปตลอดไม่ได้หรอก อย่างไรเขาก็ยังเป็นเจ้าสำนักของสำนักเฟิ่งเสิน ผู้อาวุโสทั้งหลายของสำนักไม่มีทางปล่อยให้เขาทำเรื่องวุ่นวายแน่ เจ้าอดทนอีกสักระยะหนึ่งก็ไม่มีอะไรแล้ว” เหยียนตี้กล่าวปลอบด้วยถ้อยคำไพเราะน่าฟัง

“หากพวกเขาจะนึกถึงก็ควรนึกถึงท่านกับพี่ชายท่านสิ จะมานึกถึงข้าทำไม” ฉินโยวโยวพูดอย่างอัดอั้นตันใจ นางอยากจะหาตัวพวกเขาเพื่อแก้แค้น และเค้นถามที่อยู่ของบิดามารดาเสียด้วยซ้ำ

เหยียนตี้ขยี้ศีรษะฉินโยวโยวโดยไม่พูดอะไร เจียงหรูเลี่ยนกับเมธาจารย์ซวี่กวงมีเหตุผลให้นึกถึงนางอยู่มากเหลือเกิน วิชากลไกที่เหนือชั้นกว่านักกลไกในยุคนี้หลายเท่าของนาง รูปโฉมงามเป็นหนึ่งที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นมารดาของนาง ไม่ว่าสิ่งใดก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาลงมือกับนางได้แล้ว

ตำแหน่งฐานะของฉินโยวโยวในแคว้นเซียงเยวี่ยรวมถึงในใจเขาในยามนี้ยิ่งทำให้ผู้อื่นมีใจหมายปองนางมากกว่าเดิม ก่อนสองแคว้นจะเปิดศึก หากจับตัวนางไว้ได้ก็จะกลายเป็นตัวประกันที่ดีที่สุดในการขู่บังคับเขา

“เสด็จแม่ตรัสว่าก่อนศึกใหญ่ให้พวกเราจัดพิธีแต่งงานกันก่อน ทางเรือนศิลาก็บูรณะใกล้เสร็จพอดี หลังพิธีเจ้าก็ย้ายไปอยู่กับข้าทางนั้น”

ตอนกลางคืนในช่วงที่ผ่านมานี้เหยียนตี้ล้วนพักอยู่ในหอนอนที่เรือนศิลาน้อยของฉินโยวโยว แน่นอนว่ากิจวัตรประจำวันย่อมสะดวกไม่สู้กับตอนอยู่ที่เรือนศิลา จะอย่างไรที่นี่ก็เป็นเพียงสถานที่ที่สร้างไว้ให้พระชายาพักอาศัยเพียงคนเดียว รูปแบบตัวเรือนจึงเน้นความประณีตอ่อนช้อยมากกว่า

ฉินโยวโยวถามด้วยความแปลกใจ “พวกเรามิใช่ทำพิธีแต่งงานกันแล้วหรือ” ได้ข่าวว่ายังเป็นพิธีระดับสูงสุดของสกุลเหยียนอีกด้วย

แม้จะไม่มีใครเข้าร่วมชมพิธี แต่พอนึกถึงคำสาบานที่เหยียนตี้กับนางกล่าวต่อหน้ารูปสลักหยกบรรพบุรุษ นางก็รู้สึกว่าพิธีแต่งงานนี้จริงใจกว่าการคลุมหน้าไหว้กันไปไหว้กันมามากนัก

เหยียนตี้เล่นผมฉินโยวโยวพลางตอบยิ้มๆ “นั่นเป็นพิธีแต่งงานในตระกูลพวกเรา ด้วยฐานะของข้า เดิมทีการแต่งตั้งพระชายายังต้องมีพิธีแต่งตั้งและพิธีสมรสอย่างเป็นทางการอีก แต่ข้าคิดว่าเจ้าต้องกลัวความยุ่งยากเป็นแน่จึงได้ขอให้เสด็จแม่ทรงจัดรวมไว้ในวันเดียวกันเลย”

ฉินโยวโยวพลันแจ้งใจ นางก็แปลกใจอยู่ว่าไฉนพอทางเหยียนตี้ขอนางแต่งงาน ทางนั้นก็ประกาศต่อทั้งใต้หล้าว่านางเป็นพระชายาแล้ว ถึงขั้นว่าคนในจวนอ๋องยังเปลี่ยนคำเรียกขานในชั่วข้ามคืน ยามเข้าวังพบฮ่องเต้และไทเฮา คนทั้งหมดในวังก็เรียกนางเป็นพระชายาเช่นกัน

นางก็รู้สึกอยู่ว่าพวกเขาแต่งตั้งพระชายาได้ง่ายดายตามสบายเกินไปจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเจ้าคนเลวนี่ถึงกับหลอกให้นางเข้าใจผิดจนทำข้าวสารเป็นข้าวสุกแล้วถึงค่อยดำเนินขั้นตอนตามหลัง เจ้าคนเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว!

“วันดีสำหรับจัดงานที่เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลเลือกมาอยู่หลังวันที่เจ็ด พรุ่งนี้พวกชุดแต่งงานน่าจะส่งมาถึง ทุกอย่างในจวนเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่ต้องคิดอะไรมาก รอเป็นเจ้าสาวอย่างเดียวก็พอ” เหยียนตี้คล้ายว่าไม่สังเกตเห็นความไม่พอใจของฉินโยวโยว เขาบรรยายแจกแจงเรื่องพิธีแต่งงานต่อ

ฉินโยวโยวข้องใจขึ้นมาอีกครั้ง การเตรียมพิธีแต่งงานมิใช่เรื่องง่ายดายเพียงนี้ โดยเฉพาะสามีปีศาจยังเป็นถึงชินอ๋อง เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะเตรียมการเรียบร้อยได้ในพริบตาเดียว

“เริ่มเตรียมการตั้งแต่เมื่อไร ไฉนข้าถึงไม่รู้เรื่อง” ฉินโยวโยวรู้สึกว่าระยะนี้ตนเองเริ่มจะเลอะเลือนขึ้นทุกที

เหยียนตี้ยิ้มพลางพลิกตัวกดนางลงบนเตียง เขาโน้มหน้าลงพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยว่า “ตอนที่พวกเราไปถึงเมืองปาไซ่ ข้าก็ส่งจดหมายบอกให้ในจวนเริ่มเตรียมการแล้ว”

ดวงตาโตแสนงดงามทั้งสองข้างของฉินโยวโยวเบิกโพลง นางพูดอย่างอึดอัดคับข้อง “ท่านมั่นใจถึงเพียงนั้นเชียวว่าข้าต้องแต่งให้ท่านแน่?!” จะเกินไปแล้ว! ที่ยิ่งเกินไปกว่านั้นคือนางถึงกับซื่อบื้อถูกเขาหลอกเสียอยู่หมัดจริงๆ!

“คนงามที่ข้าอุตส่าห์ถูกตาต้องใจทั้งที จะปล่อยให้นางหนีไปได้อย่างไรเล่า” ในน้ำเสียงของเหยียนตี้มีแววกระหยิ่มใจอย่างซ่อนไม่มิด

อันที่จริงพระราชโองการแต่งตั้งฉินโยวโยวเป็นพระชายานั้น เขาได้เข้าวังไปขอจากไทเฮาตั้งแต่วันที่กลับถึงเมืองหลวงแล้ว อีกทั้งยังแจ้งต่อกองงานฝ่ายราชวงศ์และเหล่าผู้อาวุโสที่หมู่บ้านซือตี้แล้วด้วย

ขณะที่ฉินโยวโยวยังคงไร้เดียงสาคิดว่าตนเองแค่ถูกเหยียนตี้หลอกพากลับมาใช้แรงงานพร้อมทั้งเป็นนักโทษ ฐานะของคนทั้งสองก็ได้ถูกกำหนดโดยทางเหยียนตี้แล้ว

“ฮึ! หากข้าไม่ตกลง ท่านจะทำอะไรได้!” ฉินโยวโยวพูดอย่างโกรธเคือง

ในดวงตาเหยียนตี้คล้ายว่ามีเปลวเพลิงร้อนแรงสองกองลุกโหมขึ้นมา “เจ้าไม่ตกลง…ข้าก็ได้แต่ ‘ลงกายลงแรง’ โน้มน้าวเจ้าอย่างเต็มที่แล้ว เจ้าอยากลองดูสักหน่อยหรือไม่”

“คนเลว! ฟ้ายังไม่มืดท่านก็คิดจะทำเรื่องไม่ดีแล้วรึ!” ฉินโยวโยวทางหนึ่งหลบเลี่ยงกรงเล็บของเขาที่หมายจะสอดเข้ามาในเสื้อนาง อีกทางก็ร้องห้ามเบาๆ

“ข้าทำเรื่องไม่ดีไม่เคยเลือกเวลาอยู่แล้ว”

นอกเรือนฝนพรำหิมะโปรยปราย ในเรือนอวลอุ่นกลิ่นอายวสันต์…

เจ้าคนเลวทำเรื่องไม่ดีเสร็จก็กอดภรรยาตัวน้อยสุดที่รักไว้พลางพูดอย่างอิ่มเอม “เจ้าไม่ชอบที่อยู่กับข้าตั้งแต่เช้าจรดเย็นทุกวัน รู้สึกไม่เป็นอิสระหรือไร วันพรุ่งนี้ข้าไม่อาจอยู่กับเจ้าได้ เจ้าตามข้าเข้าวัง รออยู่ที่ห้องข้างอย่างว่าง่าย อยากทำอะไรก็ทำไป ตอนเย็นข้าจะไปรับเจ้า”

ฉินโยวโยวเงียบไปชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “ได้”

นางคาดเดาได้แล้วว่าเหตุใดเหยียนตี้จะไม่อยู่กับนาง วันพรุ่งนี้เขาน่าจะไปทดสอบอานุภาพของปืนใหญ่กระบอกนั้นด้วยกันกับเหยียนซู่กระมัง ผ่านมาหลายวัน คิดว่าพวกเขาคงทำของจริงออกมาสำเร็จแล้ว

นับแต่เหยียนตี้ฟื้นขึ้นมา เขาก็ตั้งใจไม่เอ่ยถึงเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับปืนใหญ่ของบรรพบุรุษต่อหน้าฉินโยวโยว ถึงขั้นว่าไม่เคยคุยเรื่องการเตรียมการบุกโจมตีแคว้นตัวลี่ต่อหน้านางด้วย

ฉินโยวโยวยินดีจะปิดหูปิดตาตนเอง ถือเสียว่าปืนใหญ่กระบอกนั้นไม่เคยปรากฏโฉมมาก่อน

 

วันรุ่งขึ้นเหยียนตี้พาฉินโยวโยวเข้าวังแต่เช้า เขาส่งนางถึงห้องข้างของตำหนักอักษรเรียบร้อยก็ทิ้งเหลียงลิ่งกับตู้เหวยเหนียงให้อยู่เป็นเพื่อนนาง ส่วนตนเองก็ไปสมทบกับฮ่องเต้

เหยียนตี้ส่งแหวนสุเมรุวงหนึ่งให้ฉินโยวโยว เขาใส่วัสดุและเครื่องมือที่นางต้องใช้เวลาทำกลไกทั้งหมดให้นางพกติดตัว ไปที่ใดก็สามารถหาอะไรทำฆ่าเวลาได้

เมื่อก่อนที่มีเสี่ยวฮุยอยู่ สมบัติส่วนใหญ่ของฉินโยวโยวจะบรรจุอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของมัน ตอนนี้เสี่ยวฮุยไม่อาจติดตามนางออกมาข้างนอก จึงได้แต่เปลี่ยนมาใช้เครื่องมือเก็บของแทน

ทว่าวันนี้ฉินโยวโยวไม่ได้เล่นกับกลไกอีก แต่เลือกหยิบเอาผ้าไหมแพรพรรณออกมาเตรียมจะตัดอีกชุดตามแบบชุดตัวน้อย

ครั้นตู้เหวยเหนียงเห็นก็พูดด้วยความตื่นเต้นดีใจ “พระชายาทรงพระครรภ์แล้ว? นี่จะเตรียมไว้ให้ท่านอ๋องน้อยท่านหญิงน้อยหรือเพคะ” หากแต่ชุดตัวน้อยนั้นไม่ว่าดูอย่างไรก็ดูพิกลทั้งยังดูคุ้นตาอยู่บ้าง

ฉินโยวโยวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “มิใช่ นี่ทำให้เสี่ยวฮุย มันน่าจะเลื่อนขั้นสำเร็จเร็วๆ นี้แล้ว ข้าจะทำชุดใหม่ให้มัน มันจะต้องดีใจมากแน่นอน”

ตู้เหวยเหนียงดีทุกเรื่อง เสียก็แต่จุดที่ชอบเร่งรัดให้นางกับสามีปีศาจมีลูกซึ่งชวนให้คนหมดคำพูดอย่างยิ่ง

ตู้เหวยเหนียงได้ยินคำตอบของฉินโยวโยวก็ผิดหวังอย่างมากตามคาด นางบ่นงึมงำว่า “ท่านก็ทรงนึกถึงแต่เสี่ยวฮุย ไฉนไม่ทรงทำให้ท่านอ๋องบ้าง”

“เขาไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าเสียหน่อย” ฉินโยวโยวจำได้ว่าเสื้อผ้าของเสี่ยวฮุยมีแค่ชุดที่ร้านผ้าไฉ่ซือส่งมาให้ชุดเดียว ส่วนเสื้อผ้าของเหยียนตี้…นางไม่เคยไปนับ ถึงอย่างไรก็มีไม่น้อยแน่นอน

“ของที่ท่านทรงทำจะเหมือนกับที่พวกช่างตัดเย็บทำได้อย่างไร!” ตู้เหวยเหนียงรู้สึกว่าตนเองจำเป็นต้องย้ำเตือนพระชายาน้อยผู้ทึ่มทื่อผู้นี้อย่างมาก

ฉินโยวโยวนึกขึ้นได้ว่ามีหนหนึ่งนางเอาอย่างพวกสตรีในหมู่บ้านฝึกทำถุงเหอเปา แล้วนำมาให้อาจารย์ อาจารย์ก็ยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงใบหู ถุงเหอเปาใบนั้นเขาตัดใจใช้ไม่ลงจึงวางเก็บไว้ในกล่องผ้าแพรบนโต๊ะหนังสืออย่างทะนุถนอม ทั้งยังเคยนำไปอวดกับท่านลุงท่านอาที่มีสายสัมพันธ์ไม่เลวอีกหลายคน

อืม…ถุงเหอเปาใบเดียวยังทำให้อาจารย์ดีใจจนหน้าบานได้ หากนางตัดเสื้อผ้าให้สามีปีศาจก็น่าจะทำให้เขาดีใจจนนอนฝันดีทั้งคืน!

ฉินโยวโยวพยักหน้ากล่าวทันที “เช่นนั้นหลังพวกเรากลับไปแล้วก็ไปเลือกผ้าในคลังเก็บของมาทำกันเถอะ ว่าแต่เขาชอบสีและผ้าแบบใดหรือ”

ถามถึงตรงนี้ ฉินโยวโยวก็รู้สึกว่าตนเองดูไม่ค่อยใส่ใจสามีปีศาจเท่าที่ควรจริงๆ สามีปีศาจรู้ว่านางชอบกินอะไร ชอบสีอะไร ชอบอาภรณ์แบบใด ถึงขั้นยามที่พักอยู่ด้วยกัน บางครั้งเขายังหวีและเกล้าผมให้นางด้วยตนเอง กระทั่งทรงผมก็ยังเป็นทรงที่นางชอบทำในยามปกติ

นางกลับมีความเข้าใจต่อสามีปีศาจจำกัดอย่างยิ่ง และยิ่งไม่เคยสังเกตถึงความชอบของเขามาก่อน นางเป็นภรรยาที่ดูล้มเหลวอยู่บ้างจริงๆ

ตู้เหวยเหนียงเห็นฉินโยวโยวฟังคำของนางเข้าหูแล้วก็ตอบรับด้วยความยินดี “ความโปรดปรานของท่านอ๋อง หม่อมฉันทราบดีที่สุด จะต้องเลือกสิ่งที่ท่านอ๋องโปรดที่สุดมาให้พระชายาได้แน่นอน หึๆ! อันที่จริงหากท่านอ๋องทรงทราบว่าพระชายาจะทรงตัดฉลองพระองค์ถวาย ไม่ว่าสีและแบบเช่นไร ท่านอ๋องต้องโปรดแน่นอนเพคะ”

“อย่าเพิ่งบอกเขา ทำเสร็จแล้วค่อยให้เขาดีใจ” ฉินโยวโยวกำชับ

“ไม่มีปัญหาเพคะ!” ถ้าเป็นเรื่องอื่น นางจะไม่ช่วยปิดบังท่านอ๋องแน่นอน แต่เรื่องทำของให้ระหว่างสามีภรรยาหนุ่มสาวนี้ นางเข้าใจ

 

ในห้องข้างบรรยากาศอบอุ่นกลมเกลียว แต่ในเวลาเดียวกันนี้ ภายในค่ายประจำการกองทหารหลวงแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปหลายสิบหลี่ อารมณ์ของเหยียนตี้กับฮ่องเต้กลับตื่นเต้นอย่างยิ่ง

พวกเขาออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่อย่างเงียบเชียบตั้งแต่เช้า ข้างกายไม่ได้พาผู้ติดตามใดๆ มาด้วย แม้แต่แม่ทัพนายกองในค่ายก็ไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า

นี่เป็นหนึ่งในค่ายประจำการนอกเมืองหลวงจากสิบสองค่าย มีเพียงเหยียนตี้ เหยียนซู่ และนักกลไกที่เกิดจากสายตรงของสกุลเหยียนอีกเพียงสามคนที่รู้ว่าพวกเขากำลังเตรียมอาวุธที่ร้ายกาจที่สุดและเป็นความลับที่สุดของแคว้นเซียงเยวี่ยอยู่ในสถานที่นี้…ปืนใหญ่ของบรรพบุรุษ

เจียงหรูเลี่ยนสองศิษย์อาจารย์ยังซุ่มซ่อนตัวอยู่บริเวณเมืองจื่อเยี่ย หากพวกเขาเกิดล่วงรู้การมีอยู่ของปืนใหญ่บรรพบุรุษก่อนเวลา จะต้องคิดหาสารพัดวิธีมาทำลายมันแน่นอน สองคนนี้มีตบะสูงส่งล้ำลึก เคลื่อนไหวว่องไวยากจะป้องกัน พี่น้องสกุลเหยียนไม่อาจไม่ระวังไว้ก่อน

ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของค่ายทหาร ลึกลงไปใต้ดินในคลังเก็บของอันว่างเปล่า ก็คือสถานที่ที่นักกลไกทั้งสามอดหลับอดนอนเพื่อประกอบปืนใหญ่

หากฉินโยวโยวมาเห็นปืนใหญ่สิบกระบอกที่ประกอบสำเร็จแล้วภายในคลังเก็บของนี้ รวมถึงชิ้นส่วนของปืนใหญ่กองพะเนินที่ด้านข้าง นางจะต้องตกใจจนสะดุ้งโหยงแน่นอน

กระบอกและฐานปืนใหญ่รวมถึงชิ้นส่วนสำรองที่มีรูปร่างตามขนาดที่กำหนดจำนวนมากเพียงนี้ ไม่มีทางหล่อขึ้นรูปเสร็จในเวลาอันสั้นไม่ถึงเดือนเด็ดขาด

ความจริงตั้งแต่หนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้นับตั้งแต่ฉินโยวโยวสะเดาะกลไกที่บรรพบุรุษสกุลเหยียนทิ้งไว้ที่เขาโซ่วหนานจนผ่านการทดสอบ เหยียนตี้ก็แจ้งให้เหยียนซู่เรียกรวมช่างฝีมือชั้นยอดให้ลงมือใช้ทองเหลืองและเหล็กทำกระบอกและฐานปืนใหญ่ รวมถึงทำชุดชิ้นส่วนสำรองออกมาตามแบบจำลองปืนใหญ่และแบบร่างชิ้นส่วนอย่างเป็นการลับแล้ว แม้แต่กระสุนก็ยังเตรียมไว้ไม่รู้ตั้งเท่าไร

เพื่อศึกตัดสินกับแคว้นตัวลี่ หลายปีมานี้สกุลเหยียนได้เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ขาดแค่คนสำคัญที่ปรากฏขึ้นโดยไม่คาดฝันอย่างฉินโยวโยว

ฮ่องเต้ลูบตัวปืนใหญ่เบาๆ เขาพยายามใช้น้ำเสียงราบเรียบมั่นคงกล่าวกับนักกลไกทั้งสามที่ยืนทำหน้าตื่นเต้นอยู่ตรงหน้า “พวกท่านประกอบปืนใหญ่เหล่านี้เสร็จแล้วจริงๆ?”

แม้นักกลไกผู้เป็นหัวหน้าจะมีสีหน้าซูบซีดเหนื่อยล้าอยู่หลายส่วน แต่ดวงตาทั้งสองกลับเจิดจ้ากว่าปกติ “พ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมสามคนได้เทียบกับบันทึกการประกอบปืนใหญ่ของพระชายาในวันนั้นแล้ว มั่นใจว่าไม่ผิดพลาด จึงวาดแบบร่างโดยละเอียดขึ้นใหม่ จากนั้นถึงค่อยเริ่มลงมือ พวกกระหม่อมกล้าใช้ชีวิตรับรองว่าเหมือนกับที่พระชายาทรงประกอบเองไม่มีผิดเพี้ยนพ่ะย่ะค่ะ!”

“ดีมาก! ประเดี๋ยวเราจะรอดูอานุภาพที่แท้จริงของปืนใหญ่บรรพบุรุษนี้!” ฮ่องเต้หันหน้ามามองเหยียนตี้ ก่อนจะพบว่าน้องชายที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกเสมอมา เวลานี้ถึงกับใจลอยไปแล้ว

“อาตี้ เจ้ากำลังคิดอะไร หรือว่าปืนใหญ่นี้ยังมีปัญหาอยู่อีก” ฮ่องเต้ถามยิ้มๆ ประกายที่ทออยู่ในดวงตาดูมืดมัวไม่ชัดเจน

“ไม่มีอะไร ข้าจะไปสั่งให้แม่ทัพของที่นี่เตรียมตัว” เหยียนตี้ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงหันหลังเดินไปโรงกลไกใต้ดิน สั่งให้แม่ทัพของกองทหารประจำการแห่งนี้เตรียมพื้นที่ให้พวกเขาได้ทดสอบอานุภาพของปืนใหญ่

ฮ่องเต้มองเงาหลังที่หายลับไปตรงปลายบันไดของเหยียนตี้พลางยิ้มเย็นในใจ

น้องชายคนดีของเขากำลังคิดถึงสตรีที่ชุบชีวิตปืนใหญ่บรรพบุรุษนางนั้น อีกฝ่ายกำลังร้อนตัว ลังเล ถึงขั้นว่ากำลังนึกเสียใจ…เหตุเพราะอุบายหลอกลวงที่พวกเขาสองพี่น้องร่วมมือกันสร้างขึ้น

สตรีนางนั้นมีผลต่อเหยียนตี้มากกว่าที่คนทั้งหมดคิดไว้เสียอีก

ไม่นานก็เตรียมการเสร็จสิ้น เหยียนตี้เรียกหาแม่ทัพกองทหารประจำการ ก่อนจะสั่งให้ทหารทั้งหมดถอนทัพถอยไปทางตะวันตกห้าหลี่ พร้อมกับให้หน่วยลาดตระเวนไล่คนไม่เกี่ยวข้องภายในระยะยี่สิบหลี่ทางตะวันออกของค่ายทหารออกไปโดยเร็ว

ทุกคนล้วนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เหยียนตี้เป็นดั่งเทพสูงสุดในกองทัพแคว้นเซียงเยวี่ย ไม่มีใครตั้งข้อสงสัยหรือซักถามถึงการตัดสินใจของเขา

นักกลไกทั้งสามใช้กลไกที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้าในโรงกลไกใต้ดินขนปืนใหญ่กระบอกหนึ่งขึ้นมาบนพื้นดินโดยไม่บุบสลาย ปากกระบอกปืนหันไปทางทุ่งร้างผืนใหญ่ฝั่งตะวันออกของค่ายทหาร

ประกายไฟพลันวาบขึ้น เสียงดังสนั่น!

เสียงดังลั่นสะท้อนก้องอยู่ภายในค่ายทหาร เพียงไม่นานทางตะวันออกสิบกว่าหลี่ก็มีเสียงตูมตามครั่นครื้นดังมา

สำเร็จแล้ว?! ฮ่องเต้กับเหยียนตี้มองตากัน ความดีใจและความตื่นเต้นมิอาจระงับอยู่ คนทั้งสองสั่งให้นักกลไกสองคนเฝ้าอยู่ที่เดิม ก่อนพานักกลไกผู้เป็นหัวหน้าห้อตะบึงไปยังทิศทางที่มีเสียงดังด้วยกัน

ห่างไปราวสิบห้าหลี่ หลุมมหึมาหลุมหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนพื้น ภายในรวมถึงรอบหลุมล้วนไหม้เกรียม เศษดินเศษหินปริมาณมากกระจัดกระจายอยู่รอบๆ หลุม

ยามเหยียนตี้กับเหยียนซู่พานักกลไกผู้นั้นรุดมาถึง ตอนยืนอยู่ใกล้หลุมก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังงานความร้อนอันน่ากลัวที่มาจากการระเบิด

“เทียบได้กับการโจมตีเต็มกำลังของราชันยุทธ์ขั้นสิบขึ้นไป! บรรพบุรุษทรงคุ้มครอง สวรรค์ทรงโปรดแคว้นเซียงเยวี่ย!” ฮ่องเต้มองดูได้ครู่หนึ่งก็หัวเราะลั่นขึ้นมา

นักกลไกผู้นั้นเหม่อมองหลุมดิน เขาแทบจะไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง แม้แต่เหยียนตี้ก็ยังไม่อาจดึงสติกลับมาได้เป็นครู่ใหญ่

แม้ฝีมือเต็มกำลังของเขาจะมีพลังทำลายล้างมากกว่าปืนใหญ่นี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจทำการโจมตีที่รุนแรงเพียงนี้ได้ไกลถึงสิบห้าหลี่แน่ นี่เป็นเรื่องที่มีแต่เทพเซียนถึงสามารถกระทำได้

ศาสตราวุธระดับเทพเช่นนี้ หากเอาไปใช้ในสนามรบยังจะมีผู้ใดต่อกรได้!

เกรงว่ากระทั่งราชันยุทธ์ขั้นสิบแปดอย่างเจียงหรูเลี่ยน หากไม่รู้ตำแหน่งชัดเจนของปืนใหญ่ ก็คงทำได้แค่มองดูแคว้นตัวลี่และสำนักเฟิ่งเสินถูกยิงจนเป็นเถ้าถ่านโดยที่ทำอะไรไม่ได้

เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดบรรพบุรุษถึงไม่กล้าทำศาสตราวุธที่น่ากลัวนี้ออกมาง่ายๆ ปืนใหญ่ชนิดนี้มีอานุภาพรุนแรงเกินไป หากอาวุธนี้หลุดออกไปจะนำผลลัพธ์ใดตามมาด้วยก็ไม่มีใครคาดเดาได้

ทว่าความคิดเหล่านี้เพียงวาบผ่านในใจของเหยียนตี้เท่านั้น บัดนี้ความลับของปืนใหญ่อยู่ในกำมือของสกุลเหยียน นั่นก็ถือเป็นลิขิตว่าพวกเขาต้องรวบรวมแผ่นดินให้อยู่ใต้การปกครองโดยคนผู้เดียวให้ได้!

เหยียนตี้ลงมือกลบร่องรอยหลุมที่เกิดจากปืนใหญ่ ก่อนที่ทั้งสามจะสะกดกลั้นความตื่นเต้นดีใจรุดกลับมาค่ายทหาร จากนั้นก็ทดสอบปืนใหญ่ติดกันอีกสองสามครั้ง เมื่อมั่นใจว่าผลลัพธ์ไม่ผิดพลาดถึงได้หยิบของที่มีพื้นที่วิเศษใหญ่ที่สุดที่เก็บซ่อนอยู่ในท้องพระคลังมาเก็บปืนใหญ่รวมถึงชิ้นส่วนสำรองและแบบร่างเข้าไป แล้วจึงพานักกลไกทั้งสามออกจากค่ายทหารกลับเมืองหลวงไปอย่างลับๆ

ทหารหลวงที่ประจำการอยู่ในที่นี้กลับถึงในค่ายพักก็ล้วนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาดูเหมือนจะได้ยินเสียงดังสนั่นหลายเสียงดังมาจากในค่ายทหารและทางตะวันออกไกลออกไป ทั้งไม่รู้ว่าเหตุใดแม่ทัพจึงให้พวกเขาถอนทัพไปกะทันหันแล้วก็เคลื่อนกลับมาอีก

ขณะเหยียนตี้กับฮ่องเต้พานักกลไกสามคนนั้นกลับถึงเมืองหลวงอย่างเงียบเชียบก็เป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว แต่คนทั้งหลายยังคงไม่อาจสงบอารมณ์ที่พลุ่งพล่านลงได้ทั้งหมด

ฮ่องเต้จัดการพานักกลไกทั้งสามไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัยและเป็นความลับด้วยตนเอง ให้พวกเขาประกอบปืนใหญ่ที่เหลือต่อ ส่วนตนเองกับเหยียนตี้ก็กลับวังหลวงด้วยกัน

ยามมาถึงวังหลวงก็ไม่ได้เข้าไปในวังทันที ฮ่องเต้เอ่ยชวนเหยียนตี้เดินขึ้นหอกำแพงวัง ก่อนเอ่ยอย่างคึกคักฮึกเหิมยิ่ง “คำทำนายของบรรพบุรุษจะเป็นจริงที่พวกเราสองพี่น้องตามคาด หึๆ! แผ่นดินอันกว้างใหญ่นี้อีกไม่นานก็จะกลายเป็นของสกุลเหยียนเรา แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็อยากให้วันใหม่มาถึงตอนนี้เลยจริงๆ พวกเราพี่น้องนำทัพใหญ่กวาดล้างแคว้นตัวลี่แล้วต่อด้วยใต้หล้า! เจียงหรูเลี่ยน สำนักเฟิ่งเสิน แคว้นตัวลี่ ทั้งหมดล้วนต้องถูกบดขยี้เป็นผุยผงภายใต้อานุภาพของปืนใหญ่บรรพบุรุษ!”

เหยียนตี้เองก็มีสีหน้าตื่นเต้นเช่นเดียวกัน ทว่าคำพูดต่อมาของฮ่องเต้กลับเป็นเช่นน้ำเย็นที่สาดใส่ อารมณ์ตื่นเต้นของเขาให้ถูกดับลงทันควัน “เจ้าว่าหากให้น้องสะใภ้ถอดความหมายของขีดเครื่องหมายลึกลับเหล่านั้นบนแบบร่างกลไกอื่นๆ ที่บรรพบุรุษทรงทิ้งไว้ออกมา…”

ในสมองเหยียนตี้ปรากฏภาพท่าทางอันอ่อนแอซีดเซียวของฉินโยวโยวที่เขามองเห็นในวันที่ฟื้นวาบผ่านแทบจะพร้อมกัน ทั้งยังมีแววนึกเสียใจ ละอายใจ หวาดหวั่น ไร้ที่พึ่งในดวงตาของนาง…

“มีปืนใหญ่ของบรรพบุรุษก็มากพอแล้ว เรื่องนี้อย่าได้เอ่ยถึงอีก!” คำปฏิเสธแทบจะโพล่งออกจากปากโดยปราศจากความลังเล

เขาริษยามากจริงๆ ที่ฉินโยวโยวยึดถือวาจาของอาจารย์มากยิ่ง แต่หลังจากเขาได้เห็นกับตาถึงสภาพซึมเซาเศร้าเสียใจเนื่องจากฝ่าฝืนหลักการของตนเองและอาจารย์ของนางแล้ว เขาก็ยอมปล่อยหนามนี้ให้ยอกอกต่อไปดีกว่าทำให้นางต้องเสียใจและลำบากใจอีกครั้ง

“มีปืนใหญ่บรรพบุรุษย่อมจะไม่เลว แต่ปืนใหญ่เหมาะกับการโจมตีระยะไกล อีกทั้งการขนส่งก็ไม่ค่อยสะดวก ของที่เป็นพื้นที่วิเศษมีน้อยเกินไป ทั่วทั้งท้องพระคลังรวมถึงคลังส่วนตัวของราชวงศ์ที่สามารถบรรจุปืนใหญ่ได้กลับมีเพียงราวสิบชิ้น หากมีอาวุธที่เบาและขนย้ายสะดวกอีกทั้งมีอานุภาพเกรียงไกรอย่างอื่นคอยช่วย การรวบรวมใต้หล้าของพวกเราก็จะราบรื่นขึ้นมาก” ฮ่องเต้หว่านล้อมต่ออย่างไม่ยอมแพ้

“เรื่องนี้ปล่อยให้ค่อยเป็นค่อยไปเถิด ข้าไม่อยากฝืนใจนางอีก นางเป็นภรรยาของข้า” เหยียนตี้ส่ายศีรษะปฏิเสธ

ฮ่องเต้ไม่เห็นด้วย “ค่อยเป็นค่อยไป? หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้น เกรงว่าแม้แต่ปืนใหญ่บรรพบุรุษพวกเราก็ไม่ต้องคิดฝันกันแล้ว แค่สตรีนางหนึ่งเท่านั้น จะเทียบกับสิ่งที่สกุลเหยียนวางรากฐานมายาวนานหลายชั่วคนได้อย่างไร”

เหยียนตี้มองเขาปราดหนึ่งอย่างเย็นเยียบ “หากไม่มีนาง สิ่งที่วางรากฐานมายาวนานหลายชั่วคนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะบรรลุผลสำเร็จได้เดือนใดปีใด เสด็จพี่ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่มีทางรับปาก”

ฮ่องเต้ถอนหายใจ กลับมาทำท่าทางทะเล้นก่อนเอ่ยว่า “ก็ได้ น้องสะใภ้เป็นดวงใจของเจ้า ข้าที่เป็นพี่ไม่มีค่าแล้ว เรื่องนี้ข้าจะไม่เอ่ยถึงอีก แต่เรื่องที่ข้าจะนำทัพออกรบเอง เจ้าก็อย่ามาห้ามข้า”

เหยียนตี้ขมวดคิ้วมองเขาพลางเอ่ยว่า “ท่านยังไม่ถอดใจอีก? ในสนามรบเสี่ยงอันตราย ท่านเป็นถึงผู้ปกครองแคว้น ต่อให้ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ถ้าได้รับบาดเจ็บก็กระทบต่อใจทหารใจราษฎรอย่างมาก แล้วไฉนท่านต้องไปเสี่ยงให้ได้ด้วย”

ฮ่องเต้แค่นหัวเราะ “พูดเช่นนี้อีกแล้ว ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมฮ่องเต้คู่แห่งแสงสว่างและความมืดต้องเป็นข้าที่ตัวติดอยู่บนบัลลังก์อันเย็นเฉียบน่าเบื่อตัวนั้น! ข้ามอบบัลลังก์ให้เจ้า แล้วให้ข้าใช้ตำแหน่งเซิ่งผิงชินอ๋องของเจ้าแทนดีหรือไม่ เช่นนี้ทุกคนก็ไม่ต้องเอาเรื่องผู้ปกครองแคว้นอะไรนี่มากดดันข้าแล้ว”

เหยียนตี้ส่ายหน้า “ท่านรู้ทั้งรู้ว่านี่เป็นไปไม่ได้ กลับกันเถอะ ฟ้ามืดแล้ว” เขาพูดจบก็ไม่พล่ามอะไรอีก เพียงหมุนตัวเดินลงจากหอกำแพงวัง ก้าวเท้ายาวไปทางตำหนักอักษร

ฮ่องเต้เดินตามหลังเหยียนตี้ไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า แววตาที่มองเงาหลังอีกฝ่ายทอประกายเยียบเย็นบางๆ ออกมา เขารู้ว่าเหยียนตี้รีบไปตำหนักอักษรเพื่อรับสตรีนางนั้น

ในวังมีภรรยาที่เหยียนตี้ชมชอบกำลังรออีกฝ่ายอยู่ แต่เขาที่เป็นฮ่องเต้นี้มีอะไร มีแต่สตรีใส่หน้ากาก วางแผนจะตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของเขา อยากกลายเป็นไทเฮาหรือไท่เฟยในภายภาคหน้าแค่เท่านั้น

ในห้องข้างของตำหนักอักษร ภายใต้แสงตะเกียงนวลตา ฉินโยวโยวกำลังยิ้มตาหยีพลางพลิกดูเสื้อต่วนทอลายตัวน้อยสีชมพูที่เพิ่งทำเสร็จไปมา พร้อมจินตนาการถึงเสียงหัวเราะชอบใจและท่าทางน่ารักน่าชังหลังจากที่เสี่ยวฮุยได้สวมใส่มัน

ทันใดนั้นเอวก็ถูกคนกอดไว้จากทางด้านหลัง เสื้อผ้าที่ติดไอหนาวเย็นของต้นฤดูใบไม้ผลิจากด้านนอกแนบชิดกับร่างนาง หลังคอถูกคนหอมไปหนึ่งฟอด “วันนี้ทำอะไรไปบ้าง”

ฉินโยวโยวไม่ต้องฟังไม่ต้องมองก็รู้ว่าผู้ที่มาถึงแล้วทำรุ่มร่ามกับนางในเขตวัง นอกจากสามีปีศาจแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก

“ท่านกลับมาแล้ว?” นางหันไปส่งยิ้มให้ รอยยิ้มเจิดจ้าตราตรึงใจจนทำให้เหยียนตี้หัวใจหยุดเต้น เขาอยากให้ทุกครั้งที่กลับมาล้วนมีรอยยิ้มอ่อนหวานเช่นนี้รอต้อนรับเขา เพราะฉะนั้น…เรื่องแบบร่างเขาจะไม่เอ่ยถึงอีกเด็ดขาด ทั้งยังต้องคิดหาวิธีทำให้ฮ่องเต้ถอดใจด้วยเช่นกัน

 

ติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: