บทที่สี่
เย็นวันนั้นอวี้หมี่นวดแป้งแล้วดึงสาวเป็นเส้นบะหมี่ที่แสนเหนียวนุ่ม
กับข้าวกินแกล้มประกอบไปด้วยห่านต้มเกลือ กุ้งเคี่ยวน้ำมัน รากบัวสอดไส้เผือกกวน มีไข่ตุ๋นน้ำนมแพะเป็นของล้างปาก เมื่อวางทุกอย่างลงในถาดใหญ่ ขนาดนางมองเองยังท้องร้องจ๊อกๆ อย่างห้ามไม่อยู่
หลังจากส่งถาดทั้งใบให้เจี้ยนหลัน นางก็หันมาทำความสะอาดเตาไฟอย่างแคล่วคล่อง แล้วใช้ถ่านในเตาที่ยังระอุอยู่อุ่นเนื้อคลุกข้าวเหนียวคั่วบดห่อใบบัวกินกับน้ำบะหมี่ที่เหลือ เท่านี้ก็อิ่มไปได้หนึ่งมื้อ
ระหว่างกินเนื้อคลุกข้าวเหนียวคั่วบดที่แทบละลายในปาก นางหรี่ตาอย่างมีความสุข แต่กินไปๆ ก็อดจะปวดใจขึ้นมาไม่ได้
“เสี่ยวเหลียงก็ชอบกินเนื้อคลุกข้าวเหนียวคั่วบดห่อใบบัวมากเหมือนกัน” หัวใจห่อเหี่ยวลงทันตา นางมองเนื้อคลุกข้าวเหนียวคั่วบดตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
ไม่รู้ว่าเสี่ยวเหลียงดูแลร้านตัวคนเดียวเป็นอย่างไรบ้าง กิจการได้รับผลกระทบอะไรหรือไม่ นางไม่อยู่เสียคน น้องชายเหนื่อยแทบขาดใจอย่างไรก็ไม่มีใครให้บ่นปรับทุกข์…
อาหารเลิศรสที่กินเข้าไปกองรวมกันอยู่ก้นกระเพาะ อัดแน่นจนท้องปวดขึ้นมาเป็นระลอก นางพยายามกะพริบตาไล่ไอน้ำอุ่นที่เอ่อขึ้นมาออกไป แต่กลับพบว่าตอนนี้แม้แต่โพรงจมูกยังแสบร้อนไปด้วย
เพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน เหลืออีกตั้งยี่สิบกว่าวันที่นางต้องอดทน งานในจวนแม่ทัพสบายๆ แต่เสี่ยวเหลียงอยู่ที่ร้านคงยุ่งจนตัวเป็นเกลียว จะหันหน้าไปหาคนช่วยก็ไม่มี
ฉับพลันนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามาในสมอง อวี้หมี่เงยหน้าพรวด นัยน์ตาเป็นประกายเรืองรองด้วยความหวัง “จริงด้วย!” นางเด้งตัวลุกขึ้นยืนพร้อมตบเข่าฉาดอย่างตื่นเต้น “ยังมีวิธีนี้อยู่นี่นา!”
อวี้หมี่วิ่งไปทางเรือนนอนของแม่ทัพใหญ่อย่างลิงโลด แม้จะถูกองครักษ์ที่สูงใหญ่ราวกับภูเขาขวางไว้ตรงหน้าประตูเหมือนเดิม แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ปล่อยให้นางเดินอาดๆ เข้าไปในห้องนอนของเยียนชิงหลางได้
ชายหนุ่มที่ใช้เชือกสีดำมัดผมดกหนาไว้ข้างหลังหลวมๆ หลังอาบน้ำกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ นัยน์ตาสีนิลหลุบลงเล็กน้อย มือเรียวยาวจับตะเกียบคีบห่านต้มเกลือชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน ขนาดนางวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เขายังไม่เงยหน้ามองด้วยซ้ำ
“กินข้าวแล้วหรือ”
“เอ่อ…กินแล้ว…” นางตั้งสติไม่ทัน เลยทั้งพยักหน้าและส่ายหน้า “ยัง แต่ก็ถือว่าได้กินแล้ว”
“ใครก็ได้” เขาเอ่ยเรียกด้วยเสียงทุ้มห้าว
“ขอรับ!” เสียงขานรับจากด้านนอกดังกึกก้องปานระฆังจนนางสะดุ้งโหยง
“เตรียมชามกับตะเกียบมาอีกชุด”
“ขอรับ!”
อวี้หมี่ยืนตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ถึงเข้าใจ ใบหน้ากลมเล็กแดงก่ำขณะปฏิเสธตะกุกตะกัก “มะ…ไม่ต้องหรอก ท่านกินไปคนเดียวเถิด ข้าไม่หิว…”
อีกอย่างให้นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับเขาคงไม่เหมาะนักกระมัง อีกทั้งมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางจะเผลอทำผิดกฎทหารข้อใดของจวนแม่ทัพอีกหรือไม่
หัวใจเต้นโครมๆ อยู่ในอก ความคิดในสมองยุ่งเหยิง ดวงหน้ากลมป้อมเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียว ความรู้สึกหลากหลายที่สะท้อนอยู่บนนั้นแปรปรวนไปมา แต่เยียนชิงหลางเห็นแล้วกลับต้องกลั้นยิ้มจนมุมปากกระตุก
บางทีเขาก็อยากเปิดกะโหลกนางออกดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง
“นั่ง” เขาสั่งสั้นๆ “กิน”
นางสะดุ้งเฮือกแล้วรีบรับชามกับตะเกียบที่องครักษ์ส่งให้ก่อนนั่งลงที่โต๊ะ ไม่กล้ากระบิดกระบวนมากไปกว่านี้ ว่าแต่ตะเกียบกับชามวางอยู่หน้าประตูหรือไรกันนะ เหตุใดถึงได้ไปเอามาเร็วนัก หรือว่า…
“มีอะไร” เขาสังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆ ของอีกฝ่าย
“ข้าคงไม่ได้แย่งตะเกียบกับชามของพี่องครักษ์ที่อยู่ข้างนอกคนนั้นหรอกกระมัง” นางถามอย่างระมัดระวัง
เอ๋? นางคิดไปเองหรืออย่างไรกันนะ เหมือนจะได้ยินเสียงสูดหายใจเฮือกดังมาจากข้างนอก
เด็กสาวเหลือบมองแม่ทัพผู้สุขุมแล้วกะพริบตาปริบๆ เมื่อครู่เขาทำหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่สบอารมณ์อยู่แวบหนึ่งใช่หรือไม่