นางกะพริบตาปริบๆ ระหว่างที่ยังงุนงงอยู่นั้น เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากข้างใน
“เข้ามา” เสียงของแม่ทัพเยียนนั่นเอง
“เจ้าค่ะ” นางทำใจกล้าผลักประตูเข้าไปอย่างร้อนๆ หนาวๆ ไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องพี่ชายไม่พี่ชายอีกแล้ว
เรือนนอนของเยียนชิงหลางกว้างขวางกว่านางถึงสามเท่า โต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่วางอยู่ตรงมุมหนึ่ง กระบี่เรียบๆ ดูหนักแน่นน่ายำเกรงเล่มหนึ่งแขวนอยู่บนผนัง ชั้นวางของสะสมเรียงรายไปด้วยตำราพิชัยสงครามปกสีน้ำเงิน มองลึกเข้าไปข้างในคือเตียงนอนหลังใหญ่สะอาดสะอ้านแขวนม่านสีน้ำเงินไว้อย่างเรียบง่าย อบอวลไปด้วยกลิ่นอายสุขุมแข็งแกร่ง
ที่แท้ห้องนอนบุรุษก็เป็นเช่นนี้เองหรือนี่
ไม่รู้เพราะเหตุใดพวงแก้มทั้งสองข้างถึงได้ร้อนผ่าว โชคดีที่ตะเกียงในห้องไม่สว่างเท่าไรนัก ให้เพียงแสงสลัวๆ ดูไม่ออกว่าใบหน้ากลมป้อมของนางกำลังแดงก่ำ
“มาหาข้ามีธุระอะไร” ร่างสูงสง่าค่อยๆ ก้าวออกมาจากด้านหลังฉากบังตาพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่ยินดียินร้าย
อวี้หมี่เหลือบตาขึ้นมอง คราวนี้ทั้งหน้าร้อนฉ่าจนควันแทบออกหัว!
เขา…เขาช่าง…
บ่ากว้าง ไหล่หนา เรือนกายสูงใหญ่ คงเพราะกำลังจะเข้านอน เขาถึงปล่อยผมดำให้สยายลงไปเคลียแผ่นหลัง เสื้อคลุมสีขาวบนร่างผูกไว้หลวมๆ เผยให้เห็นแผงอกกำยำสีทองแดงกว่าครึ่ง ถ้าเขม้นตามองให้ดีอาจเห็นยอดตูมเล็กๆ ด้วยก็เป็นได้…ไม่สิๆ นี่นางคิดลามกอะไรอยู่!
เด็กสาวรีบก้มหน้างุด ไม่กล้ามอง ‘ร่างงาม’ ที่ยั่วยุชักจูงคนให้ทำบาปได้ง่ายๆ แล้วเอ่ยเสียงสั่น “ขะ…ข้ามาขอ…ขอขมาท่านแม่ทัพใหญ่ ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ควรบอกให้ท่านไปกินมูลเลย”
อวี้หมี่อกสั่นขวัญแขวนรออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรเสียที จึงอดลอบเหลือบตาขึ้นมองเขาไม่ได้ แล้วเห็นเยียนชิงหลางกำลังยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วพอดี
“นั่งสิ” เขาลดมือลง แล้วพูดเอื่อยๆ เรื่อยๆ เหมือนเดิม
บรรยากาศในตอนนี้พิลึกสิ้นดี…ตกลงว่าเขาโกรธหรือไม่โกรธกันแน่
นางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง ได้แต่จับเก้าอี้ค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่ง โดยไม่ลืมก้มหน้าทำคิ้วตกอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
ชายหนุ่มเองก็นั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนตรงริมหน้าต่าง ท่านั่งทำให้สาบเสื้อคลุมที่หลวมอยู่แล้วเผยอออกอีกนิด
คราวนี้อวี้หมี่ดึงสายตาจ้องเขม็งของตนเองกลับมาได้อย่างทันท่วงที แล้วพยายามระงับแมลงบ้าหนุ่มรูปงามที่กำลังวิ่งพล่านอยู่ในหัวอย่างสุดความสามารถ พลางบริภาษตนเองในใจว่าต้องทำตัวลามกขึ้นสมองถึงเพียงนี้ด้วยหรือ ใช่ว่าเกิดมาไม่เคยเห็นบุรุษเสียเมื่อไร!
แต่…ท่านแม่ทัพใหญ่เจ้าขา มานั่งสาบเสื้ออ้าอวดแผงอกเช่นนี้ก็ผิดกฎเหมือนกันไม่ใช่หรือ
“หมี่กู”
คำสั้นๆ สองคำขับไล่ภาพฝันหวานๆ ที่เหมือนฟองสบู่ของอวี้หมี่ให้กระเจิงไปทันที!
นางลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าตนเองมาที่นี่เพื่อขอขมา ลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าเมื่อครู่ตนเองยังน้ำลายหกกับเรือนร่างของเขา เสียงใสแหวลั่นด้วยความโมโห “ห้ามเรียกข้าว่าหมี่กูอีกนะ! ใครเรียกข้าว่าหมี่กู ข้าไม่ไว้หน้าแน่!”
“เสี่ยวหมี่” ชายหนุ่มเปลี่ยนคำเรียกขานอย่างโอนอ่อน
นางชะงัก ใบหน้ากลมป้อมยังขุ่นเคืองไม่หาย
ช่างเถิด เรียกเสี่ยวหมี่ยังน่าฟังกว่าเรียกต้าหมี่ล่ะนะ
“ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพใหญ่มีสิ่งใดจะชี้แนะ” นางสูดหายใจลึกๆ แล้วถามออกไปอย่างนั้น
“เจ้าเป็นแม่ครัวที่ไม่ได้มาตรฐาน”
“เหตุใดข้าถึงกลายเป็นแม่ครัวที่ไม่ได้มาตรฐานไปได้เล่า” นางฉุนกึกขึ้นมาจนแทบตบโต๊ะแล้วลุกพรวด
“จวนแม่ทัพไม่ใช่ร้านริมทาง ในเมื่อเข้ามาอยู่บ้านเขาก็ต้องทำอาหารให้ถูกปากเจ้าบ้านเป็นหลัก ข้ากล่าวโทษเจ้าผิดไปอย่างนั้นหรือ” เขาย้อนถามเนิบๆ
นางชะงักค้างไปทันที