อวี้หมี่ย่างซี่โครงแกะชิ้นเขื่องสีน้ำตาลทอง กรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นซีอิ๊วอบอวล ก่อนจะย่างแป้งหมั่นโถวตะกร้าใหญ่ ทำแตงดองซีอิ๊วหวานหนึ่งถ้วย ฝานหัวไช้เท้าแดงสดกรอบ และต้มแกงผักกาดขาวกับลูกชิ้นเนื้อโดยเคี่ยวน้ำแกงจากกระดูกวัวจนได้น้ำแกงขาวขุ่นดุจน้ำนม
ใกล้เที่ยงเต็มทีแล้ว นางผ่าแตงโมลูกใหญ่จากหลันโจวเป็นอันดับสุดท้าย คว้านให้เป็นลูกกลมๆ แล้วแช่ในน้ำดอกกุ้ยผสมบ๊วยเปรี้ยว เนื่องจากจำได้ว่าเขากินอ่อนเปรี้ยวอ่อนหวาน นางจึงใส่น้ำตาลกรวดกับบ๊วยเปรี้ยวน้อยหน่อย เปลี่ยนไปเพิ่มปริมาณสุราดอกเหมยกับดอกกุ้ยแทน ให้ได้รสหวานนิดเปรี้ยวหน่อย แต่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้และความสดฉ่ำของแตงโม
นางคิดไว้เหมือนกัน บุรุษตัวโตๆ พวกนี้ชอบกินเนื้อกันทั้งนั้น เทียบกันแล้วเยียนชิงหลางจัดว่ากินอาหารรสอ่อน ดังนั้นไม่รู้ว่าน้ำดอกกุ้ยบ๊วยเปรี้ยวนี้จะถูกปากทุกคนหรือไม่ แต่จะให้อาหารทั้งโต๊ะมีแต่จานเนื้อ นางก็ทนมองไม่ได้
“เฮ้อ…เป็นแม่ครัวที่ละเอียดลออเกินไปนี่ก็ลำบากเหมือนกัน” เด็กสาวยกมือข้างหนึ่งเท้าเอว มืออีกข้างกุมหน้าผากทำท่าปวดเศียรเวียนเกล้า
เจี้ยนหลันยืนมองหน้าประตูครัวเล็กอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ส่งเสียงกระแอมหนักๆ
อวี้หมี่หันไปมอง
“ใกล้ได้เวลาแล้ว”
“จริงด้วยๆ เกือบลืมแล้วนะนี่” นางรีบลำเลียงอาหารทั้งหมดใส่กล่องอาหารแบบมีหูหิ้วขนาดใหญ่หลายใบ แล้วมีท่าทางลังเล “ดูท่าต้องเรียกคนมาช่วยหิ้วหลายๆ คนกระมัง…”
“แม่นางอวี้สบายใจได้” เจี้ยนหลันหิ้วกล่องเหล่านั้นขึ้นมาอย่างมั่นคง ขนาดน้ำแกงยังไม่กระฉอกออกมาแม้แต่หยดเดียวราวกับใช้เวทมนตร์ก็ไม่ปาน “ไปกันเถิด”
“โห…” อวี้หมี่ทำตาเป็นประกายอย่างเลื่อมใสพลางปรบมือรัว “ยอดเยี่ยม ล้ำเลิศยิ่งนัก!”
เจี้ยนหลันอดยิ้มบางๆ ไม่ได้ เนตรงามหยีโค้ง ดูตรึงตาตรึงใจราวกับภาพวาดยิ่งกว่าเก่า ขนาดอวี้หมี่เป็นสตรีด้วยกันยังมองอย่างเคลิบเคลิ้ม เยียนชิงหลางช่างวาสนาดีแท้ ขนาดสาวใช้ในจวนแม่ทัพยังงดงามราวกับเทพธิดานางสวรรค์ มิน่าเล่าเขาถึงได้เขม่นนางแล้วหาเรื่องกลั่นแกล้งได้ตลอด
ไม่รู้เพราะเหตุใด อยู่ๆ หัวใจนางก็เกิดหดหู่อัดอั้นขึ้นมา
“แม่นางอวี้?”
“อ้อ มาแล้วๆ” ความเหงาหงอยเมื่อครู่หายไปจากใบหน้ากลมป้อมอย่างรวดเร็ว เด็กสาวคว้าตะกร้าที่วางแยกไว้อีกใบขึ้นมาพลางว่า “ไปเถิดๆ อย่าปล่อยให้ท่านแม่ทัพใหญ่ของเจ้ารอจนร้อนใจ เดี๋ยวจะฉวยโอกาสเล่นงานข้าอีก”
เจี้ยนหลันทำหน้าแปลกๆ พลางพึมพำอะไรบางอย่างกับตนเอง แต่สุดท้ายก็ยังเดินไปยังรถม้าที่จอดข้างศาลาด้านนอกอย่างมั่นคง
คนบังคับรถม้าในวันนี้ไม่ใช่เหอหย่ง แต่เป็นชายร่างสูงใหญ่อีกคนที่คล่องแคล่ว เคร่งขรึม และหน้าตายพอกัน อีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับการทักทายอย่างตีสนิทของอวี้หมี่ทั้งสิ้น มีเพียงเจี้ยนหลันผู้ตาไวเท่านั้นที่เห็นว่าตอนได้ยินอวี้หมี่ทักขึ้นว่า ‘พี่ชายท่านนี้หน้าไม่คุ้นเลย’ ร่างสูงตระหง่านราวกับต้นสนของเขาสะดุ้งน้อยๆ
“เฮ้อ…” ผ่านมาแค่สองวันกับอีกหนึ่งคืน เจี้ยนหลันก็ตระหนักชัดแล้วว่า…แม่นางอวี้คนนี้เป็นสมบัติในมือนายท่าน พวกไม่รู้ที่ตายคนไหนมองนานหน่อย รับรองว่าเป็นต้องถึงคราวเคราะห์!
แต่คนหัวทื่ออย่างอวี้หมี่กลับไม่รู้ตัวสักนิด หลังขึ้นมานั่งบนรถและเอาม่านลงแล้ว ยังหันมาเอ่ยชมกับนางด้วยสีหน้าเลื่อมใส “จวนแม่ทัพอบรมคนมาดีจริง แต่ละคนสุขุมองอาจ ไม่ยิ้มแย้มเล่นหัวแม้แต่นิดเดียว สมกับเป็นผู้กล้าที่ปกป้องบ้านเมืองโดยแท้”
แม่นางคนนี้นี่หนอ เพราะคนก่อนยิ้มแย้มเล่นหัวกับเจ้าน่ะสิ เมื่อคืนเลยถูกโยนกลับไปอยู่ในค่ายทหารเรียบร้อยแล้ว