X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักราชันใต้อาณัติ

ทดลองอ่าน ราชันใต้อาณัติ เล่ม 3 บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 3

“ข้าตัดชุดใหม่ให้เสี่ยวฮุย ท่านดูซิว่าสวยหรือไม่” ฉินโยวโยวกางชุดตัวน้อยสีชมพูตัวนั้นออกให้เหยียนตี้ดู สีหน้าท่าทางภูมิอกภูมิใจจนเหมือนกับว่าได้ทำผลงานยิ่งใหญ่อันเป็นที่ตกตะลึงของคนทั้งใต้หล้าสำเร็จ มิใช่แค่งานเย็บปักถักร้อยที่สตรีส่วนใหญ่ล้วนทำได้

เหยียนตี้รักษาสีหน้าเดิมไว้ไม่อยู่ในทันที “ทั้งตัวมันมีแต่ขน ยังต้องใส่เสื้อผ้าอะไรอีก” เป็นกระต่ายอ้วนที่สมควรตายตัวนั้นอีกแล้ว กระต่ายอัปลักษณ์ที่ช่างตามหลอกหลอนยิ่งนัก!

ผลงานที่ฉินโยวโยวพอใจไม่ได้รับคำชมอย่างที่ควรได้ นางจึงเบะปากพลางแค่นเสียงไม่พอใจขึ้นมาแล้ว

เหยียนตี้เป่าลมใส่หูนางแล้วเอ่ยว่า “ทว่าเจ้าฝึกมือไว้ก็ดีเหมือนกัน อีกปีสองปีเจ้าคลอดลูกให้ข้าสักหลายคน ทักษะฝีมือนี้ก็จะได้ใช้แล้ว”

เขาพูดพลางใช้มือขวาลูบเบาๆ บนท้องน้อยนาง

เหยียนตี้พลันนึกเสียใจอยู่บ้างแล้ว หากฉินโยวโยวไม่ได้กินผลมุกชาดเหล่านั้นลงไป ไม่แน่เวลานี้ในท้องนางอาจจะมีทายาทของเขาอยู่แล้ว พอมีลูก ข้อผูกมัดระหว่างเขากับนางก็จะยิ่งลึกซึ้ง และเขาเองก็จะสบายใจได้มากขึ้นกว่าเดิม

ฉินโยวโยวใบหน้าแดง นางถลึงตาใส่เขา “ท่านติดเหวยเหนียงมาแล้ว พูดเสียเหมือนข้าเป็นแม่หมู”

“พอพูดถึงหมู ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าในห้องหนังสือของข้ามีหนังสืออยู่สองสามเล่ม กลับไปพวกเรามาศึกษา ‘หมูเดินผ่าน’ สักหน่อยเถิด จากนั้นเจ้าก็ ‘กินเนื้อหมู’ เป็นเพื่อนข้า” เหยียนตี้เอียงศีรษะเม้มติ่งหูนางไว้ก่อนออกแรงจูบ น้ำเสียงเร่าร้อนยิ่งกว่าท่าทีภายนอก

ใบหน้าฉินโยวโยวอดจะแดงเรื่อขึ้นหลายส่วนไม่ได้ เมื่อก่อนนางรู้สึกไปได้อย่างไรว่าเหยียนตี้สามีปีศาจเป็นคนเรียบร้อยซื่อตรง เจ้าคนผู้นี้ไม่ว่าอะไรก็กล้าพูดกล้าทำทั้งนั้น มิหนำซ้ำยังมีความคิดเรื่องใต้สะดืออยู่เต็มท้องด้วย

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะในอดีตฝึกวิชาจนอัดอั้นเกินไปหรือไม่

พิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการของคนทั้งสองเหลืออีกไม่กี่วันก็จะมาถึง ตามธรรมเนียมแล้วคนทั้งสองไม่ควรจะพักอยู่ด้วยกันอีก ก่อนเหยียนตี้จะย้ายกลับไปเรือนศิลา พอนึกว่ากว่าจะถึงคืนวันงานพิธีเขาไม่อาจ ‘กินเนื้อหมู’ ได้อีก ก็ยิ่งจับฉินโยวโยว ‘กิน’ อย่างไม่ปรานี จนนางร้องขอให้ละเว้นไม่ขาดปาก เขาจึงยอมละเว้นให้อย่างไม่เต็มใจนัก

ในใต้หล้านี้คาดว่าคงมีเจ้าสาวเพียงไม่กี่คนที่มีชีวิตได้ผ่อนคลายกว่าฉินโยวโยว ทุกวันนอกจากไปดูต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยแล้ว ก็มีแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนพัก หลับเต็มอิ่มแล้วก็กิน กินอิ่มแล้วก็เย็บปักทำกลไกเล่น เล่นพอแล้วก็นอนต่อ มีความสุขยิ่งกว่าหมูเสียอีก

เหยียนตี้ถือโอกาสช่วงไม่กี่วันนี้พาจู้อวิ๋นเฟยเข้าไปห้องลับในคลังสมบัติใต้สวน แล้วช่วยมันปิดด่านเลื่อนขั้นเช่นกัน

ที่นั่นมีสมุนไพรวิเศษอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีราชันยุทธ์ขั้นสิบแปดอย่างเหยียนตี้ลงมือชี้แนะอย่างเต็มกำลังด้วยตนเอง การเลื่อนขั้นครั้งนี้ของจู้อวิ๋นเฟยก็สามารถสำเร็จเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าหรือแม้แต่ราชันสัตว์ขั้นสิบได้เช่นกัน

ฉินโยวโยวรู้เรื่องนี้เข้าก็ไม่พ้นอิจฉาระคนรู้สึกผิดต่อเสี่ยวฮุย

หากนางมีตบะร้ายกาจสักหน่อย ด้วยสายเลือดอันเกรียงไกรของเสี่ยวฮุย มันก็ควรได้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งนานแล้ว

ยามที่ความละอายใจของฉินโยวโยวปะทุขึ้นมา นางก็อดจะทำชุดตัวงามให้เสี่ยวฮุยเพิ่มอีกหลายตัวเป็นการชดเชยไม่ได้ เสื้อผ้าของเหยียนตี้นางก็มิได้หลงลืม จะอย่างไรไม่กี่วันนี้เหยียนตี้ก็ต้องปิดด่านกักตัวเป็นเพื่อนจู้อวิ๋นเฟย นางจึงนั่งตัดเย็บอยู่ในเรือนพัก

ด้วยความคล่องแคล่วหัวไวของฉินโยวโยว แม้แต่อาวุธลับที่สลับซับซ้อนอย่างที่สุดยังทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย งานเย็บปักถักร้อยจึงเรียนไปเพียงเล็กน้อยก็ทำเป็นแล้ว เพิ่งทำเป็นไม่ทันไรก็ทำได้เยี่ยมยอด

ก่อนหน้านี้นางก็เคยศึกษางานปักบนชุดที่ร้านผ้าไฉ่ซือทำให้นางเหล่านั้นแล้ว พอให้ตู้เหวยเหนียงเชิญช่างปักผ้านางหนึ่งมาชี้แนะด้วยตนเองเพียงสองสามวัน ฝีมือก็เหนือกว่าช่างปักผ้าจำนวนมากที่ทำงานเย็บปักมาหลายปีไปไกล

วิธีเย็บปักมีซ้ำไปซ้ำมาเพียงไม่กี่อย่าง ไม่ว่าพูดอย่างไรฉินโยวโยวก็เป็นยอดยุทธ์ขั้นเจ็ดคนหนึ่ง เรื่องมือไวตาไวมิใช่สิ่งที่ช่างปักผ้าธรรมดาทั่วไปจะเลียนแบบกันได้ ความสามารถในการทำความเข้าใจยิ่งต่างกันราวฟ้ากับดิน

ช่างปักผ้าที่เคยชี้แนะฉินโยวโยวผู้นั้นต่อมาภายหลังบังเอิญได้เห็นถุงเหอเปาที่นางปักเข้าก็ตกใจจนดวงตาแทบถลน หลังจากนั้นมาไม่ว่าเจอใครก็จะบอกว่าพระชายาของเซิ่งผิงชินอ๋องต้องเป็นเทพแห่งการเย็บปักจุติมาบนโลกแน่นอน

เหยียนตี้รู้ทุกความเคลื่อนไหวของฉินโยวโยวดีจนแทบเหมือนรู้จักฝ่ามือตนเอง มีหรือที่เขาจะไม่รู้ความลับเล็กๆ ของนาง ทว่าหาได้ยากที่คนรักสบายจะมีน้ำใจเช่นนี้ เขาจึงยินดียิ่งที่จะให้ความร่วมมือแสร้งทำไขสือ รอคอยให้ความประหลาดใจมาถึง

เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความสงบสุข จู้อวิ๋นเฟยสภาวะคงที่ กำลังหลับลึกอยู่ในคลังสมบัติใต้สวนเช่นเดียวกับต้าจุ่ยและเสี่ยวฮุย ตราบที่ยังไม่ถึงวันเลื่อนขั้นอย่างเป็นทางการก็จะไม่ตื่นขึ้นมา

ส่วนพิธีแต่งงานของฉินโยวโยวกับเหยียนตี้ก็มาถึงท่ามกลางการรอคอยของคนทั้งหลายในจวนอ๋อง

ในจวนอ๋องแขวนโคมประดับแถบผ้า ถึงวันงาน เหยียนตี้ก็พาฉินโยวโยวที่แต่งอาภรณ์สวมเครื่องประดับอย่างงดงามอลังการเข้าวังไปรับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ รวมทั้งแสดงความขอบคุณต่อไทเฮา จากนั้นก็จัดพิธีและงานเลี้ยงสมรสภายในวัง

ขุนนางคนสำคัญในราชสำนักและสมาชิกครอบครัวของพวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าวังมาร่วมชมพิธีเช่นกัน ภาพอันครึกครื้นนี้ไม่ด้อยไปกว่างานฉลองปีใหม่สักเท่าไร

ฉินโยวโยวรู้สึกได้ว่าในวังมีกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งระดับราชันยุทธ์เพิ่มมาอย่างน้อยเป็นสิบคน จึงอดจะแปลกใจอยู่บ้างไม่ได้ นางถือโอกาสระหว่างทางกลับจวนอ๋องหลังเสร็จงานเลี้ยงสมรสเอ่ยถามขึ้นว่า “ไฉนจู่ๆ ในวังก็มีราชันยุทธ์เพิ่มมามากเพียงนั้น เดิมทีมิใช่มีเพียงเจ็ดคนหรือไร”

ในเมื่อมีราชันยุทธ์จำนวนมากเพียงนี้ ไฉนตอนคืนปีใหม่ถึงไม่มา เวลาที่ต้องการพวกเขาที่สุดกลับไม่ปรากฏตัว วันนี้ไม่มีอะไรถึงกับโผล่ออกมาร่วมวงครึกครื้น ใช้ได้ที่ใดกัน!

เหยียนตี้รู้อยู่ก่อนแล้วว่าฉินโยวโยวต้องสงสัย จึงบีบปลายจมูกนางพลางตอบ “พวกเขาคือผู้พิทักษ์ของสกุลเหยียนที่เฝ้าพิทักษ์เมืองสำคัญแต่ละแห่งในแคว้นเซียงเยวี่ย อีกหนึ่งเดือนกว่าก็จะรบกับแคว้นตัวลี่แล้ว พวกเขาถึงได้รุดจากแต่ละที่มาฟังคำสั่งเป็นการลับ ปกติพวกเขาจะไม่ออกห่างจากที่ประจำการแม้แต่ครึ่งก้าว”

ฉินโยวโยวมีความรู้เรื่องด้านทหารอย่างจำกัด จึงยอมรับคำอธิบายนี้โดยไม่คิดอะไรมาก

ยามทั้งสองกลับถึงจวนอ๋องเวลาก็ล่วงเข้ายามซวีแล้ว แต่อันที่จริงพิธีแต่งงานยังไม่เสร็จสิ้น ตามธรรมเนียมของแคว้นเซียงเยวี่ย เวลานี้ไม่มีเรื่องของเจ้าสาวแล้ว นางแค่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องหอ รอเจ้าบ่าวกลับมาเข้าหอก็พอ

ในขณะที่เจ้าบ่าวกลับต้องไปกราบไหว้บรรพบุรุษโดยมีบรรดาพี่น้องชายคอยอยู่เป็นเพื่อน หลังจากดื่ม ‘สุราเพิ่มทายาท’ ที่พี่ชายน้องชายทุกคนของตนส่งให้หมดแล้วถึงจะนับว่าเสร็จสิ้นได้

มีพี่น้องมากก็เป็นเรื่องเศร้าอย่างหนึ่ง ดื่มจนเมาหัวราน้ำกระทั่งไม่อาจเข้าหอได้ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ทว่าสำหรับเหยียนตี้แล้ว ต่อให้สุรามากเพียงไร หลังจากดื่มลงไปแล้วก็ไม่ต่างจากน้ำเปล่า

พี่ชายน้องชายของเหยียนตี้ไม่นับว่ามากนัก มีเพียงหกคน มิหนำซ้ำนอกจากฮ่องเต้ที่ไม่กลัวเขาแล้ว แต่ละคนที่เหลือล้วนขนลุกขนพองกับใบหน้าไร้ความรู้สึกของเขาทั้งสิ้น ต่อให้เป็นอี๋ชินอ๋องเหยียนหนานเองก็รู้กาลเทศะ ไม่กล้าก่อกวนเหยียนตี้ในเวลานี้เช่นกัน

ฮ่องเต้พินิจมองใบหน้าของอี๋ชินอ๋องที่ดูยิ้มได้ฝืนใจยิ่งขณะก้าวมาเคารพสุราเพิ่มทายาท ฮ่องเต้กล่าวยิ้มๆ “เมื่อก่อนในใจน้องหกจะต้องตำหนิที่เราลำเอียงช่วยอาตี้ แต่ไม่ยอมจัดการคนที่ลอบทำร้ายเจ้าเป็นแน่…”

อี๋ชินอ๋องตอบกลับอย่างเนื้อยิ้มหนังไม่ยิ้ม “กระหม่อมไหนเลยจะกล้า”

ฮ่องเต้ไม่สนใจเขา ยังคงพูดต่อไปว่า “บัดนี้เจ้าเข้าใจแล้วกระมัง พี่สะใภ้สั่งสอนน้องสามีที่พูดจาจาบจ้วงถือเป็นการกระทำอันสมควร นี่เป็นเรื่องในครอบครัว วันหน้าหากน้องหกได้พบพี่สะใภ้ก็อย่าลืมเกรงใจเสียบ้าง”

อี๋ชินอ๋องแค่นเสียงออกจมูกสองที ก่อนถอยกลับไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ

ฮ่องเต้รอน้องชายคนสุดท้ายเคารพสุราเสร็จแล้วก็โบกมือกล่าวว่า “ดึกแล้ว น้องๆ ทั้งหลายกลับไปพักผ่อนเถอะ อาตี้เจ้าตามเรามา”

มองดูพี่น้องห้าคนที่เหลือขอตัวจากไปด้วยท่าทางราวกับได้รับอภัยโทษครั้งใหญ่แล้ว เหยียนตี้ก็ขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างแทบไม่สังเกตเห็น วันนี้เป็นวันแต่งงานของเขา อีกฝ่ายมีเรื่องสำคัญอะไรถึงกับต้องลากเขามาพูดในวันนี้ให้ได้

ฮ่องเต้คล้ายมองไม่เห็นสีหน้าไม่เข้าใจของเหยียนตี้ เพียงลุกขึ้นยืนก่อนสืบเท้าก้าวยาวเดินไปยังห้องหนังสือที่เรือนศิลา

ภายในห้องนอนที่เรือนศิลา ฉินโยวโยวอาบน้ำเสร็จแล้วก็มานั่งพิงอยู่บนตั่งนุ่มรอเหยียนตี้กลับมาด้วยท่าทีเกียจคร้าน นางได้ยินเสียงหัวเราะอันครึกครื้นของลวี่อี้กับบ่าวหญิงสามคนที่นอกห้องอยู่แว่วๆ

นางรอจนเบื่อก็เรียกพวกนางมาถามว่ากำลังคุยเรื่องสนุกอะไรอยู่ บ่าวหญิงสามคนที่เหลือล้วนเลื่อนสายตาไปมองลวี่อี้ ลวี่อี้จึงเปิดปากตอบยิ้มๆ “หม่อมฉันคุยถึงประเพณีเจ้าสาวแกล้งเจ้าบ่าวของบ้านเกิดกับพวกนางเท่านั้นเองเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าพูด…หากพระชายาทรงนำไปเล่นกับท่านอ๋อง หม่อมฉันได้อเนจอนาถเป็นแน่”

ฉินโยวโยวแค่นเสียงพูด “หากเจ้าไม่พูดมาตอนนี้ก็จะมีสภาพอนาถตั้งแต่ตอนนี้เลย!”

นางมีนิสัยเป็นกันเอง บ่าวหญิงทั้งสี่จึงทำตัวสบายๆ ยามอยู่ต่อหน้านางมาแต่ไหนแต่ไร คำขู่นี้พวกลวี่อี้จึงไม่กลัวแต่อย่างใด เอาแต่เม้มปากกลั้นยิ้มไม่ยอมพูด

ฉินโยวโยวเผยสีหน้าดุร้ายท่าทางขมึงทึงออกมา “หากเจ้าไม่พูด ข้าจะให้พวกนางสามคนจั๊กจี้เจ้า!”

บ่าวหญิงสามนางที่เหลือพากันหัวเราะคิกคักพลางล้อมวงเข้ามาจะลงมือจัดการ ลวี่อี้บ้าจี้เป็นที่สุด ในที่สุดก็อ้อนวอนขอร้อง “พูดแล้วเพคะๆ”

นางบอกวิธีที่เจ้าสาวแกล้งเจ้าบ่าวออกมาหลายวิธีอย่างไม่มีอำพราง ทว่าฉินโยวโยวฟังไปฟังมากลับรู้สึกว่านำไปใช้กับสามีปีศาจไม่ได้แน่นอน

หลอกให้เขาดื่มซีอิ๊ว ทำให้เขาอาบน้ำเสร็จแล้วหาเสื้อผ้ารองเท้าไม่เจอ ให้เจ้าบ่าวตอบคำถามถูกก่อนถึงจะยอมให้เข้าห้อง…การจะแกล้งราชันยุทธ์ขั้นสิบแปดผู้หนึ่งด้วยวิธีการเช่นนี้ถือเป็นเรื่องเพ้อฝันเลยทีเดียว

ลวี่อี้เองก็มองออกถึงความไม่เห็นด้วยของฉินโยวโยว นางจึงกัดฟันพูดว่า “ยังมีวิธีที่โหดที่สุดอีกวิธีหนึ่งเพคะ ทำให้เจ้าบ่าวหาเจ้าสาวไม่เจอ! ตอนหม่อมฉันยังเล็กเคยเห็นอาหญิงท่านหนึ่งของหม่อมฉันออกเรือน บรรดาพี่สาวน้องสาวช่วยกันนำบันไดลิงมาให้นางปีนขึ้นไปนั่งบนขื่อ จากนั้นก็บอกเจ้าบ่าวว่าเจ้าสาวหายตัวไป เจ้าบ่าววิ่งออกจากห้องหอมาพลิกทั้งลานเรือนค้นหา กลับคิดไม่ถึงว่าที่แท้เจ้าสาวจะอยู่ในห้องโดยตลอด ฮ่าๆ ต่อมาภายหลังอาหญิงของหม่อมฉันได้บอกว่ายิ่งเป็นที่ที่คุ้นเคยยิ่งจะถูกละเลยได้ง่าย พวกหม่อมฉันยังชมว่านางฉลาดอยู่เลย”

ลวี่อี้พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มก่อนเอ่ยว่า “ทว่าพระชายาทรงอย่าคิดไม่ดีจะดีกว่า ที่นี่คือจวนอ๋อง ท่านอ๋องก็ทรงมีตบะสูงส่งเพียงนั้น ทรงใช้จิตกวาดดูมีหรือจะทรงหาไม่พบ”

เดิมทีฉินโยวโยวไม่ได้มีความคิดไม่ดีอะไรเลย ครั้นถูกลวี่อี้พูดเช่นนี้นางก็นึกขึ้นได้ว่าในจวนอ๋องมีสถานที่หนึ่งที่สามีปีศาจอาจจะหาไม่พบจริงๆ…ห้องลับใต้ห้องหนังสือในเรือนศิลา!

ผนังสี่ด้านในนั้นตลอดจนเพดานล้วนบุด้วยแก้วผลึกเสวียนอู่ที่สามารถสกัดกั้นการสอดส่องจากดวงจิต หากนางไปซ่อนตัวที่นั่น คาดว่าเหยียนตี้คงจะคิดไม่ถึงชั่วขณะ

นางนึกถึงสถานที่นี้แล้วก็ใจหายวาบ ไม่ถูกต้อง! ท่าทางของลวี่อี้ชัดเจนว่ามีเจตนาจะชักนำให้นางคิดถึงห้องลับแห่งนั้น เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ด้วย

เพียงแต่ชอบเล่นซนเลยยุให้นางไปล้อเล่นกับเหยียนตี้ หรือว่ามีจุดมุ่งหมายอื่นกันแน่

นับตั้งแต่ตำหนักอักษรเกิดเรื่องกลไกบางส่วนใช้งานไม่ได้เนื่องจากนักกลไกและช่างฝีมือสมคบคิดกับศัตรูภายนอก ฉินโยวโยวก็ระแวดระวังต่อท่าทีที่ผิดปกติของคนใกล้ชิดเพิ่มขึ้น

นางเตรียมพร้อมป้องกันเงียบๆ ก่อนจะเงยหน้าคลี่ยิ้มถามตรงๆ “เจ้าตั้งใจจะล่อข้าไปที่ห้องลับใต้ห้องหนังสือใช่หรือไม่”

ลวี่อี้อึ้งงันไป นางคุกเข่าลงกับพื้นก่อนเอ่ยว่า “พระชายา หม่อมฉันมิกล้าเพคะ!”

ฉินโยวโยวกำลังสองจิตสองใจ ฉับพลันก็รู้สึกวิงเวียนตาลาย ตัวชาขยับเขยื้อนไม่ได้ นางกำนัลทั้งสามที่เดิมยืนอยู่ข้างกายลวี่อี้ล้วนล้มลงสลบไสลไปสิ้น

ในหูนางได้ยินเสียงขันทีชราผู้หนึ่งที่อยู่นอกหน้าต่างพูดว่า “ข้าบอกให้ลงมือตรงๆ ไปเลย เจ้ากลับยังจะเปลืองน้ำลายล่อให้นางไปเองอีก”

เสียงนี้…เป็นจี่กงกงราชันยุทธ์อีกคนที่รับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้นอกเหนือจากฉิวกงกงที่สละชีพในหน้าที่ และก็เป็นคนสนิทที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญที่สุดในยามนี้

เป็นฮ่องเต้ต้องการจัดการข้าหรือว่าคนเหล่านี้ถูกคนของสำนักเฟิ่งเสินทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดมีชีวิตไปแล้ว! ฉินโยวโยวในใจหวาดหวั่นสับสน แม้แต่พูดยังพูดไม่ออกสักคำ นับประสาอะไรกับการใช้อาวุธลับในตัว

นางประมาทเกินไปแล้ว สามีปีศาจพูดได้ถูกต้อง นางสมควรลงมือทันทีที่พบว่าลวี่อี้มีปัญหา! นางไม่ควรใจอ่อนลังเล

ลวี่อี้ลุกขึ้นยืนพลางถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าวกับฉินโยวโยว “เดิมทีข้าไม่อยากทำเช่นนี้กับท่านจริงๆ ท่านไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ได้ต้องการสังหารท่าน เพียงแต่จะพาท่านไปทำความกระจ่างกับเรื่องหนึ่ง”

ถึงเวลานี้แล้ว ลวี่อี้ไม่มีความจำเป็นต้องหลอกอีก ฉินโยวโยวสบายใจขึ้นเล็กน้อย ทว่าเพียงไม่นานก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอีก…เรื่องที่พวกเขาใช้อุบายพรรค์นี้ สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปมากเพื่อให้ข้าได้รู้ชัด เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องดี

ในสมองฉินโยวโยวมีบางอย่างวาบผ่าน คล้ายตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อนัก

ลวี่อี้ก้าวมาอุ้มนางขึ้น ก่อนหันหลังกลับเดินออกจากห้องนอนไปยังห้องหนังสือที่ด้านข้าง

ฉินโยวโยวมองดูลวี่อี้กับจี่กงกงเปิดกลไกห้องลับใต้ห้องหนังสืออย่างชำนาญยิ่ง ก่อนพานางมาส่งถึงในห้องลับแล้ววางลงข้างท่อทองแดงที่ใช้สำหรับถ่ายทอดเสียง

คนทั้งสองถอยออกไปอย่างรวดเร็วเป็นที่สุด เพียงไม่นานฉินโยวโยวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนสองคนดังมาจากท่อทองแดง

“ท่านมีเรื่องอะไรก็รีบว่ามา” เป็นเสียงของเหยียนตี้

จากนั้นฉินโยวโยวก็ได้ยินฮ่องเต้เสือหน้ายิ้มพูดอย่างเอ้อระเหย “ทำไมเล่า รีบร้อนอยากกลับไปเข้าหอ?”

“ไม่ผิด!” คำตอบของเหยียนตี้ยังคงเถรตรงยิ่ง แต่ฉินโยวโยวกลับหัวเราะไม่ออก นางสังหรณ์ใจว่าเรื่องที่พวกเขาจะพูดต่อจากนี้เป็นเรื่องที่นางไม่อยากได้ยินที่สุด

“ข้อเสนอคราวก่อนของข้า เจ้าจะไม่พิจารณาจริงๆ?”

“ข้าบอกไปชัดเจนแล้ว โยวโยวเป็นภรรยาของข้า”

“ข้ามีวิธีที่ดียิ่งกว่า ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเอาตัวมารับดาบของข้าอีก เจ้าเองก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ดวงใจของเจ้าต้องตกใจด้วย”

“ท่านไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าไม่มีทางตอบตกลง!”

หลังจากนั้นพวกเขาพูดอะไรกันบ้าง ฉินโยวโยวก็ฟังไม่ได้ยินอีก อย่างไรคงไม่พ้นฮ่องเต้เกลี้ยกล่อมเหยียนตี้อย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย เพื่อหาทางให้นางยอมถอดรหัสขีดเครื่องหมายลึกลับบนแบบร่างกลไกบรรพบุรุษออกมา

เป็นเช่นนี้นี่เอง…เป็นเช่นที่คิดจริงๆ

ฉินโยวโยวค้นพบด้วยความสลดใจว่าที่แท้เรื่องราวในตอนนั้นมิใช่ความบังเอิญ

เรื่องลอบสังหารในคืนงานฉลองปีใหม่เป็นละครมาตั้งแต่ต้น ละครที่ทำให้นางยินยอมพร้อมใจบอกความลับของปืนใหญ่แก่พวกเขาทั้งหมด น่าขันที่นางกลับถูกความอ่อนโยนอ่อนหวานและอาการบาดเจ็บสาหัสโชกเลือดของเหยียนตี้บังตา จนเป็นฝ่ายเอาตัวมาอยู่ในละครนี้อย่างโง่งม

กระบี่ที่ปักหน้าอกเหยียนตี้เป็นฝีมือของฮ่องเต้ พวกเขาพี่น้องมีชีวิตเดียวกัน ฮ่องเต้ย่อมไม่กล้าให้ผู้อื่นลงมือ ด้วยเหตุนี้กระบี่นั้นถึงเฉียดจุดสำคัญของเหยียนตี้ไป ‘พอดิบพอดี’ ดูเหมือนว่ากระบี่ได้แทงทะลุหัวใจ เลือดไหลเต็มพื้น แต่สำหรับเหยียนตี้กลับไร้ซึ่งอันตราย

ละครที่มีความบังเอิญสารพัดนี้มีพิรุธมากมาย ทว่ากลับหลอกตาหลอกใจนางได้อย่างง่ายดายยิ่ง

อันที่จริงตั้งแต่ก่อนหน้านี้นางก็ถูกพวกเขาวางอยู่ในละครแล้ว เพียงแต่นางถือดีเกินไป เชื่อมั่นในความรู้สึกที่เหยียนตี้มีต่อนางเกินไป จึงคิดไปเองว่าเขาไม่มีทางทำร้ายนางจริงๆ และจะเปลี่ยนแปลงตนเองได้เนื่องจากเห็นนางเป็นคนสำคัญ

เขาเป็นคนเช่นไรนั้น ในใจฉินโยวโยวรู้อยู่นานแล้ว แต่นางยังคงยืนกรานจะฝันเฟื่องอย่างไร้เดียงสาน่าขัน จวบจนบัดนี้ นางไม่อาจไม่ตื่นขึ้นมา…

นางควรโทษใครดีเล่า เรื่องที่เหยียนตี้ให้สัญญาต่อนาง เขาล้วนทำได้จริงทุกเรื่อง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยสัญญาว่าจะไม่หลอกนาง

นางเสียน้ำตาเพื่อเขา ค่ำคืนที่เฝ้าอยู่ข้างกายเขาด้วยความกระวนกระวายละอายใจเหล่านั้น ตอนนี้นึกดูก็เป็นแค่เรื่องตลกร้ายเรื่องหนึ่ง

ผ่านไปนานเท่าใดก็สุดรู้ ฉินโยวโยวคล้ายได้ยินเสียงฮ่องเต้ดังมาเข้าหู “บรรดาคนสกุลจินเหล่านั้น บัดนี้จะต้องงุนงงไม่เข้าใจเป็นแน่ว่าทั้งที่แคว้นเซียงเยวี่ยเรามีมือเทพนักกลไกอย่างน้องสะใภ้อยู่แล้ว เหตุใดเจ้ายังให้เงื่อนไขที่ดีเพียงนั้นแก่พวกเขาและร่วมงานกับพวกเขาอีก”

สกุลจิน?! ฉินโยวโยวงุนงงอยู่บ้าง ผ่านไปชั่วครู่ถึงนึกได้ว่าน่าจะเป็นสกุลจินแห่งกุ่ยซานไถ หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ด้านวิชากลไก

ฉินโยวโยวแค่คิดก็รู้แล้วว่าลวี่อี้กับจี่กงกงล้วนรับคำสั่งมาจากฮ่องเต้ ถึงได้ลงมือกับนางเช่นนี้

ฮ่องเต้ก็แค่อยากทำลายความสัมพันธ์ของนางกับเหยียนตี้ ถึงได้ให้นางมาได้ยินแผนการร้ายของพวกเขาด้วยหูตนเอง ทว่าทำเช่นนี้มีผลดีอะไรต่อเขาเล่า

เขาอุตส่าห์ฉีกหน้าบังคับพานางมาไว้ในห้องลับนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพูดเรื่องไร้สาระไร้ความสลักสำคัญ การที่จู่ๆ เขาเอ่ยถึงสกุลจินขึ้นมาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร

นางได้ยินเหยียนตี้พูดเสียงเข้มตามคาด “เรื่องของสกุลจิน ข้ามีสิทธิ์ตัดสินใจได้อย่างอิสระ ท่านไม่ต้องยุ่งให้มาก!”

“เรื่องบิดาของน้องสะใภ้ เจ้าคิดจะบอกนางเมื่อไร หากคนสกุลจินรู้ว่าน้องสะใภ้มีความสัมพันธ์กับพวกเขา เกรงว่าคงได้คิดหาทุกวิถีทางมาหลอกล่อน้องสะใภ้ไปจากมือของเจ้าแน่” ฮ่องเต้พูดยิ้มๆ

“นั่นก็ต้องดูว่าพวกเขามีปัญญาหรือไม่” เหยียนตี้เริ่มจะหมดความอดทนต่อการที่ฮ่องเต้ลากเขามาพูดพล่ามไม่หยุดในคืนวันแต่งงานของเขาแล้ว

แม้พี่ชายของเขาจะไม่มีความจริงจังมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็มิใช่คนจู้จี้ขี้บ่นอย่างเด็ดขาด

ภายในห้องลับ ฉินโยวโยวถูกเรื่องราวในคำพูดของฮ่องเต้ทำเอาตกใจจนอึ้งไปแล้ว บิดาของข้า…สกุลจิน? บิดาที่ลึกลับของข้าเป็นคนของสกุลจิน?! นี่มันเรื่องอะไรกันอีก

ฟังจากที่พูด เหยียนตี้รู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่เขากลับปิดบังนางมาตลอดเช่นเดียวกัน ลับหลังกำลังวางแผนอะไรอีก

ภายในห้องหนังสือ เหยียนตี้หมดความอดทนในที่สุด เขายืนขึ้นกล่าวว่า “ดึกแล้ว มีเรื่องสำคัญอะไรค่อยว่ากันพรุ่งนี้ เชิญเสด็จพี่กลับไปได้แล้ว”

ฮ่องเต้บรรลุจุดเป้าหมายแล้วจึงหัวเราะร่าก่อนเอ่ยว่า “อาตี้ เจ้าไยต้องรีบร้อนปานนี้ เจ้าสาวของเจ้าก็อยู่ที่นี่แล้ว”

เหยียนตี้ตกตะลึง ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนสีไปจนสิ้น มือข้างหนึ่งบิดเปิดกลไกห้องลับ ก่อนซอยเท้าลงบันได พุ่งตัวเข้าห้องลับใต้ดินไปทันที

ภรรยาตัวน้อยของเขากำลังเอนพิงเงียบๆ อยู่หน้าท่อทองแดงถ่ายทอดเสียงตรงมุมห้อง อาภรณ์สีแดงเพลิงงามเพริศพริ้งดุจอัคคี เป็นการแต่งกายที่แสดงถึงการเฉลิมฉลองออกมาทุกอณู เพียงแต่ใบหน้างามเลิศล้ำนั้นกลับซีดขาวราวกับกระดาษ มีคราบน้ำตาเป็นด่างดวง แววตาที่จ้องมองเขาแทบจะทำให้เขาไม่กล้าสบตา

นางรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว! เหยียนตี้มีความหวาดหวั่นรุนแรงผุดขึ้นมาในใจ เขาก้าวไม่กี่ก้าวไปรวบตัวนางเข้าสู่อ้อมกอด ประหนึ่งว่ามีเพียงทำเช่นนี้ถึงจะมั่นใจได้ว่านางยังอยู่ข้างกายเขา จะไม่หายตัวไปในเสี้ยวเวลาถัดมา

ฉินโยวโยวตัวแข็งทื่อ นางไม่อาจขยับและก็ไม่อาจเอ่ยวาจา ได้แต่ปล่อยให้เขาจัดท่าจัดทางตามใจเหมือนเป็นตุ๊กตา

เพียงไม่นานเหยียนตี้ก็พบเห็นความผิดปกติของนาง แตะชีพจรดูก็รู้ว่านางเพียงถูกฤทธิ์ยาควบคุมชั่วคราว จึงคิดจะอุ้มนางกลับห้องไปก่อนค่อยว่ากัน

“นางรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว อาตี้ ตอนนี้เจ้าคิดจะทำเช่นไร” เสียงของฮ่องเต้ดังมาจากด้านหลัง ยังคงติดตลกเช่นเดิม แต่กลับชวนให้คนหนาวเยือกถึงกระดูก

“ทำไม!” เหยียนตี้หันขวับกลับไปถามด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

“ฆ่านางทิ้งออกจะน่าเสียดายไปจริงๆ อีกทั้งนางก็เป็นดวงใจของเจ้าด้วยไม่ใช่หรือ เจียงหรูเลี่ยนศิษย์อาจารย์รู้วิชาชิงดวงจิตชักจูงวิญญาณไม่ถึงเศษเสี้ยว วิชาฉบับเต็มที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้นั้นล้ำเลิศไร้ขีดจำกัด ขอเพียงใช้มันกับนาง นางก็จะเป็นภรรยาตัวน้อยของเจ้าไปตลอดกาล ทั้งยังจะเชื่อฟังทำตามคำของเจ้าทุกอย่างด้วย” ฮ่องเต้คล้ายไม่ได้ยินคำถามของเหยียนตี้ เสนอแผนที่ตนใคร่ครวญเรียบร้อยก่อนอีกฝ่ายออกมา

“พอแล้ว!” เหยียนตี้ตวาดเสียงดัง “ไม่ว่าเป็นท่านหรือบรรดาลูกน้องท่าน หากกล้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายผม ก็อย่าหาว่าข้าตัดเยื่อใยไร้ไมตรี”

รอยยิ้มบนใบหน้าฮ่องเต้หุบลงหมดสิ้น เขาพูดเสียงเย็น “ข้ารู้อยู่แล้วว่านางเป็นตัวหายนะ อาตี้เจ้ารู้จักกับนางได้แค่ไม่กี่เดือนก็จะตัดเยื่อใยไร้ไมตรีต่อข้าที่เป็นพี่เพื่อนางแล้ว? เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด…

เจ้ามิใช่อยากรู้หรือว่าเหตุใดข้าจึงจงใจให้นางมาได้ยินเรื่องทุกอย่าง ฮ่าๆ สวรรค์ลิขิตให้พวกเราพี่น้องมีชีวิตเดียวกัน แต่ผู้ชี้ชะตาความเป็นความตายของพวกเราพี่น้องแท้ที่จริงมันคือเจ้า! เจ้าเป็นพี่น้องร่วมอุทรของข้า ตั้งแต่พวกเราเพิ่งรู้ความก็รู้แล้วว่าพวกเราแตกต่างจากพี่น้องคนอื่น พวกเราสามารถเชื่อกันและกัน พึ่งพากันและกันได้เต็มที่ ถึงขนาดว่าฝากชีวิตไว้ในมืออีกฝ่ายได้อย่างวางใจ ข้าเชื่อใจเจ้าได้ แต่ข้าเชื่อใจนางไม่ได้ หากเจ้าไม่สามารถควบคุมนางได้จริงๆ ข้าก็ได้แต่คิดหาวิธีชิงสังหารนางทิ้งเสีย”

เหยียนตี้ปฏิบัติกับฉินโยวโยวแตกต่างไปเป็นพิเศษ ฮ่องเต้มองเห็นอยู่ในสายตาโดยตลอด หากนางเป็นเพียงเครื่องมือที่เหยียนตี้ใช้ประโยชน์ เป็นภรรยาที่ต่างคนต่างอยู่ หรือเป็นคู่นอนชั่วครู่ชั่วยาม เขาคงไม่ใส่ใจ

ทว่าเห็นเหยียนตี้ถลำไปกับความอ่อนหวานของฉินโยวโยวลึกขึ้นทุกวันๆ เขารู้ว่าอีกไม่นานฉินโยวโยวจะกลายเป็นจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวบนตัวและหัวใจของน้องชายผู้เพียบพร้อมของเขา สตรีนางนี้มีเสน่ห์แรงกล้าที่ส่งผลกระทบต่อน้องชายของเขา

เรื่องนี้เสี่ยงเกินไปสำหรับเขา เขาถึงได้รีบคิดจะถอนรากถอนโคนเหตุที่เอาแน่เอานอนไม่ได้นี้ทิ้งไป

ฮ่องเต้จงใจสั่งให้ลูกน้องพาฉินโยวโยวมาที่นี่ ให้นางได้ยินเรื่องทุกอย่างเองกับหูก็ด้วยต้องการให้เหยียนตี้ไม่ทันรู้ตัวและไม่เหลือที่ใดๆ ให้เดินหน้าหรือถอยหลังได้

บัดนี้ตรงหน้าเหยียนตี้มีเพียงสองตัวเลือก ถ้าไม่ฆ่าก็ต้องใช้วิชาชิงดวงจิตชักจูงวิญญาณทำให้นางเป็นหุ่นเชิดมีชีวิตแล้วควบคุมไว้ในมือ มิเช่นนั้นสตรีที่เอาใจออกหากเขาแล้วนางนี้จะต้องคิดจากไปแน่นอน

หากนางจากไป ไม่ว่าจะถูกเจียงหรูเลี่ยนหรือกลุ่มอำนาจอื่นจับตัวไป รวมถึงวกกลับมาแก้แค้นเหยียนตี้ที่หลอกลวง สำหรับสกุลเหยียนของแคว้นเซียงเยวี่ยแล้วล้วนแต่เป็นเรื่องที่สั่นคลอนรากฐานแคว้นได้ทั้งสิ้น ต่อให้เหยียนตี้คิดถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวไม่ลงมือกับนาง เหล่าผู้อาวุโสที่หมู่บ้านซือตี้ก็ไม่มีทางนั่งเฉยอยู่ได้

สามารถพูดได้ว่าขอแค่ฉินโยวโยวก้าวออกจากจวนเซิ่งผิงชินอ๋อง สิ่งที่รอนางอยู่มีเพียงความตายสถานเดียว

เหยียนตี้กอดฉินโยวโยวในอ้อมแขนแน่นขึ้น เขาไม่สนใจฮ่องเต้ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนก่อนเดินออกไป

“อย่าคิดจะทำอะไรนางอีก มิเช่นนั้น…ท่านจะไม่ใช่เสด็จพี่ของข้าอีกต่อไป”

สีหน้าฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นไม่น่ามองยิ่ง เขากล้ากระทำการเด็ดขาดเพียงนี้ก็ด้วยมั่นใจว่าไม่ว่าอย่างไรเหยียนตี้ก็ไม่มีทางแตกคอกับเขาที่เป็นพี่ชายจริงๆ ดังนั้นถึงได้บีบอีกฝ่ายให้ลงมือเสร็จสิ้นโดยเร็ว

คิดไม่ถึงว่าเหยียนตี้ถึงกับถลำลึกเพียงนี้แล้ว…

 

ติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: