บทที่หนึ่ง
ราตรีมืดมิด สายลมเย็นพัดผ่าน ดวงโคมหน้าเรือนเตี้ยเก่าทึมแกว่งโยกไปมา เสียงหอนโหยหวนที่ไม่รู้ว่าเป็นของสุนัขป่าหรือสุนัขบ้านดังอยู่ไกลๆ เพิ่มความวังเวงน่าขนลุกให้ยามวิกาล
ณ มุมสลัวเย็นชื้นมุมหนึ่งของเรือนเตี้ย หลังจากเกิดเสียงแอ๊ดที่ฟังดูไม่ชอบมาพากล แสงเทียนจุดเล็กๆ ก็สว่างวาบ ดูรำไรริบหรี่เหมือนลอยอยู่กลางอากาศและอาจดับลงได้ทุกเมื่อ
จากนั้นก็เป็นเสียงลับมีดที่ทำให้หัวใจสั่นสะท้าน พร้อมด้วยเสียงหัวเราะชั่วร้ายที่ดังแทรกขึ้นมาเป็นพักๆ
“หึๆ ในที่สุดก็ตกอยู่ในเงื้อมมือข้า ดูซิว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้…”
ทันใดนั้นมีดที่เงื้ออยู่ในมือก็ส่องประกายขาววับ ปลิดชีวิตให้กลายเป็นวิญญาณไปอีกหนึ่ง!
“เฮ้อ…” เด็กชายวัยสิบสองปีที่ถูกบังคับให้ถืออ่างน้ำสะอาดไว้สำหรับเก็บกวาดทีหลังถอนหายใจเฮือกเมื่อเห็นดังนั้น
เด็กสาวที่ถือมีดทำครัวหันขวับ ใบหน้ากลมป้อมเปรอะคราบเลือดสองดวง จิตสังหารยังกรุ่นอยู่ในแววตา “อะไรอีกล่ะ”
“ฆ่าปลาตัวเดียวยังทำราวกับฆ่าคน พี่ใหญ่ ตั้งแต่โบราณมาเพิ่งมีท่านเป็นคนแรกนี่แหละ” ซ้ำยังทำตาเป็นประกายวาววับอย่างตื่นเต้นเสียด้วย เด็กชายหน้าตาหมดจดถอนหายใจ
เฮ้อ…บางทีก็ไม่อยากยอมรับเลยว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นพี่สาวแท้ๆ ที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันกับเขา
ตัวเขาอวี้เหลียงนั้น ตั้งแต่เล็กก็ตั้งปณิธานไว้ว่าจะศึกษาตำรานับหมื่นให้แตกฉานเพื่อฝึกฝนตนเองให้เป็นเมธีผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคในวันข้างหน้า แม้ปัจจุบันจะอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ สุดขอบชายแดนตะวันออกที่ห่างไกลจนนกกายังไม่อยากวางไข่ และยังชีพด้วยการเปิดร้านขายอาหารริมทางร่วมกับพี่สาว แต่เขาเชื่อมั่นในคติที่เป็นสัจธรรมไม่เปลี่ยนแปลงอย่าง ‘ฝากรอยเท้าไว้ในทุกย่างก้าว ใช้ความทุกข์ยากหล่อหลอมตนให้เป็นคนเหนือคน’ แต่พี่สาวใช้มีดทำครัวได้โหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเขาก็ถูกบังคับให้ดูฉากนองเลือดทุกวัน น่ากลัวเหลือเกินว่าผ่านไปนานเข้านิสัยจะบิดเบี้ยวตาม แล้วเงื้อมีดหั่นผักผ่าแตงได้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเหมือนอย่างนางไปอีกคน
ฮือ…เส้นทางแห่งนักปราชญ์ที่ถือหลัก ‘เพาะกล้านานสิบปีถึงได้ไม้ เพาะคนใช้ร้อยปีคอยปลูกฝัง’ ดูท่าจะไกลออกไปทุกที
น้องชายผู้น่าสงสาร เรียนหนังสือจนเพี้ยนไปแล้วกระมัง
อวี้หมี่เห็นเด็กชายหน้าตาหล่อเหลาข้างตัวเข้าสู่ภวังค์ใจลอย อยาก ‘ร่วมทุกข์กับประชา ห่วงหารักษ์แผ่นดิน’ อีกแล้วก็อดกลอกตาไม่ได้ ก่อนจะดึงอ่างน้ำในมือเขามาล้างปลาตัวใหญ่ที่ถูกผ่าท้องขอดเกล็ดทิ้งอย่างคล่องแคล่ว
อาหารแถบชายแดนส่วนมากมีแต่เนื้อแพะ เนื้อวัว และพืชผัก ปลากุ้งสดๆ ใหม่ๆ หายากยิ่งกว่าเส้นผมบนหัวล้าน เจ้าตัวใหญ่นี่ได้มาเพราะเมื่อวานนางแอบติดสินบนเจ้าหน้าที่ทางการที่คุ้มกันรถเสบียงจากเมืองหลวงมายังจวนแม่ทัพทุกๆ สามเดือน แล้วซื้อปลาหลุดแหตัวนี้มาได้
นางใช้เกลือป่นหยาบค่อยๆ พอกตัวปลาตั้งแต่หนวดยันหางเพื่อทำปลาเค็มเก็บไว้ ท้องหิวขึ้นมาเมื่อใดจะได้หั่นชิ้นเล็กๆ มาตุ๋นกินกับเต้าหู้และเนื้อหมู
แค่คิดถึงกลิ่นหอมฉุยของเนื้อปลาเค็มกับหมูสามชั้นชิ้นมันย่องและเต้าหู้นุ่มๆ ก็…ของอร่อยชัดๆ
อวี้หมี่มัวแต่น้ำลายไหลยืดกับตนเอง มิได้ล่วงรู้เลยว่า ณ จวนแม่ทัพที่อยู่ห่างจากร้านริมทางของนางสิบแปดลี้* บุรุษร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งกลับมาจากค่ายทหารกำลังยืนเอามือไพล่หลังหน้าอ่างไม้ใส่ปลาเป็นขนาดใหญ่
“ปลาไนหรือ”
“ขอรับ” คนที่ค้อมหลังตอบอย่างนอบน้อมก็คือเจ้าหน้าที่ผู้รับสินบนคนนั้นเอง หน้าตาฉลาดเฉลียวไม่มีแววละโมบอย่างที่จงใจแสดงออกมาเมื่อวานเลยแม้แต่น้อย
“อืม” บุรุษร่างใหญ่ยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก
วิเศษ วิเศษมาก!