ต้นยามเหม่า ท้องฟ้าเริ่มสว่างรำไร ในที่สุดรถม้าคันนั้นก็แล่นเข้ามาในจวนแม่ทัพด้วยสภาพฝุ่นเขลอะไปทั้งคัน
อวี้หมี่เพิ่งจะลงจากรถม้ายังไม่ทันได้กวาดตาพิจารณาจวนแม่ทัพที่ผู้คนเล่าลือกันว่ามีเนื้อที่กว้างขวาง มีโครงสร้างมั่นคงแข็งแรง ดูเข้มขลังทรงอำนาจ ก็ถูกไล่ให้ไปรายงานตัวที่โรงครัวเล็กสำหรับทำอาหารให้ท่านแม่ทัพโดยเฉพาะเสียก่อน
แม้จะชื่อว่าโรงครัวเล็ก แต่ความจริงไม่เล็กเลยสักนิด แค่แตกต่างจากความโกลาหลวุ่นวายของโรงครัวใหญ่ที่ทำอาหารเลี้ยงบรรดาองครักษ์เอย สาวใช้เอย บ่าวเอย รวมสามร้อยกว่าชีวิต ครัวนี้มีขึ้นตามคำสั่งเฉียบขาดของฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนเยียนกั๋วกงที่แสนห่วงหาอาทรหลานชาย จึงทำอาหารและขนมต่างๆ ให้เยียนชิงหลางคนเดียวโดยเฉพาะ
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ล่วงรู้เลยว่าหลานที่ตนรักดุจชีวิตแทบจะกินนอนอยู่ในค่ายทหาร โรงครัวเล็กแห่งนี้จึงเอาไว้เลี้ยงปลาหรือตากแห้งอาหารเสียมากกว่า
ผิดกันตรงที่เช้าตรู่วันนี้เยียนชิงหลางมานั่งจิบชาอย่างใจเย็นตรงโต๊ะมุมครัวที่เก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน
“เจ้ามาสาย” เขาวางจอกชาลงพลางกล่าวโทษนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทั้งที่ท่านแม่ทัพใหญ่ยังเคร่งขรึมเฉียบขาดเช่นปกติ แต่ไม่รู้เหตุใดเหอหย่งที่ยืนนอบน้อมตรงหน้าประตูเพื่อรายงานตัวว่าปฏิบัติหน้าที่สมบูรณ์แล้วถึงได้เห็นรอยยิ้มบางที่แสนน่าสงสัยตรงมุมปากผู้บังคับบัญชา
เหอหย่งยังไม่ทันได้แสดงสีหน้าใดๆ ดวงตาคมกริบดุจสายฟ้าก็ตวัดมองมา ทำเอาเขาสะท้านเฮือก รีบทำความเคารพแล้วเผ่นออกมาอย่างว่องไว
ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดไว้ชีวิตด้วย เมื่อครู่ข้าน้อยไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แค่ตาฝาดไปเองน่ะขอรับ…ตาฝาดไปจริงๆ
“สายตรงไหนกัน” อวี้หมี่แบกห่อผ้าหนักอึ้งด้วยสีหน้าซีดเผือด เพราะถูกรถม้าเขย่าให้กระเด้งกระดอนมาตลอดทางจนหน้ามืดวิงเวียนพะอืดพะอม ไม่อาเจียนให้เขาดูตรงนี้ก็นับว่าเกรงใจกันพอแล้ว ได้ยินดังนั้นจึงอดกลอกตาไม่ได้ “เมื่อครู่ข้าถามพี่เหอมาเรียบร้อยแล้ว พวกเรามาถึงจวนแม่ทัพต้นยามเหม่าพอดีเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกินแม้แต่นิดเดียว”
เหอหย่งที่เดินกลับคอกม้าขนลุกเกรียวอย่างไร้สาเหตุ รีบยกมือลูบต้นคอหวาดๆ
“พี่เหอ?” ดวงตาคมหรี่ลง
ไอเย็นที่เขาแผ่ออกมาแบบกะทันหันทำให้เด็กสาวลมหายใจสะดุด ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว
“สนิทกันมากหรือ” ทั้งที่เขาถามออกมาเนิบนาบ เสียงก็ไม่ได้ดังขึ้นเลยสักนิด แต่นางกลับรู้สึกว่าหัวใจสะท้านเฮือกสองทีจนต้องหดตัวไปข้างหลังตามสัญชาตญาณ
“ปะ…เปล่า เข้าใจผิด…เป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะ ฮ่าๆ” นางหัวเราะแห้งๆ
“ทีหลังอย่าให้เกิดเหตุเข้าใจผิดเช่นนี้ขึ้นอีกเป็นอันขาด” เขาบอกเรียบๆ
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย แต่ประโยคนี้นางแค่กล้าถามอยู่ในหัวเท่านั้นแหละ
“เจ้าค่ะ ท่านว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น” นางงึมงำ “ท่านแม่ทัพใหญ่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว!”
ใบหน้าเคร่งขรึมของเยียนชิงหลางกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะกลับเป็นปกติ แล้วใช้นิ้วเรียวยาวเคาะโต๊ะเบาๆ “ลงมือได้”
“ลงมือทำสิ่งใด” นางเงยหน้าขึ้นถามอย่างงุนงง
“อาหารเช้า”
เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็กัดฟันกรอด แล้วพูดฉุนๆ “ท่านแม่ทัพใหญ่ เช้าๆ อย่างนี้ท่านไม่ไปค่ายทหาร แต่มานั่งรอให้ข้าทำอาหารเช้าให้กินน่ะหรือ”
“อืม” เขาตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องปกติ