ภายในโรงครัวเล็ก อวี้หมี่ที่พักผ่อนเสร็จแล้วกำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงมุมหนึ่ง มองดูถั่วเขียวที่เขียวสดน่ารัก ถั่วแดงที่แดงสดใส และถั่วปากอ้าเม็ดเต่งตึงที่เก็บแยกเป็นไหๆ อย่างปลาบปลื้ม
“ดีเหลือเกิน มีถั่วเยอะเช่นนี้” นางใช้มือช้อนถั่วขึ้นมาอย่างมีความสุข รับรู้สัมผัสจั๊กจี้ยามเม็ดถั่วกลมลื่นกลิ้งไปมาบนฝ่ามือจนอดยิ้มเบิกบานไม่ได้ “ทีนี้ก็ได้ใช้สูตรอาหารที่ท่านแม่สืบทอดมาแล้ว!”
แม้จะเข้าฤดูใบไม้ร่วง แต่แถบชายแดนตะวันออกก็ยังถูกแดดแผดเผาเหมือนเก่า มีเพียงตอนเช้ากับตอนกลางคืนเท่านั้นถึงจะมีลมเย็นพัดผ่าน นางไปสืบถามมาจนรู้ว่าปกติเยียนชิงหลางกินนอนในค่ายทหาร แต่ระยะนี้จะกลับจวนเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน
ช่วงเวลาที่อากาศยังร้อนอบอ้าว อีกทั้งชายหนุ่มยังเหนื่อยกับการฝึกทหารในค่ายทั้งวัน คงไม่รู้สึกอยากอาหารและกินอะไรหนักๆ ไม่ลงในมื้อเย็น
อวี้หมี่ใช้จานตักถั่วเขียวขึ้นมาแช่น้ำเปล่า แล้วเลือกรากบัวอวบๆ สองสามรากมาปอกเปลือกนึ่งให้สุก นอกจากนั้นเมื่อเห็นว่ามีดอกกุ้ยแห้งสีเหลืองทองกลิ่นหอมฟุ้งอยู่ห่อหนึ่งก็ตวงใส่ไหเล็กหนึ่งถ้วย เติมสุราข้าวหมากรสหวานลงไปพอท่วม ก่อนจะปิดปากไหไว้อย่างแน่นหนา
สุราข้าวหมากดอกกุ้ยนี้ต้องหมักไว้สามวันถึงจะได้ที่ จะต้มดื่มร้อนๆ หรือนำมาทำขนมหวานก็อร่อยทั้งนั้น นางลองหมักไว้ไหหนึ่งก่อน หากเยียนชิงหลางกินแล้วชอบค่อยหมักเพิ่มหลายๆ ไห
ถั่วเขียวที่แช่จนนิ่มแล้ว นางสะเด็ดน้ำออก ใส่โม่หินขนาดเล็กโม่ให้แหลก คลุกเคล้ากับรากบัวสุกสับละเอียดจนเข้ากันดี เทใส่ถาดเหล็กทรงแคบตื้น ยกขึ้นตั้งไฟจนสุกแข็งเป็นเนื้อเนียนสีเขียวอ่อนที่มีสีขาวพิสุทธิ์แซมประปราย จากนั้นยกไปแช่ให้เย็นในบ่อน้ำด้านนอกทั้งถาด
ถั่วลิสงคั่วจนหอมนำมาบดพักไว้ ผักชี พริก กระเทียมซอยบางๆ ไว้รอเยียนชิงหลางกลับมาค่อยราดน้ำปรุงรสลงไปก่อนยกขึ้นโต๊ะ
นางหยิบหมูเค็มมาแล่เป็นแผ่นบางเฉียบ เต้าหู้ก็หั่นเป็นแผ่น จับเต้าหู้หนึ่งแผ่นวางซ้อนหมูเค็มที่มีสัดส่วนของมันกับเนื้อแดงแบบพอดิบพอดีหนึ่งชิ้น แล้วใช้น้ำเต้าที่ขูดเป็นเส้นยาวตากแห้งมามัดไว้ จัดเรียงใส่ลังถึงและยกขึ้นตั้งไฟ
แป้งที่หมักทิ้งไว้เมื่อเช้า นางเอามาปั้นเป็นหมั่นโถวก้อนเท่าฝ่ามือ ยัดรากบัวสับก้อนกลมเล็กไว้ข้างใน รากบัวสับส่วนนี้นางผสมน้ำตาลทรายแดงลงไปด้วยเล็กน้อย พอนึ่งสุกแล้วกัดกินจะมีรสหวานปะแล่ม ตอนทำขายที่ร้าน ต่อให้เป็นผู้ชายดิบหยาบที่ไม่ชอบของหวานยังกินได้มื้อละเจ็ดแปดก้อนเป็นอย่างต่ำ
เมื่อเห็นว่าน่าจะได้เวลาแล้ว เจี้ยนหลันก็เดินเข้ามาบอกเบาๆ พอดี “แม่นางอวี้ ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาแล้ว เวลานี้กำลังอาบน้ำอยู่ ท่านเตรียมอาหารได้เลย”
“อ้อ ทราบแล้ว” อวี้หมี่หั่นผักกาดต้นอวบอ้วนสดกรอบกำหนึ่ง ล้างน้ำให้สะอาด แล้วโยนใส่กระทะที่เจียวน้ำมันกระเทียมจนร้อน ใช้ตะหลิวตลบสองที แล้วโรยเกลือกับเนื้อบ๊วยที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ลงไป เติมน้ำเปล่าจนควันขึ้นก็รีบตักขึ้นมา ได้เป็นผัดผักสีเขียวสดขึ้นมันเงาชวนน้ำลายหกอีกหนึ่งจาน
นางยกถาดเหล็กขึ้นจากบ่อน้ำ หั่นวุ้นรากบัวกับถั่วเขียวให้เป็นเส้น จัดใส่ชามก้นลึกใบใหญ่ โรยถั่วลิสงป่น ผักชีซอย พริกซอย กระเทียมซอยไว้ด้านบน สีเหลืองทองของถั่วลิสง สีเขียวของผักชี สีแดงของพริก และสีขาวของกระเทียมตัดกับเส้นรากบัวถั่วเขียวที่เป็นวุ้นใสได้อย่างสวยงาม
สุดท้ายนางราดน้ำปรุงรสที่ผสมจากน้ำส้มดำ น้ำส้มหมักข้าว น้ำตาลกรวด และซีอิ๊วงาอีกเล็กน้อยลงไปเพิ่มความหอม รสเปรี้ยวเผ็ดนำ ช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดี
ถาดไม้ใบใหญ่เรียงรายไปด้วยเข่งเล็กใส่หมั่นโถวก้อนกลมกลึงกะทัดรัดส่งกลิ่นแป้งสุกหอมฉุย ชามก้นลึกใส่เส้นรากบัวถั่วเขียว ผัดผักกาดหอมกลิ่นกระเทียม จานหมูเค็มซ้อนเต้าหู้แผ่นสีแดงขาว และสุราขาวเฝินจิ่วรสร้อนแรงอีกหนึ่งกา แค่เห็นก็น้ำลายไหล
“เรียบร้อย” นางยื่นถาดให้เจี้ยนหลัน
สาวใช้มองใบหน้ากลมป้อมที่แดงเรื่อและชื้นเหงื่อของนางแล้วทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่ยั้งตนเองไว้ได้ ก่อนจะพยักหน้า ถือถาดเดินออกไป
“ง่ายๆ สบายมาก!” นางปาดเหงื่อ นั่งไขว่ห้างข้างเตาไฟพลางดื่มน้ำรสหวานสดชื่นจากบ่อ แล้วพรูลมหายใจยาวเหยียดอย่างสบายอารมณ์ “ข้ารึอุตส่าห์กลัวแทบตาย นึกว่าจวนแม่ทัพนี่เป็นภูเขาดาบทะเลเพลิงบ่อมังกรพิษเสียอีก ปรากฏว่าจัดการได้ง่ายๆ เช่นนี้”
ตอนที่เยียนชิงหลางบอกว่านางมีหน้าที่ทำอาหารให้คนคนเดียวกิน นางยังนึกว่าปากเขาแกล้งทำเป็นใจกว้างไปอย่างนั้น แต่ใจจริงไม่รู้ว่าคิดวิธีทรมาทรกรรมนางไว้อย่างไรบ้าง ไม่นึกว่ากลับกลายเป็นนางเองที่ตัดสินวิญญูชนด้วยสายตาคนถ่อย
“น่ากลัวว่าบนโลกคงมีสตรีที่องอาจเข้มแข็ง มีความละอายแก่ใจ รู้จักยอมรับผิดอย่างกล้าหาญเช่นอวี้หมี่คนนี้แค่ไม่กี่คนหรอก!” นางประเมินตนเองเสร็จสรรพก็พูดออกมาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
เจี้ยนหลันถือถาดหนักอึ้งเดินมาถึงหน้าประตู พอได้ยินประโยคนั้นก็หางตากระตุกอย่างห้ามไม่อยู่
แม่นางอวี้ผู้นี้ช่าง…เห็นคุณค่าในตนเองดีจริง