แม่ทัพหนุ่มจ้องมองนางตาไม่กะพริบ ความอบอุ่นที่แม้แต่ตนเองยังไม่รับรู้สะท้อนอยู่ในดวงตา
เท่าที่เขาประสบพบเจอมากับตัว ต่อให้แม่นางน้อยคนนี้โมโหจนกระทืบเท้าเร่าๆ รับประกันได้เลยว่าเพียงแค่หันไปอีกทาง นางก็ลืมความโกรธจนหมดสิ้น ไม่รู้จะชมว่าเป็นพรที่สวรรค์ประทานมาให้หรือควรบอกว่านางเกิดมาสติไม่สมบูรณ์ดี เหมือนอย่างตอนนี้ เมื่อครู่ยังทำท่าหัวฟัดหัวเหวี่ยงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เขาอยู่ชัดๆ แต่พอยุ่งกับงานครัวเข้าหน่อยก็กลับไปมีท่าทางเบิกบาน สองตาเป็นประกายอีกแล้ว
“เอาล่ะ เรียบร้อย!” หลังจากแง้มดูซาลาเปานุ่มฟูในลังถึงเป็นครั้งสุดท้าย นางก็เปิดฝา หยิบซาลาเปามาใส่จานอย่างไม่กลัวร้อน แล้วยกมาวางบนโต๊ะพร้อมหม้อดินใส่โจ๊กข้าวฟ่างเหนียวข้นหอมกรุ่นและแตงกวาเปรี้ยวหวานจานนั้น “เชิญท่านแม่ทัพใหญ่”
“ลำบากเจ้าแล้ว” เขาพยักหน้า หลุบตากินมื้อเช้าด้วยกิริยาห้าวหาญทว่าสุภาพเรียบร้อย
ท่าทางตอนกินข้าวของเขาสะกดสายตาให้อวี้หมี่มองจนเหม่อ หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
หากตัดนิสัยข่มเขื่องวางอำนาจที่แสนน่ารังเกียจออกไป แม่ทัพเยียนก็นับเป็นชายหนุ่มรูปงามมากคนหนึ่ง ดวงตาลึกล้ำ จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูปสวย ซ้ำยังมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ น่ามองไปหมดทุกสัดส่วน…
ยามนั้น นางพลันได้สติกลับมาจากเสียงกลืนน้ำลายของตนเอง แล้วผงะถอยไปข้างหลังสองก้าวด้วยความตกตะลึง
“หืม?” เขาเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียง เรียวปากได้รูปสมบูรณ์แบบเปื้อนคราบน้ำมันเป็นประกายแวววาว เห็นแล้วช่าง…ชวนให้น้ำลายหกอย่างยิ่ง!
อวี้หมี่กระโดดโหยงเหมือนกระต่ายตกใจ แล้วคว้าห่อสัมภาระวิ่งปรู๊ดไปข้างนอกอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง แค่ฝากคำพูดไว้ในสายลม “ค่อยๆ กินนะเจ้าคะ…”
ทิ้งเยียนชิงหลางซึ่งนั่งถือซาลาเปาที่กินไปครึ่งลูกให้ทำหน้างงงันอยู่ในครัวคนเดียว
ครู่ใหญ่ ไหล่กว้างของชายหนุ่มก็กระเพื่อมน้อยๆ คล้ายทอดถอนใจ ทว่าในขณะเดียวกันก็เหมือนกลั้นหัวเราะ
จวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาปกครองคนด้วยกฎทหาร อวี้หมี่วิ่งพรวดพราดเหมือนไฟลนก้นในจวนที่ควบคุมความประพฤติอย่างเคร่งครัดเฉียบขาด ถือว่าแสดงพฤติกรรมไม่เคารพต่อท่านแม่ทัพอย่างร้ายแรง
ทว่าเมื่อเหล่าองครักษ์ยอดฝีมือที่พรางตัวอยู่ในจวนแม่ทัพอย่างแนบเนียนจะโผล่ออกมาเอาเรื่องนางนั้น หญิงสูงวัยที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นจากที่ใดก็ยกมือขึ้นนิดๆ เป็นเชิงปราม ยังความประหลาดใจให้ยอดฝีมือที่เร้นกายอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ กำแพง หรือชายคาเรือนอย่างมาก ส่วนอวี้หมี่ก็ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเมื่อครู่เกือบรักษาหัวเอาไว้ไม่ได้
“แม่นางอวี้” หญิงชราในอาภรณ์สีดำส่งเสียงเรียกด้วยใบหน้าเฉยชา “ในจวนแห่งนี้จะวิ่งพรวดพราดหรือส่งเสียงเอะอะไม่ได้ ใครฝ่าฝืนจะต้องแบกโอ่งกระโดดสามร้อยครั้ง แม่นางอวี้โปรดจำให้ขึ้นใจด้วย”
“เอ่อ…” นางมองหญิงสูงวัยที่พูดจาเหี้ยมโหดอำมหิตด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะรับคำหวาดๆ “เจ้าค่ะ ข้าน้อยทราบแล้ว ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
“ข้าคือแม่นมเหยียน ผู้ดูแลจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพา ต่อไปหากแม่นางอวี้มีเรื่องอันใด มาหาข้าหรือหาเทาเทียนที่เป็นพ่อบ้านประจำจวนก็ได้” น้ำเสียงของแม่นมเหยียนเรียบเฉย ไม่มีการทอดสนิทแม้แต่นิดเดียว ทว่าไม่มีนัยดูถูกเหยียดหยันด้วยเช่นกัน
“คารวะแม่นมเหยียน” นางใจเต้นแรงอย่างไร้สาเหตุ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “เรียกข้าว่าอวี้หมี่เถิดเจ้าค่ะ ถึงข้าจะเข้ามาเป็นแม่ครัวในจวนนี้แค่เดือนเดียว แต่หากอยากให้ทำอะไรหรือต้องการชี้แนะสิ่งใดก็เชิญบอกมาได้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจกัน”
ฝ่ายตรงข้ามกวาดตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าหนึ่งตลบ แม้แต่สายตาก็ยังนิ่งทื่อไร้อารมณ์ “ได้”